เรื่องเด่น เมื่อหลวงปู่ดู่ อธิษฐานจิตถึง "พระอาจารย์ธรรมโชติ" แห่งค่ายบางระจัน ขอคาถากำราบโจรที่มาขโมยของที่วัด

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 30 กันยายน 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    สุดปาฏิหาริย์!! เมื่อหลวงปู่ดู่ อธิษฐานจิตถึง "พระอาจารย์ธรรมโชติ" แห่งค่ายบางระจัน เพื่อขอคาถากำราบโจรที่มาขโมยของที่วัด น่าเหลือเชือสุดๆ!!

    cats-002.jpg




    3%282156%29%282%29.jpg

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นภิกษุชาวไทย จำพรรษา ณ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีวิธีการเมตตาในสอนศิษย์ทั้งหลาย โดยอุบายธรรมสั้นๆ ง่ายๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งในตัว โดยเล่าจากเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็นมากับตัวของท่านเองหรือได้มาจากการปฏิบัติธรรมอันยาวนานตลอดชีวิตท่านและบางครั้งก็กล่าวถึงพุทธประวัติ ธรรมบทหรือชาดกต่าง ๆ ตามแต่ท่านจะเห็นควร ในเวลาหรือโอกาสต่างๆ ที่จะนำมาสอนศิษย์เพราะลูกศิษย์แต่ละคนนั้นมีภูมิธรรมไม่เท่ากัน คนที่เข้าวัดใหม่ๆ ท่านก็จะสอนแบบเข้าใจง่ายๆ แต่ลึกซึ้งและกินใจจน เสมือนหนึ่งว่าท่านสามารถรู้ถึงก้นบึ้งของความคิดของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าขานกันว่า หลวงปู่ดู่ ได้อธิษฐานจิตถึง หลวงพ่อธรรมโชติแห่งค่ายบางระจัน เพื่อขอคาถากำราบขโมยที่ชอบมาขโมยของที่วัด


    _456_145%281%29.jpg

    กล่าวคือในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ.๒๕๐๐ หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป ๓ ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง

    "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"

    ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธี ที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนากล่าวได้ว่า ภูมิรู้ภูมิธรรมของหลวงปู่ดู่ มุ่งสู่มรรคผลนิพพานเป็นแนวตรง ซึ่งในอัตประวัติท่าน มีเกร็ดเล็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนพอสมควร ดังจะนำมาเล่าดังต่อไปนี้


    22_176.jpg

    กล่าวคือเมื่อครั้งที่หลวงปู่ดู่มีพรรษาไม่มากนัก ที่วัดสะแกมีเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ พวกโจรใจบาปหยาบช้า มักจะเข้ามาลักขโมยสิ่งของในวัดเนืองๆ บางครั้งขณะที่หลวงปู่ดู่นอนอยู่ พวกมันก็ยังบังอาจเข้ามาลักขโมยเอาไปต่อหน้าต่อตา หลวงปู่ดู่เคยทราบจากตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่า พระอาจารย์ธรรมโชติ มีคาถาอาคมขลังอยู่บทหนึ่ง สำหรับกำราบขโมย หากมีใครลักขโมยสิ่งของไป จะต้องกลับเอามาคืนหมด แต่พระอาจารย์ธรรมโชติได้ล่วงลับไปนานแล้ว และไม่มีผู้ใดสืบทอดวิชานี้เอาไว้ ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาสอนวิชาอาคมนี้แก่ท่านในนิมิต แต่ก็ไม่เคยมีนิมิตปรากฏเอาเสียเลย กระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี ทำให้ท่านลืมเรื่องที่อธิษฐานจิตเรื่องนี้โดยสนิท

    ท่านผู้อ่านอาจจะเลือนๆ เรื่องของพระอาจารย์ธรรมโชติไปแล้วก็ได้ ดังนั้นจะขอทบทวนความทรงจำสักนิด กล่าวคือ ก่อนมหาธานีกรุงศรีอยุธยาจะถึงกาลล่มสลายในครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ด้วยน้ำมือของพม่าข้าศึก คนไทยทุกคนย่อมจะจำกันได้ถึง วีรกรรมค่ายบางระจัน นักรบไทยใจหาญกล้ามิว่าชายหญิง รวมตัวกันปักหลักสร้างค่ายสู้กับทหารพม่าอย่างยิบตา พม่ายกกองทหารมาตีคราวใดก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปคราวนั้น ณ ที่ค่ายบางระจันนี้ นามของ พระอาจารย์ธรรมโชติ ก็เป็นที่ปรากฏ และได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ พระอาจารย์ธรรมโชติเป็นพระภิกษุผู้ทรงวิชาอาคมเป็นเลิศ ได้มาเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้แก่ชาวค่ายบางระจันตลอดเวลาที่สู้ศึกกับพม่า ตราบกระทั่งค่ายบางระจันถูกถล่มจนค่ายแตก ประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับ วีรบุรุษวีรสตรีลูกค่ายบางระจันสู้ศึกจนตัวตายเกลื่อนค่าย เกลื่อนแผ่นดินเป็นที่เลื่องลือและพระอาจารย์ธรรมโชติก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในประวัติศาสตร์มิได้บันทึกเอาไว้ว่า พระอาจารย์ธรรมโชติหายสาบสูญไปเช่นไร แต่เป็นที่เชื่อได้ข้อหนึ่งว่า คมดาบของพม่าข้าศึกคงไม่มีทางระคายแม้แต่เงาของท่าน นับแต่ค่ายบางระจันแตก กรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ตราบกระทั่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราช สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี แล้วมาถึงรัชสมัยของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นครองราชย์ ย้ายเมืองหลวงมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ คือ กรุงเทพมหานคร กาลเวลาล่วงเลยไปนานแสนนานเช่นนี้ พระอาจารย์ธรรมโชติย่อมมรณภาพไปแล้วตามวงวัฏแห่งอนิจจัง วิญญาณของท่านจะไปสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด ย่อมยากที่จะรู้ได้




    1_449.jpg

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ในกาลต่อมา ท่านผ่านพรรษามานานหลายพรรษาแล้ว และรับศิษย์ไว้ผู้หนึ่ง ซึ่งกล่าวได้ว่า ศิษย์ผู้นี้กับท่านมีวาสนาเกื้อกูลกันโดยตรงก็ว่าได้ เพราะศิษย์คนนี้มิใช่พุทธศาสนิกชน หากนับถือศาสนาคริสต์ ระยะแรก ๆ ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ เขาไม่มีศรัทธาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ต่อมาจึงได้ยอมปฏิบัติ และก้าวหน้าในทางธรรมกรรมฐานอย่างเหลือเชื่อ กระทั่งวันหนึ่งเข้าไปเจริญสมาธิในกุฏิกับหลวงปู่ดู่ ได้ปรากฏหลวงปู่ทวดในนิมิต แต่ด้วยเหตุผลทางศาสนา จึงไม่ยอมกราบไหว้นมัสการหลวงปู่ทวด ในที่สุด เขาก็ต้องก้มกราบหลวงปู่ทวด ด้วยความเคารพศรัทธาอย่างหาที่เปรียบมิได้ วันหนึ่ง ศิษย์คนนี้มารายงานผลการปฏิบัติของตนต่อหลวงปู่ดู่ตามปกติ จากนั้น จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า

    "หลวงลุงครับ หลวงลุงรู้จักหลวงปู่พระอาจารย์ธรรมโชติไหมครับ"

    เมื่อท่านได้ยินลูกศิษย์ถาม หลวงปู่ดู่เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านเคยอธิษฐานถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ ขอคาถากำราบโจรไว้นานแล้วจนลืม จึงตอบลูกศิษย์ว่า "รู้จักซิ" แล้วเล่าให้ฟังที่ท่านเคยอธิษฐานขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาปรากฏในนิมิต ศิษย์จึงกราบเรียนถวายว่า

    "พระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านสั่งให้มาเรียนหลวงลุงว่า คาถาที่ของนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลก ไปไม่ได้ แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลก ที่ท่านทำนั้นสูงแล้ว"

    ขณะที่ศิษย์ซึ่งเคยนับถือศาสนาคริสต์ มารายงานผลการปฏิบัติ และเล่าเรื่องพระอาจารย์ธรรมโชติ (มาปรากฏในนิมิต) สั่งความมาถึงหลวงปู่ดู่ มีศิษย์คนอื่นๆ นั่งฟังอยู่ด้วยหลายคน ท่านจึงพูดให้ได้ยินกันทุกคนว่า

    "ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะขอมานมนานกาเล แต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้"




    ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.baanjompra.com

    ขอบคุณภาพจาก : http://www.dhammajak.net


    เรียบเรียงโดย

    เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ : สำนักข่าวทีนิวส์
    -----------------

    http://www.tnews.co.th/contents/363553
     

แชร์หน้านี้

Loading...