เรื่องเด่น เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน ชัมพุกาชีวกผู้เลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 สิงหาคม 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน ชัมพุกาชีวกผู้เลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง
    20842072_473803742976077_9066530744689862707_n.jpg
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภชัมพุกาชีวก ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 70 นี้

    ชัมพุกาชีวก เป็นบุตรของเศรษฐีผู้หนึ่งในกรุงราชคฤห์ เขาพอคลอดออกมาเป็นทารก ก็มีพฤติกรรมที่ประหลาดๆเนื่องจากกรรมเก่าที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติ คือ เป็นทารกที่ไม่ชอบนอนบนที่นอน แต่ชอบนอนบนพื้นดิน ไม่ชอบรับประทานอาหารปกติ แต่ชอบรับประทานอุจจาระของตนเองเป็นอาหาร เมื่อเติบโตขึ้นมาหน่อย เขาไม่ต้องการจะนุ่งผ้า บิดามารดาก็จึงได้พาเขาไปบวชเป็นนักบวชในสำนักของพวกอาชีวก เมื่อพวกอาชีวกพบว่าเขามีพฤติกรรมชอบรับประทานอุจจาระของตนเองก็ได้ขับไล่เขาออกจากสำนัก เมื่อถูกขับไล่ออกจากสำนักของอาชีวก เขาก็ได้มาอาศัยอยู่ที่ใกล้ส้วมหลุมสาธารณะ ในตอนกลางคืนก็ได้ไปนำเอาอุจจาระมนุษย์มารับประทาน แต่ในตอนกลางวันก็ทำทีเหนี่ยวก้อนหินยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง ยืนเงยหน้าอ้าปากกว้าง เขาบอกกับทั้งหลายว่าที่ต้องยืนอ้าปากอยู่เสมอนั้น ก็เพราะเขากินลมเป็นอาหาร ส่วนที่ต้องยืนด้วยขาข้างเดียวนั้นก็เพราะว่าตัวของเขาหนักมากหากยืนทั้งสองขาแผ่นดินก็จะสั่นไหว และก็ยังคุยออกมาเป็นตุเป็นตะด้วยว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยนั่ง และไม่เคยนอน” ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกเขาว่า “ชัมพุกะ”

    หลายคนมานิยมนับถือเขา และบางคนถึงกับนำอาหารมาให้ แต่ชัมพุกะปฏิเสธโดยกล่าวว่า “เรากินลมอย่างเดียว ไม่กินอาหารอย่างอื่น เพราะเมื่อเรากินอาหารอย่างอื่น ตบะย่อมเสื่อมไป” เมื่อถูกประชาชนคะยั้นคะยอมากเข้าๆ เขาก็เอาปลายหญ้าคามาจุ่มลงที่อาหารที่คนนำมาให้แล้วยกขึ้นไปแตะที่ปลายลิ้นของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “ท่านจงไปเถิด เท่านี้ก็เป็นบุญกุศลที่จะเป็นประโยชน์ และความสุข แก่ท่านทั้งหลายแล้ว” ชัมพุกะดำเนินชีวิตโดยเปลือยกาย รับประทานอุจจาระ ถอนผมด้วยเสี้ยนตาล และนอนบนพื้นดินเช่นนี้ มาเป็นเวลานานถึง 55 ปี

    อยู่มาวันหนึ่ง พระศาสนาทอดพระเนตรเห็นชัมุกาชีวกเข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณพิเศษของพระองค์ และทรงทราบว่าชัมพุกาชีวกนี้จะได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฎิสัมภิทาญาณทั้งหลาย ดังนั้นในตอนเย็นของวันนั้น พระองค์จึงได้เสด็จไปยังที่ที่ชัมพุกาชีวกพักอาศัยอยู่ และได้ทรงขอพักค้างแรมด้วย ชัมพุกาชีวะชี้มือไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแผ่นหินที่เขาพักอาศัยอยู่นั้น แล้วทูลให้พระศาสดาประทับค้างแรมอยู่ ณ ที่นั้น ในช่วงยามที่ 1 ยามที่ 2 และยามที่ 3 ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาพรหม ได้มาเฝ้าพระศาสดาตามลำดับ ในช่วงที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเฝ้า ทั่วทั้งป่าเกิดความสว่างไสว และชัมพุกาชีวกก็ได้แลเห็นป่าไม้สว่างไสวทั้ง 3 ครั้งนี้ด้วย พอถึงตอนเช้า ชัมพุกาชีวกเดินตรงไปหาพระศาสดาและได้สอบถามถึงแสงสว่างเหล่านั้น

    เมื่อพระศาสดาตรัสว่า แสงสว่างเหล่านั้นมาจากร่างของท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักการะ และท้าวมหาพรหม มาเฝ้าพระองค์ ชัมพุกาชีวิตเกิดความประทับใจมากได้กล่าวกับพระศาสดาว่า “ท่านจะต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ มิฉะนั้นท้าวจาตุมมหาราช ท้าวสักกะ และท้าวมหาพรหม คงจะไม่เสด็จมาเฝ้า แม้แต่ตัวช้าพเจ้าเองบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี โดยรับประทานแต่ลมเป็นอาหาร และยืนขาเดียว เหนี่ยวก้อนหินอยู่อย่างนี้ ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักกะ และท้าวมหาพรหมก็ยังไม่เคยเสด็จมาหาเลย” พระศาสดาตรัสตอบว่า “ดูก่อนชัมพุกะ เธอลวงชาวโลก และยังจะมาลวงเราอีก เรารู้ว่าเธอกินอุจจาระและนอนบนพื้นดินมาเป็นเวลา 55 ปี”

    นอกจากนั้นแล้ว พระศาสดาก็ยังนำเรื่องในอดีตชาติเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะมาเล่าให้ชัมพุกาชีวกฟังว่า สมัยนั้น ชัมพุกาชีวกเป็นพระภิกษุได้ขัดขวางพระเถระรูปหนึ่งไม่ให้ติดตามไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านของอุบาสกคนหนึ่ง และเมื่ออุบาสกคนนี้ฝากอาหารมาถวายพระเถระก็ได้เอาเททิ้งในระหว่างทาง เพราะอกุศลกรรมนั้นทำให้ชัมพุกาชีวกต้องมารับประทานอุจจาระและนอนบนแผ่นดิน เมื่อชัมพุกาชีวกได้ฟังเรื่องนี้แล้วก็เกิดความสังเวชใจ มีความละอายใจและเกรงกลัวบาปกรรมจากการหลอกลวงคนอื่น จึงได้คุกเข่าลงมา และพระศาสดาก็ได้โยนผ้าผืนหนึ่งไปให้ปกปิดกาย จากนั้นพระศาสดาได้แสดงอนุปุพพิกถาให้ฟัง เมื่อจบเทศนากัณฑ์นั้น ชัมพุกาชีวกก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ถวายบังคมพระศาสดาแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระศาสดาจึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออก ตรัสกับชัมพุกาชีวกว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด”

    หลังจากนั้นไม่นาน พวกชาวอังคะและมคธที่เป็นสาวกก็ได้นำของมาถวายชัมพุกาชีวก และพวกเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นครูของเขานั่งอยู่กับพระศาสดา พระชัมพุกเถระจึงได้อธิบายให้สาวกทั้งหลายเหล่านั้นได้ทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว และท่านเป็นสาวกของพระศาสดา พระศาสดาจึงได้ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า แม้ว่าครูของพวกเขาจะบำเพ็ญตบะด้วยการนำเอาปลายหญ้าตาแตะที่อาหารไปสัมผัสที่ปลายลิ้นนับร้อยปี การบำเพ็ญตบะเช่นนี้มีค่าไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบหกของการประพฤติปฏิบัติในฐานะที่เป็นพระภิกษุอย่างในปัจจุบัน

    จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 70 ว่า

    มาเส มาเส กุสคฺเคน
    พาโล ภุญเชถ โภชนํ
    น โส สงฺขาตธมฺมานํ
    กลํ อคฺฆติ โสฬสึฯ

    คนพาล พึงบริโภคโภชนะ
    ด้วยปลายหญ้าคาทุกๆเดือน
    เขาย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 แห่งท่านผู้มีธรรม
    อันนับได้แล้ว(หมายถึงพระอริยบุคคล).


    เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ธรรม ได้บังเกิดแก่สัตว์ 8 หมื่น 4 พัน.
     
  2. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,101
    sa11.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...