จิตเที่ยง

พูดถึงภูมิจิตภูมิธรรมของนักภาวนา
ถ้าไม่ผู้รู้จริงคอยแก้ไขให้ อันตรายมาก

เพราะเจ้าของโดนกิเลสหลอก
ผมเคยโดนมาแล้ว

ภาวนาได้สามสี่ปี
มันบอก บรรลุธรรมแล้ว ทั้งที่กิเลสมีอยู่เต็ม

 

ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ อย่าว่าอย่างงู้น อย่างงี้เลยนะ อะไรแบบนี้ ต้องให้
นักตำรา อภิธรรม ลองจัดหนัก จัดเต็ม ให้ "เพ่ง" พิสูจน์ ถึงจะ
ข้ามสะพานกรุงธน เลี้ยวเขวอ

สมัยใด จิตสงัดจากอกุศลธรรม สำรวมอินทรีย์อยู่ จิตจะไม่
ห่างจากฌาณ(1-9) มี อุเบกขา(เกิดดับ) แล้วแลอยู่

เมื่อมีการ แลอยู่ ฌาณเกิด ฌาณดับ อุเบกขา เอกัคคตาเป็น
ของเกิดดับ แล้วแลอยู่ จะเกิด ธรรมเอก เอโกธิภาวะ มีจิตตั้งมั่น

เมื่อเอาจิตตั้งมัน มาพิจารณา การไหล การหลง การแหวก หรือ
การถูกขังใน ม่านบางอย่างที่มองไม่เห็น แต่ ยกเห็นได้เหมือน
ตาเห็นรูป จึงเกิดการเดินปัญญา เกิดการภาวนา เกิดการนับหนึ่ง

สติจะต้องดับ เพราะ การเดินปัญญาเป็นของเกิดดับ เป็นสภาวะธรรม
เป็น ญาณอริยสัจจ เป็น อาการ ไม่ใช่จิต

ญาณอริยสัจจ ตั้งไม่ได้ เพราะอะไร

จะเกิด กังขาวิตรณวิสุทธิ จึงเกิดการไปเห็น จิตนั่นเองไม่เที่ยง

ภาชนะ ของเจตสิก ดับ ไม่ใช่เพราะ เจตสิกมันดับ แต่เพราะ
จิตมันดับของมันตลอดเวลา ทุกขังที่แท้จริงจึงอยู่ที่การเห็น "..."
เป็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ไปจานลาย บัญญัติว่าไม่เกิดไม่ดับ

 

เชย ระเบิด ระเบ้อ

สภาวะธรรม มันเกิดที่ ...... มันไม่ได้เกิดจาก ......

กิเลสดับ กิเลสไม่ดับ แท้จริงแล้ว เจ้าตัวสามารถกำหนดรู้ได้

แต่ที่ ไปวางจิตไว้ผิดว่า เจ้าตัวเห็นไม่ได้ เพราะ ยังอาศัย ลูบคลำ
ตามบุคคลที่อ้างว่าเป็นอรหันต์ ต่างๆนานา แทนที่จะ พิจารณา
เข้ามาว่า การตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง มีอยู่จริง

 

ทั้งนี้ ทั้งนั้น

พึงทราบว่า แม้น กิเลส อาสวะ จะหายไป แต่ ตาของโลก
หรือ พระพุทธองค์ ผู้มีสิทธิเพียงผู้เดียว จะวินิจฉัย ไม่อยู่แล้ว
[ การไปเชื่อ สาวก หน้าไหนก็ตาม จัดเป็น การปรามาสพระสัพพัญญูเจ้า ]

ดังนั้น ผู้ที่ ทำ ธรรมกถึก จะต้องกำหนดรู้ "ความไม่ประมาท"

ถ้า ยังมี ความประมาท เมื่อนั้น ไม่ได้เอา ธรรม และ วินัย เป็น ศาสดาแทนพระองค์

 

ยิ่งได้อ่านประวัติครูบาอาจารย์ เห็นชัด
อย่างศิษย์หลวงตาบัว หลวงปู่ดุลย์ สำคัญตนว่าได้ขั้นนั้นขั้นนี้
พอโดนอาจารย์ตบเข้า ถึงได้รู้ตัวขึ้นมา

 

ถ้าได้ ครูบาอาจารย์ อัด จะสนุกมาก

จะร่าเริงมาก

บางครั้ง ศิษย์ที่สำเร็จแล้ว ก็แกล้งทำเป็น ไม่รู้เรื่อง

เพื่อ ไขก๊อก ให้เกิดการ อัด เพราะ แง่มุม แม่ไม้
ในการภาวนา มีหลากหลาย ไม่ใช่แค่ 84000

เพียงแต่ว่า ถ้าเอาเท่าที่มีประโยชน์ ใช้แค่ สี่ใบพอ

เพราะ สัญญา ไม่เที่ยง โลก(รูปนาม)มันเป็นแบบนั้น
ใครก็ไปกำกับ เปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นไม่ได้

อุปทานขันธ์ จึงเป็นตัว............... ธรรมเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา

 

ท่านนิวรณ์หาจิตเจอยัง?

 

ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

มาถาม คนยกพิจารณา จิตไม่เที่ยง

ถามไป ผมไม่ตอบ ไม่ใช่เพราะเลี่ยง

แต่เพราะ ได้แสดง หนทางพิจารณา ไปแว้ว

การที่ แสดงไปแล้ว แต่คุณยังเห็น และ ยังเพียร ถามหา

นั่นเพราะ คุณ ไป ยึด ฮา อะไรบางอย่างอยู่(ติดอดีต ไม่ก็อนาคต บางอย่าง)
ไม่ใช่การ อาศัยระลึก(ปัจจุบัน ก็ ฮู้อยู่ว่า ตนเห็น หรือไม่เห็น)

เป็นเพียง อุปทาน กะลา ชน

 

ในสมัยพุทธกาล มี ภิกษุสาวก ถาม พระพุทธองค์ว่า ทรง "รู้" ตลอดไหม

พระพุทธองค์ตรัสถึง ขันธ์5 แล้วก็ สรุปลงว่า ไม่ได้ "รู้" ตลอด

แต่....

แปล๊ว์กแปลก คนสมัยนี้ เอา หัวถูข้างกล่อง กลับทำเหมือนว่า "รู้" ตลอด

อ้างอยู่นั่น เห็นมาแว้ว

เก่งกว่า ศาสดา

 

มันสว่าง มันโพลงแจ้งขึ้นมาหรือครับ ตามันสว่างแจ้ง ประสาทสัมผัสมันชัดเจนดี แบบเวลาเราทำสมาธิ พอจุดหนึ่ง สติมันเกิดขึ้นมา มันก็สดใสชัดเจนขึ้นมา อย่างนั้นรึป่าวครับ มาตามการเกิดสติ เอ้อ ผมก็ถามไปงั้นแหละครับ เห็นว่าบอกไม่ถูก เลยเดาๆไป ปรากฏการณ์มันมากมายหลากหลายที่จะเกิด ตามเหตุปัจจัย

 

กินอิ่ม นอนสักตื่น ตอนเย็นทำงาน ต่อครับ
หลวงปู่มันบอกไว้ ยกมาประกอบครับ

12. มูลติกสูตร

ติกแปลว่า ๓ มูลแปลว่าเค้ามูลรากเหง้า รวมความว่า
สิ่งซึ่งเป็นรากเหง้าเค้ามูลอย่างละ ๓ คือ

ราคะ โทสะ โมหะ ก็เรียก ๓ อกุศลมูล

ตัณหา ก็มี ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

โอฆะและอาสวะก็มีอย่างละ ๓ คือ กามะ ภาวะ อวิชชา

ถ้าบุคคลมาเป็นไปกับด้วย ๓ เช่นนี้ ติปริวตฺตํ ก็ต้องเวียนไปเป็น๓ ๓ ก็ต้องเป็นโลก ๓ คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก อยู่อย่างนั้นแล เพราะ ๓ นั้นเป็นเค้ามูลโลก ๓ เครื่องแก้ก็มี ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อบุคคลดำเนินตนตามศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นเครื่องแก้ น ติปริวตฺตํ ก็ไม่ต้องเวียนไปเป็น๓ ๓ ก็ไม่เป็นโลก ๓ ชื่อว่าพ้นจากโลก ๓ แล

 

ขั้น สมาธิ มันจะสว่าง แต่ยังหาไม่เจอ ว่าแสงสว่างมาจากไหน
ดวงจิตยังไม่เผยตัวออกมา เวลาภาวนาเบื่องต้น จะเจอแต่ความสว่าง

 

ท่านนิวรณ์ มาถกธรรม เรื่องจิตเที่ยง
เอาแต่เรื่องขั้นห้าบอกเสนอ

ถามว่าหาจิตเจ้าของเจอยัง? ตอบไม่ได้
เขียนแต่ขันธ์ห้า มันตลกดีนะ

 

เราภาวนาพิจารณาขันธ์ห้าเพื่อหาจิต
เหมือนวิดน้ำเพื่อหาปลา

 

ท่านนิวรณ์ เขียนไว้ ยกมาประกอบ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
กิจในการภาวนา จะอยู่แค่เพียง การพิจารณา รูป สังขาร วิญญาณ สัญญา เวทนา
เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง กิจอื่นไม่มีอีก

ไม่ต้องไป บัญญัติอะไรแฝงอยู่ตรงนั้นตรงนี้

ไม่ต้องบัญญัติกำหนดรู้ทั่วถึงขันธ์5ไม่เที่ยง แล้วจะ มีอะไรโพล่ มาจุกกรู้ !!

กิจในการภาวนา แค่แจ้งความไม่เที่ยงของขันธ์5 เท่านั้นพอ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุณกล่องไม้ขีดไฟ เขียนไว้
ภาวนาพิจารณาขันธ์เพื่อหาดวงจิต
เหมือนเราวิดน้ำเพื่อหาปลา

หาดวงจิตเพราะอาสวกิเลสอาศัยอยู่กับจิต ต้องหาดวงจิตให้เจอก่อน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ได้บทสรุป ณ ตอนนี้ มวยระหว่าง นิวรณ์ กับ กล่องไม้ขีดไฟ น่าสนใจครับ
แล้วทุกท่านคิดอย่างไร?

 

หาปลาเจอ
แล้วไงต่อ ?

 

มันหิวก็วิดน้ำหาปลา
ได้ปลามาแล้วก็กินซะ อย่ากอดอยู่มันไม่อิ่ม
ปิ้งกินซะสิ
กินแล้วก็ทิ้งก้างไป
ไม่ใช่กอดก้างอันเดิมให้เที่ยง
มันจะอิ่มได้ไง
ถ้าหิวอีกก็หาปลาใหม่ หาไปซ้ำๆ
หิวก็ต้องหากิน จนกว่ามันจะทวนไป ....
ไม่หิวนั่นหละก็ไม่ต้องหา

 

ไม่ได้ชวนทะเลาะนะคุณนิวรณ์ แต่ขอที่มาได้ไหม ว่าสิ่งที่คุณอ้างข้างต้นนั้น คุณไปเอามาจากไหน

 

สวัสดีครับคุณขาจอน ขาจอนจริงๆ นั้นเอานี้ไปอ่านก่อน จะได้หายโง่

ตามธรรมดาของปลาย่อมอาศัยน้ำ ที่ไหนรก ปลาย่อมซุกซ่อนในสถานที่นั้นได้โดยสะดวกและปลอดภัย


กิเลสก็ชอบสิ่งที่รกรุงรัง สถานที่ใดเป็นที่รกรุงรังกิเลสชอบ ทุกข์ก็ชอบอยู่ในสถานที่นั้น
ท่านจึงสอนให้วิดน้ำออก ถ้าต้องการอยากรู้ว่าปลาในน้ำนี้มีจำนวนมากน้อยเท่าไร ก็ต้องพยายามวิดน้ำออก
วิดน้ำออกมากเท่าไร ปลาก็หมดที่พึ่งเข้ามาเป็นลำดับๆ จนกระทั่งวิดน้ำออกหมด ปลามีกี่มากน้อยในบึงในหนองนั้นก็เห็นได้ชัด
ตัวเล็กตัวใหญ่เห็นได้ชัด เป็นปลาประเภทใดบ้าง เห็นได้ชัด น้ำหมดจริงๆ ปลาทั้งหมดก็มารวมตัวกันอยู่ที่จุดเดียว เราจับได้ตามต้องการ
จะทำอย่างไรก็ได้ ปลาหมดที่พึ่ง หมดหนทางที่จะเอาตัวรอดไปได้ จับตัวไหนก็ได้ตามความต้องการ เพราะปลาหาที่หลบหลีกไปไหนไม่ได้
เนื่องจากไม่มีทางเดินเพราะถูกตัดสะพานแล้ว ด้วยการวิดน้ำออก


เรื่องของกิเลสที่มีอำนาจแผ่กระจายไปทั่วขอบเขตจักรวาล ก็เช่นเดียวกับน้ำที่มีมาก กิเลสก็แผ่ไปได้ทุกหนทุกแห่ง
กว้างแคบไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีปริมาณ สถานที่ท่องเที่ยวของกิเลสอาสวะ ซึ่งเกิดขึ้นจากใจดวงเดียวมีมากจึงสนุกเที่ยว


ท่านจึงสอนให้พิจารณารูป ซึ่งเหมือนห้วย หนอง คลอง บึง เป็นที่อาศัยของกิเลสต่างๆ เพื่อเห็นแจ้งชัด
พิจารณาเสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส แต่ละอย่าง ๆ ซึ่งเหมือนห้วย หนอง คลอง บึง เพื่อความแจ้งชัด
ซึ่งเปรียบเหมือนการวิดน้ำออก ด้วยปัญญาต่างๆ เมื่อปัญญาเห็นชัดแล้ว จิตก็ถอยตัวออกมา หมดที่ยึดมั่นถือมั่น
เช่นเดียวกับน้ำหมดไปแล้ว ปลาก็รวมตัวเข้ามา วิดเข้ามาๆ พิจารณาเข้ามาๆ ในกายของเราทุกส่วน เห็นชัดไปมากเท่าไร
อุปาทานความยึดมั่น ซึ่งเป็นตัวกิเลสที่ซุ่มซ่อนอยู่ตามอาการนั้นๆ ว่านั้นเป็นเรา เป็นของเรา ก็ถอยตัวเข้ามา
จะไปซุ่มซ่อนอยู่ในเวทนา ก็ทราบชัดด้วยปัญญา พิจารณาเวทนา พิจารณาสัญญา พิจารณาสังขาร พิจารณาวิญญาณ
ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับวิดน้ำ แต่ละประโยคๆ เมื่อวิดเข้ามากๆ คือพิจารณาเข้ามากๆ เห็นชัดในจิตใจ
กิเลสอาสวะซึ่งแผ่กระจายอยู่รอบด้านก็ไม่สามารถแผ่ไปได้ ย่อมหดตัวเข้ามาๆ ปัญญาก็ตามรู้เข้ามาๆ


จิตมีข้อข้องใจอยู่ที่จุดใด สำคัญว่าอะไรเป็นอะไร ปัญญาสอดส่องมองทะลุเข้าไป
จนไม่มีอะไรเหลืออยู่เหนืออำนาจของปัญญาไปได้ กิเลสที่แผ่กระจายไปรอบขอบเขตจักรวาล
ก็หดตัวเข้ามารวมอยู่ในใจดวงเดียว


ปัญญาก็ฟาดฟันลงไปที่จุดนั้น เช่นเดียวกับสภาวธรรมทั้งหลาย จนเห็นชัดตามความเป็นจริง
ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะอาจเอื้อมเหนือปัญญาไปได้ ย่อมพิจารณาเห็นชัดได้ตลอดทั่วถึง
ไม่ว่ากิเลสประเภทหยาบ ประเภทกลาง ประเภทละเอียด จะรวมเข้าไปอยู่ที่ใจดวงเดียว

------------------------

จิตบริสุทธิ์ได้อย่างไร - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

 

เอ่อ เปิดกระทู้ว่ารับทุกความเห็น
กลับด่าว่าคนอื่นโง่ซะงั้น
แล้วประกาศซะสวยหรูว่าสนทนานั้นนะ
เป็นการโชวภูมิตำตัวเอง โอวๆอาๆ ...สุดยอด
แต่เจือกเอาคำของคนอื่นมาง้างทั้งนั้น

ปฏิภาณตัวเองมีเป่า

ถามอีกครั้ง
วิดปลา
ได้ปลามาแล้ว
แล้วไงต่อ
?????

ปล. ยกเว้นเสียแต่ว่าไม่มีปฏิภาณ เป็นแต่
ก๊อปหลวงปู่หลวงตาเข้าข่ม ขู่ฟ่อๆ อย่างเดียว
ก็เลิกกัน