เรื่องเด่น !!! อัฐิพระอาจารย์หมอ กลายเป็นพระธาตุอย่างเร็ว

ขอนอบน้อมแด่พระอาจารย์บัณฑิตด้วยเศียรเกล้า

ในยุคที่ครูบาอาจารย์ทะยอยละสังขารกัน. พระอาจารย์บัณฑิตท่านแสดงให้เราเห็นว่าหลวงตาเมื่อท่านละสังขารไปแล้ว แต่ท่านยังได้ทำคุณอเนกอนันต์ให้ไว้กับรุ่นลูกหลาน คือ ท่านได้เจียรไนเพชรเม็ดงามไว้ให้พวกเราได้เป็นที่พึ่งต่อไป

จากกรณีของพระอาจารย์บัณฑิต ทำให้ดิฉันมีกำลังใจในการปฎิบัติว่าถ้าเราปฏิบัติจริง และมีครูบาอาจารย์ที่ดีคอยแนะนำสั่งสอน มรรคผล นิพพานยังมีอยู่เสมอ และโดยส่วนตัวเชื่อว่ายังมีพระที่เป็นลูกศิษย์หลวงตาและเป็นพระแท้ที่เป็นเหมือนพระอาจารย์บัณฑิตอีกหลายรูป เพียงแต่บางรูปยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผย หรือถ้าใครมีวาสนาก็จะได้พบกับเพชรที่หลวงตาท่านได้เจียรไนยเร็วกว่าคนทั่วไป. ไม่ต้องงมหาให้เสียเวลามาก

 

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ดูตัวละตนดีกว่านะครับท่าน

 

ขอนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า

 

ที่มาวิจารณ์ มาพูดกันนี่ คนนอกทั้งนั้น วิเคราะห์กันเป็นคุ้งเป็นแคว รู้จริงกันบ้างหรือเปล่า

 

เพิ่งทราบจากเพื่อนจุฬาว่าท่านศึกษาทางโลกมามากแล้วไม่จบ ทางธรรมยังมีทางจบ ท่านจึงบวชค่ะ
ขอน้อมส่งท่านสู่นิพพานเจ้าค่ะ

 

ขออนุโมทนาสาธุๆๆ ดวงวิญญาณท่านไปสู่สุคติแน่นอนๆๆ

 

ไม่ว่าเราจะทำอะไรลงไป..
ต้องมีคนคิดกับเรา 3 อย่าง คือ
1) เขาเห็นด้วยกับเรา
2) เขาไม่เห็นด้วยกับเรา
3) เขาเฉยๆกับเรา

ยังไงก็ขออนุโมทนากับทุกท่าน
ที่มีเจตนาเป็นกุศล..
คิดดี พูดดี ทำดี..

ขอให้มีความสุข เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปค่ะ

ขอน้อมกราบองค์พระอาจารย์บัณฑิต
พระผู้เป็นสุปฏิปันโณ _/|\_~*
ทองแท้.. ย่อมทนต่อการพิสูจน์

ธรรมแท้ที่เกิดขึ้นในใจ..
ไม่มีผู้ใดลบล้างได้..

ถ้าองค์ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว..
เราขอเดินตามท่าน.. จุดมุ่งหมายเดียวกัน
คือ พระนิพพาน..

 

ทำบุญกับพระปลอมได้ขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์กลับตกนรก

เป็นเรื่องจริงอิงตามหลักพุทธ ลองไปหาดูนะครับแล้วจะเข้าใจว่าทำไม ถึงว่าขาดทุนเวลาพบพระอรหันต์

 

:'( ลองดูนะครับ เวลาพระองค์ไหนตาย ..จะมีแก๊งค์ปั้นให้พระองค์ที่ตาย เป็นอรหันต์ครับ..ด้วยรูปถ่ายกระดูก-ด้วยข้อความตัวหนังสือ ที่อ้าางว่าเขียนไว้ก่อนตายมั่ง อะไรมั่ง เพื่ออะไร ครับ - จริงเท็จไม่ยอมให้พิสูจน์ ว่าเอารูปถ่าย-หนังสือ มาจากไหน..
และโดยวิธีการ ไปหารูปภาพถ่ายพระธาตุ-ของใครก็ไม่รู้ ..พระองค์ไหนก็ไม่รู้ครับ..มาแอบอ้างเพื่อให้คนไปทำบุญเพื่อหวัง-..การค้าขาย-ในงานศพ การก่อสร้างเจดีย์-เมรุ-ขายหนีังสือ-สื่อพิมพ์-เหรียญ- เตรียมหักเงินบริจาค หักเอาจากเงินบริจาค มาทำ ..มีหลายแก๊งค์ครับ

พระพุทธองค์ ท่านจึงบอกอย่าตื่นข่าวมงคล การบรรลุเป็นเรื่องส่วนตัว เฉพาะตัว..ใคร่ครวญก่อนเชื่อ เราเองก็บรรลุได้ฉนั้น อย่าตื่นข่าวมงคล..
..โยนิโสให้ดี อย่าไปเชื่อเลยแค่มีนายหน้า-หรือมีใครก็ตาม เอาภาพมาโพสต์แล้วโฆษณาให้เสร็จ..ว่านี่ อรหันต์ อริยะ เพราะภาพถ่ายกระดูกเป็นพระธาตุครับ สาธุ วัตรปฏิบัติ ทำไมไม่เอาโพสต์..
เรากล่าวธรรมตามสามารถแล้ว จะถูกจะผิด จะมากจะน้อย ท่านต้องใคร่ครวญเอง ไตร่ตรองธรรมเอง ด้วยตัวท่านเอง ไม่บาปกรรม ไม่ตกนรก ตามหลักกะลามะสูตร10 ครับ สาธึุ:''cool:

 

ถกเถึยงกันไปมา เพื่ออะไรกัน

 

คนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แม้จะเห็นพระธาตุด้วยตาตัวเองก็ตาม ยังไงก็อย่าลืมไม่เชื่อความคิดของตัวเองด้วยนะจะได้เป็นคนฉลาดโดยสมบูรณ์

 

ไม่เข้าใจคุณสับสนนะ คือคุณต้องการเถียงเพื่อเอาชนะหรอไง เราพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของคุณนะคือ ไม่ใช่เชื่อมงคลตื่นข่าว แต่ดูจากที่คุณเขียนมาเหมือนจะชักจุงให้คนอื่นไม่เชื่อตามซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก คุณไม่ต้องไปเถียงกับคนโน้นคนนี้หรอก คนอื่นเค้าอ่านเค้าเข้าใจแล้ว ยิ่งคุณเถียงมากๆมันจะน่ารำคาณมากกว่ามาคุยกันเรื่องพระอาจารย์หมอ พอเถอะคุณ คนอื่นเค้ามีความคิดองค์ได้ว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อ ดูจากประวัติแล้วเราก็คิดว่าพระเองนี่สมควรกราบได้อย่างสนิทใจเลยล่ะ ไม่ต้องมาเถียงกับเราเพื่อเอาชนะหรอกเราไม่เชื่อคุณ โอเคจบไหม

 

ปัญญามีหลายระดับ ตั้งแต่ปัญญาพระอรหันต์ ปัญญาแบบปุถุชน ปัญญาแบบเด็กๆ แล้วปัญญาแต่ละแบบคิดโยนิโสมนสิการ แล้วผลออกมาเหมือนกันใหม วุฒิภาวะต่างกัน ให้คิดเรื่องเดียวกันมันจะคิดถูกเหมือนกันใหม

บางอย่างถ้าเรายังอ่อนด้อย เราก็ต้องรับคำแนะนำจากผู้ที่มีภูมิธรรมสูงกว่าเราเพื่อจะได้ไม่เดินผิดทาง

ตัวอย่างโยนิโสมนสิการท่านปราโมช ท่านคึกฤิทธิ์ ผลออกมาเป็นอย่างไร ต่างกับโยนิโสมนสิการของหลวงตาใหม ทำไมก็ใช้ปัญญาพิจารณาเหมือนกัน แต่มันออกมาไม่เหมือนกัน

แล้วบอกว่าไม่เชื่อๆ บอกว่ามันไม่ถูก ฉันเก่งเพราะมีโยนิโสมนสิการ แล้วได้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองรึยัง ว่าวัตรปฎิบัติท่านไม่ดี หรือภาพพระธาตุเป็นของปลอม ก่อนที่จะมั่นใจบอกให้คนอื่นเชื่อว่าไม่จริงไปตามตัวเอง ตัวเองก็เชื่อเพราะความเชื่อตัวเองเหมือนกัน?แบบยังไม่ได้พิสูจน์แต่กล้าพูดเต็มปากว่าทุกอย่างเป็นการโกหก?

พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่เชื่อง่ายๆ พอไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์ เราถึงจะรู้ว่าจริงหรือไม่ ท่านไม่ให้เชื่อแม้แต่ตัวท่าน แต่เราต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนว่าจะเชื่อได้ใหม แต่ถ้าเราไม่เชื่อแล้วไม่พิสูจน์ให้รู้ว่ามันจริงหรือไม่ แล้วปักใจไปเลยว่ามันไม่จริง แบบนี้มันเป็นโยนิโสตรงไหน

โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิพตัพโพ วิญญูหีติ

 

ผมขอพูดในมุมส่วนตัวนะครับ..เนื่องจากตนเองมีประสบการณ์
ในเรื่องของพระธาตุเสด็จมาบ้างแล้วและก็มีเสด็จมา ๙ สีครับ
ทุกวันนี้ก็ยังมีเสด็จมาเพิ่มบ้างแต่ไม่มากและเป็นสีใสครับ...
ซึ่งทุกขั้นตอนพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองและถือว่าเป็นเรื่องปัจจัตตังครับ.
และพอจะสัมผัสในเรื่องของกระแสพลังงานได้บ้าง.เนื่องจากมีพื้นฐาน
จากมาจากการฝึกกสิณในระดับที่สัมผัส รับรู้เป็นพลังงานได้
ทั้ง ๑๐ กองและใช้งานมาเกี่ยวกับการเคลียร์พลังงานทางด้านไม่ดีต่างๆ
หรือเคลียร์ในส่วนภพภูมิที่บุคคลนิสัยไม่ดีส่งไปทำร้ายบุคคลอื่นๆมา
ประมาณ ๒ ถึง ๓ ปีผ่านมาแล้ว จึงคิดว่าพอจะเล่าเป็นเชิงประสบการณ์
และเรื่องเล่าให้ฟังได้บ้างครับ..แต่อ่านๆแล้วก็ควรพิจารณาร่วมด้วยนะครับ
โดยปกติแล้วพระธาตุฯหรือพระบรมสารีฯ โดยปกติจะมีคลื่นกระแสพลังงาน
ที่ขึ้นจากองค์พระธาตุเป็น ๒ สายอย่างเด่นชัดครับจะแตกต่างกันเพียง
ที่ความหนาแน่นของพลังงานเท่านั้นครับ..คลื่นกระแสพลังงานที่ว่ามีดังต่อไปนี้
๑.คลื่นกระแสพลังงานที่เชื่อมกับคลื่นกระแสพลังงานครูบาร์อาจารย์
ท่านต่างๆที่ล่วงลับไปแล้วข้างบน ถ้าจับที่ตอนยัง
มีร่างกายอยู่ก็คือกระแสพลังงานที่วิ่งผ่านแนวจักระทั้ง ๗
หรือแนวกลางลำตัวด้านหน้าไปออกยังกระโหลกศรีษะส่วนหน้าครับ..
บางคนอาจจะวิ่งจากเท้าขึ้นไปก็มีครับ..บางคนก็มีคลื่นพลังงาน
เชื่อมทั้งตัวก็มีครับ ขึ้นอยู่กับแนวทางการปฏิบัติครับ
๒.คลื่นกระแสพลังงานที่เกี่ยวข้องกับกำลังจิต เป็นคลื่นกระแสพลังงานที่วิ่ง
ตามแนวกระสันหลังครับ..
เท่าที่ส่วนตัวได้ไปสัมผัสพระธาตุต่างๆ ยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือที่บ้าน ก็จะมี
คลื่นกระแสพลังงานทั้ง ๒ สายอย่างนี้หละครับ...
ต่อไปนี้พูดในมุมที่เป็นปัจจัตตังนะครับ...เพราะส่วนตัวคงไม่ได้พิจารณาองค์
ประกอบอื่นๆนะครับ เพราะเชื่อว่า มันยังสามารถสร้างกันได้ อุปโลกน์กันได้ครับ
แต่ถ้าเป็นเรื่องพลังงาน ยังไงๆมันก็ต้องเกิดจากตัวจิตดวงนั้นๆครับ เป็นเรื่อง
ที่สร้างจากภายในตัวจิต ไม่ใช่เรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นมาไม่ว่าดีหรือไม่ดี
เพื่อให้บุคคลอื่นๆเข้าใจอย่างที่ได้อุปโลกน์ครับ..
สำหรับห่มเหลืองท่านนี้.และอัฐิท่านก็มีคลื่นกระแสพลังงานทั้ง ๒ สายแบบนี้เป็น
ปกติครับ.โดยมากถ้าเราสามารถปฏิบัติได้จนกระทั่งตัวจิตเราสามารถรับรู้เรื่องพลังงาน
แบบนี้ได้ เรามักจะพบคลื่นพลังงาน ๒ สายแบบนี้ได้เป็นปกติครับ โดยเฉพาะ
กับห่มเหลืองสายที่ปฏิบัติอยู่ในป่าทั้งหลายนั่นหละครับ..แต่ถ้าห่มเหลืองปฏิบัติดี
สายในเมืองมักจะพบกระแสในลักษณะที่ ๑ ครับเนื่องจากมีความสามารถทางจิต
แบบภายในที่ค่อนข้างดีด้วยครับ.....
แต่สำหรับห่มเหลืองท่านนี้นอกจากตัวท่านและอัฐิท่าน
จะมีกระแสพลังงานทั้ง ๒ สายที่มีปกติแล้ว เอกลักษณ์ที่เด่นชัด
ของพลังงานสายที่ ๑ ของท่านก็คือ เป็นคลื่นกระแสพลังงาน
ที่มีความสามารถรับรู้ภายในที่ค่อนข้างดีด้วยครับ เรียกๆว่ามี
สัมผัสทางจิต มีเครื่องรู้ทางจิตที่ดีนั่นหละครับ ในคลื่นกระแสสายที่ ๑ นี้
ยังพบคลื่นกระแสเมตตาร่วมด้วยครับ แต่ตรงคลื่นกระแสเมตตายังมีเรื่อง
ของความเป็นห่วงและกังวลปนอยู่ด้วยเล็กน้อยมากๆๆครับ..
โดยมากอีกไม่นานก็จะหายไปได้เองครับถ้าเป็นแบบนี้นะครับ.
และเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของห่มเหลืองท่านนี้ ในคลื่นกระแสพลังงานที่ ๒
ของท่านนั้นก็คือ แม้ว่าคลื่นพลังงานที่ ๒ มีความหนาแน่น แต่มันคงที่ ไหลออกไปเชื่อม
ตรงกลางกระโหลกท่านรวมกับกระแสพลังงานสายที่ ๑ แต่สายที่ ๒ มันไม่ได้
ไหลอยู่ตลอดเวลา.แสดงได้ว่า ท่านผู้ใดก็ตามที่มีกระแสอย่างนี้แต่นิ่ง ท่านไม่
ได้เน้นในเรื่องของการใช้กำลังจิต ใช้กำลังจิตในด้านพิเศษต่างๆเช่น
ใช้ในการรักษาโรค หรือออกไปทางด้านฤิทธิ์ บอกได้ว่าท่านได้ตัดเรื่องทำนอง
นี้ออกไปแล้ว.แม้ว่าตัวจิตมันจะมีความสามารถทำได้ก็ตามครับ...
ปล.ส่วนตัวก็พูดได้ประมาณนี้หละครับ..ส่วนใครจะพิจารณาอย่างไร
ก็สุดแล้วแต่ท่านนะครับส่วนตัวไม่ขอวิพากษ์ วิจารณ์ หรือใช้ความเห็น
ใดๆในการตีความทั้งนั้นครับ...ส่วนตัวคิดว่าพอพูดได้ครับ..
เพราะเรื่องกระแสแบบนี้ ส่วนตัวพอจะมีความสามารถทำให้ท่านที่สงสัย
ที่พอมีฐานเรื่องสัมผัสภายในมาบ้าง รับรู้ได้เช่นกันครับ..
ขอบคุณจากใจที่รับฟังนะครับ...ย้ำว่าเป็นปัจจัตตังครับ
และอ่านแล้วก็ไม่ต้องอะไรกับอะไรนะครับ

 

นิพพานไม่ต้องไป
นิพพานไม่มีขอบเขต
นิพพานไม่มีแดน

ลุงแมวกล่าวนิพพานะ ปัจจโยโหตุ เวลาทำบุญทำทาน

ยังไม่แน่ใจว่าทำถูกต้องหรือไม่? เพราะสภาวะนิพพาน
ไม่ต้องมีปัจจัยใดประกอบ

 

หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงพาโยมไปพระนิพพาน

<iframe width="420" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/-T8yEigeFzo" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

ก็แล้วแต่จะตีความกันไปเพราะคนที่ยังไม่เป็นอรหันต์ก็ต่างคาดเดากันไป ในหลวงเคยตรัสถามหลวงตามหาบัวพระเจ้าอยู่หัวฯ “เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะหลวงปู่”

หลวงตาตอบ : “อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยู่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะ แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละ แต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน”

 

สาธุ สาธุ สาธุ