พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  2. loveloveyou

    loveloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +146
    รักแม่เจน

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=NDmCXyY3wCA]rakmaejen - YouTube[/ame]
     
  3. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    Shafin de Zane presents: What is Cancer?
    Awaken to new reality - RedefineYourReality.com

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=P_OHAtVzeB0]What Is Cancer? A Shocking Truth... - YouTube[/ame]

    นี่คือสิ่งที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดกล่าวว่า -

    มะเร็ง คือ ธรรมชาติ (Cancer is Natural)

    มะเร็ง คือ ธรรมชาติของวิวัฒนาการของเซลล์ในร่างกายคนเรา
    น่าแปลกใจไหมครับ ?
    ขออนุญาตให้ผมได้อธิบายหน่อย.... ไม่กี่วันมานี้ ในขณะที่ผมกำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
    ผมพบสาระสำคัญ คือ การปรับตัว (adaptation)
    เมื่อเซลล์ในร่างกายของเราผ่าเหล่า (mutate) ไปเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพื่อทำให้เราสามารถปรับตัวไปตามเปลี่ยนแปลงนั้นได้ เราเรียกการปรับเปลี่ยนนั้นว่า - การปรับตัว (adaptation)

    หากผมของเรายาวขึ้น เพื่อตอบสนองต่ออากาศหนาวจัด - นั่นก็คือการปรับตัว
    หากเซลล์ผมของเราหยุดยาว เพื่อตอบสนองต่ออากาศร้อน - นั้่นก็คือการปรับตัว

    เมื่อเราปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้สำเร็จ วิวัฒนาการจึงเกิดขึ้น
    เป็นเหตุ-เป็นผลไหมครับ ?
    อีกครั้งนะครับ - เซลล-ผ่าเหล่าไป-เพื่อปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ

    มะเร็ง คือ กลุ่มของเซลล์ที่ผ่าเหล่าไปเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรมชาติ-อันเนื่องมาจากการที่เลือดของเรากลายเป็นพิษเกินกว่าที่เซลล์จะมีชีวิตต่อไปได้ ถ้าหากเซลล์เหล่านั้นไม่ผ่าเหล่าไป เซลล์เหล่านั้นจะป่วยและตาย เซลล์เหล่านั้นจึงตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ในร่างกายมนุษย์มีความสามารถที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวของเซลล์จึงเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ

    เป็นที่น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือการทำลายเซลล์มะเร็งด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็งจึงผ่าเหล่าตั้งแต่แรก ? อย่างไรก็ตาม-เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมากก็จะผ่าเหล่า-ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุที่เราพบเห็นผู้ป่วยมะเร็งถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุดลงไปใหม่อีก

    จากมุมมองของเซลล์ หากมันไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่าของเซลล์จึงเป็นธรรมชาติ
    มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามรอดตายจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้นลงเอยด้วยการ-ฆ่าร่างกาย แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่แท้จริง

    มะเร็ง คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามจะรอดตายในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายามทำความเข้าใจในประเด็นนี้ให้ชัดเจน การพยายามฆ่าเซลล์เหล่านั้น-โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เปรียบได้กับการฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายามเอาขยะออกไป

    เอาละ คุณจะลงมืออย่างฉับพลัน-เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมของคุณอย่างรวดเร็วได้อย่างไร

    มีวิธีการง่ายๆด้วยกัน 3 วิธี คือ:

    1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ
    สิ่งแรกที่กระตุ้นให้เซลล์ผ่าเหล่าและกลายเป็นเซลล์มะเร็งคือ การขาดออกซิเจน
    เซลล์มะเร็งปรับตัวเพื่อรอดชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีระดับออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจนต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็งก็ยิ่งเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือวิวัฒนาการของเซลล์ที่ปกติซึ่งต้องการจะรอดชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีระดับออกซิเจนต่ำ - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการออกกำลังง่ายๆที่ทำได้ทุกเช้าเพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนให้กับเลือด

    เดิน 5 นาที
    แล้วหายใจแบบนี้ คือ
    หายใจเข้า 4 ครั้ง ติดกัน
    กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง 4
    หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน

    ทำอย่างนี้ครับ
    >>>>
    1-2-3-4
    <<<<

    ทำอีกครั้งครับ
    >>>>
    1-2-3-4
    <<<<

    ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>>
    กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4
    หายใจออกทางปาก <<<<

    หายใจเข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจเข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจที่ถูกต้อง
    ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดินในห้องนอนของคุณ เพราะมันมีที่พอสำหรับการออกกำลังของเราทุกวิธี

    วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน-กรด
    สิ่งที่สองที่มากระตุ้นเซลล์ให้ผ่าเหล่ากลายเป็นเซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เพราะนั่นคือการตอบสนองที่จะทำให้เซลล์รอดชีวิตได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่าจะตายในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด คุณจะทำให้ร่างกายของคุณเป็นด่างได้ ก็ด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นด่างมากขึ้น

    น้ำผัก น้ำผลไม้ มีประสิทธิภาพสูงมาก
    งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และน้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
    รับประทานผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และน้ำมะพร้าว หากคุณต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพอย่างน่าอัศจรรย์ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่นทุกเช้า โดยไม่ต้องรับประทานอะไรอีกเลย จนกว่าจะถึงมื้อเที่ยง-นำผักใบเขียวหลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาดแล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้ายและออกจะอร่อยด้วยซ้ำไปเมื่อคุณคุ้นเคยกับมัน

    วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
    ความเครียด ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
    ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรค-ทุกโรค
    ความเครียด เพิ่มกรดและส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่เราจะต้องทำจิตใจให้แข็งแรงเบิกบานอยู่เสมอ

    คุณจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ?
    ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดูข่าวร้ายและเรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ความสลดใจเก่าๆและสิ่งเลวร้ายต่างๆที่ผ่านไปแล้ว และแชร์ข้อมูลนี้ให้กับผู้อื่นต่อไปให้มากที่สุดที่คุณจะทำได้

    ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการบำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่างเหนือคำบรรยาย
    ช่วยให้ผู้อื่นตื่นจากฝันร้ายที่เกิดจากโฆษณาชวนเชื่อของผู้ผลิตยากันเสียที การป้องกันและรักษาตนเองให้หายจากมะเร็งเป็นสิ่งที่ง่ายดายเสียจนแทบจะเป็นเรื่องตลกอย่างเหลือเชื่อ

    ใช้ความคิดให้ถูกต้อง
    จงเปลี่ยนน้ำในบ่อปลาเมื่อปลาป่วย
    เพราะการทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง
    มาช่วยกันทำให้โลกของเราในวันนี้-น่าอยู่ขึ้น

    Shafin de Zane - บรรยาย (ภาษาอังกฤษ)
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=P_OHAtVzeB0]What Is Cancer? A Shocking Truth... - YouTube[/ame]
    ดร.ชนิสา อรรถจินดา - แปล


    --
     
  4. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ก า ร ป ฎิ บั ติ ธ ร ร ม จิ ต เ ก า ะ พ ร ะ.. โดยสังเขป
    --------------------------------------------------------------------------------
    การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

    สืบเนื่องมาจากมีผู้คนสงสัยในการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระกันมาก คือว่าเป็นของใหม่สำหรับท่านๆเหล่านั้น จึงมีการดำริขึ้นมาว่าควรที่จะทำการรวบรวมข้อมูลอธิบายความการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อ่านทั่วไปหรือผู้สนใจจะปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง จะได้รับทราบโดยองค์รวมของการปฎิบัติรวมถึงเป้าหมายปลายทางว่าเป็นเช่นไร

    ที่ ม า : สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทรงมีเมตตา แนะนำถ่ายทอดผ่าน ท่ า น พี่ ภู ลงมา โดยมี ท่ า น พี่ ภู เป็นผู้ปฎิบัติสำเร็จเป็นคนแรก แล้วก็ถ่ายทอดต่อมายังบุคคลท่านอื่นๆตามลำดับต่อมา แล้วในวันหนึ่งกาลภายภาคหน้า การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระนี้จะเป็นที่แพร่หลายแก่พุทธศาสนิกชนสืบต่อไป ตั้งแต่ยุคกึ่งพุทธกาลนี้เป็นต้นไป..

    วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ : เป็นการปฎิบัติธรรมซึ่งเจริญรอยตามอริยมรรควิธีของพุทธศาสนา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมโดยใช้เวลาไม่นานนัก คือนอกจากจะเป็นทางสายตรงแล้วก็ยังเป็นทางลัดด้วย..(คำว่าทางลัดในที่นี้หมายถึง ผลแห่งการปฎิบัติจะเกิดประสิทธิผลด้านเวลาอยู่มาก)

    อ า นิ ส ง ค์ : มีดวงตาเห็นธรรม สามารถตัดสิ้นอาสาวะกิเลสทั้งปวง ถึงมรรค ผล นิพพานในภพชาตินี้

    อ ร ร ถ า บ ร ร ย า ย : ความจริงแล้วก็เป็นการปฎิบัติธรรมเชกเช่นเดียวกับการปฎิบัติธรรมในรูปแบบอื่นๆ สายอื่นๆสำนักอื่นๆ แต่ที่มีความต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ รูปแบบการปฎิบัติสามารถเข้ากับภาระกิจทางโลกได้ง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา มีความคล่องตัวในการปฎิบัติไม่มีเงื่อนไขมาก ทำแบบสบายๆ ทำไปเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพประสิทธิผลแห่งการปฎิบัติเมื่อเทียบกับเวลาที่สูญเสียไปทุกวันๆ (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่เขียนข้อเด่นเอาไว้แล้ว)

    วิ ธี ก า ร ป ฎิ บั ติ : แบ่งออกได้เป็น4ขั้น (ขออนุญาติใช้ภาษาทางโลกตอนที่เราๆท่านๆเข้าโรงเรียน เรียนหนังสือเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับทางธรรม..) ตามลำดับดังนี้:-
    ขั้นที่ 0: อนุบาล - ทาน (ทานศีลภาวนาพื้นฐานทั่วๆไป)


    วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ : เพื่อเตรียมความพร้อมพื้นฐานทางจิตและ/หรือข้อปฎิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปที่ใฝ่ดี

    อ า นิ ส ง ค์ : ของการทำบุญทำทานหรือการสร้างทานบารมีนั้นยังผลให้เกิดความไม่อับจนในโภคทรัพย์ และยังผลให้มีกำลังใจ(เมื่อบารมีมากขึ้นๆ) ในการปฎิบัติธรรมขั้นสูงๆต่อไป โดยที่ไม่อับจนข้นแค้นในทางโภคทรัพย์จนเกินไป

    อ ร ร ถ า บ ร ร ย า ย : การสร้างทานบารมีคือการทำบุญภายนอก ลดความตระหนี่ถี่เหนียวแห่งใจ มีเมตตาจิตช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากหรือจะช่วยส่งเสริมพุทธศาสนะกิจให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป มีกำลังใจเป็นบาตรฐานในการรักษาศีล มีหิริโอตัปปะ เมื่อสิ้นอายุขัยก็จะไปจุติยังเทวโลก เมื่อกลับมาเกิดยังโลกมนุษย์อีกก็จะมีความเป็นอยู่ไม่ขัดสนไม่อับจน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสร้างทานบารมี ในความเป็นจริงแล้วการสร้างทานบารมี มีข้อรายละเอียดอยู่อีกมากแต่ในที่นี้ก็ขอละไว้เท่านี้ก่อน

    วิ ธี ก า ร ป ฎิ บั ติ : ก็ไม่มีอะไรมากคือว่า หมั่นทำบุญทำทานตามกาล ฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านธรรมะ รักษาศีล(ปุถุชน-ศีล5) สวดมนต์ ภาวนาเบื้องต้นตามกาล ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วพุทธศาสนิกชนใฝ่ดีก็ได้ปฎิบัติตนกันอยู่แล้ว เมื่อปฎิบัติมากๆเข้าก็จะเกิดมีกำลังใจสูงขึ้นๆ "กำลังใจ"หรือบารมีนี้แหล่ะจะเป็นบาตรฐานในการก้าวเข้าสู่การปฎิบัติธรรมขั้นสูงขึ้นๆ ต่อไป

    ห ม า ย เ ห ตุ : ในกรณีท่านที่มีบุญบารมีเดิมหรือบุญเก่ามานั้นแท้จริงแล้วคือ ท่านได้สั่งสมบารมีต่างๆมาในภพชาติก่อนๆ เช่น ทานบารมี ศีลบารมี (บารมี10ทัศ) ดังนั้นแล้วกำลังใจของท่านในการที่จะปฎิบัติธรรมในขั้นที่สูงๆขึ้นไปจึงไม่เป็นปัญหาเมื่อเทียบกับบุคคลที่ยังต้องหวังพึ่งการให้กำลังใจจากผู้อื่นอยู่ (คือท่านสามารถเติมกำลังใจให้แก่ตนเองได้..ว่างั้นเถอะ)

    ก า ร เ จ ริ ญ อ ริ ย ม ร ร ค วิ ธี
    (แก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา)


    ขั้นที่ 1: ประถม - ศีล

    วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ : การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แบ่งเป็นศีลหยาบ กลาง ละเอียด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)

    อ า นิ ส ง ค์ : เมื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้แล้วก็ยังผลให้เกิดบารมีหรือกำลังใจที่สูงขึ้นเป็นบาตรฐานแห่งสมาธิในขั้นต่อไป

    อ ร ร ถ า บ ร ร ย า ย : การทรงศีลให้บริสุทธิ์เป็นการชำระกิเลสเบื้องต้น(ปิดประตูอบายภูมิ) ทำให้จิตมีความสงบและนิ่งมากยิ่งขึ้น เหมาะสมควรแก่งานด้านการเจริญสมาธิภาวนาให้ได้ผลมากยิ่งๆขึ้นไป

    วิ ธี ก า ร ป ฎิ บั ติ : หมั่นมีสติระลึกรู้ที่จะไม่ทำผิดศีล รักษาศีลยิ่งชีวิต จนกระทั่งจิตจะทำการรักษาศีลให้เราเองโดยอัตโนมัติ (นี่..ต้องทำให้ได้ถึงขั้นนี้ จนศีลเป็นฝ่ายรักษาเรา)

    เ พิ่ ม เ ติ ม : กรรมเก่า คือการกระทำในครั้งอดีตของตนเองทั้งในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติโดยเฉพาะในทางอกุศล ก็จะมีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยขัดขวางการเจริญปฎิบัติธรรมของเราทำให้ไม่ก้าวหน้า (คือเหนี่ยวรั้ง ขัดขวางหรือมีเหตุให้ไม่สามารถปฎิบัติได้ต่อเนื่อง) แล้วจะทำอย่างไร? เพราะว่าไม่มีใครย้อนอดีตไปแก้ไขกรรมนั้นได้

    วิ ธี แ ก้ ไ ข คือ ให้อุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและขออโหสิกรรม ทุกๆครั้งที่เราได้กุศลผลบุญมา เช่น ทำบุญทำทานมา(กุศลยังน้อยนัก..บุญภายนอก) รักษาศีลบริสุทธิ์ เจริญสมาธิ (กุศลมากโข) แล้วหมั่นอุทิศบุญ(อย่าลืม ขอบารมีพระรัตนตรัยช่วยแปรเปลี่ยนบุญกุศลนี้ให้เป็นบุญกุศลที่เขาสามารถรับได้ และเมื่อได้รับแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุกา อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ..) ทำอยู่เนืองๆทำบ่อยๆภายหลังจากได้บุญกุศลมาทุกครั้ง นานวันไปเจ้ากรรมก็จะอโหสิกรรมและละวางกรรมเก่าของเราเอง (แต่ว่าไม่ใช่เขาจะละวางทั้งหมดนา อย่าเข้าใจผิดคือมันจะมีกรรมบางประเภทที่ จะอย่างไรก็มิอาจหลีกหนีได้..อีอันนี้ก็วิบากใครวิบากมัน..รับกันไป)
    อีกกรรมหนึ่งที่สำคัญมากๆคือ อกุศลกรรมกับบุพการี ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอช้าให้รีบไปขอขมาแล้วให้ท่านอโหสิกรรมให้แก่ตัวเรา เพื่อเป็นการตัดเวรตัดกรรม ไม่เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งในการเจริญธรรม
    อ ย่ า ลื ม.. แล้วก็ตัวโตๆเอาไว้ด้วยว่า "จะไม่สร้างอกุศลกรรมใหม่ใดๆขึ้นมาอีก" มิฉะนั้นตามโหสิกรรมจนตายก็ไม่หมดซักที..
    ส รุ ป ว่ า เมื่อทรงศีลบริสุทธิ์และจัดการเรื่องโหสิกรรมแล้ว บารมีหรือกำลังใจก็จะทะยานพุ่งขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง อันเป็นบาตรฐานแห่งการเจริญสมาธิสืบต่อไป (เริ่มเข้าสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว มองเห็นโลกุตระอยู่ไม่ไกลแล้ว)

    ขั้นที่ 2: มัธยม - สมาธิ

    วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ : การทำจิตเกาะพระเพื่อเจริญสมถกรรมฐาน(แถมวิปัสสนากรรมฐานบางส่วน) เพื่อเสริมสร้างกำลังแห่งสมาธิ อันประกอบด้วยองค์ฌานทั้ง5ได้แก่ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัตคตา ให้ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนหรือตลอดเวลานั่นเอง

    อ า นิ ส ง ค์ : การทำสมาธิจิตเกาะพระยังผลให้เกิดกำลังฌานสมบัติ(แถมสติตามรู้)คือทรงฌานได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นบาตรฐานในการเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานในขั้นปัญญาต่อไป


    อ ร ร ถ า บ ร ร ย า ย : การเจริญวิปัสสนาโดยขาดกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐาน พระท่านเรียกว่า "วิ ปั ส ส นึ ก" คือไม่อาจทำให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริงในการตัดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสได้ ขอให้ทุกท่านได้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ปัญญาทางธรรมหรือเรียกว่า ปัญญาวิมุติจะต้องมีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานเท่านั้นจึงจะเกิดได้ (มิฉะนั้นมันก็เป็นปัญญาทางโลกเท่านั้นเอง) ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าการเจริญสมถกรรมฐานนี้เป็นบาตรฐานที่สำคัญยิ่งทางพุทธศาสนา และก็เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ติดกันอยู่ตรงนี้มากๆเลย คือว่า บางท่านก็ปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีก็ยังไม่ไปถึงไหน ติดเวทนาปวดขาปวดหลังฟุ้งซ่านไปเรื่อย หรือเข้าได้แค่ฌาน1(ก็บุญแล้ว..) หรือเข้าได้แค่ฌาน2-3 ติดสุขอีก หรือเข้าฌาน4ได้ ติดฤทธิ์ติดอภิญญาอีก เพิ่มทิฏฐิมานะ ทรงคุณวิเศษเหนือบุคคลธรรมดา หลงตัวหลงตนหนักข้อเข้าไปใหญ่ โน้นออกทะเลไปเลย (เห็นแก่อามิส วันหนึ่งกิเลสเข้าครอบงำอภิญญาเสื่อมถอย ก็ต้องโป้ปดมดเท็จไปเรื่อย ผิดศีลข้อ4มุสาอีก ดันสร้างอกุศลกรรมขึ้นมาใหม่อีก ยิ่งแย่เข้าไปอีก) หรือปฎิบัติได้ทุกวันวันละ1-2ชม. ขาดความต่อเนื่องในการปฎิบัติ ติดๆดับๆ เป็นเวรเป็นกรรมเสียช่างกระไรนี่ จนท้อแท้กำลังใจหดลงก็พาลโทษว่าบุญเก่าเรามีน้อย..

    การทำจิตเกาะพระถือเป็นสมถกรรมฐานที่เป็น พุทธานุสติ+กสิน สามารถเจริญกรรมฐานกองนี้ไปได้ถึงฌาน4 เพิ่มความรวดเร็วและความต่อเนื่องในการปฎิบัติให้ได้ผลเป็นอย่างดี(สำหรับผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติจริงนะ) และสามารถเข้าออกฌานได้อย่างคล่องแคล่ว คือทรงฌานได้ตลอดเวลานาที จนกระทั่งจิตทำหน้าที่ทรงฌานเองเป็นอัตโนมัติ

    (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่ได้เขียนข้อเปรียบเทียบที่เด่นๆเอาไว้แล้ว)

    วิ ธี ก า ร ป ฎิ บั ติ : เนื่องจากมีรายละเอียดยาวมากๆจึงละไว้ว่าให้ไปหาอ่านในกระทู้ว่ามีวิธีการปฎิบัติอย่างไร
    บางครั้งการปฎิบัติไม่ก้าวหน้า ก็ให้หมั่นกลับไปสำรวจตรวจสอบขั้นอนุบาลและขั้นประถม(ทาน ศีล กรรมเก่า) อยู่เป็นนิจว่าได้ชำระสะสางไปมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้นะเป็นเส้นผมบังภูเขาเลย จะบอกให้..
    การระลึกนึกถึงพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืนนั้นได้อานิสงค์2ประการคือ 1)สามารถทรงฌานได้ตลอด 2)มีสติที่ไวไม่เผลอ ในความเป็นจริงแล้วเจ้าสองสิ่งนี้คือ ฌานกับสติ (คล้ายๆไก่กับไข่หรืองูกินหาง) ถ้ามาก็จะมาคู่กัน ถ้าหายก็หายไปพร้อมกัน คือมันเป็นสิ่งที่หนุนเนื่องซึ่งกันและกัน แล้วจะต้องทำให้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง จิตของเราจนจำได้ นี่ข้อนี้คือข้อสำคัญ "ความต่อเนื่องแห่งการปฎิบัติ" บางท่านปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีแต่ไปไม่ถึงไหนก็เพราะว่าขาดความต่อเนื่องคือทำเฉพาะก่อนนอน1-2ชม. จิตยังไม่ทันได้จำ เอ้าพอรุ่งขึ้นก็ไปวิ่งตามกระแสแห่งกิเลสต่อ จิตมันก็เพลินกับกิเลส จิตมันก็ลืมต่อ พอตกคำ่ก็มาบอกกับมันใหม่ ทำอยู่อย่างนี้เป็นสิบๆปี มันก็ไม่ไปถึงไหนนะซีครับ.. เพราะว่าเวลางานก็ไม่ทรงฌาน(สติก็หาย) จึงสรุปว่ามีแต่พระชีเณรเท่านั้นที่จะทำได้เพราะว่าท่านๆเหล่านั้นมีเวลา แต่อันตัวเราไม่มีเวลาแถมต่อว่าบุญเก่ามันน้อยไปอีก.. ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือข้อเท็จจริงและเป็น"อวิชชา" คือความไม่รู้(บางท่านเรียกว่าความโง่) จึงทำให้ผู้ปฎิบัติหลายๆท่านยังติดอยู่ในวังวนอันนี้ ไม่ไปไหน..
    การทำจิตเกาะพระสามารถแก้ปัญหาการทรงฌานและทรงสติระหว่างวันหรือตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องได้ อย่างน่าอัศจรรย์
    ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการให้ท่านผู้อ่านเชื่อ แต่ต้องการให้ท่านผู้อ่านลองไปปฎิบัติแล้วค่อยมาตัดสินกันว่าจะเชื่อหรือไม่..

    เมื่อผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้แล้วถึงขั้น "เมาฌาน" คือจิตมันจะดิ่งอย่างเดียว ครูฝึกก็จะเริ่มสอนการวิปัสสนาขั้นต่อไป
    ผู้สำเร็จขั้นอุปจาระสมาธิหรืออัปปนาสมาธิขั้นต้นคือฌาน1-2ก็สามารถตัดสังโยชน์ขั้นต้นบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นต้นได้คือขั้นโสดาบัน สกิทาคามี
    กำลังฌาน4มีความสำคัญมากในการวิปัสสนาตัดสังโยชน์ในขั้นอริยบุคคลขั้นอนาคามีขึ้นไป มิให้กิเลสกลับมากำเริบอีก ตัดขาดจริงๆ
    ดังนั้นสมถะเป็นบาตรฐานของวิปัสสนา เป็นเนื้อเดียวกันมิอาจจะแยกออกจากกันได้ การเขียนตำราทางโลกเราสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ออกจากกันได้ แต่ว่าเวลาปฎิบัติทั้งสองนี้หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่สามารถแยกจากกันได้จริงๆ..

    ขั้นที่ 3: มหาลัย - ปัญญา

    วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ : ภายหลังจากที่ผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้เป็นวสี(ชำนาญ)แล้ว ก็จะเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปเพื่อที่จะบังเกิด"ปัญญาวิมุติ" คือรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะธรรมต่างๆแห่งธรรมชาติ มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอันจบกิจ

    อ า นิ ส ง ค์ : ผลแห่งการปฎิบัติจะนำมาซึ่งการละ เลิก วาง หลุดพ้นจากอาสาวะกิเลสต่างๆ ตามลำดับๆ จนจิตยกเข้าสู่โลกุตระ สำเร็จเป็น อริยบุคคลในขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ตามลำดับชั้นในการละสังโยชน์10ได้
    อ ร ร ถ า บ ร ร ย า ย : การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ก็ได้อาศัยตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าคือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 หนทางสายเอกแห่งปัญญาวิมุติ

    วิ ธี ก า ร ป ฎิ บั ติ : การมีสติอยู่ตลอด(จะทำได้เมื่อทรงฌานได้ตลอด) และนำสติตามรู้ปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วก็ปลงลงพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมั่นปฎิบัติอยู่เนืองๆทั้ง กาย(ขันธ์5) เวทนา จิต ธรรม จนบังเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ (จิตจะทำงานเองเป็นอัตโนมัติ) จนอินทรีย์แก่กล้าบารมีเต็มเปี่ยม สำเร็จมรรคผล เป็นลำดับขั้นขึ้นไปจนถึงอรหันต์ปฎิผล.. ก็เป็นอันเสร็จกิจแห่งการปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา เมื่อยังมีอายุขัยอยู่ก็หมั่นบำรุงและสืบสานพุทธศาสนา ประกอบกิจทางโลกบ้าง ช่วยยกจิตผู้คนเป็นธรรมทานเสริมสร้างบารมีต่อไปบ้าง จวบจนละสังขารขันธ์..

    ประโยชน์ของครูฝึก:-
    - เราจะเห็นได้ว่าการปฎิบัติธรรมจนถึงขั้นสมถะและวิปัสสนาแล้วจะเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งๆขึ้น ถ้าเราคิดเองคือใชัสัญญา(ความจำ) ทางโลกเข้านำการปฎิบัติเอง บางครั้งมันจะเป็นเรื่องเสียเวลาหรือว่าอาจจะหลงทางไปเลย เพราะครูฝึกท่านผ่านมาหมดแล้ว ท่านจะช่วยตอบแล้วให้ผู้ปฎิบัติได้วางกำลังใจได้อย่างถูกต้องและปฎิบัติได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
    - ครูฝึกจะทำการสอบอารมณ์ในการปฎิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนา แล้วแนะนำต่อยอด
    - และอื่นๆอีกมากมาย
    ถามว่า:ไม่จำเป็นต้องมีครูฝึกสามารถปฎิบัติได้หรือไม่? คำตอบ: ได้ถ้ามีผู้รู้ช่วยชี้แนะตามขั้นๆไป
    แต่เหนือสิ่งอื่นใดดังคำพูดที่กล่าวไว้ว่า "จิตสำนึกไม่สามารถจับยัดใส่หัวกันได้ มันจะต้องเกิดจากตัวเราเองขึ้นมา" ฉันใด "อันผู้ใดปฎิบัติ ผู้นั้นพึงได้" หรือ "ผู้ใดกินผู้นั้นก็อิ่ม ไม่สามารถกินแทนกันได้จริงๆ" ก็ฉันนั้น..
    แต่เราก็พอจะเข้าใจผู้ที่ยังถนัดการปฎิบัติเอง ว่าก็มีเหตุปัจจัยในเรื่องความพร้อมทางด้านจิตใจตนเอง

    (เราก็เคยเป็นมาก่อนจึงพอที่จะเข้าใจ หลายๆท่านที่ขอซุ่มแอบฝึก เกาะขอบกระทู้ฝึก ความจริงแล้วดีกว่าหลายๆท่านมากๆที่ยัง"หลง"ตามกระแสโลกอยู่) จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เราเขียนภาพรวมของการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อให้ผู้ปฎิบัติได้เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร ทำแล้วไปที่ไหน เป็นแผนที่นำทางฉบับย่อๆ โดยเฉพาะกับบุคคลจำพวกพุทธจริต(ปัญญาจริต) ได้เข้าใจแล้วก็จะได้ลงมือปฎิบัติ รวมถึงท่านพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปด้วย ที่มีวาสนาบารมีเกี่ยวเนื่องกันด้วย.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้..

    สุดท้ายนี้ก็ขออวยชัยอวยพรให้ทุกๆท่านจงถึง บารมี10ทัศ ศีลบริสุทธิ์ ฌานสมาบัติ ปัญญาวิมุติและมรรคผลนิพพานโดยเร็ววันด้วยเทอญ..
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ.. สาธุสวัสดี..
    คุ ณ ลู ก พ ลั ง 24-06-12
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2014
  5. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ส้นทางสายตรงสู่นิพพานคือ การเจริญอริยมรรควิธี

    มรรคมีองค์ 8 (ย่อได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา) มีอะไรบ้าง คือ
    หมวดศีล
    1. สัมมาอาชีวะ - การเลี้ยงชีพชอบ
    2. สัมมากัมมันตะ - การทำการงานชอบ
    3. สัมมาวาจา - การเจรจาชอบ
    หมวดสมาธิ
    4. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ
    5. สัมมาสมาธิ - การตั้งจิตมั่นชอบ
    6. สัมมาสติ - การระลึกชอบ
    หมวดปัญญา
    7. สัมมาทิฏฐิ - การเห็นชอบ
    8. สัมมาสังกัปปะ - การดำริชอบ

    มรรคเป็นหนึ่งในอริยสัจสี่ เป็นสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และนำมาสั่งสอนแก่พวกเราพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เป็นหนทางเดินสายตรงสู่นิพพาน (ดับอาสวะกิเลส ดับภพชาติ ดับทุกข์สุข ดับวัฏฏะ ดับทุกอย่างไม่มีเหลือ..)

    การทำจิตเกาะพระ ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์เป็นบาตรฐาน ระลึกถึงพระ(หรือที่เราเรียกว่าเกาะพระ) ได้ตลอดเวลาทำให้เป็นสมาธิมีกำลังฌานสมาบัติที่มั่นคงเป็นบาตรฐาน เพื่อที่จะนำไปพิจารณาสภาวะธรรมต่างๆว่าเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติหรือพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) จนถึงที่สุดเกิดวิปัสสนาญานทั้ง9 ปัญญาเกิด จนมีดวงตาเห็นธรรม..

    จะเห็นได้ว่าการปฎิบัติธรรม"จิตเกาะพระ"นี้ เดินตามรอยอริยมรรค ซึ่งเป็นทางสายตรงมุ่งสู่นิพพาน มุ่งเน้นๆกันที่แก่นแห่งพุทธศาสนากันเลย..
    การทำจิตเกาะพระนอกจากจะฝึกสมถกรรมฐานแล้วยังควบรวมการฝึกวิปัสสนากรรมฐานไปในตัว (คือสติตามระลึกรู้ถึงภาพพระ ถ้าเผลอขาดสติก็จะลืมภาพพระ เมื่อทรงภาพพระได้ก็ทรงฌานสมาบัติได้) บวกกับสามารถทำได้ทั้งวันทั้งคืน (เปรียบเหมือนเร่งความเพียรเป็นสิบถึงยี่สิบเท่าของผู้ปฎิบัติธรรมปกติโดยทั่วๆไป อีกทั้งได้เรื่องความต่อเนื่องของการปฎิบัติด้วย) จึงทำให้ผู้ปฎิบัติธรรมสามารถที่จะก้าวหน้า บรรลุธรรมตามลำดับชั้น จนถึงที่สุดคือมีดวงตาเห็นธรรมได้โดยใช้เวลาไม่นานจนเกินไป.. เมื่อเทียบกับการปฎิบัติแบบอื่นๆ

    ก็ต้องของโมทนาบุญกับท่านพี่ภูของเรา (ผู้ถูกเลือกจาก...(ให้มาเป็นทาสของชาวจิตเกาะพระ เกาะบุญ เกาะพระนิพพานกันไม่ว่า)...) เป็นผู้ปฎิบัติจนสำเร็จท่านแรกและนำมาแผ่แพร่แก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย.. และอีกไม่นานในภายภาคหน้านี้ก็จะเป็นที่แพร่หลายโดยทั่วถึงกัน.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้


    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ..
     
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ดีจังเลย
    THE TOP SECRET : สุดยอดความลับ...ของจักรวาล
    เมื่อใดที่เราสร้างภาพแห่งอนาคตได้ชัดเจนเท่ากับภาพในอดีต เหมือนกับว่าเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำหนดอนาคตให้เป็นดั่งภาพในจินตนาการได้
    เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ
    มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ "สติสัมปชัญญะ" ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด
    ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ
    การ "ให้" บวก คือการเพิ่มให้บวกในตัวคุณก็จะเพิ่ม การให้ลบ ลบในตัวคุณก็จะเพิ่ม เช่น ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งบริจาคยิ่งรวย
    จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล
    จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว
    เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
    จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส
    จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่
    จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา
    ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์

    กฎลับ 4ข้อ

    หนึ่ง.. ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวาย
    สอง.. มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย
    สาม..จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข
    สี่..เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ


    อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน เช่นขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น

    ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพของจิตอย่างรุนแรง ทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ
    ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง
    เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้
    เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ(คบคนพาล พาลพาไปหาผิด)..แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น(คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล)
    ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต
    เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ.ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป
    การหัวเราะ จะทำให้คลื่นรังสีออร่ารอบๆตัวเป็นสีสดใส คลื่นบวกของสิ่งแวดล้อมจะมาออรอบๆตัวเรา เสียงหัวเราะมีพลังดึงดูดสูงมาก และมันสามารถดึงพลังคลื่นบวกแห่งจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเรา
    ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา
    จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา
    จงมีสติทุกครั้งที่ระลึกและรู้สึกตัว ให้เข้าไปดูความรู้สึกและปรับให้เป็นบวกเสมอ
    ความรู้สึกเป็นกรรมเก่า ความคิดคือกรรมปัจจุบัน การจะตัดความรู้สึกต้องระดมพลังความคิดบวกให้เข้มข้น แล้วบีบอัด จนกลายเป็นความรู้สึกเชิงบวก จึงจะสามารถนำไปตัดความรู้สึกลบได้ (ระงับได้ด้วยการเจริญสติ)
    หมั่นใช้ปัญญาวิเคราะห์ความรู้สึก ว่าจะเหนี่ยวนำให้ความคิดเป็นบวกหรือลบ
    การคิดลบจะเกิดเป็นความรู้สึกฝังอยู่ในจิต เป็นกรรมติดตัว แต่ถ้าคิดบวก ก็จะเป็นการสกัดไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นอีก
    จงคิดบวกเสมอไม่ว่าสถานการณ์ใด คิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆ แล้วจิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเหมือนกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะไปสู่สิ่งที่ดี
    สิ่งที่สกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ "สติสัมปชัญญะ" เพราะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและออก
    ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เหมือนฟองสบู่ที่เกิดดับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 สิงหาคม 2014
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    test
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 สิงหาคม 2014
  8. loveloveyou

    loveloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +146
    :cool::'((k)
     
  9. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    :cool::':)@(k)
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ***************************************
    (kiss):love::VO:z10_Friend_;39;41jaah
     
  11. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ---------------------------------------------------------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    คนแก่ๆมีอายุ...นี่เขาไม่ค่อยเขียนเป็นภาษาหนังสือ.. กันแล้วเนอะ
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    **************************************
    แหมคุณน้องLinda........Princess Ninja หายไปนานเลย พี่คิดถึงมากค่ะ (f)
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ********************************************
    แหะๆ อาจารย์ตามมาดูลูกศิษย์สูงวัย(สาวน้อย) เอ่อ เขียนไม่ค่อยถนัดแล้วค่ะ เพราะเมื่อยนิ้วมือ:'(
     
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool::mad::'(({) อิอิ๊ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียน สาวเหลือเยอะกว่า คุณพี่สุภาทรจิ๊ดนึงค่าาาาาาาาาาาาาาาาา
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ขอบพระคุณคุณพี่สุภาทรมาก ๆ ค่ะ ที่ยังระลึกถึงน้องพอใจน่ะค่ะ
     
  17. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    หวัดดีค่าคุณลินดา มีโอกาสมาพบปะพูดคุย ที่เมืองไทยของอาจารย์ภูไหมคะ
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    อ.ภูใหญ่ โทรหา พี่ต้อย สุภาทรหรือยังคะ
    อบรมปากช่องค่ะ 1-2 พย 2557 นี้ค่ะ พี่ต้อยขา
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool::mad::'(({):boo: รุ่นนินจา ผลุบ ๆ โผล่ ๆ เหมือนกานเลยนะคะ
     
  20. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490

    (k):':)boo:พักนี้ สาวน้อย คุณพี่ต้อย ไม่ค่อยจะออกมาเล่นบอรฺ์ดเลยนะคะ คิดถึงอยู่ตลอดเวลาล่ะค่ะ คุณพี่ขา ช่วงนี้ พอใจฝึกปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิได้มากขึ้น เนื่องจากพอมีเวลาหลังจากเลี้ยงหลานนะคะ คุณพี่สุขภาพแข็งแรงทั้งกาย ใจ อยู่นะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...