ความจริงของร่างทรงและวิธีพิสูจน์ร่างทรง ด้วยปัญญา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มกราคม 2008.

  1. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ทุกข์ ทางพุทธผู้ตื่นนี้ ไม่ได้อยู่กับประสปการณ์ชีวิตนะ

    ทุกข์ ทางพุทธอยู่ใน ขันท์ 5 พูดแบบง่ายๆ ทุกข์

    อยู่ที่เรายังคิด เรายังรู้ เรายังรับ เรายังกิน เรายังสัมผัส

    แล้วเอามาปรุงแต่งว่านั้นคือ ชีวิต แล้วหลงไปกับการใช้ชีวิต

    ทั้งที่เมื่อถึงที่สุดแล้ว ชีวิต มันก็หมด แล้ว ชีวิต ก็เกิดใหม่ทันที

    ทั้งชีวิต ที่อยู่ก่อนหน้าการหมด และ ชีวิตใหม่หลังการหมด

    ล้วนอยู่ภายใต้ ขันท์ 5 ยังไม่พ้นไปไหนเลย นั้นคือ ทุกข์ ของพุทธ

    เหตุนี้ พุทธ จึงมีมุมมองไปที่ เทวดา พรหม เป็นภาวะทุกข์ ที่ไม่พ้นขันท์ 5

    เหตุนั้น พุทธ จึงมีมุมมองว่า การเข้าทรงนั้น ไม่ได้ พาพ้นทุกข์(ขันท์ 5)
    เทวดา พรหม จึงพาไปได้แค่พ้นเจ็บเป็นบางราย พาพ้นเกิดไม่ได้ พาพ้นแก่ไม่ได้
    พาพ้นตายได้เป็นคราวๆไป แต่สุดท้ายก็พาพ้นไม่ได้จริงหรอก

    ส่วน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงผลของการมีขันท์ 5 นั้น

    อย่างนี้ เด็กเกิดมาไม่ทันได้กินนมแม่ ก็มีทุกข์ เสมอ เราที่เกิดมาแล้ว
    มีสภาพทุกข์ที่เสมอคนที่ป่วยอยู่ และมีทุกข์เสมอคนที่กำลังแก่
    และมีทุกข์เสมอคนที่กำลังตาย เสมอกันด้วยทุกข์ที่เกิดจาก ขันท์ 5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  2. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475


    คุณเล่าปัง

    ผมไม่ได้มองอย่างนั้น ปรัชญาพุทธก็คือพุทธ ภพภูมิพุทธก็ไม่เหมือนกับภพภูมิฮินดู คริสต์ อิสลาม เล่าจือ และฮิบดู เป็นต้น ในทำนองเดียวกันกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ก็ย่อมไม่เหมือนกันหรืออาจคล้ายกันบ้างก็เป็นได้ ต่างกันที่ความเชื่อ ความศรัทธาและวัฒนธรรมนั่นๆ ความเข้มข้นเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับว่าใครมีจิตวิญญาณมากกว่ากัน ตัวอย่างเช่น ชาวทิเบตส่วนใหญ่ปฏิบัติบูชาเพื่อขอหลุดพ้น ชาวอินเดียส่วนใหญ่อ้อนวอนเพื่อความผาสุก คนไทยส่วนใหญ่อ้อนวอนเพื่อความสำเร็จ เป็นต้น ทุกศาสนาต้องการชีวิตหลังความตายไปอยู่กับพระเจ้าของตนเองทั้งสิ้น

    ผมไม่เคยคิดเลยเถิดถึงสมการ E = MC2 ของไอสไตน์ ผมคิดแต่ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวัตถุอินทรีย์ หรือชีวิตอินทรีย์ย่อมมีที่เกิดและดับทั้งสิ้น เพียงแต่เราจะอยู่ได้ทันเห็นมันหรือเปล่า หากเราเข้าใจถึงพลังอันศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณ เราก็ย่อมจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีกำเนิดมาจากที่เดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่ความคิดของผู้ปฏิบัติ ส่วนกรรมบันดาลหรือชะตาลิขิตก็แล้วแต่ความเชื่อแต่ละศาสนา เพราะความขัดแย้งที่มีมุมมองต่างกันนี้เอง ทำให้เกิดปมปัญหาศาสนาเฉกเช่นทุกวันนี้

    ในแง่จิตเอกภพ สิ่งมีชีวิตถูกกำหนดไว้แล้วในรหัสพันธุวิศวกรรมหรือดีเอ็นเอ DNA (Deoxyribonucleic Acid) สาธารเคียวคู่ของขันธ์ห้าแห่งนี้ ได้ถูกร้อยเรียงยาวไปเกือบสุดขอบโลกนี้ แต่แล้วมีอะไรบ้างละ ที่ได้ควบคุมชะตาฟ้าลิขิตแห่งนี้ โดยได้กระทำผ่านทางกลไกพิศดารและแยบยล ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ ผิวพรรณ สันฐาน บุคลิกภาพ ความเฉลียวฉลาด ศาสนา กรรมอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต จิตวิญญาณ และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ได้ถูกนำมาทดลองเชิงวิจัยด้วยตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในอนาคตภายภาคหน้า

    คุณเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า คนเราเกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่ออะไร? ตายแล้วจะไปไหน? ไปอย่างไร? ปริศนาเหล่านี้ท่านน่าจะอธิบายได้ดีข้าพเจ้า เพราะพลังจิตวิญญาณได้สร้างสรรค์และเลือกท่านไว้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  3. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณ nsthai

    ชื่อในเว็บเรา เป็นอุปทานนะ เกิดจากสังขารมันปรุงให้ฝัน แล้วก็ทึกทักเอามา

    แต่ตัวจริงมีเชื้อจีนไหม ก็มีนะ เหมือนคุณตามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ปู่เราดูเหมือนมาจากมอญรามัญ ก็เลยออกมาดูไม่ได้ ปากเบอะๆตัวดำๆ แต่หางตาชี้ๆ ขาวตอนเด็ก ดำตอนโต โอ้....โลกหนอ

    เรื่องพิธีกรรมก็เลยไม่ได้ไหว้อะไรตามแบบที่เขาทำเท่าไหร่

    แต่ที่เราทักคุณเพราะดูเหมือนคุณจะเหมือนๆเรา คือ ใช้ความรอบรู้นำหน้าไว้
    ก่อน เสร็จแล้วก็ช่างสงสัย พอสงสัยก็แส่หาไปในเรื่องต่างๆ โดยไม่ลงไป
    คลุกอย่างถล้ำ ก็เลยทักๆกึ่งเชียร......ไม่มีอะไรหรอก....สงสัยหาตัวตายตัวแทน
    เพื่อว่าเกิดไม่อยากรู้ๆอะไรมากละ ก็จะได้โยนๆไป สาธุส่ง :)
     
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณ eddy

    ก็ดีนะ คุณ eddy ก็เป็นกลางดี สันติเกิดกับทุกลัทธิความเชื่อ

    ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่า จิตจักรวาลที่ผมแอบอ่านในร้านขายหนังสือนี้ จะอันเดียวกัน
    กับคุณหรือเปล่า เพราะรู้สึกมีคำว่า พลังจักรวาล อีกอัน จิตจักรวาล นี้ถ้าจำไม่ผิด
    ผู้เขียนจะชื่อ ปริญญา อะไรนี้แหละ แต่ตอนเราอ่านตอนแรกก็ตื่นเต้นนะ เขาอธิบายได้
    วิทยาศาสตร์ดี แต่อันนี้ ทิฏฐิส่วนตัวเลยนะ ไม่ได้ต้องการกดข่มอะไร คือเราเกิด
    ความคิดมาว่า ด๊อกเตอร์ คนนี้เขาศึกษามามากกว่าคนอื่น เขารู้ศัพท์วิทยาศาสตร์มาก เข้าใจก็มากอยู่(ทฤษฏี)
    แต่หาก ศัพท์วิทยาศาสตร์เหล่านี้ไม่มีปรากฏ ไม่มีใครล่วงรู้เรื่อง DNA รู้เรื่อง
    พลัง Cosmic และไม่มีสมมติฐาณเรื่อง BigBang
    ตำราของ ด๊อกเตอร์ นี้ไม่เกิด ไม่สามารถเอาหลักคำสอนใดๆ ไปเข้าสูตรได้
    เราก็เลยคิดว่า วางหนังสือจิตจักรวาลลงเสีย แล้วกลับไปอ่านแต่เท่าที่ศาสนา
    พุทธมี หรือ ศาสนาอื่นมี ก็น่าจะมีเรื่องให้อ่านน้อยลง

    จริงตอนนั้น ถ้าเขาออกหนังสือเพียงเล่มเดียว ก็อาจจะซื้อ แต่นี้เล่นออกที 5-
    10 เล่มได้กระมัง แถมแต่ละเล่มกล่าววนไปวนมา เลยมองเห็น กลวิธีการเขียน
    และการทำตลาดเจืออยู่ ไม่ใช่คิดจะสอนหลักธรรมกันอย่างเดียว เลยปิดโอกาสตัวเองเสีย

    อย่างนี้ก็จะคอยตามอ่านหลักความคิดของคุณ eddy นะ ก็ยังสนใจศึกษาอยู่นะ
    เพื่อท่านจะสรุปอะไรให้เราอ่าน ได้เราสดับตรงกับความจริงมากกว่าที่เราแค่เผลออ่าน
    ผ่านๆไปตอนนั้น
     
  5. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณเล่าปัง

    ข้าพเจ้าขอถามท่านเป็นข้อๆ ดังนี้
    1) ถามว่า พระพุทธองค์สอนให้เรามองทุกข์เป็นอย่างเดียวหรือ หรือว่าพระองค์ท่านต้องการสอนให้เราเห็นถึงความเป็นเรื่องธรรมดาและความเป็นธรรมชาติ
    2) "พุทธ จึงมีมุมมองไปที่ เทวดา พรหม เป็นภาวะทุกข์ ที่ไม่พ้นขันธ์ 5" ถามว่าเพราะสิ่งนี้ (เทวดา พรหม เทพ) จึงมีสิ่งนี้ (พุทธ) ไม่ใช่หรือ?
    3) ท่านหาข้อพิสูจน์ให้หน่อยได้ไหมว่า เมื่อจิตเป็นพุทธะ (หลุดพ้น) แล้วได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    โห เก่งนะนี้ สงสัยสู่ไม่ได้ เอาที่ได้พอเนอะ

    1+2. แน่นอน พระพุทธองค์สอนในเรื่องธรรมชาติ ทุกข์ก็คือธรรมชาติ เจ็บก็คือ
    ธรรมชาติ คนก็คือธรรมชาติ เทวดาก็ธรรมชาติ พรหมก็ธรรมชาติ ธรรมดา สิ่งนี้
    ล้วนมีอยู่เป็นธรรมดามาเนิ่นนาน ไม่ได้พึงมี พึ่งเกิด พึ่งเห็น พึ่งนับถือ แต่พระองค์
    ก็ชี้ภาวะการมีเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เที่ยง ล้วนแปรปรวน ล้วนบังคับให้มีให้เกิดไม่ได้
    ท่านก็เลยยกว่าสิ่งที่มีเหล่านี้อยู่ใต้สภาวะทุกข์ ชี้ทุกข์ให้เห็น ผู้ทีเห็นก็ย่อมต้อง
    อยากทราบว่า แล้วพระองค์รู้ทุกข์ครบหมดแน่หรือ ท่านก็เลยชี้หนทางแห่งทุกข์ให้ดู
    พอชี้หนทางแห่งทุกข์ให้ดู ผู้ที่ฟังย่อมสงสัยรู้จริงหรือ ก็เลยถามอีกว่า แล้วสภาวะพ้นทุกข์นะมีไหม
    พระองค์ก็ชี้ให้อีกว่าสภาวะพ้นทุกข์มี แล้วพระองค์ ก็ชี้ทางพ้นทุกข์ไว้ไห้ด้วย

    ทีนี้ ใครจะเชื่อพระพุทธองค์แค่ไหน ก็อยู่ที่ ความทราบชัดในทุกข์นั้น
    ถ้าเขาคนนั้นมองเห็นความทุกข์ไม่ชัด ละเว้นไว้บางข้อ พอใจหยุดพิจารณาตามที่คิดว่าพอ
    สภาวะที่พระพุทธองค์ชี้ให้เห็น ก็เป็นอันว่าคนๆนั้นคงไม่เห็นด้วย
    ก็ธรรมดาที่จะไม่ศรัทธา แต่พระพุทธองค์ก็ทราบชัดข้อนี้ จึงให้ทางพ้น
    ทุกข์ในแต่ละระดับไว้ด้วย -- แต่ตรงนี้ก็ว่ากันไปนะ ขึ้นกับความนิยมแน่นอน


    3. เราคงไม่ชี้นะ เพราะเล่าไปตอนนี้ ก็คงไม่ชัด เราคงไม่เอาสิ่งที่คุณไม่อยากฟังไปยัดเยียดให้คุณฟัง
    ไม่เบียดเบียนกันเนอะ เอาเท่าที่ไม่ก้ำเกินความศรัทธาของกันและกัน...จะได้สงบสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    พระพุทธองค์แม้ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ ก็ไม่แก้กรรม
    ไม่ต้องปัดเป่า ไม่ต้องดื่มน้ำมนต์ ท่านก็รับกรรมไปตามแต่ปัจจัย
    ดังรายละเอียดจากกระทู้นี้

    กรรมของพระโพธิสัตว์ (ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
    http://palungjit.org/showthread.php?t=107942
     
  8. Placebo

    Placebo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +91
    มาคอนเฟิร์มให้ครับว่า

    อาการป่วยทางจิตที่อุปทานคิดไปเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่ มีจริงๆ ทางการแพทย์เรียกว่าโรค Conversion Disorder ครับ

    อาการนี้พบได้มากในแถบท้องที่ที่ผู้คนมีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติครับ

    ในเมืองไทยถือว่าพบได้บ่อย แต่ที่ได้เข้ามาพบแพทย์นั้นกลับมีไม่มาก

    โรคนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่โรคที่สามารถรักษาได้ด้วยความเชื่อพื้นฐานของผู้ป่วย ได้ง่ายกว่ารักษาด้วยเทคนิคการรักษาทางจิตเวช

    แต่การรักษาด้วยความเชื่อพื้นฐานนั้น ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และมีความเสี่ยงที่จะถูกปลูกฝังความเชื่อผิดๆ อาจทำให้สามารถเกิดอันตรายต่อจิตใจ ร่างกายหรือทรัพยสินได้ตามมาได้ครับ
     
  9. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เรียน ทุกท่าน


    เราใคร่ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องสภาวะจิตและการแสดงออกทางกายในกรณีพิเศษ


    ทั้งนี้เรามิได้หมายว่า ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าร่างทรงทุกท่านจะต้องเป็นผู้อยู่ในข่ายนี้


    เพียงแต่จะขอชี้ให้เห็นในอีกด้านหนึ่ง นอกเหนือออกไป


    กล่าวคือ จิตของคนเรานี้โดยปกติจะไม่อยู่นิ่ง หากมิได้ผ่านการฝึกฝนจนเป็นนิสัยประจำตน


    และขณะที่จิตวิ่งไปข้างนั้นข้างนี้ จิตก็จะพาเอาเรื่องราวร้อยแปดเฮโลสาระพามาให้ครุ่นคิดทุกลมหายใจเข้าออก


    หนักเข้าในบางราย อาจถึงขั้นฟุ้งและซ่านไป กระเจิดกระเจิงไป


    ในขณะที่หากผู้นั้นมีฐานจริตที่จมจ่อมอยู่กับเรื่องใด อันใฝ่ใจเป็นพิเศษ

    จิตขณะนั้น ย่อมชักนำให้เกิดจินตนาการบรรเจิดต่อยอด


    ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาถ้อยคำจากธรรมบรรยายโดยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล


    ท่านได้ถ่ายทอดข้อคิดควรคำนึง ว่าด้วยการจัดระเบียบให้แก่จิตในภาวะคับขัน


    ผ่านชีวประวัติของชาวต่างประเทศผู้หนึ่ง ซึ่งมีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์ ดังเนื้อความข้างล่างนี้เถิด


    http://palungjit.org//showthread.php?t=107772


    เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน มีหนังเรื่องหนึ่งซึ่งดูแล้วเตือนใจได้มาก คือเรื่อง
    " ปาปิญอง " หลายคนก็คงเคยได้ยิน เป็นเรื่องของคนบริสุทธิ์คนหนึ่งที่ถูกจับเข้าคุกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยหัวใจอิสระเขาจึงพยายามหาทางหนี พอถูกจับได้ก็ได้รับโทษหนักขึ้น คราวหนึ่งเขาถูกส่งเข้าไปขังเดี่ยวในคุกมืด ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีหน้าต่าง คนที่อยู่ในคุกนี้ อยู่ได้ไม่นานจะต้องบ้าวิกลจริต แค่ปีเดียวก็บ้าแล้ว ปาปิญองถูกตัดสินอยู่ในคุกนี้ประมาณ 5 ปีเห็นจะได้ มันเหมือนกับลงนรกเลย

    สิ่งที่ปาปิญองทำทันทีที่เข้าไปอยู่ในคุกนี้ก็คือเดินนับก้าว มีที่เดินแค่ห้าก้าวเท่านั้นแหละ เขานับทำไม เขารู้ว่าจะอยู่ในนั้นได้ต้องคุมจิตของตัวเองให้ได้ เขาก็เลยเดินนับก้าวในคุกกลับไปกลับมา จดจ่ออยู่กับการเดินและการนับ ก็เท่ากับเป็นการเดินจงกรมนั่นเอง แต่ปาปิญองไม่รู้เรื่องการเดินจงกรมหรอก เพียงแต่รู้ว่าถ้าจะเอาตัวรอดจากที่นั่นให้ได้ต้องเป็นมิตรกับตัวเอง

    แล้ววิธีหนึ่งที่จะเป็นมิตรกับตัวเองได้ ก็คือการจดจ่ออยู่กับการเดินเป็นการทำจิตให้เชื่องนั่นเอง เพราะถ้าจิตไม่เชื่องก็จะฟุ้งซ่านสารพัด คิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต คิดถึง 5 ปีข้างหน้าว่าช่างนานแสนนานเหลือเกิน รวมทั้งถูกความกลัวต่างๆ รุมเร้า เนื่องจากอยู่ในที่มืดและแคบ จิตจึงพร้อมที่จะหาเรื่องราวสารพัดมาใส่ตัว

    แต่ถ้าคุมจิตได้เป็นมิตรกับจิตได้ก็สบาย ในที่สุดปาปิญองก็ประคองตัวเองอยู่รอดมาได้ หลังจากครบ 5 ปีออกมาจากคุกมืดในที่สุด แต่โทรมที่เดียว ตาเกือบจะเสียเพราะไม่เห็นแสงแดด ฟันก็หลอเพราะว่าไม่ค่อยได้กินอะไรมาก บางทีก็ต้องไปกินแมลงสาบ แต่ไม่บ้า เกือบจะบ้าแต่ไม่บ้า เพราะสามารถคุมจิตเอาไว้ได้ เขาทำในสิ่งซึ่งคนอื่นยากจะทำได้
     
  10. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169

    เอาข้อความมาให้เต็มๆ หน่อยสิครับ
    "เป็นน้องผมหรือป่าวก็ไม่รู้นะ แต่ที่แน่ๆ ปี 2540 คุณ Chainasungkia เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ส่วนผมยังเรียน ม 5 อยู่เลยนั่นหน่ะ "
    ที่อยู่ ม 5 หน่ะ เมื่อปี 2540 ครับ ตอนนี้ผมจบ ป โท จากจุฬา ทำงานทำการ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว นอกจากสอนคอม ก็ได้มีโอกาสสอดแทรกธรรมะให้ลูกศิษย์ด้วย มีความสุขจริงๆ

    ท่าน เอ็ดดี้ ก็ยัง "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด" เหมือนเดิมนะครับท่าน

    ยังไงก็ขอบคุณที่แนะนำให้ศึกษาทางโลกก่อน แต่คิดว่าคงไม่ดีกว่า เอาตามพอดีที่จำเป็น ผมขอมุ่งทางธรรมไปเลย เพราะในใจรู้ดีอยู่แล้วว่า ทางโลกข้างหน้า มีแต่ของร้อน มีแต่เอามาเผาใจตัวเองทั้งนั้น แล้วจะเดินทำไม

    ผมเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอีก ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้ มานานมากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะหยุด

    ดังนั้น เรื่องของประสบการณ์ทางโลก คงไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะเห็นทุกข์มามากพอแล้วครับ

    คุณ เล่าปัง และ คุณ nsthai กล่าวไว้ชอบแล้ว

    ส่วนเรื่องที่ว่า พระพุทธองค์สอนธรรมระดับชาวบ้าน นั้น เดิมทีผมก็เห็นด้วย แต่หลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เห็นว่า ยังไม่ถูกต้องนัก การสนทนาแนะนำธรรมะกัน จะสูงต่ำอย่างไร ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะนั่นขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของผู้ร่วมสนทนาด้วยต่างหาก ดูได้จากหลวงปู่มั่น เวลาท่านสอนชาวบ้าน ก็สอนพื้นๆ ให้ทาน รักษาศีล ภาวนาพุธโธ แต่เวลาท่านสอนพระนักปริยัติ ท่านสอนลึกมากถึงโลกุตรธรรมเลยทีเดียว ดังนั้น ธรรมะสูงต่ำแค่ไหน ก็เน้นเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ใครจะสนทนาอย่างไร หากเป็นไปเพื่อการพัฒนาจิตใจไปในแนวทางนี้ ก็นับว่าประเสริฐที่สุดแล้ว...
     
  11. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณวิมุตติ

    ผมโทษทีที่ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด เพราะผมไม่ทันคนเล่นลิ้น เจ้าเลห์เทอุบายและลวงโลกอย่างคุณ คุณจบโท Com Science จากจุฬา หรือ ขอทราบผลงานตีพิมพ์ได้ไหม เอาระดับนานาชาติ ieee หรือ acm หรือที่ยอมรับในระดับสากลให้ผมหน่อยได้ไหม หากมีเกีรยติประวัติและรางวัลที่น่าเชื่อถือได้ยิ่งดี บอก Transaction ให้ผมด้วย จะได้อ้างอิงถูก เพราะเกรงว่าจะเสียสถาบันอันทรงเกีรยติของเขา ในเมื่อมุ่งทางธรรมสลัดทางโลกแล้ว ทำไมไม่บวชเสียล่ะ หากบรรลุธรรมแล้วก็รีบๆ ดับขันธ์เสียก็ยิ่งดีนะท่าน
     
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ใจเย็นๆ ครับ

    การปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้ครับ อีกอย่าง ตอนนี้ยังบวชไม่ได้ เพราะต้องดูแลพ่อแม่ครับ เคยขอแม่แล้ว แต่แม่ไม่อนุญาติครับ หากหนีไปบวช จะกลายเป็นลูกอกตัญญูครับ จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ตามสมมติทางโลกไปก่อน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2008
  13. chinasungkia

    chinasungkia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +852
    เรียนถามคุณวิมุตติ คือ ผมมีเรื่องเล่าให้เพื่อน ๆ ทุกท่านฟังครับ และขอเรียนเชิญคุณวิมุตติ ช่วยวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

    คือ คนจีนมีประเพณีการล้างป่าช้า เพื่อบำเพ็ญบุญกุศลให้แก่ศพไร้ญาติ บางศพถูกฝังอยู่ใต้ดินและวิญญาณไปไหนไม่ได้ ยังคงรอคอยผู้มีใจบุญใจกุศลมาปลดปล่อย ที่นี้ในประเพณีการล้างป่าช้า คนเราธรรมดาย่อมไม่รู้แน่ว่า พื้นดินราบเรียบ มีต้นไม้ ใบหญ้าปกคลุม พื้นที่ใดจะมีศพฝังอยู่ เพราะไม่มีสัญลักษณ์ใดบ่งบอกว่า ใต้ดินนี้ มีศพถูกฝังอยู่ คนจีนผู้ใจบุญใจกุศล ได้ทำการอัญเชิญ เทพเซียน มาเข้าร่างทรง โดยผ่านทางไม้ที่เป็นรูปตัว Y (ภาษาแต้จิ๋ว เรียกว่า "กี") คนทรง 2 คนจะยืนอยู่คู่กัน จับปลายไม้คนละด้าน ด้วยมือซ้ายของอีกคน และมือขวา ของอีกคน โดยไม้กี จะวางอยู่บนเขียงไม้ อันใหญ่ หรือถ้าไปนอกสถานที่จะใช้กระด้งไม้ไผ่สาน จากนั้น เหล่าสานุศิษย์ของเซียน จะทำการสวดมนต์เพื่ออัญเชิญ เซียน ให้มาประทับทรงที่ ไม้กี ดังกล่าว ในขณะที่ จิตทิพย์ ของ เซียน กำลังมาเข้าทรง ไม้กี จะเคลื่อนไหว ได้เองและเขียนเป็น ตัวอักษรจีน (แม้ว่าร่างทรงจะไม่สามารถเขียนภาษาจีนได้ แต่ ไม้กี โดยการนำของ เซียน จะสามารถเขียนตัวอักษรจีน เพื่อสื่อความ และสั่งการต่าง ๆ โดยอักขระแต่ละตัวนั้นจะผูกกันเป็นกาพย์ กลอน) และ ไม้กี ดังกล่าว สามารถนำพาร่างทรงทั้ง 2 ไปชี้จุดต่าง ๆ ตามพื้นดิน พื้นหญ้า ที่มีศพฝังอยู่ใต้ดินนั้น เพื่อสานุศิษย์ ของ เซียน จะได้ทำการขุดนำกระดูก มาบำเพ็ญกุศล และเผ่าส่งให้ดวงวิญญาณของศพไร้ญาติเหล่านั้น ได้ไปสู่สุขติภูมิ

    ในการบำเพ็ญบุญ ล้างป่าช้า นี้ ผู้ที่เข้าร่วมในพิธี ต้องแต่งชุดขาว และถือศีลกินเจ ทำจิตให้บริสุทธิ์ ส่วน เซียนที่ทำพิธี นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายพระองค์ ขออัญเชิญพระนามของท่าน เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิง เท่าที่ผมทราบ ก็จะมี องค์โป๊ยเซียนโจ้วซือ, องค์อ่อเอี้ยฮุนเซี่ยโจ้ว และองค์ไต่ฮงกง ที่ชาวมูลนิธิปอเต็กตึง นับถือเป็นประธาน

    ที่เล่ามาทั้งหมด ก็เป็นอีกด้านของประสบการณ์ที่ผมซึ่งก็เป็นลูกหลานคนจีน ได้พบเห็น และได้เคยเข้าร่วมในพิธีล้างป่าช้า มาเล่าสู่กันฟัง ..... สาธุ
     
  14. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณวิมุตติ
    หากให้เลือกระหว่างท่านบวช กับท่านดูแลบิดามารดา แล้วท่านเลือกดูแลบิดามารดาก็นับประเสริฐยิ่ง เพราะการบวชไม่จำเป็นเสมอไปจะต้องครองผ้ากาสาวพัตร์แห่งนี้ ทุกอย่างอยู่ที่จิต สะอาดด้วยศีล สงบด้วยสมาธิ สว่างด้วยปัญญา บิดามารดาก็เช่นกัน ไม่ใช่สักแต่ว่าเลี้ยงดู อย่างนี้ใครๆ ก็ทำได้ เพียงแค่ส่งเสียหรือให้ปัจจัยพอเพียง แต่ต้องดูแลท่านเอาใจใส่ในรายละเอียด ยามท่านเจ็บป่วยพาท่านไปหาหมอ ยามเราว่างพาท่านไปทานข้าว เป็นต้น วิถีชีวิตยามไม้ใกล้ฝั่ง ท่านไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าความห่วงหาอาทร สักวันหนึ่งเราเองก็ต้องประสบอย่างท่าน เพียงแต่วันนั้นยังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง
     
  15. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คุณ chinasungkia

    คุณน่าจะนำเรื่องนี้ไปให้นักจิตแพทย์ได้ศึกษาเป็นกรณีอุปทานหมู่นะครับ คนพวกนี้เก่งแต่วิพากษ์ตามแนวทางจิตวิทยา แต่ทีตนเองเที่ยวไปสะกดจิตชาวบ้าน ไม่ยักจะว่ากระไร บังคับให้เขาพูดอดีตบ้างละ บังคับตัวเบาแล้วใช้นิ้วชี้ยกลอยตัวบ้างละ บังคับให้เพ่งมองติ๊กต๊อกๆๆ บ้างละ คนที่ทำอย่างนี้ ครูบาอาจารย์บอกเสมอว่า "พวกจิตทราม"<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_905271", true); </SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2008
  16. chinasungkia

    chinasungkia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +852
    อนุโมทนา..คุณ eddy1965 ผมคิดว่า เทพเซียน ท่านคงไม่ต้องการให้นำเรื่องของสวรรค์ไปให้พวกจิตแพทย์ วิจารณ์ท่านให้เสื่อมเสียด้วยความไม่รู้ นะครับ เพราะเพชร ย่อมมีคุณค่าและรู้ตัวเองว่าคือเพชร ไม่ควรเอาเพชรไปให้แก่ผู้ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องของเพชรวิจารณ์ว่า นี้คือเพชรเก๊ เพชรเทียมหรอกครับ ผู้ปฏิบัติย่อมมองเห็นธรรมได้ด้วยจิตบริสุทธิ์ และการปฏิบัติ.... สาธุ
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เมื่อวาน ไม่สบาย หนัก เลยไม่ได้มาตอบกระทู้ สงสัยจะพูดเรื่องเจ้ามากไปหน่อย เจ้าเลยลงโทษ
    ซึ่งจริงๆ เมื่อวันก่อน เดินทางไกล และ นอนดึก ประกอบกับ อากาศเปลี่ยนแปลง ผมเลยเป็นหวัด

    ตรงนี้อยากให้เห็นว่า เมื่อเรา สนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ ผมจะหยิบเรื่องเจ้ามาเป็นเหตุเป็นผล และ ลืมเหตุลืมผลเกี่ยวกับ ธรรมชาติและความเป็นจริงไป เพราะใจเราฝักใฝ่กับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
    พอใจฝักใฝ่ เรื่องพวกนี้ เราจะเริ่มกลัว และ เปิดโอกาศให้เราหาทางแก้ผิดๆ วิ่งกันให้วุ่นเลยหละ
    นี่ถ้าผม คิดว่า เจ้าทำให้ผมป่วย สิ่งที่ตามมาคือ ผมจะหยุดเลิกพูดเรื่องนี้ทันที ผมจะต้องไปขอขมา ผมจะไม่กล้าคิดอะไรทั้งสิ้น ผมจะกลัวไปร้อยแปด นั่นคือ ที่มาของการไป ถือข้อวัตรแบบผิดๆ

    เดี๋ยวจะมาตอบคำถามของ ท่านอื่นๆ นะครับ วันนี้ยังไม่ค่อยหายดี เอาเป็นการเกริ่นนำก่อน
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เผด็จการ นำไปสู่ความกลัวจนไม่กล้าหาทิศทางอื่น
    สีลพตรปรามาส คือ ความกลัวในใจเรา จนไม่กล้าที่จะเดินไปหาหนทางที่ถูกต้อง เรียกว่า ไม่มีประชาธิปไตยในใจ
    แรกๆ นั้นเราจะต้องมีประชาธิปไตยในใจ คือ ยอมรับข้อมูลหลายๆ ทาง อย่าเชื่อ อย่ามองในทิศทางเดียว อย่างเชื่อแม้กระทั่งตรรกะในใจเราเอง แล้วเราคัดเลือก หาสิ่งที่ดีที่สุด แม้จะยากเย็นเราก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็น ทาสเขาอยุ่ร่ำไป

    ในที่นี้ คือ ทาสความกลัว ใจเราเองนี้ ใส่อะไรมาก็ได้ มากมาย พอๆ กับ จักรวาลนี้ เมื่อเราใส่มามาก เราก็จะกลายเป็น อะไรต่อมิอะไรมากมายไปหมด ทั้งผี สางเทวดา มันก็อยู่ในนี้
    จิตเราแปลเปลี่ยนไป ตั้งแต่เด็ก มาจนโต ก็ไม่ได้มีความเป็นตัวเราอย่างแท้จริง มีแต่ตายจากคนนั้นไปสู่คนนี้ ความคิดแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา

    แต่เรื่องนี้ เราอาจจะไปพูดให้คนทั่วไป นั้นเข้าใจลำบาก คนที่เขาเชื่อเจ้า เขาก็โดนปกปิดจากอำนาจแห่งปัญญา เพราะมองอะไรเป็น สักกายทิฎฐิไปทั้งหมด จึงเห็นเป็นตัวเป็นตน มากมาย

    เมื่อ สิ่งที่ตนรับรู้มา ทำให้เรากลัว เราก็สร้างวิธีแก้ไขของเราเอง

    ผมถามว่า คนหนึ่งคน เติบโตมา ในสถานที่ๆ ไม่มีการเชื่อเรื่องวิญญาณ เขาจะโดนวิญญาณทำร้ายได้หรือไม่
    คนที่เชื่อเรื่องวิญญาณ บูชาเจ้า บูชาเทวดา เขาจะโดนเคราะห์กรรมทำร้ายหรือไม่ โดนโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนหรือไม่

    ทั้งสองคนนี้ ป่วยได้เหมือนกัน แต่เขาจะเลือกวิธี ที่จะมองได้ ทางไหนที่จะนำไปสู่แนวทางการแก้ไข ได้ดีกว่ากัน
    ทั้งหลายทั้งปวง อยู่ที่เรามอง
     
  19. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เรื่องแนวนี้ผมไม่สันทัดนักหรอกครับ และก็ไม่สนใจเท่าไหร่นักว่าจริงๆแล้ว มันยังไงกันแน่

    เคยดูเรื่องทำนองนี้ในรายการ เรื่องจริงผ่านจอ และ ชั่วโมงพิศวง มาบ้างเหมือนกัน ก็น่าแปลกใจอยู่นะ แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่า ที่มาเข้าทรงหน่ะ อาจเป็นสัมภเวสีแถวๆ นั้น ก็ได้

    แถวบ้านผมที่ต่างจังหวัด ก็นับถือเจ้าพ่อกวนอู พอถึงงานประจำปี ก็มีร่างทรง เอาเหล็กแทงตามตัว นั่งบนเก้าอี้ตะปู เดินลุยไฟ เพื่อเป็นการโชว์ อภินิหาริย์ ตอนเด็กๆ ก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ ไม่สนใจแล้ว เห็นแล้วก็ขำ นึกสงสัยว่า เทพเจ้าจีน คงชอบแนวซาดีส เลยชอบเอาเหล็กแหลม แทงตามร่างกายให้ร่างทรงเจ็บตัวเล่นๆ

    ผมขอแสดงความเห็นเท่านี้แล้วกัน เพราะมีความรู้น้อย อีกอย่าง ไม่เกี่ยวกับธรรมเลย แบบว่า ไม่ใช่ทางหน่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เชื่อนะ ผมเชื่ออยู่แล้วว่า การสิงร่าง เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่จริงหรือปลอม อันนี้คนละเรื่องกันนะ ก็เอาไว้ให้ผู้รู้มาวิจารณ์ต่อแล้วกันเนอะ

    พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง...
     
  20. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ตั้งแต่ติดตามอ่านข้อความโดย ท่านเล่าปัง มาได้สักระยะ ยิ่งทำให้รู้สึกนับถือมากยิ่งขึ้น ว่าท่านนี้มีความรอบรู้ ในอรรถ ในธรรม เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้วิปัสสนาญาณจะยังไม่เท่าไหร่ แต่ความแตกฉาน เรียกได้ว่า หาใครเทียบได้ยากจริงๆ ตอนนี้ ผมชักจะเห็นคล้อยตาม ท่านขันธ์ แล้วว่า ท่านเล่าปังคงลาพุทธภูมิได้ไม่ขาดแน่ๆ คงต้องไปรอต่อแถวพระโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระศรีอารย์อยู่หัวแถวแล้วล่ะ และถึงแม้จะลาได้ จริตแบบนี้ ดูเหมือนจะไปทางปฏิสัมภิทาญาณด้วยซ้ำ ถ้าไม่ไปต่อแถวเข้าคิว ก็คงได้เป็นเอตทัคคะทางด้านมีปัญญามากแหง่ๆ

    ส่วน อาจารย์ ปริญญา ผมก็เห็นด้วยที่ว่า อาจารย์ท่านนี้ พูดวกไปวนมา ดูเหมือนจะเรื่องเดิมๆ แต่ดันออกหนังสือมาเป็นสิบเล่ม ใครจะไปตามอ่านหมดล่ะนี่ หุๆๆ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...