แก้วมณีโชติ สิ่งวิเศษสูงสุดในโลกิยภูมิ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jets-one, 5 กรกฎาคม 2011.

  1. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ครับผมเข้าใจแล้วครับ ว่าอะไร ใคร เป็นยังไง

    เอาเป็นว่าผมบอกรวมๆนะครับไม่ได้เจาะจงจะบอกใคร อยากให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านได้ประโยชน์กันครับ

    ถ้าเป็นสายธรรมจริง ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ

    ยึด อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 อริยสัจ 4 กรรมฐาน 40 กอง ให้มั่นครับ

    ตัวเองหรือใคร จะกราบไหว้พระพุทธรูป หรือไม่กราบ ไม่ใช่แก่นครับ

    ศึกษาธรรมให้จริง ศึกษาให้ลึก ปฏิบัติให้จริง ให้ถึงแก่นครับ

    หาจิตให้เจอ หาตัวเองที่แท้จริงให้เจอ ด้วยการปฏิบัติธรรมจริงๆ

    อย่าศึกษาอย่างเดียวครับได้ประโยชน์น้อย ต้องปฏิบัติด้วยครับจึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

    พุทธศาสนาของพระพุทธองค์ สอนให้หลุดพ้นครับ มิได้สอนให้ยึดติด

    ถ้าหาจิตตัวเองไม่เจอ จะไม่เข้าใจจริงๆครับ ว่าเรากำลังยึดติดอะไรอยู่

    จะได้แต่ศรัทธาบ้าง เชื่อถือแบบผิดหลักกาลามสูตรบ้าง แต่จะไม่เข้าใจจริงๆครับ

    และไม่รู้ตัวด้วยว่า แท้จริงแล้วตัวเราเองกำลังยึดติดอะไรกันอยู่ ติดในรูป หรือติดในนาม

    รู้ในระดับจิต กับรู้ในระดับสมอง นี้ต่างกันเยอะครับ

    รู้ในระดับสมองไม่สามารถจับกิเลสตัวเองได้ครับ

    ต้องรู้ในระดับจิตเท่านั้น จึงจะทันกิเลสตัวเอง จึงจะรู้ตัวครับว่าอะไรเป็นแก่น อะไรเป็นเปลือก

    อย่ามัวมาตั้งประเด็นเรื่องเปลือกกันเลยครับ

    สำหรับคนที่มุ่งสายธรรมแล้ว เป็นการเสียเวลาเปล่าครับ

    ที่ผมเข้ามาร่วมด้วย เพราะหวังดีครับ ไม่ได้ต้องการมาเป็นปฏิปักษ์กับใคร

    ที่เขียนตอบใครหลายๆคนไป ไม่ได้ตอบด้วยทิฐิอะไร แต่ตอบไปด้วยความหวังดีครับ

    ถ้าใครยังไม่พร้อมจะรับ ก็ไม่เป็นไรครับ

    ถ้าผมทำให้ไม่พอใจอะไร ยังไง ขออโหสิกรรมด้วยครับ

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ และขอโมทนาบุญด้วยครับ



    ปล. 1

    ถ้าใครอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือรู้สึกข้องใจ คงต้องไปปฏิบัติธรรมก่อนนะครับ

    หาจิต หาตัวเองให้พบ แค่ฝึกปฏิบัติอานาปานสติอยู่ที่บ้าน

    ก็สามารถพบได้แล้วครับ ไม่ยากมากครับ ไม่มีอะไรยากเกินถ้ามีอิทธิบาท 4 ครับ

    และถ้าศึกษาธรรมที่เป็นหลักๆข้ออื่นและนำมาปฏิบัติก็จะช่วยให้พบเจอได้เร็วขึ้นครับ

    โดยเฉพาะพรหมวิหาร 4 ครับ เป็นหัวใจในการปฏิบัติเลย


    ปล. 2

    ที่เป็นห่วงที่สุดก็คือ กลัวคนอ่านบางคนไม่ชอบผมอยู่เป็นทุนเดิม

    มาอ่านเจอว่าผมบอกให้ปฏิบัติ ด้วยความไม่พอใจผม เลยพาลกลายเป็นไม่ปฏิบัติเลย

    ได้โปรดอย่าเป็นอย่างนั้นเลยนะครับ ขจัดทิฐิในใจซะ และเลิกยึดติดอยู่กับเปลือก

    ค้นหาแก่นกันเถอะครับ


    ปล. 3

    การศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น เป็นเรื่องลึกซึ้งมากครับ

    อยู่เหนือมิติที่เราดำรงค์อยู่ในปัจจุบัน จะก้าวข้ามไปได้ ต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติ

    เพื่อให้พบกุญแจดอกสำคัญ นั้นก็คือ จิต ครับ


    ปล. 4

    และเนื่องจากเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก จึงทำให้ผมมีหลาย ปล. ครับ ขออภัยด้วย

    ฝากไว้อีกคำเดียวครับ อย่า ยึด ติด...
     
  2. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ปล. 5

    วิธีการเลิกยึดติด ในอุปทานขันธ์ เนี่ยะ ต้องมีน้ำอมฤทธิ์ ของ black dog ด้วยหรือป่าว

    แล้วรู้หรือป่าวว่า อิทธิบาท4 กรรมฐาน 40 กอง ที่กล่าว รู้ๆ มาน่ะ

    เป็นสาย ธรรมฤทธิ์ ทั้งหูทิพย์ ตาทิพย์... มากกว่าน้ำตาแห่ง Black dog น๊า

    ดังนั้น Silver11Wing รู้ในระดับจิต หรือ รู้ในระดับสมอง ฮาฟฟ...ลึกซึ้งมาก

    หากรู้จัก เปลือก ในทางธรรม เข้าถึงกาลามสูตร ดีพอ มีสมาธิในกรรมฐาน ที่ว่าไว้

    ก็คงจะไม่ต้องพึ่งน้ำตาอมฤทธิ์ พืชคาม ภูตคาม หรอกม้างง ^^

    ยังมีอุปทานขันธ์ทั้ง5 อยู่หรือไม่

    ยากอยู่น๊า ที่จะหาผู้สมบูรณ์ด้วยเปลือก ในทางพุทธศาสนา อย่าง คุณ Silver11Wing แต่ไฉน ยังต้อง Black dog
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2014
  3. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    กบในกะลา???

    ขออนุญาตครับ

    ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะ ถือกำเหนิตขึ้นมานั้น
    พระบิดา ของพระองค์ท่าน เป็นพราหม ใช่หรือไม่?
    พระมารดา ของพระองค์ท่าน เป็นพราหม ใช่หรือไม่?
    พระราชวงศ์ ของพระองค์ท่าน เป็นพราหม ใช่หรือไม่?
    พระมหาราชปุโรหิต ของพระองค์ท่าน เป็นพราหม ใช่หรือไม่?
    แม้เมื่อพระองค์เจริญเติบโตมา ได้ทรง สยุมพร
    พระชายาของพระองค์ก็เป็นพราหม
    วงศาคณาญาติของทั้งสองฝ่ายก็เป็นพราหม

    แม้พระพุทธองค์ ก่อนการตรัสรู้ พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพราหมอยู่

    แล้วที่ผมพูดของผมว่า

    คุณไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องของคุณ
    ลองพิจารณาดูอีกหลายๆรอบก่อนก็ได้

    หรือจะเอาที่ผมเขียนไปถามเด็กอนุบาลดูก็ได้
    ดูว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร?

    แม้ว่าในความเป็นจริง ศาสนาพราหม ได้สูญหายไปหมดแล้ว
    แม้แต่โบสถ์พราหมในกรุงเทพฯ
    เพื่อนชาวอินเดียระดับจบปริญญาโทเอไอที ก็ยืนยันว่า เป็นโบสถ์ฮินดู

    อีกสิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธมักจะเข้าใจผิด ก็คือ มหาเทพตรีมูรติ
    ชาวพุทธยังพากันเข้าใจว่าเป็นเทพของศาสนาฮินดู

    ใครมีครูบาอาจารย์เป็นสายโพธิ์สัตว์ระดับสูงๆ ก็ลองถามดูกันเอาเองนะครับ


    ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่า พระพุทธองค์ในพระชาติสุดท้าย
    เกิดเป็น พราหม
    โตเป็น พราหม
    แม้ก่อนทรงตรัสรู้ ก็ยังเป็นพราหม อยู่

    และก็ยังมี 4 อสงไขยแสนมหากัปล์ อีกล่ะ
    แน่นอนว่าเป็น พุทธ มั่ง เป็น พราหม มั่ง

    และเมื่อช่วงที่เป็นพุทธนั้น ต้องน้อยกว่า พราหม แน่ๆ

    แลัวยังจะต้องมาพิจารณาอะไรกันอีก

    หรือ จะไปถามคนดีๆ ที่มีสติ ปัญญาครบถ้วนก็ได้ว่า

    ท่านยังเรียกครูที่สอนอนุบาลของท่านว่า ครู กันหรือเปล่า?

    ต่อให้ท่านจบปริญญาเอกแล้ว ก็เถอะ

    ส่วนเรื่องที่คนทั่วไปเข้าใจเหมือนท่าน ก็ไปพิจารณากันเอาเองว่า ทำไม?

    ท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร มันเรื่องของท่าน

    ใครอยากจะพิจารณา ก็อ่าน ก็พิจารณากันเอาเอง

    แล้วที่พระพุทธองค์ได้เคยทรงตรัสว่า

    "อานนท์ อาจารย์ทิศาปราโมกข์คือตัวเราเอง"

    ก็แสดงว่า แม้แต่พระพุทธองค์ ก็เคยได้ทรงเกิดมาเป็น ครูพราหม อีกต่างหาก

    และเมื่อสมัยพุทธกาล พราหมเก่งๆ ก็ได้มาบวชเป็นพระสงฆ์กันจนหมดสิ้น
    จนทำให้ ศาสนาพราหมสูญสิ้น

    ที่เหลือ ก็กลายมาเป็นศาสนาฮินดู แทนที่ศาสนาพราหม
    ดังนั้นที่ถูกก็คือ ศาสนาพุทธ ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู

    แต่ไม่ว่า ชาวพุทธ ชาวพราหม ชาวฮินดู ต่างก็อยู่ในพรหมโลก อยู่ในเทวโลก อันเดียวกัน

    อยากรู้เรื่องเหล่านี้ ต้องไปถามสายพุทธภูมิครับ ไม่ใช่ไปคิดกันเอาเอง

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  4. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ที่ถูกต้อง พระโพธิสัตว์เกิดในวรรณะกษัตริย์ศากยสกุล ไม่ใช่วรรณะพราหมณ์

    รวมทั้งพระพุทธบิดา พระพุทธมารดา พระชายา

    แต่ถ้า พราหมณ์ทั้ง 8 และอีกหลายๆท่าน เช่น พราหมณ์โกญทัญญะ น่ะใช่เลย

    พระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายจุติมา เพื่อตรัสรู้ มลายทิฏฐิชั้นวรรณะ

    มีข้อความตอนหนึ่ง ปรากฏไว้ว่า

    [116]วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อ ๔ วรรณะเหล่านี้ รวมเป็นบุคคลสองจำพวกคือ

    ๑ พวกที่ดำรงอยู่ในธรรมดำที่วิญญูชนติเตียนจำพวกหนึ่ง

    ๒ พวกที่ดำรงอยู่ในธรรมขาวที่วิญญูชนสรรเสริญจำพวกหนึ่ง

    ในเรื่องนี้ พวกพราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ‘วรรณะที่ประเสริฐที่สุด คือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธ์ พราหมณ์เท่านั้นที่เป็นบุตร เป็นโอรสเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม’ วิญญูชนทั้งหลายย่อมไม่รับรองถ้อยคำ ของพราหมณ์เหล่านั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า บรรดาวรรณะ ๔ วรรณะเหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายในวรรณะ ๔ วรรณะนั้น โดยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมูชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

    [117] วาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยเหตุผลนี้เธอทั้งสองพึงทราบเถิดว่า ‘ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า’

    http://ratchai.exteen.com/20091025/entry-4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2014
  5. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เต็มๆ ใน อัคคัญญสูตร

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2014
  6. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ผมต้องขอโทษคุณ◎สุริunร์ด้วยครับ

    ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำให้เกิดเรื่องขัดข้องใจแต่อย่างใด

    ผมขออภัยและขออโหสิกรรมอีกครั้งครับ

    ขอให้สำเร็จในธรรม และขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  7. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เอ้...แล้วคุณ Silver11Wing ไปทำอะไรให้ผมต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ล่ะครับ

    ถึงขนาด...ต้องมาขอโทษขอโพย ท่านไม่รู้จักจิต ตนดี อย่างที่เคยกล่าวไว้ หรอกรึ ^^

    จิตที่ตั้งไว้ชอบ น่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2014
  8. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ที่แท้ก็พวกคัมภีร์ใบลานเปล่า?

    ขออนุญาตครับ

    ลุงมหาเป็นสายปฏิบัติครับ
    แถมยังปฏิบัติเอง จนถึงขั้นพิจารณาธรรมได้ ก่อนเข้ากราบครูบาอาจารย์สายธรรมยุติ

    ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่า


    "ปฏิบัติเอง ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ยังมาถึงนี่ได้"
    "ก็ให้ปฏิบัติเองต่อไป ไม่ต้องไปถามใครอีก"


    แม้พระพุทธองค์ก็เคยทรงเรียก พระผู้คงแก่เรียนที่ไม่ได้ปฏิบัติว่า "ใบลานเปล่า"
    จนท่านเหล่านั้น เกิดความสำนึกได้ ก็ออกเร่งปฏิบัติกันใหญ่

    แม้องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต องค์ท่านก็สอนหลักการสามข้อคือ


    ๑ กิเลสอยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหนอีก

    ๒ ที่เรียนมา ที่รู้มา ให้ลืมให้หมด

    ๓ อยากรู้อะไร ให้ปฏิบัติเอา


    ความหมายของพราหม ที่ผมได้กล่าวถึง ความหมายก็คือ ชาวพราหม
    ซึ่งแปลว่า ผู้นับถือ ศาสนาพราหม
    ผู้คนในอินเดียก่อนการเกิดศาสนาพุทธ ก่อนพระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้
    ไม่ว่าวรรณะอะไร ก็ต่างล้วนนับถือศาสนาพราหม เกือบจะทั้งหมด

    เหมือนกับ เราชาวพุทธ นับถือ ศาสนาพุทธ

    บางท่านก็เข้าใจผิด คิดว่าผม เคารพกราบใหว้ องค์เหล็กไหล

    แต่ผู้มีปัญญาจึงจะเข้าใจได้ว่า

    ที่ผมกราบไหว้ นั้นคือ องค์พ่อจิตราจินดา หรือที่ชาวพุทธทั่วไปเรียกองค์ท่านว่า พระยายมราช
    ซึ่งองค์ท่านก็บอกอย่างชัดเจนว่า องค์ท่านอยู่พรหมโลกชั้น ๑๔

    ส่วนครูบาอาจารย์ของท่านก็คือ องค์พ่อเวชสุวรรณ ที่ชาวพุทธทั่วไปเข้าใจแค่ว่า
    องค์ท่านเป็นพญากุมภัณฑ์ซึ่งเป็นหัวหน้าพญายักษ์
    แต่องค์ท่านก็บอกอย่างชัดเจนว่า

    องค์ท่านเป็นระดับชั้น พระอนาคามี อยู่พรหมโลกชั้นสุทธวาส(ชั้น๑๖)

    และองค์ท่านยังได้บอกอย่างชัดเจนว่า


    "ที่ต้องลงมาช่วยเหลือมนุษย์ เพราะต้องการเร่งบุญบารมี ให้สำเร็จชั้นอรหันต์เร็วขึ้น"

    ส่วนคุณแม่องค์ญาณ ที่ผมให้ความเคารพนั้น ก็เพราะว่า
    ท่านเคยเกิดเป็นทั้งบุตรของ องค์พ่อจิตราจินดา(องค์พ่อพญายมราช)
    และองค์ท่านยังคงเคยเกิดเป็นบุตรของ องค์พ่อพญาเวชสุวรรณ(องค์พ่อ ๑๖)

    ส่วนใครที่คุยโม้โอ้อวดว่า ตนเองเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์ผู้โด่งดัง ท่านนั้น ท่านนี้
    แถมยังเขียนในกระทู้นี้ ก็พิจารณาตนเองด้วย

    ถ้าเก่งจริง ถ้าแน่จริง ทำไมไม่พากันเขียนว่า
    ครูบาอาจารย์ของตนเก่งกล้าสามารถ อย่างไรบ้าง
    ไม่ใช่ถามไป ถามมา ก็ไปสิ้นสุดแค่ว่า


    "มันบอกไม่ได้ เดี๋ยวคนไม่เข้าใจจะเป็นบาป จะเป็นกรรม" ว่าไปโน่น

    หรือว่า มีธรรมอะไร ที่บอกใครไม่ได้จริงๆ
    หรือว่้ามีธรรมอะไร ที่บอกไปแล้ว เขาไม่พากันเชื่อ จะเป็นบาป จะเป็นกรรมไปได้จริงๆ

    ลุงมหามีความเห็นว่า พระทั่งพระบวชใหม่ เรายังเคารพกราบไหว้

    การที่ลุงมหา จะเคารพกราบไหว้ ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพของชาวพุทธทั่วๆไป

    ที่องค์ท่านมีบุญบารมี ระดับอยู่บนพรหมโลกชั้นชั้น ๑๔ หรือระดับอยู่บนพรหมโลกชั้น ๑๖

    ก็ไม่เห็นจะแปลกแต่อย่างใด

    เพราะในพรหมโลก ในเทวโลก ท่านไม่มีการแยกพราหม แยกพุทธ กันหรอกครับ

    จะมีก็แต่ในโลกมนุษย์นี่ล่ะ

    อะไรถูก อะไรผิด ลุงมหาพิจารณาธรรมเองได้
    ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะไปอ่าน ที่จะไปท่อง ตัวหนังสือใดๆอีก

    ส่วนเรื่องไสยเวทย์นั้น ลุงมหาแค่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร
    ก็บอกเล่าเตือนสติกันไป ก็เท่านั้นเอง

    ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่ตัวท่านจะพิจารณากันเอาเอง

    ส่วนใครที่คิดจะใช้ ลุงมหาทำโน่น ทำนี่ให้
    หรือใครที่คิดว่าจะชักนำ จะชักจูงให้ ลุงมหา ทำโน่น ทำนี่ให้นั้น

    ก็ขอให้พิจารณาคำสอนของครูบาอาจารย์สายธรรมยุติ
    ที่องค์ท่านบอกลุงมหามาว่า


    "ปฏิบัติเอง ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ยังมาถึงนี่ได้"
    "ก็ให้ปฏิบัติเองต่อไป ไม่ต้องไปถามใครอีก"


    ใครจะอยู่กลุ่ม คัมภีร์ใบลาน
    ใครจะอยู่กลุ่ม ธรรมบอกใครไม่ได้
    ใครอยู่กลุ่ม อยากรวยเพราะไสยเวทย์

    ก็พากันไปเลือกอยู่เลือกทำกันเอาเอง

    ใครจะคิดอะไร ก็คิดกันเอาเอง
    ใครจะเขียนอะไร ก็เขียนกันเอาเอง
    ใครจะทำอะไร ก็ทำกันเอาเอง

    เพราะผมก็จะตอบ แค่ที่ผมสมควรตอบ
    เพราัะผมก็จะเขียน แค่ที่ผมสมควรเขียน ก็แค่นั้นเอง

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  9. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ผู้ที่เขายกพระไตรปิฏก นั่นเพราะป้องกั้นความเข้าใจผิด

    ความเชื่อในแนวลักษณะของศาสนาพราหมณ์ มีมาก่อนความเป็นพุทธ

    ทุกคนย่อมทราบดี ในผู้ที่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของความเชื่อ

    ป้องกั้นความเข้าใจผิดอย่างไร และเพื่อความชัดเจน นั่นก็เพราะลุงมหา บอกไว้ว่า

    ซึ่งก็เหมือนกับการที่ลุงมหา บอกไว้อีกว่า

    จะเห็นได้ว่า ถ้อยคำ รูปประโยค ยังมีความคลุมเครือ

    ลุงมหา เป็น สงฆ์สาวก ที่เป็นฝ่ายคฤหัสถ์ฆราวาส

    หรือ เป็น สายพุทธภูมิ สร้างพระใหญ่ป้องกันภัยพิบัติกันแน่ เห็นได้จากแนวทางวิธีการนำเสนอ

    และจากคำครูบาอาจารย์ ที่ลุงมหา อ้างถึง "ปฏิบัติเอง ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ยังมาถึงนี่ได้"

    ซึ่งก็สามารถมองได้ทั้งสองมุม

    มุมหนึ่งคือ การเห็นถึงรู้ธรรมในขั้นนั้นๆ
    อีกมุมหนึ่ง คือ การได้เข้าไปหา

    ส่วนเรื่อง พอมีใครหยิยยกพระไตรปิฏก แล้วกล่าวว่า ผู้อื่น เป็นเพียงแค่ ใบลานเปล่า
    แล้วยกตนว่าเป็นนักปฏิบัติ นั้น ดูจะไม่ช่วยยืดอายุพระศาสนาได้นะครับ

    การปฏิบัติ โดยนัย แบบกว้างๆ

    มีทั้ง ในขั้นของทาน ในขั้นของศีล ในขั้นของปัญญา ซึ่งก็ยังมีปลีกย่อย
    ปลีกสาขา ความหยายละเอียดออกไปในแต่ละระดับ ตามการเข้าถึง

    ยังมีใครยังลักเล็กขโมยน้อย ทุจริตโดยใจจำยอม
    ดื่มเหล้าสุราเมรัย อยู่อีกหรือไหม และอย่าไปอ้างเอาเรื่องของสังคมมาบังหน้า

    สิ่งที่ยืดอายุพระศาสนา มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    บอกเป็นชาวพุทธ เป็นนักปฏิบัติ แต่ไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวสิ่งใดไว้ อะไรบ้าง

    แม้ครูบาอาจารย์ บางท่าน ในสายธรรมยุติ ท่านก็เรียนพระไตรปิฏก มูลกัจจายน์
    จนเป็นมหา เป็นเจ้าคุณ อันสังคมโลกต่างประเคนให้ ก็มีอยู่หลายท่าน
    และสิ่งที่นำสั่งสอนให้ปฏิบัติ ทำให้ท่านแตกฉานยิ่งนัก
    ในคำสอน ในแนวทาง ทั้งปฏิเวธ ปริยัติ ที่ปรากฏอยู่ในแนวทางพุทธศาสนา

    ส่วนใครจะกราบไหว้อะไรอย่างไรนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล
    หากสิ่งที่กล่าวอ้างถึง เป็นพรหมอนาคามี ก็ยิ่งสมควรแก่การกราบไหว้ อีกทั้งนั่นเป็นหนึ่งในรัตนตรัย

    ผู้ที่มาจุติเกิดร่วมสมัยในครั้งพุทธกาล ย่อมเป็นที่ทราบกันดี หากพิจารณาดีๆ
    ย่อมเป็นบุคคล หรือผู้ที่พร้อม เป็นพุทธบริษัท เพราะต่างเคยสร้างบารมีร่วมกันมา

    เพื่อร่วมวางรากฐาน ของพระพุทธศาสนา
    โดยมี พระโพธิสัตว์ ที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นผู้ประกาศธรรมจักร ให้แผ่ไป

    ก็จะเห็นได้ว่า ปัญจมหาวิโลกนะ พระโพธิสัตว์ และเหล่าบริวาร
    เกิดอยู่ท่ามกลางความเชื่อที่เห็นผิด แต่พร้อมที่จะชำแรก ให้สิ้นไป
    ด้วยบารมีธรรม ที่เคยอบรมมาแล้วในหลายๆภพชาติ เมื่อครั้งอดีต

    ใครจะอยู่กลุ่มใด อะไร อย่างไรนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    ตามระดับความหยาบ ละเอียด ต่อการเข้าถึง

    อย่าลืมนะครับ คำว่าใบลานเปล่า นั้นเป็นคำที่พระพุทธเจ้า
    ใช้คำกับ พระโปฐิละ นั่นเพราะพระองค์เล็งญาณแล้วว่า
    สั่งสมอบรมบารมีธรรมมามากพอ ที่จะสำเร็จพระอรหันต์

    จนได้สามเณรอรหันต์ ช่วยแก้ทิฏฐิอันโอ่อ่า ให้ไปจับเหี้ย นั่นล่ะครับ จนสำเร็จ

    ลุงมหา หากจะช่วยคนให้สำเร็จพ้นบ่วงการเกิดเร็วๆ ทำไมไม่ช่วย

    ให้คนรู้แนวทางเห็นธรรม มากกว่าที่จะเป็นคนรวยล่ะครับ

    ดูสิบางคน ที่ห้อยท้าย ไม่รู้ว่าตอนนี้ ยังชอบดูดวง ดูหมอ อยู่หรือป่าว

    ทั้งที่คำสอน ก็ยังปรากฏ อย่าให้ถูกกัดกร่อนสูญหายสิครับ
    ปัญญาไม่ได้มีไว้ให้รวยอย่างเดียว แต่ปัญญามีไว้เพื่อให้เห็นความจริง

    ช่วยกันพยุงรักษาไว้ ชี้ทั้งให้เห็นทั้งคุณและโทษ ให้กระจ่าง ไม่คลุมเครือ ให้เห็นความเจริญขึ้น และเสื่อมไป

    ย่อมที่จะ สามารถช่วยป้องกันภัยพิบัติ ที่มีต่อพุทธศาสนาได้ เป็นอย่างยิ่ง

    ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อเห็นผ้าขาวผู้อื่นเปื้อนอยู่
    เหตุใด ทำไมไม่บอกวิธีชำระล้างให้ถูกต้อง
    ทั้งที่ตนก็เคยแปดเปื้อนมาก่อน ย่อมรู้คุณและโทษ ในสิ่งควรค่า อย่างชัดเจน

    อริยสัจจ์ ไม่ใช่หรือ คือสิ่งซักฟอก

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2014
  10. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ผู้ที่เขายกพระไตรปิฏก นั่นเพราะป้องกั้นความเข้าใจผิด

    ความเชื่อในแนวลักษณะของศาสนาพราหมณ์ มีมาก่อนความเป็นพุทธ

    ทุกคนย่อมทราบดี ในผู้ที่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของความเชื่อ

    ป้องกั้นความเข้าใจผิดอย่างไร และเพื่อความชัดเจน นั่นก็เพราะลุงมหา บอกไว้ว่า

    ซึ่งก็เหมือนกับการที่ลุงมหา บอกไว้อีกว่า

    จะเห็นได้ว่า ถ้อยคำ รูปประโยค ยังมีความคลุมเครือ

    ลุงมหา เป็น สงฆ์สาวก ที่เป็นฝ่ายคฤหัสถ์ฆราวาส

    หรือ เป็น สายพุทธภูมิ สร้างพระใหญ่ป้องกันภัยพิบัติกันแน่ เห็นได้จากแนวทางวิธีการนำเสนอ

    และจากคำครูบาอาจารย์ ที่ลุงมหา อ้างถึง "ปฏิบัติเอง ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ยังมาถึงนี่ได้"

    ซึ่งก็สามารถมองได้ทั้งสองมุม

    มุมหนึ่งคือ การเห็นถึงรู้ธรรมในขั้นนั้นๆ
    อีกมุมหนึ่ง คือ การได้เข้าไปหา

    ส่วนเรื่อง พอมีใครหยิยยกพระไตรปิฏก แล้วกล่าวว่า ผู้อื่น เป็นเพียงแค่ ใบลานเปล่า
    แล้วยกตนว่าเป็นนักปฏิบัติ นั้น ดูจะไม่ช่วยยืดอายุพระศาสนาได้นะครับ

    การปฏิบัติ โดยนัย แบบกว้างๆ

    มีทั้ง ในขั้นของทาน ในขั้นของศีล ขั้นของสมาธิ ขั้นของปัญญา ซึ่งก็ยังมีปลีกย่อย
    ปลีกสาขา ความหยาบละเอียด ออกไปในแต่ละระดับ ตามการเข้าถึง

    ยังมีใคร ยังลักเล็กขโมยน้อย ทุจริตโดยใจจำยอม
    ดื่มเหล้าสุราเมรัย อยู่อีกหรือไหม และอย่าไปอ้างเอาเรื่องของสังคมมาบังหน้า

    สิ่งที่ยืดอายุพระศาสนา มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    บอกเป็นชาวพุทธ เป็นนักปฏิบัติ แต่ไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวสิ่งใดไว้ อะไรบ้าง

    แม้ครูบาอาจารย์ บางท่าน ในสายธรรมยุติ ท่านก็เรียนพระไตรปิฏก มูลกัจจายน์
    จนเป็นมหา เป็นเจ้าคุณ อันสังคมโลกต่างประเคนให้ ก็มีอยู่หลายท่าน
    และสิ่งที่นำสั่งสอนให้ปฏิบัติ ทำให้ท่านแตกฉานยิ่งนัก
    ในคำสอน ในแนวทาง ทั้งปฏิเวธ ปริยัติ ที่ปรากฏอยู่ในแนวทางพุทธศาสนา

    ส่วนใครจะกราบไหว้อะไรอย่างไรนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล
    หากสิ่งที่กล่าวอ้างถึง เป็นพรหมอนาคามี ก็ยิ่งสมควรแก่การกราบไหว้ อีกทั้งนั่นเป็นหนึ่งในรัตนตรัย

    ผู้ที่มาจุติเกิดร่วมสมัยในครั้งพุทธกาล ย่อมเป็นที่ทราบกันดี หากพิจารณาดีๆ
    ย่อมเป็นบุคคล หรือผู้ที่พร้อม เป็นพุทธบริษัท เพราะต่างเคยสร้างบารมีร่วมกันมา

    เพื่อร่วมวางรากฐาน ของพระพุทธศาสนา
    โดยมี พระโพธิสัตว์ ที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นผู้ประกาศธรรมจักร ให้แผ่ไป

    ก็จะเห็นได้ว่า ปัญจมหาวิโลกนะ พระโพธิสัตว์ และเหล่าบริวาร
    เกิดอยู่ท่ามกลางความเชื่อที่เห็นผิด แต่พร้อมที่จะชำแรก ให้สิ้นไป
    ด้วยบารมีธรรม ที่เคยอบรมมาแล้วในหลายๆภพชาติ เมื่อครั้งอดีต

    ใครจะอยู่กลุ่มใด อะไร อย่างไรนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    ตามระดับความหยาบ ละเอียด ต่อการเข้าถึง

    อย่าลืมนะครับ คำว่าใบลานเปล่า นั้นเป็นคำที่พระพุทธเจ้า
    ใช้คำกับ พระโปฐิละ นั่นเพราะพระองค์เล็งญาณแล้วว่า
    สั่งสมอบรมบารมีธรรมมามากพอ ที่จะสำเร็จพระอรหันต์

    จนได้สามเณรอรหันต์ ช่วยแก้ทิฏฐิอันโอ่อ่า ให้ไปจับเหี้ย นั่นล่ะครับ จนสำเร็จ

    ลุงมหา หากจะช่วยคนให้สำเร็จพ้นบ่วงการเกิดเร็วๆ ทำไมไม่ช่วย

    ให้คนรู้แนวทางเห็นธรรม มากกว่าที่จะเป็นคนรวยล่ะครับ

    ดูสิบางคน ที่ห้อยท้าย ไม่รู้ว่าตอนนี้ ยังชอบดูดวง ดูหมอ อยู่หรือป่าว

    ทั้งที่คำสอน ก็ยังปรากฏ อย่าให้ถูกกัดกร่อนสูญหายสิครับ
    ปัญญาไม่ได้มีไว้ให้รวยอย่างเดียว แต่ปัญญามีไว้เพื่อให้เห็นความจริง

    ช่วยกันพยุงรักษาไว้ ชี้ทั้งให้เห็นทั้งคุณและโทษ ให้กระจ่าง ไม่คลุมเครือ ให้เห็นความเจริญขึ้น และเสื่อมไป

    ย่อมที่จะ สามารถช่วยป้องกันภัยพิบัติ ที่มีต่อพุทธศาสนาได้ เป็นอย่างยิ่ง

    ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อเห็นผ้าขาวผู้อื่นเปื้อนอยู่
    เหตุใด ทำไมไม่บอกวิธีชำระล้างให้ถูกต้อง
    ทั้งที่ตนก็เคยแปดเปื้อนมาก่อน ย่อมรู้คุณและโทษ ในสิ่งควรค่า อย่างชัดเจน

    อริยสัจจ์ ไม่ใช่หรือ คือสิ่งซักฟอก

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2014
  11. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570

    ผมรู้จักจิตตัวเองดีครับ ดีระดับนึงครับ แต่ยังไม่สุด

    ถ้าสุดคงไม่เข้ามาเสียเวลาในนี้ครับ


    คนที่เข้ามาในนี้ ลึกๆก็เพื่อหวังค้นหาอะไรบางอย่างครับ

    แม้แต่คุณ◎สุริunร์ เอง ก็เข้ามาค้นหาอะไรบางอย่าง เพื่อเติมสิ่งที่ขาดไป

    คนที่เต็มแล้วจริงๆ เค้าไม่เข้ามาแน่นอนครับ


    ผมแค่หวังดีครับ แต่โมหะในจิตผม กับจิตคุณ มันต่างกันเกินไปครับ

    ทำให้สื่อสารกันไม่เข้าใจ

    ผมหวังดีกับคุณ อยากจะช่วย แต่ไม่สามารถช่วยคุณได้

    และกลายเป็นทำให้เกิด โมหะ โทสะ ตามมาอีก

    ผมจึงต้องขออโหสิกรรมครับ ไม่อยากผูกอกุศลกรรมกับใคร

    ถ้าจะผูกก็อยากจะผูกแต่กุศลกรรมครับ


    วันนี้ผมพูดไป แนะนำคุณไป คงไม่มีประโยชน์อะไรมากครับ

    เพราะคุณยังไม่พร้อมที่รับจะมัน

    แต่วันข้างหน้าไม่แน่ครับ เมื่อคุณรู้ตัว มองเห็นตัวเอง เห็นจิตตัวเอง

    คุณจะเข้าใจ แล้ววันนั้น เราค่อยมาคุยกันใหม่ครับ


    ผมเคยสนทนาธรรมกับคนมาเยอะครับ

    และก็เรียนรู้ว่า คนเรามีความสามารถในการเห็นธรรมไม่เท่ากันครับ


    อย่างที่พระพุทธองค์ท่านว่าบัวมีสี่เหล่า

    แต่ละเหล่ามีความสามารถในการเห็นธรรมไม่เท่ากันครับ


    ผมแนะนำ 2 ข้อสุดท้ายครับ

    1. คุณลองกับไปอ่านข้อความที่คุณตอบผมดูอีกรอบนะครับ
    แล้วลองพิจารณาดูครับว่าในคำตอบของคุณนั้น แสดงถึงอารมณ์อะไร มาจากกิเลสตัวไหน การตอบแบบเหน็บแนม ประชดประชัน มันเกิดขึ้นจากอะไร ทั้งๆที่เราคุยกันแนวธรรม

    2. มั่นทำบุญโดยการให้ธรรมเป็นทานมากๆนะครับ

    ขอให้ท่านสำเร็จในธรรมโดยเร็ว


    ครั้งนี้ผมขอหยุดการสนทนากับคุณเพียงเท่านี้ครับ

    เพราะคุยกันไปก็มีแต่จะทำให้เกิดผลตรงข้ามครับ

    ผมขออภัยและขออโหสิกรรมอีกครั้งครับ

    ขอให้สำเร็จในธรรม และขอโมทนาบุญด้วยครับ

    ปล. ที่ผมต้องขออโหสิกรรมทุกครั้ง เพราะทุกครั้งที่ตอบกระทู้ไป
    ก็เป็นการสร้างกรรมแล้วครับ จะเป็นกุศลหรืออกุศล ก็ขึ้นอยู่ที่ผลของมัน
    ขอเพื่อป้องกันไว้ก่อนครับ
     
  12. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570

    ชัดเจนมากครับลุงมหา

    ขอโมทนาบุญกับลุงมหาด้วยครับ
     
  13. โคกผักหวาน

    โคกผักหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +1,041
    ลองดูในเรื่องภพชาติ การตรัสรู้ การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า ....ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่โง่น ท่านเป็นศาสนาคริสต์ แต่บวชเป็นพระทางศาสนาพุทธจนมรณภาพคาผ้าเหลือง จะใช้คำพูดว่าศาสนาคริสต์เป็นบาทฐานของศาสนาพุทธกรณีหลวงปู่โง่นผมว่าไม่ถูกต้องครับ แบบนี้การสร้างบารมี หรือภพชาติก็ไม่มีซิครับ ลองพิจารณาดู(กรณีของลุงมหาที่กล่าวว่าพราหมเป็นบาทฐานของพระพุทธเจ้า).........................................พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวไว้ว่าศาสนาพราหมมิใช่ศาสนาแห่งการตรัสรู้
     
  14. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เรื่องความหลง หรือโมหะ มีกันทุกคนล่ะครับ แต่จะมากหรือน้อย

    ต้องเป็นเฉพาะบุคคลเป็นรายๆไป หากอาสวะยังไม่สิ้น ไม่สุดปลายทางอริยมรรค

    ในฐานะที่ยังเป็นผู้ดำเนินรอยตาม แน่นอนกิเลสย่อมชักใย ให้เกี่ยวข้องพัวพันกับความหลง หลงไปนอกเส้นทาง

    เสมือนน้ำที่ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด หากสติไม่ทันในผัสสะอายตนะ ไม่ตั้งมั่นพอ ก็ย่อมจะดำดิ่ง ไปสู่ความหลง ฉันนั้น

    ดังนั้น ก็จะขอเพิ่มเติมเป็นข้อที่3 การพิจารณาความหลงที่มีในตน

    มีข้อพิจารณาอยู่ว่า แม้ผมเองยังมีความหลง แต่ก็ไม่ได้หลงไปในไม้แหย่แย้

    หรือน้ำตาหมาดำ ที่ไม่ใช่แนวทางอุบายคลายความหลง

    ก็ลองพิจารณาดูล่ะครับ ว่าโมหะในจิตใคร ผ่อนคลายได้มากน้อยแค่ไหน

    และเห็นบอกว่า สนทนากับผู้คนมาเยอะ แล้วไม่มีใครบอก หรือครับว่า

    เรื่องการเปรียบบัวสี่เหล่านั้น ถ้าจะเอาให้แน่ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์เปรียบเทียบ ตามนัยพระไตรปิฏก

    แต่เป็นในชั้นของอรรถกถาจารย์ ที่ได้เปรียบเทียบบุคคล 4 จำพวก

    ส่วนข้อที่1 ที่กล่าวมานั้น หากยอมเป็นเขียง เสียแล้ว ก็จะรู้ว่ามาจากกิเลสตัวใด

    การเหน็บแนม คำประชดประชัน ย่อมจะไม่เกิดขึ้นภายในจิต เมื่อรู้จักจิตดีในระดับหนึ่ง กับสิ่งที่เข้ามากระทบ

    การเพิ่มเติมในข้อที่3 นี้ ขอบอกว่า ผมได้ทำตามในข้อที่ 2 ตามที่คุณกล่าวมาแล้วนั้น

    ก็ลองพิจารณาดูครับ "หากเหนื่อยนัก ก็พักผ่อน"

    Good luck.!! Silver11Wing
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2014
  15. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ครับ...ขอบคุณครับ
     
  16. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ทำไมไม่นิ่งเสียล่ะครับ ตามที่กล่าวมาก่อนหน้า

    หรือมาโพสเพียงว่า ขอบคุณ เฉยๆ เพื่อตัดบท

    นิ่งไว้ก่อน...สอนจิตตน แล้วค่อยกล่าวว่า "ขอบคุณ" ก็ยังไม่สายน๊าา
     
  17. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ได้ครับผม
     
  18. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เครือข่ายสายเทพสายพรหมนั้นเป็นอย่างไร?


    ขออนุญาตครับ

    เครือข่ายสายเทพสายพรหมนั้นเป็นอย่างไร?

    เครือข่ายสายเทพสายพรหมนั้น ก็เหมือนชาวพุทธทั่วไปนั่นละครับ

    มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก เพียงแต่ว่า ธรรมในส่วนที่พระพุทธองค์

    ได้ทรงสอนเหล่าเทวดา เหล่าเทพ เหล่าพรหม นั้น ศิษย์เครือข่ายสายเทพ สายพรหม

    จะได้รับรู้มากเป็นพิเศษ ต่างจากชาวพุทธทั่วๆไปมาก

    โดยเฉพาะการเข้ากันได้กับสายพุทธภูมิระดับสูงๆ

    ก็อย่างที่ผมเคยได้บอกเอาไว้ พระอริยะเจ้าแท้ๆ ที่รู้วาระจิตของผู้คน ยังหาได้ยากมากๆ

    แต่การรู้วาระจิตของคนทั่วๆไปนั้น องค์เทพท่านรู้ซึ้งกระจ่าง
    ยิ่งกว่า อภิญญาญาณ ของพระอริยะเจ้าเสียอีก
    เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะว่าท่านไม่มีธาตุ๔ องค์ท่านมีแต่จิตเท่านั้นเอง

    ทำให้ศิษย์สายเทพสายพรหม รู้เรื่องราวความเป็นไป ในโลกมนุษย์
    มากกว่าคนทั่วๆไป ละเอียดกว่าคนทั่วๆไป

    อยากรู้วิธีปฏิบัติที่ให้ผลได้เร็ว ก็สามารถถามองค์เทพท่านได้
    อยากรู้วิธี ทำมาหากินที่ทำให้ร่ำรวยได้เร็ว ก็สามารถถามองค์เทพท่านได้
    อยากได้พบ อยากได้เจอสายใยบารมี จะเอาเท่าไร จะเอาสนิทชิดเชื้อขนาดไหน องค์เทพท่านบอกได้
    อยากได้ตัวจิกซอร์ที่ขาดในวงลูป ของธุระกิจ องค์เทพท่านบอกให้ได้
    อยากได้พบ อยากได้เจอ เทวดาประจำกองบุญของตน องค์เทพท่านบอกให้ได้
    อยากพบอยากเจอ เจ้ากรรมนายเวร องค์เทพท่านจัดการให้ได้
    อยากรู้ว่า เทวดาประจำ ครอบครัว ธุระกิจการงาน องค์เทพท่านพูดคุยให้ได้
    อยากไปไหน มีองค์เทพ องค์เทวดาเจ้าถิ่นนั้น ให้กาีรสนับสนุน ให้การคุ้มครอง ให้การช่วยเหลือ องค์เทพท่านจัดการให้ได้

    องค์เทพจิตราจินดานั้น องค์ท่านถึงกับบอกว่า

    "ไม่ต้องทำอันนั้นแล้ว แล้วพ่อจะช่วยให้เจ้า่รวยยิ่งกว่าทำอันนั้นเสียอีก"

    ศิษย์สายเทพสายพรหมนั้น อยู่ดีๆก็มีคนโทรหา คุยกันไป คุยกันมา
    สนิทสนมกลมเกลียว งานที่ว่ายากๆ ก็ช่วยกันทำ
    ใครใกล้ ใครสะดวก ก็ออกแรงคนละนิด คนละหน่อย

    ยิ่งงานจัดหา ยิ่งงานซื้อๆ ขายๆ ยิ่งง่ายแสนง่าย
    ใครหาคนซื้อ ใครหาคนขาย ใครเป็นผู้ประสานงานกลาง
    ใครทำหน้าที่อะไร ใครอยู่โซนไหน แค่โทร แค่พูด แค่คุย
    ไลย์มั่ง อีเมล์มั่ง งานไปได้โลด

    ความสนิทสนม ความกลมเกลียว ความไว้เนื้อเชื่อใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    แต่ละคนใจเกินร้อย บางท่านครูบาอาจารย์สายเทพ ที่แม้จะไม่เคยพบเคยเห็นหน้า
    แต่องค์ท่านก็บอกศิษย์ฝั่งโน้นมาว่า

    คนนี้ล่ะ เคยเกิดเป็นพี่เป็นน้องของเจ้า
    เทพองค์ใหญ่ประจำกองบุญของพวกเจ้าก็คือองค์............

    อยากจะสำเร็จ ต้องทำงานร่วมกับคนนี้
    อยากให้ราบรื่นต้องติดต่อกับคนนั้น
    อยากให้งานนี้สำเร็จราบรื่นต้องขอกับองค์เทพองค์นั้น

    ศิษย์สายเทพสายพรหม เขาทำงานกันอย่างนี้
    แต่ละคน แต่ละกลุ่มก็ทำงานของตัวไป รอเวลาอันเหมาะสมเมื่อไร
    ก็จะพบ ก็จะเจอ ก็จะประจวบเหมาะ เจอตัวคีย์แมน เจอตัวประสานงานให้สำเร็จโดยอัศจรรย์ได้

    งานสำเร็จ ก็แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้
    กลุ่มไหนยังไม่สำเร็จ ก็เอื้อเพื้อเผื่อแผ่กันไป

    เราอยู่ของเรากันอย่างนี้ เราเอื้อเพื้อเผื่อแผ่กันอย่างนี้

    เราจึงเป็นกลุ่มคนที่พิเศษ กว่าบุคคลกลุ่มอื่นๆ

    ใครจะมองเราอย่างไร ก็ช่างเขา มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

    ใครจะจับพลัดจับผลู เข้าไปในกลุ่ม เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด มันก็เรื่องของเขา

    ใครที่คิดว่าตนเองพอจะมีบุญบารมีอยู่บ้าง ก็ลองอ่าน ลองหาวิธีเข้ามา

    ใครที่คิดว่า ชาตินี้ จะสู้ศึก ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ในรูปแบบ สันโดษ มักน้อย ก็เลือกทางเดินเอาเอง

    เกิดมาทั้งที พอจะมีปัญญา เลือกทางเดินให้ตนเองบ้างไหม

    หรือต้องให้คนอื่นเลือกให้

    สู้ พอไหม
    อด พอไหม
    ทน พอไหม
    เมตตา พอไหม
    กรุณา พอไหม
    นอบน้อม พอไหม
    ถ่อมตน พอไหม

    ประเภทคุยโม้โอ้อวด เดินส่ายอาดๆเข้ามา
    แล้วจะมาบอกว่า
    "ช่วย ก หน่อยครับท่าน"

    ก็คิดเอานะครับ ท่านจะเจอกับอะไร ท่านจะได้แบบไหน

    ส่วนผมลุงมหา ผมก็มีกลุ่มงานของผม ที่ครบถ้วนดีแล้ว
    รอแต่เวลาของความสำเร็จเท่านั้นเอง

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  19. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    mp3 ธรรมะหลวงปู่เหรียญ เคยเห็นโพสขอรับ

    ลองไปฟังดู ไม่รู้ว่าได้รับหรือป่าว หากไม่ได้รับ เวบฟังธรรมมีอยู่เยอะแยะ
     
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เอ้..ลุงมหา เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา รูป ซึ่งประกอบด้วยธาตุ4

    นอกจาก อรูปภพ อรูปพรหม เท่านั้น ที่ไม่มีรูป มีแต่จิต

    นอกนั้น รวมถึงเทวภพ รูปภพ มีธาตุ4 ประกอบกันขึ้นเป็นรูป ด้วยกันทั้งนั้น

    ต่างกันที่ความหยาบละเอียด ที่แตกต่างกันไป ของกำลังกุศลกรรม หรือปุญญาภิสังขาร หรือที่เรียกว่า กัมมชรูป

    ซึ่งหากบอกว่า องค์เทพ องค์พรหม ไม่มีธาตุ4 เห็นจะไม่ใช่

    มีตัวอย่าง เรื่องการรับรู้ของพรหม ท่านหนึ่ง สมัยที่ยังมีทิฏฐิเป็นพรหมปุถุชน

    หากมี อภิญญาณ ยิ่งกว่าพระอริยเจ้าผู้มีอภิญญา

    เหตุใด พระพุทธองค์ ต้องไปคลายทิฏฐิ ให้รู้เห็นตามจริง ล่ะครับ

    ลุงมหาๆ เคยเห็นท่านไหม? จำได้ที่ลุงเคยโพสไว้

    สุทธาวาสพรหม ท่านเหล่านั้น มีรูปขันธ์ มีธาตุ4 ไหม

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...