เอาตัวเลขมาคุยกัน...กับพวกเรา สีลพุทธญาณนิมิต

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย Amatayan, 9 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    เข้าวัดก็ต้องเลือกนะครับ แล้วอย่าไปสนิทกับพระมาก ให้ทำตัวเป็นผู้ใหม่เสมอ เพราะถ้าสนิทเมื่อไร อาจล่วงเกินท่านด้วย กายกรรม วจีกรรม ได้นะครับ มันจะเป็นโทษ แล้วถ้าพระท่านทรงศีล ทรงวินัยก็แล้วไป แต่ถ้าพระไม่สำรวมอินทรีย์และก็ ปาฏิโมกข์สังวรศีลท่านก็จะเสีย ความเลวก็จะปรากฎทั้งสองฝ่าย...นี่ลาน้า...ดีแล้วที่เค้าไม่ได้บวช...กลัวทำเสียหาย เพราะใจอ่อน....

    แล้วดวงไม่ดีหรือชีวิตมีปัญหา แสดงว่ากุศลที่เราทำมันยังอ่อนอยู่ เลยขัดข้อง ขัดสน อย่ายอมจำนน แต่ให้ยอมรับแล้วก็สร้างเหตุ สร้างปัจจัยที่ดีต่อไป อย่าเซ็ง เพราะความเซ็งเป็นอารมณ์ของโทสะ ...นะจ๊ะ
     
  2. mai261

    mai261 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณสำหรับข้อคิดที่ดีค่ะ ปัจจุบันคนเข้าวัดแล้วทำตัวหาผลประโยชน์เข้าตัวเองก็เยอะ แต่คนเข้าวัดทำตัวดีจิงๆก็มีอยู่ไม่น้อย
     
  3. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    นั่นดิ...ผมก็สงสัย ทำไมตอนคิดมันขยะแขยง แต่ตอนมันเอา...เอ้ย...ตอนหน้ามืด มันไม่หยะแหยงเนอะ...หัวก็โล้น..ชิ....
     
  4. mai261

    mai261 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +508
    ถ้าเราเห็นวัดดังและคนไปเยอะๆ ที่สวยงามทำไมรู้สึกไม่อยากไป แต่ทำไมชอบไปวัดที่คนน้อยๆติดอยู่ถามถ้ำตามภูเขา ไปแล้วรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
    ลักษณะนี้เรียกว่าอะไรค่ะ คือจริตมั้ยค่ะ
     
  5. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    มันเป็นจริตหมดแหละครับ อย่างน้องนี่ถ้าพิจารณาแล้ว จัดเป็นวิตกจริต เหมือนกันนะครับ เพราะชอบคิดมาก ขณะใดอารมณ์โกรธหรืออารมณ์ขุ่นมัวเกิดขึ้น กำลังของโทสจริตก็มีกำลัง ขณะใดพิจารณาธรรมะหรือใคร่ครวญเหตุผลในทางธรรมขึ้นมา ปัญญาจริตหรือพุทธิจริตก็เกิด ถ้าขณะใดอารมณ์แห่งความรักความชอบมันเกิดขึ้นมีกำลัง ขณะนั้นก็จัดว่ามีราคะจริต จริตที่เกิดมาเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่ง เกิดมาแล้วสั่งสมอุปนิสัยอะไรมากๆ จริตก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นจริตนี้มันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นตามสภาวะครับ ไม่ได้จำกัดว่า จริตของเราจะคงที่ แน่นอน ไม่แล้วแต่เหตุการณ์ แล้วแต่อุปนิสัย แล้วแต่สังคม มันเป็นไปตามสภาวะ เพราะฉะนั้นจริตจึงเป็นไปตามการเสพคุ้นอารมณ์นะ...แต่ดัดจริตนี่สิ ทำไม่ได้ แต่คนเราก็เอาศัพย์คำว่าดัดจริตมาใช้กัน คือฝืนธรรมชาติของตัวเอง...เพราะฉะนั้นในวิสุทธิมรรคจึงแสดงเรื่องของจริต และกรรมฐานที่เหมาะกับแต่ละจริตๆไว้...
     
  6. mai261

    mai261 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +508
    555 คงเปนแบบนั้นค่ะ
     
  7. blue pooh

    blue pooh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +271
    เอิ่ม...จัดเต็มกันทั้งสองท่าน..วัดไหนมีอะไร pm มาบอกกันบ้างซิคะ..อิฉันยังไม่เคยไปวัดไหนแปลกๆค่ะ ไปวัดใกล้บ้าน ทำสังฆทาน ไหว้พระ ทำบุญนิดหน่อย ถ้าว่างพิเศษ หรือทุกข์หนักก็ไปวัดชลปทาน วัดสังฆทาน แค่นี้ค่ะที่ไป..ชอบไปวัดเงียบๆเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปบ่อย ชอบมาตามอ่านที่นี่มากกว่า มีหลายแนวดี..555 มีดูดวง ไสยศาสตร์ ผีสางนางไม้ เรื่องระลึกชาติ ภพภูมิ คำสอน บทสวดมนต์ เยอะแยะเต็มไปหมด..

    แต่ไปวัดยังไม่เคยไปเจออะไรแปลกๆนะคะ หรือว่าไปไม่บ่อยไม่รู้..555
     
  8. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    ฮ่า..ฮ่า..Amatayan หัวไม่โล้นบ้างก็แล้วไป อิ..อิ.. คนหัวโล้นก็อยากไปสวรรค์ แต่ดันเดินหาทางลัดไปสวรรค์ผิดมรรคไปนิดหนึ่ง เลยก้าวพลาดลงนรก
     
  9. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    ว่าด้วยกิจกรรมและความหมกมุ่นทางเพศของภิกษุ ต้นบัญญัติแรกที่ถือว่าสำคัญมากก็คือ ปฐมปาราชิกสิกขาบท ว่าด้วย เมถุนธรรม ถือเป็นสิกขาบทแรกว่าด้วยปาราชิก ซึ่งหมายถึงความขาดออกจากการเป็นพระ เกิดกรณีของพระสุทินน์ที่ออกบวชในพุทธศาสนา แต่ด้วยความเป็นลูกเศรษฐีทางบ้านจึงไม่ยอมให้ออกบวชตั้งแต่ต้น ถึงกับขู่บิดามารดาของตนว่า หากไม่ยอมให้บวชจะยอมตายเลยทีเดียว ซึ่งการบังคับดังกล่าวทำให้ทั้งสองยอมให้บวช ภายหลังบวชแล้วบิดามารดาก็ร้องขอให้สึกพระสุทินน์ก็ไม่ยอม ในที่สุดก็ขอเพียงอย่างเดียวก็คือ ขอเชื้อไว้สืบพันธุ์วงศ์ตระกูล และให้เหตุผลว่า หากไม่มีคนสืบตระกูลพวกลิจฉวีจะยึดทรัพย์ของตระกูลไว้

    เรื่องดังกล่าวทำให้พระสุทินน์คิดหนักและในที่สุดก็ตัดสินใจยอม “มีอะไร” กับอดีตภรรยาของตนกลางป่า ถึง ๓ ครา ด้วยเห็นว่ายังไม่มีโทษใดที่บัญญัติไว้ แต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ไตรปิฎกกล่าวเรื่องเหนือธรรมชาติว่า เรื่องดังกล่าวแม้ใครไม่รู้ไม่เห็นแต่ก็มี “เทวดารู้เห็น” พระสุทินน์เองก็รู้สึกไม่สบายใจจนนำเรื่องดังกล่าวมาเล่าให้หมู่คณะ ทำให้เกิดการประชุมสงฆ์ขึ้น พุทธะก็ทำการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งพระสุทินน์ก็รับสารภาพ พุทธก็ชี้ให้เห็นโทษของการเสพกามว่า

    ดูกรโมฆบุรุษ องค์กำเนิด อันเธอสอดเข้าในปากอสรพิษที่มีพิษร้าย ยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคาม ไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าในปากงูเห่ายังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคาม ไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าในหลุมถ่านที่ไฟติดลุกโชนยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคาม ไม่ดีเลย

    ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร

    เพราะบุคคลผู้สอดองค์กำเนิดเข้าในปากอสรพิษเป็นต้นนั้น พึงถึงความตาย หรือความทุกข์เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย เบื้องหน้า แต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามนั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ซึ่งมีการกระทำนี้เป็นเหตุ

    ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อการกระทำนั้น มีโทษอยู่ เธอยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรม อันเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ อันชั่วหยาบ มีน้ำเป็นที่สุด มีในที่ลับ เป็นของคนคู่ อันคนคู่พึงร่วมกันเป็นไป เธอเป็นคนแรกที่กระทำอกุศลธรรม เป็นหัวหน้าของคนเป็นอันมาก การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

    ตัวอย่างดังกล่าว เป็นต้นบัญญัติแรกของวินัย อย่างไรก็ดี เมื่อมีกฎก็ย่อมมีคนพยายามที่จะหลีกเลี่ยง กรณี “เลี่ยงบาลี” จึงเกิดขึ้นอย่างโลดโผน ตัวอย่างเช่น การร่วมเพศกับลิงตัวเมีย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระรูปหนึ่งเกิดอารมณ์จนทนไม่ไหวจึงนำอาหารมาล่อลิงตัวเมียเพื่อแลกกับการมีสัมพันธ์ด้วย เพื่อนพระมาเห็นเข้าจึงได้ตำหนิติเตียน แต่พระรูปดังกล่าวก็อ้างว่า บัญญัตินั้นห้ามเฉพาะเสพกามกับผู้หญิง ความรู้ถึงพุทธะ จนถูกสอบสวนในที่ประชุมสงฆ์และในที่สุดก็ถูกตั้งเป็นอนุบัญญัติว่าห้ามเสพกามแม้กับเดรัจฉานตัวเมีย

    พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑
     
  10. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ยายใหม่...แกนี่ช่างฝันเยอะจริงๆนะเนี่ย....แถมยังชอบแนวเดาหวยด้วยนะครับ..สงสัยพวกเดียวกับราหู กับ เจ้นาดแน่ๆเลย....อิอิ...ไม่รู้ทำไมถึงชอบเล่นหวย ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นอบายมุข...อิอิ..มีเหน็บ...อิอิ...ก็ธรรมดา คนเรามันสั่งสมอัทธยาศัยมา พูดง่ายๆมันก็คือจริตนั้นแหละ...ไม่เป็นไรหลอก ชอบก็ชอบไป แต่อย่ามากเกินพอดี...แล้วก็อย่าไปส่งเสริมให้คนเขาเล่นกันล่ะ..มันไม่ดี หวยเป็นเรื่องธรรมดาของคนชาวบ้าน มันไม่ผิดอะไรมากหลอกในความคิด..แล้วมันก็ไม่ผิดศีลผิดธรรมมาก แต่ถ้าเอามางมงายจนเกินไปนี่สิ...ถอนบ้างนะ ถ้าเลิกใบ้ เลิกให้ก็ดี ถ้าเลิกไม่ได้ไว้จัดครอสไปทัวร์ถ้ำกระบอกให้...ยกไปทั้งเวปพลังจิตเลย ให้หลวงพ่อเอาไม้ฟาดหัวคนละที...อิอิ...
     
  11. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    อนุโมทนากับธรรมะที่พี่บัวมาโพสด้วยนะครับ


    ...ส่วนเรื่องพระทุศีลนี่ ก็อย่าไปเก็บเอามาคิดมาก เดี๋ยวเวลาไปทำบุญแล้วมันจะติดใจว่าทำบุญกับพระไม่ดีหรือเปล่านะครับ
    (เขียนถึงคนอื่นนะ...) แม้กระทั่งในยุคศาสนานี้ใกล้ ๕ พันปี พระทำไร่ ทำนา มีครอบครัว คนไหนเป็นพระจะมีผ้าเหลืองห้อยไว้ที่หู ถ้าบุคคลใดให้ทานโดยความเคารพ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย บุญนั้นย่อมเต็มเปี่ยม ฉันใด ในกาลนี้ยังไม่ใช่กาลวิบัติเสียทีเดียว ถ้าเราไม่ช่วยกันดูแล และสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ถึงเวลาพระทำผิด เราก็ไปด่าเอาทั้งวงการสงฆ์ แต่โยมนี่แหละ ทำไมไม่ศึกษาว่า ทำอย่างนี้ผิด ทำอย่างนี้ไม่ควร ....ติดบ่นนิดหน่อย ...พอดีกว่า...
     
  12. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ตั้งใจไว้ๆๆๆๆ.....อนาคตอยากไปเป็นเนกขัมมะ...ครับ...ก็เพราะว่ารู้ว่าในเพศนั้นมันอยู่ยาก ไม่มีมารตนใดอยากให้คนๆไหนพ้นจากอำนาจมันง่ายๆหลอก...มันฉุดไว้ มันบีบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆหัวใจไว้หมดเลย.......ความรู้ยังไม่มี ความดียังไม่ปรากฎ ขออยู่อย่างชาวบ้าน ศึกษาธรรมะไปก่อน...ถึงเวลานั้นจะได้ทำตัวเองให้ร่มเย็น ...ไว้รอนู๋มาโปรดนะเจ้...อิอิ...
     
  13. mai261

    mai261 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +508
    ไม่ได้ตั้งใจใบ้ค่ะพี่55 (แค่อยากรู้ความหมายที่ฝัน)แต่รู้ว่าซื้อหวยไม่ดี 1 อาทิตย์ แล้วนะค่ะที่จะฝันเป็นเรื่องเป็นราว มันออกงมงาย แต่ถูกบ่อยค่ะแต่ไม่มาก ได้ตังมาก็มาทำบุญต่อ
    ปล.แต่พอทราบค่ะ มันอบายมุข
     
  14. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    แซวๆๆจ้า...ฝันบ่อยนี่ ในด้านวิถีจิต เข้าบอกว่า เรานอนหลับไม่สนิท เพราะฉะนั้น การฝันนี่ยังบ่งถึงความป่วยไข้ หรือระบบอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายมีความผิดปกติด้วยนะครับ เช่น ไต หัวใจ เป็นต้น ยังไงดูแลตัวเอง ออกกำลังกายบ่อยๆ ดื่มน้ำให้มากๆ แล้วจิบชาเจียวกู้หลานบ่อยๆนะครับ
     
  15. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    อนุโมทนา สาธุจ้ะ ไม่ต้องรออนาคตหรอก ไปเนกขัมมะกับพี่บัวก็ได้ พี่บัวไปบ่อย ไอ้ที่ไม่อยากอยู่ในเพศน่ะกลัวหัวโล้นหรือว่ายังหาคนถือหมอนไม่ได้อ๊ะเปล่า พี่บัวไปช่วยถือให้ก่อนก็ได้ ถ้าน้องอมตญานอยู่ในเพศแล้วพี่บัวจะถวายตาลปัตรไว้บังตาแทนแว่นเรย์แบน ย่ามธุดงค์ใส่กลดอย่างดีแทนกระเป๋าหลุยส์ ตามด้วยอาสนะรองนั่งนุ่ม ๆ แทนเครื่องบินเจ็ท แล้วจะทำอาหารอย่างดีไปถวายเช้า ถวายเพลเลยเชียว รอพระญานมาโปรดอยู่นะ อย่าให้รอนาน พี่บัวสูงวัยแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันการซะนี่
     
  16. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    (ความทุกข์ของผู้หญิง ๕ ประการ)

    (ความทุกข์ของผู้หญิง ๕ ประการ)

    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 69

    อาเวณิกสูตร

    ว่าด้วยความทุกข์เฉพาะของมาตุคาม ๕ ประการ

    [๔๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ๕ อย่างนี้ ความทุกข์ ๕ อย่างเป็นไฉน.
    คือ มาตุคามในโลกนี้ เมื่อยังกำลังสาวไปสู่สกุลผัวเว้นจากญาติ อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามข้อต้นที่ตนจะต้องเสวย

    [๔๖๓] อีกประการหนึ่ง มาตุคามมีระดู อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามข้อที่ ๒ ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ.

    [๔๖๔] อีกประการหนึ่ง มาตุคามมีครรภ์ อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามข้อที่ ๓ ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ.

    [๔๖๕] อีกประการหนึ่ง มาตุคามคลอดบุตร อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามข้อที่ ๔ ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ.

    [๔๖๖] อีกประการหนึ่ง มาตุคามเข้าถึงความเป็นหญิงบำเรอของบุรุษ อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามข้อที่ ๕ ที่ตนจะต้องเสวยเว้นจากบุรุษ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ๕ อย่างนี้แล.จบ อาเวณิกสูตรที่ ๓

    นี่แหละความทุกข์ของบรรดาสาวๆทั้งหลายที่พึงได้รับอย่างชัดเจน ๕ อย่างนี้ ใน ๔ อย่างแรกดูเหมือนไม่น่าสะเทือนใจเลยสำหรับผม เพราะข้อที่ ๑ ก็เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ต้องพลัดพรากจากตระกูลตนเองไปอยู่กับสามี

    ข้อที่ ๒ เธอต้องมีระดู เพราะร่างกายเธอต้องขับของเสียออกจากร่างกาย....

    ข้อที่ ๓ และ ๔ เธอต้องอุ้มท้อง เพราะเธอทำหน้าที่ตั้งครรถ์และก็ต้องเลี้ยงดูบุตร เพราะสามีต้องเป็นผู้ทำกิจการงาน เพื่อหารายได้....

    ข้อสุดท้าย...ข้อสะเทือนใจสำหรับผม...เธอเกิดมาเพื่อบำเรอชาย ผู้หญิงเกิดมาเพื่อให้ความสุขทางเพศแก่ผู้ชาย คำว่า "บำเรอชาย" มันสะเทือนใจผมมาก...แล้วก็คิดสงสารเพศหญิงขึ้นมาทันที...ก็อยากจะบอกท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ให้เห็นใจพวกเธอ อย่าไปหลอกให้เขาเสียใจ อย่าหลอกให้ผู้หญิงหลงรัก เพราะผู้หญิงนั้นลืมยาก ถ้ารักใครแล้วก็จะไม่ลืมเลือนได้ง่ายๆ...อย่าเห็นว่าผู้หญิงเป็นของตาย อย่าเห็นผู้หญิงเห็นของเชยชม หัวใจเธอรักเราได้ เมื่อรักมาก เจ็บมาก แล้วก็แค้นมากได้เช่นกัน...เห็นใจในทุกข์ข้อนี้ของพวกเธอเถิดนะครับ...ยิ่งรักอาจจะกลายเป็นยิ่งร้ายนะครับ.......

    ส่วนผู้หญิงเอง ก็ต้องตระหนักให้ดี อย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าไว้ใจใคร อย่าเชื่อคำหวาน อย่าหลงคำลวง แล้วที่สุดก็ช้ำใจในภายหลัง อย่าเล่นกับไฟ มีแต่จะมอดไหม้ไปกับน้ำตา .....เป็นหญิงต้องมีคุณค่า มีราคา อย่าให้แรงไฟราคะมันครอบงำ ต้องคิดไว้ในใจเสมอ ต้องท่องคาถาไว้ " สักวันมึงต้องทิ้งกู "...แล้วจะปลอดภัย ไม่ต้องเจ็บใจไม่ต้องเสียใจนะ..


    คัดลอกมาจาก
    https://www.facebook.com/groups/536774743083792/616172265144039/?notif_t=like


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2014
  17. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613


    โอ้..คุณพิสุทธิ์ เอ้ย..ท่านอมตญาน ทำพี่บัวซึ้งอีกแล้ว ต้องขอบคุณแทนผู้หญิงทั้งโลกจริง ๆ หากมีผู้ชายที่คิดดี..ทำได้..อย่างอมตญานกล่าว ผู้หญิงทั้งโลกคงมีความสุข (อย่างน้อยก็พี่บัวคนหนึ่งละ) หากเราทุกคนมีความซื่อสัตย์ มั่นคง ใจเดียว ไม่ว่าหญิงหรือชาย ความเชื่อมั่นและศรัทธาก็จะเกิดขึ้น

    โดยพื้นฐานแล้ว ความซื่อสัตย์ ไม่ว่าใครก็คงรู้ความหมายของมันดี ความหมายหาได้ง่าย แต่การรักษาทำได้ยาก ไม่ว่าใครก็อยากได้ความซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเรื่อง ความรัก เพราะความซื่อสัตย์ เป็นเรื่องสำคัญ และสามารถนำไปใช้ได้กับทุกเรื่องราวในชีวิต

    ซื่อสัตย์ต่อตนเอง... ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น
    แล้วมีสักกี่คนล่ะ... ที่จะทำได้
     
  18. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    จัยจ้าพี่บัว...ผมก็เป็นอะไรที่ถูกมารเข้าแทรกเป็นประจำ...อิอิ...บางทีลูกสาวพญามารก็แวะมาหาเรื่อยๆนะ...บางทีก็แปลงร่างเป็นวัวเขาอ่อนมา..วุ้ยๆๆ...เอาเรื่องความเชื่อเรื่องสิริมงคลของพี่เค้ามาให้อ่านดีฝ่าเนอะ...

    เรื่องสิริมงคล (สิริชาดก) (๑)
    ความเชื่อของเรื่องความเป็นสิริมงคล มีมานานก่อนพระพุทธเข้าจะได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกเสียอีก เป็นความเชื่อ ความศรัทธา ของศาสดาเจ้าลัทธิต่างๆมากมาย

    ในเรื่องสิริชาดกนี้แสดงถึงสิ่งของๆท่านเศรษฐีผู้มีบุญท่านหนึ่ง ที่เป็นของที่เรียกว่ามงคลอยู่ในบ้านของท่าน มีพราหมณ์คนหนึ่งผู้มีความชำนาญในการดูสิริ ได้ไปขอของใช้ต่างๆของท่านในเรือนเศรษฐี เมื่อพราหมณ์ไปขอสิ่งใดๆ เศรษฐีก็ยกให้ทุกอย่าง สิริแม้จะหนีไปอยู่ในที่ใดๆ พราหมณ์นั้นก็ขอสิ่งนั้นกับเศรษฐีทุกอย่าง จนกระทั่งสิรินั้นหนีไปอยู่ที่ตัวผมของภรรยาท่านเศรษฐี ทำให้พราหมณืคนนั้นต้องผิดหวัง .....อ่านเรื่องนี้เต็มๆได้ที่ ����ص�ѹ��Ԯ� �ط���ԡ�� �Ҵ� ���� � �Ҥ � - ˹�ҷ�� 251

    เป็นการแสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆนั้น เป็นวาสนาของใครก็ของคนนั้น จะมาเอาหยิบยื่นให้แก่กันมิได้เลย แล้วพวกเราจะแสวงหาสิริ หรือแสวงหา อุจจาระและขนมในกระเช้าของคนบ้ากันหรือ...

    คัดลอกมาจาก https://www.facebook.com/photo.php?fbid=235333820005232&set=gm.615736095187656&type=1&theater
     
  19. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    เรื่องสิริมงคล (สิริชาดก) (๒)

    เรื่องสิริมงคล (สิริชาดก) (๒)

    บุรุษอื่นผู้มีบุญเมื่อจะบริโภคผลบุญของตนแม้จะไม่ทำการงานอะไร ๆ ก็ย่อมได้ใช้สอยทรัพย์ทั้งหลายที่เรียกว่าทรัพย์มากเหล่านั้น

    อดีตของที่มาเรื่องนี้ที่มาในอดีตกาล คือเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถึงอดีตชาติของท่านและผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้คร่าวๆ

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 275

    มีไก่สองตัวเถียงกันเรื่องการถ่ายอุจจาระใส่หัวกัน...จนกระทั่งเป็นที่มาของการถูกจับฆ่าตาย แล้วเมื่อไก่โดนจับไปทำเป็นอาหารแล้ว คนที่ได้กินไก่ก็คือคนที่มีบุญ ส่วนคนที่จับไก่มาฆ่าเป็นนายพรานแท้ๆกลับไม่ได้กิน เพราะบุญไม่มี ถึงได้คุณวิเศษจากไก่ตัวนี้ก็มิอาจจะได้เป็นเจ้าของได้...

    มีพราหมณ์ผู้รู้ลักษณะสิริ ชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งคิดว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นคนเข็ญใจแล้วกลับเป็นใหญ่ขึ้นอีก อย่ากระนั้นเลย เราทำทีเหมือนต้องการจะไปเยี่ยมท่านเศรษฐีนั้น ไปลักเอาสิริจากเรือนของท่านเศรษฐีนั้นมาเสีย.พราหมณ์นั้นไปยังเรือนของท่านเศรษฐี อันท่านเศรษฐีนั้นกระทำสักการะและสัมมานะแล้ว เมื่อกำลังกล่าวถ้อยคำเครื่องให้ระลึกถึงกันและกันอยู่ ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ท่านมาหาข้าพเจ้า เพื่อต้องการอะไร ?

    ก็ตรวจดูว่า สิริประดิษฐานอยู่ที่ไหนหนอ. ก็ท่านเศรษฐีมีไก่ขาวปลอดมีส่วนเปรียบดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ใส่ไว้ในกรงทองตั้งอยู่.สิริประดิษฐานอยู่ที่หงอนของไก่นั้น. พราหมณ์ตรวจดูอยู่รู้ว่าสิริประดิษฐานอยู่ที่ไก่นั้น จึงกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐีข้าพเจ้าสอนมนต์พวกมาณพ ๕๐๐ คนเพราะอาศัยไก่ตัวหนึ่งขันไม่เป็นเวลา พวกมาณพและข้าพเจ้าจึงย่อมลาบาก ได้ยินว่าก็ไก่ตัวนี้ขันตรงเวลา ข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการไก่ตัวนี้ ท่านโปรดให้ไก่ตัวนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด ท่านเศรษฐีกล่าวว่า จับเอาไปเถอะพราหมณ์ข้าพเจ้าให้ไก่ตัวนี้ก็ท่าน. ก็ในขณะที่ท่านเศรษฐีกล่าวว่า "ให้ " เท่านั้น สิริก็เคลื่อนจากหงอนของไก่นั้นไปประดิษฐานอยู่ที่ดวงแก้วมณี ซึ่งวางอยู่เหนือหัวนอน. พราหมณ์รู้ว่าสิริไปประดิษฐานอยู่ที่แก้วมณึจึงขอแก้วมณีแม้ดวงนั้น. ในขณะที่ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ข้าพเจ้าให้แก้วมณี เท่านั้นสิริก็เคลื่อนจากแก้วมณีไปประดิษฐานอยู่ที่ไม้เจว็ดซึ่งวางอยู่เหนือหัวนอน.พราหมณ์รู้ว่าสิริไปประดิษฐานอยู่ที่ไม้เจว็ดนั้น จึงขอไม้เจว็ดแม้นั้น. ในขณะที่ท่านเศรษฐีกล่าวว่า จงถือเอาไปเถอะ เท่านั้นสิริก็เคลื่อนจากไม้เจว็ดไปประดิษฐานอยู่ที่ศีรษะของภรรยาเอกของท่านเศรษฐี ชื่อว่าบุญญลักษณาเทวี. พราหมณ์ผู้เป็นโจรลักสิริรู้ว่าสิริไปประดิษฐานอยู่ที่ภรรยาเอกของท่านเศรษฐี จึงคิดว่าเราไม่อาจขอภรรยาเอกนี้ซึ่งเป็นภัณฑ์ที่ท่านเศรษฐีสละไม่ได้ จึงได้กล่าวคำนี้กะท่านเศรษฐีว่า ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้ามาด้วยใจว่า จักลักสิริในเรือนของท่านไป ก็สิริได้ประดิษฐานอยู่ที่หงอนไก่ของท่าน เมื่อท่านให้ไก่นี้แก่ข้าพเจ้า สิริก็เคลื่อนที่จากไก่นั้นไปประดิษฐานที่แก้วมณี เมื่อท่านให้แก้วมณี สิริก็ไปประดิษฐานอยู่ที่ไม้เจว็ด เมื่อท่านให้ไม้เจว็ด สิริก็เคลื่อนจากไม้เจว็ดไปประดิษฐานที่ศีรษะของนางบุญญลักษณาเทวี ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งนี้หนอเป็นสิ่งที่สละไม่ได้ จึงไม่อาจลักสิริของท่านของของท่านก็จงเป็นของท่านเท่านั้น ครั้นกล่าวแล้วก็ลุกจากอาสนะ

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 276

    หลีกไป.ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีคิดว่าจักกราบทูลเหตุการณ์นี้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไปยังวิหาร บูชาพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาเเล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง กราบทูลเรื่องราวนั้นทั้งหมดแก่พระตถาคตเจ้า. พระศาสดาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า คฤหบดีมิใช่ในบัดนี้เท่านั้นที่สิริของคนอื่นจะไปในที่อื่น ก็แม้ในกาลก่อน สิริที่คนผู้มีบุญน้อยให้เกิดขึ้น ก็ไปอยู่แทบบาทมูลของคนผู้มีบุญเท่านั้น อันท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาสิกรัฐ พอเจริญวัยแล้วก็ได้เล่าเรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกศิลา อยู่ครองเรือน สลดใจเพราะบิดามารดาทำกาลกิริยาตายไป จึงออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในหิมวันตประเทศ ยังอภิญญาและสมบัติให้บังเกิดขึ้น โดยกาลล่วงมาช้านาน ได้ไปยังชนบทเพื่อต้องการรสเค็มและรสเปรี้ยว ได้อยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี วันรุ่งขึ้นเมื่อจะเที่ยวภิกขาจาร ได้ไปยังประตูเรือนของนายหัตถาจารย์. นายหัตถาจารย์นั้นเลื่อมใสในอาจารมารยาทและวิหารธรรมของดาบสนั้น จึงถวายภิกษาหารแล้วให้อยู่ในอุทยานปรนนิบัติอยู่เป็นนิตย์. เวลานั้นคนหาฟืนเลี้ยงชีพคนหนึ่ง นำฟืนมาจากป่าไม่สามารถจะมาทันประตูเมืองได้ตามเวลาในเวลาเย็นจึงทำฟ่อนไม้ให้เป็นเครื่องหนุนศีรษะนอน

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 277

    ณ ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง. มีไก่จำนวนมากแม้ที่ชาวบ้านเขาปล่อยไว้ที่ศาลเจ้า พากันนอนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่ใกล้ชายหาฟืนนั้น.ในเวลาใกล้รุ่ง ไก่ตัวที่นอนอยู่เหนือไก่เหล่านั้น ถ่ายคูถรดตามตัวของไก่ซึ่งนอนอยู่เบื้องล่าง และเมื่อไก่ที่นอนเบื้องล่าง

    ถามว่า ใครถ่ายคูถรดตัวเรา
    จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าเอง.
    และเมื่อไก่ตัวล่างกล่าวว่าเพราะอะไร ?
    จึงกล่าวว่า เพราะไม่ทันพิจารณาแล้วก็ถ่ายคูถรดลงไปอีก.
    แต่นั้น ไก่ทั้งสองตัวก็โกรธกันและกัน ทำการทะเลาะกันว่า

    กำลังของท่านมีหรือ กำลังของท่านมีหรือ ?
    ลำดับนั้น ไก่ตัวที่นอนอยู่เบื้องล่างกล่าวว่า ใครฆ่าเราแล้วกินเนื้อที่สุกด้วยถ่านไฟ จักได้ทรัพย์พันกหาปณะแต่เช้าตรู่.
    ไก่ตัวที่นอนอยู่เบื้องบนกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าอวดอ้างด้วยอานุภาพมีประมาณเท่านี้ ด้วยว่าบุคคลผู้กินเนื้อล่าของเราจะได้เป็นพระราชา ผู้กินเนื้อภายนอก ถ้าเป็นบุรุษจะได้ตำแหน่งเสนาบดี ถ้าเป็นสตรีจะได้ตำแหน่งอัครมเหสี ส่วนผู้กินเนื้อติดกระดูกของเรา ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะได้ตำแหน่งขุนคลัง ถ้าเป็นบรรพชิตจะได้เป็นพระประจำราชตระกูล.

    ชายหาฟืนได้ฟังคำของไก่ทั้งสองตัวนั้นแล้ว คิดว่าเมื่อเราได้ครองราชสมบัติแล้วกิจด้วยทรัพย์พันหนึ่ง ย่อมไม่มีจึงค่อย ๆ ปีนขึ้นไปจับไก่ตัวที่นอนเบื้องบนฆ่าแล้วห่อไว้ คิดว่าเราจักเป็นพระราชา จึงเดินไป พอประตูเมืองเปิดก็เข้าเมืองจัดการถอนขนไก่ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วได้ให้แก่ภรรยาโดยสั่งว่า จงปรุงเนื้อไก่นี้ให้ดี. ภรรยาจัดแจงเนื้อไก่และข้าว

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 278

    เสร็จแล้วน้อมเข้าไปให้แก่สามีโดยกล่าวว่า จงบริโภคเถอะนาย. สามีกล่าวว่า นางผู้เจริญ เนื้อนี้มีอานุภาพมาก เราบริโภคเนื้อนี้แล้วจักเป็นพระราชา เธอจักได้เป็นอัครมเหสี ดังนั้น สามีภรรยาทั้งสองจึงถือเอาข้าวและเนื้อนั้นไปฝั่งแม่น้ำคงคา คิดว่า อาบน้ำแล้วจึงจักบริโภค จึงได้วางภาชนะอาหารไว้ที่ริมฝั่งแล้วลงไปอาบน้ำ.

    ขณะนั้นน้ำถูกลมพัดปั่นป่วนซัดมา ได้พาเอาภาชนะภัตตาหารลอยไป. ภาชนะภัตตาหารนั้นถูกกระแสน้ำพัดมา มหาอำมาตย์ผู้เป็นหัตถาจารย์ผู้หนึ่ง กำลังให้ช้างอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำข้างใต้เห็นเข้า จึงให้ยกขึ้นมาแล้วให้เปิดดู ถามว่ามีอะไร ? พวกบริวารบอกว่า ภัตตาหารและเนื้อไก่ครับนาย. มหาอำมาตย์นั้นจึงให้ปิดภาชนะภัตตาหารนั้น แล้วให้ประทับตรา ส่งไปให้ภรรยาโดยสั่งว่า เธออย่าเปิดเนื้อและ
    ข้าวจนกว่าฉันจะมา. ฝ่ายบุรุษหาฟืนนั้นท้องอืดเพราะน้ำปนทรายซัดเข้าปาก จึงหนีไป. ลำดับนั้น ดาบสผู้มีจักษุทิพย์รูปหนึ่งซึ่งเป็นกุลุปกะของนายหัตถาจารย์นั้นคิดว่าอุปัฏฐากของเรายังไม่พ้นตำแหน่งนายหัตถาจารย์ เมื่อไรหนอจึงจักได้สมบัติ จึงใคร่ครวญด้วยทิพยจักษุ เห็นบุรุษนั้น รู้เหตุการณ์นั้น จึงรีบไปเรือนเสียก่อน แล้วนั่งในนิเวศน์ของนายหัตถาจารย์. นายหัตถาจารย์มาถึงไหว้พระดาบสนั้น แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ให้นำภาชนะภัตตาหารนั้นมาแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงอังคาสพระดาบสด้วยเนื้อและข้าวสุก. พระดาบสรับแต่ข้าวไม่รับเนื้อที่เขาถวายกล่าวว่า เราจะ

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 279

    จัดแจงเนื้อนี้ เมื่อนายหัตถาจารย์กล่าวว่า จงจัดเถิดขอรับ จึงให้กระทำเป็นส่วน ๆ ในบรรดาเนื้อล่ำเป็นต้น แล้วให้เนื้อล่ำแก่นายหัตถาจารย์ ให้เนื้อภายนอกแก่ภรรยาของนายหัตถาจารย์นั้น ตนเองบริโภคเนื้อติดกระดูก. ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระดาบสนั้นเมื่อจะไปกล่าวว่า ในวันที่สามจากวันนี้ไป ท่านจักได้เป็นพระราชา จงอย่า
    เป็นผู้ประมาทครั้นกล่าวแล้วก็หลีกไป. ในวันที่สาม พระเจ้าสามันตราชยกทัพมาล้อมเมืองพาราณสี. พระเจ้าพาราณสีให้นายหัตถาจารย์แต่งตัวเป็นพระราชาแล้วทรงสั่งว่า ท่านจงขี่ช้างรบ ส่วนพระองค์เองปลอมเพศที่ใครไม่รู้จักเที่ยวไปในหมู่เสนา ถูกยิงด้วยลูกศรลูกหนึ่งซึ่งมีกำลังเร็วมาก จึงสวรรคตในขณะนั้นทันที.
    นายหัตถาจารย์นั้นรู้ว่าพระราชาสวรรคตแล้ว จึงให้ขนกหาปณะออกมาเป็นอันมาก แล้วให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องว่า ผู้ที่ต้องการทรัพย์จงออกแนวหน้าสู้รบเถิด. พลนิกายจึงปลงพระชนม์พระราชาผู้เป็นข้าศึกได้โดยครู่เดียวเท่านั้น. อำมาตย์ทั้งหลายถวายพระเพลิงพระศพของพระราชาแล้ว ปรึกษากันว่า เราจะตั้งใครให้เป็นพระราชา จึงตกลงกันว่า พระราชาเมื่อยังมีพระชนม์อยู่ได้พระราชทานเพศของพระองค์แก่นายหัตถาจารย์ นายหัตถาจารย์นี้แหละกระทำการรบจึงยึดราชสมบัติไว้ได้ เราทั้งหลายจักให้ราชสมบัติแก่นายหัตถาจารย์นี้เท่านั้น แล้วจึงอภิเษกนายหัตถาจารย์นั้นในราชสมบัติ ทั้งได้กระทำภรรยาของนายหัตถาจารย์นั้นให้เป็นอัครมเหสี. พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระ

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 280

    ประจำราชตระกูล. พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถามนี้ว่า :-
    ผู้ไม่มีบุญ จะเป็นผู้มีศิลปะหรือไม่มีศิลปะก็ตาม ย่อมขวนขวายรวบรวมทรัพย์ใดไว้เป็นอันมาก ผู้มีบุญย่อมใช้สอยทรัพย์เหล่านั้น. โภคะเป็นอันมากย่อมล่วงเลยสัตว์เหล่าอื่นไปเสีย เกิดขึ้นในที่ทั้งปวงแก่ผู้มีบุญอันได้กระทำไว้แล้วใช่แต่เท่านั้น
    รัตนะทั้งหลายยังเกิดขึ้นแม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิด.
    คัดลอกมาจาก https://www.facebook.com/groups/536774743083792/permalink/615749611852971/
     
  20. ต้นพุทธ

    ต้นพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2012
    โพสต์:
    922
    ค่าพลัง:
    +3,612
    อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอให้คุณเข้าวัดแล้วพบคนดีจริงๆ ด้วยนะค่ะ แต่หากพบคนไม่ดีจริง ก็ขอให้เก็บเกี่ยวดูไว้เป็นกรณีศึกษา
    เพราะหากไม่มีคน ไม่ดีจริง เราก็จะแยกไม่ออกเลยว่า แล้ว คนดีจริง เป็นยังไง
     

แชร์หน้านี้

Loading...