ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 29 มกราคม 2014.

  1. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    เรียนคุณเมธาวีคะ จะต้องผ่านการฝึกฝนไปเรื่อยๆค่ะ ส่วนตัวเริ่มจากการสงสัยในมโนมยิทธิก่อน แล้วอาศัยฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลัง และเต็มกำลังเดือนละครั้ง นานเข้าก็จะเริ่มชินกับการทำสมาธิมากขึ้นๆ เช่น เวลายืน นั่ง นอน หรือทำกิจกรรมต่างๆ เมื่อจิตมีอารมณ์ชิน จิตก็จะเริ่มไปยังสถานที่ต่างๆ หรือพบเห็นสิ่งต่างๆ โดยอัตโนมัติ (แบบมโนยิทธิครึ่งกำลัง) ทำให้เราสามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆได้ค่ะ

    ส่วนตัวไม่ได้ญาณ ๘ ค่ะ (ไม่แน่ใจว่าคนที่ได้ญาณ ๘ เป็นอย่างไร) แต่อาศัยพุทธบารมีและพรหมเทวดาท่านสงเคราะห์ให้ทราบ จึงได้นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังค่ะ สู้ๆนะคะ

    ทั้งนี้อยากเรียนให้ทราบในเบื้องต้นว่า เรื่องที่ได้นำมาเล่าในแต่ละเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องที่ทราบและมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ทราบมาแล้วทั้งสิ้น โดยเป็นเรื่องที่เราไม่ได้เล่าให้ใครฟัง และมีบุคคลที่ 3 มายืนยันให้เราทราบเอง ตามที่ท่านบอกมาค่ะ

    และถึงแม้ว่าจะเป็นการรู้ด้วยญาณ และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเพื่อยืนยันตามที่เรารู้แล้วก็ตามเราก็จะวางไว้ แล้วหันไปฝึกให้ทรงพรหมวิหาร 4 และหมั่นพิจารณาให้เห็นความเลวของตนเองอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้หลงตัวเองว่าดีและวิเศษกว่าผู้อื่นค่ะ อันนี้จะหมั่นพิจารณาให้เห็นอยู่ตลอด เนื่องจากเป็นพุทธภูมิ มานะกิเลสจึงแรงมากค่ะ อิอิ อันนี้ยอมรับตัวเองเลย

    ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมก็คือ การที่เราได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่พิสูจน์ได้ จะยิ่งทำให้เรามีความมั่นใจการทำความดีมากขึ้น เพราะเห็นด้วยปัญญาแล้วว่าพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นมีอยู่จริง และความดีของท่านที่เป็นพรหมและเทวดานั้นก็มีอยู่จริงค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2014
  2. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    อยากฟังประสบการณ์ตอนฝึกเต็มกำลังได้ครั้งแรกว่าเป็นยังไงบ้างครับ นั่งสมาธิแบบไหน แล้วตอนจะออกได้รู้สึกยังไง แล้วปัจจุบันสามารถออกแบบเต็มกำลังได้ตลอดไหมครับ เพราะผมคิดว่าเป้าหมายชาตินี้อยากจะฝึกให้ได้แบบเต็มกำลังสักครั้งครับ ได้มีผู้มีประสบการณ์แวะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังยิ่งดีมากเลยครับ
     
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    เรียน คุณ Gko4 คะ เท่าที่จำความได้ รู้สึกว่าจะเริ่มฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังเมื่ออายุประมาณ17-18 ปีค่ะ (แต่ส่วนตัวจำไม่ได้จริงๆว่าช่วงไหน) รู้แต่ว่าช่วงแรกๆอ.ท่านจะสอนแต่มโนมยิทธิครึ่งกำลัง แล้วตอนหลังเพิ่มมาเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังด้วย

    ตอนฝึกครั้งแรกนั้น ยอมรับว่าตื่นเต้น สงสัย และฟุ้งซ่านเต็มไปหมดค่ะ ทั้งอยากรู้อยากเห็น อยากได้ (เพราะไม่เคยรู้เรื่องการถอดจิตมาก่อน) อยากรู้ว่าตอนจิตถอดออกมานั้นมีลักษณะอย่างไร สุดท้ายเลยได้แต่เอนกายนอนลงแบบเบลอๆค่ะ

    พอฝึกครั้งที่สอง ลองแก้ปัญหาใหม่ โดยพยายามดูนิวรณ์ที่เข้ามาให้ได้ แล้วภาวนาอย่างเดียว แต่ปัญหาก็คือมีตัวนิวรณ์เข้ามาแทรกตอนเอนกายลง เพราะร่างกายจะเกร็งมากตอนค่อยๆเอนกาย แล้วจะดึงจิตเรากลับมาที่กายค่ะ (ครั้นจะเอนกายลงตามสบาย ก็กลัวหัวจะโขก เลยเป็นปัญหาในการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังตลอด -- อันนี้ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นะคะ อย่าเลียนแบบค่ะ อิอิ)

    สรุปแล้วตอนฝึกครั้งที่สอง เราจะพยายามตรวจสอบปัญหาจากครั้งแรก แล้วปรับจิตให้เข้าสู่จุดที่ควรจะทำ คือทรงอารมณ์ฌานให้ได้นั่นเอง ดังนั้นตอนไปครั้งที่สอง ก็จะมีสภาพเหมือนนอนแล้วฝัน แต่มีสติรู้ตัวอยู่ตลอด เหมือนกึ่งๆนอนทำสมาธิมากกว่า ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเห็นภาพรางๆ สลัวๆ ค่อนไปทางมืด เพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ไปไหนด้วย พออ.ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เราก็ตอบว่าเหมือนนอนฝันมากกว่า ยังไม่เห็นอะไร :p

    หลังจากนั้นต่อมาเรื่อยๆ จิตก็เริ่มชินมากขึ้นๆ จนสามารถถอดเต็มกำลังได้ในที่สุด แล้วก็มีประสบการณ์ต่างๆค่ะ

    ดังนั้นยอมรับว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากสเต็ปแรกทั้งสิ้น เหมือนเราค่อยๆสั่งสมบารมีมาแต่ละชาติ จิตเริ่มชินกับความดีทีละเล็กทีละน้อย จนเข้าถึงความดีที่สูงขึ้นๆ จนบริสุทธิ์ในที่สุด (ถ้าใครฝึกจิตจนพอเข้าใจบ้าง แล้วมองย้อนกลับไป จะเห็นว่าใจที่เริ่มเปลี่ยนจากความเลว แล้่วค่อยๆเข้ามาสู่ความดีทีละเล็กทีละน้อยนั้นเป็นอย่างไร) ดังคำที่หลวงพ่อฤาษีท่านสอนว่า ชิน หรือ ฌาน นั่นเอง ทั้งนี้จะต่างก็ตรงชิน หรือ ฌาน ในสมาธิ หรือวิปัสสนาญาณ หรือทั้งสองอย่าง

    ตรงนี้ยอมรับนะคะว่า การปฏิบัติในสายมโนมยิทธิ หรือเตวิชโช, อภิญญา เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรารู้เรื่องภพชาติ ได้เป็นอย่างดี สามารถรู้และใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาวิปัสสนาญาณได้อย่างดีเยี่ยม รู้แล้วเห็น ย่อมได้เปรียบกว่ารู้แต่ไม่เห็น จริงไหมคะ

    แต่ถึงที่สุดแม้จะเข้านิพพานได้เหมือนกัน แต่การรู้เห็นนั้น ย่อมสามารถทำให้เราหลงทางได้เช่นเดียวกัน ถ้าการรู้เห็นนั้นทำให้เรายึด แม้จะมีอะไรมายืนยันก็ตาม แต่ถ้าเรายึด ก็หลงทางค่ะ ส่วนตัวมองว่าอย่างนี้นะคะ

    ดังนั้นถ้าคุณ Gko4 สนใจและต้องการปฏิบัติในสายนี้ แนะนำให้ฝึกเต็มกำลังที่วัดท่าซุงค่ะ (ส่วนตัวไม่เคยไป เพราะไม่มีโอกาสเลยจริงๆ) สู้ๆนะคะ ;)

    ปล. ตรงคำที่พูดว่า "แม้จะมีอะไรมายืนยันก็ตาม แต่ถ้าเรายึด ก็หลงทางค่ะ" ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะคะว่า คำว่ายึดในที่นี้หมายถึง แม้จะสามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆได้และมีอะไรมายืนยัน แต่ถ้าเรายังมีการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของเราว่า เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา อันเป็นรากเหง้าของกิเลสมานะถือตัวถือตน จนส่งผลให้มองว่าตนเองนั้นดีกว่าผู้อื่น วิเศษกว่าผู้อื่น เราก็ยังหลงทางและไม่ไปไหน ก้าวไปไม่ถึงจุดสำคัญของพุทธภูมิและสาวกภูมิ ซึ่งก็คือ การละวิจิกิจฉา ศีลพตปรามาส และสักกายทิฐิ อันเป็นสังโยชน์ ๓ ประการ ดังที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอนเราเสมอๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2014
  4. Onarmol

    Onarmol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +964
    ตามอ่านติดขอบจอ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ ^/\^
    ฝึกเต็มกำลังไม่เคยจะทำได้ ครึ่งกำลังทำได้เพียงไม่กี่ครั้งค่ะ
    เลยค่อยเป็นค่อยไปเอาค่ะ
     
  5. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญเช่นกันนะค่ะ /\

    บุญใดที่คุณ Onarmol ทำแล้ว ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

    ใจจริงอยากจะบอกว่า ส่วนตัวไม่ได้มีคุณธรรมใดค่ะ

    สิ่งที่เล่ามานี้ เป็นแต่เพียงสิ่งที่พระท่าน และท่านอื่นๆสงเคราะห์ให้ทราบเท่านั้น

    ทั้งนี้ มีเหตุบางอย่าง ทำให้ต้องออกจากการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่อายุประมาณ 21 แล้วค่ะ (ปัจจุบันอายุ 25) ซึ่งเหตุดังกล่าว ขออนุญาตเล่าในภายหลังนะคะ

    ปัจจุบัน เพิ่งกลับเข้ามาในทางธรรมค่ะ เริ่มนับหนึ่งใหม่เลย :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2014
  6. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    ขอบคุณมากครับที่แนะนำ และขอโมทนาในความดีที่ได้ทำด้วยครับ โดยส่วนตัวผมก็เคยไปฝึกแบบเต็มกำลังที่วัดท่าซุงมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ และไม่ใกล้เคียงเลย สิ้นปีนี้คงหาโอกาสไปฝึกใหม่ ช่วงนี้ก็จะพยายามซักซ้อมใจ นั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน สะสมไปเรื่อย ๆ แล้วกันครับ

    อยากฟังเหตุที่ทำให้ต้องออกจากกาปฏิบัติธรรมว่าเป็นยังไงครับ น่าสนใจมาก เพราะปฏิบัติได้ขนาดนี้ ผมคิดว่าจะทำให้มีศรัทธา เชื่อมั่น มั่นคงกว่าคนอื่น เพราะพิสูจน์ได้สิ้นสงสัยเรื่อง นรก สวรรค์ เป็นต้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กุมภาพันธ์ 2014
  7. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    สาธุครับ.. ขอร่วมโมทนายินดีและขอบคุณในธรรมทานในเรื่องของประสบการณ์ทั้งหลาย (ยกเว้นเรื่องคู่บารมีที่ไม่ได้อ่าน เพราะต้องระวังใจและไม่เกี่ยวกับสาวก)
    สำหรับผมแล้วพุทธภูมิที่ระวังทิฏฐิมานะและสอบอารมณ์ใจของตัวเองเป็นนิจนั้นเป็นผู้ที่ควรยกย่องอย่างยิ่งครับ chearr
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2014
  8. นายเก่ง

    นายเก่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +218
    เคยฝึกมโนยิทธิครึ่งกำลังที่บ้านสายลม ครั้ง1 ครับ

    ตอนนั้นนั่งได้นานสุดเเล้วครับ ^^ จาก 12.30-16.00 โดยประมาณได้ครับ

    อยากลองไปฝึกเต็มกำลังดูครับหาครูสอนไม่ได้ ^^ ยังไม่สะดวกที่จะไปวัดครับ


    ตอนนี้ก็คงเริ่มฝึกใหม่
     
  9. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ บุญใดที่คุณ Gko4 ทำมาแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ขออนุโมทนาบุญเช่นกันนะคะ :)

    ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนน้อยๆ ที่ช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความมั่นใจในการบำเพ็ญบารมีเพื่อหลุดพ้น ให้ยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

    ส่วนตัวมุ่งหวังเพียงแต่ว่า บทความนี้ จะช่วยให้คนทั้งหลาย ที่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีจริง กฎแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด และภพภูมิต่างๆนั้นมีอยู่จริง และเราสามารถหลุดพ้นได้ด้วยคำสอนของท่านค่ะ

    จุดเริ่มต้นของการเขียนบทความนี้ ก็คือกฎแห่งกรรมที่เข้ามาสนองตนเองในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระท่านได้ทำนายไว้ตั้งแต่อายุ 20 จากการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังค่ะ สิ่งที่ท่านทำนายไว้ ได้เริ่มปรากฎให้เห็นทีละอย่าง จนครบถ้วนจนถึงปัจจุบัน ทำให้ตนเองเลิกสงสัยในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์อย่างสิ้นเชิงจริงๆ (เพราะเป็นคนเชื่อยาก และยึดหลักเหตุและผลมาก แต่เหตุที่ำทำให้ตนเองเชื่อจนสิ้นสงสัยนั้น จะขอกล่าวในบทความต่อไปภายภาคหน้านะคะ)

    และด้วยเหตุแห่งการปรารถนาพุทธภูมิ จึงได้มีจิตปรารถนาเผยแพร่เป็นธรรมทาน ให้เป็นสาธารณะประโยชน์แก่คนหมู่มาก ที่จะได้เข้ามาสู่ทางธรรม เพื่อทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2014
  10. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    อยากฝึกแบบเจ้าของกระทู้บ้างจัง หาครูคนสอนที่ไหนได้บ้างครับ
     
  11. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ อนุโมทนาบุญเช่นกันนะคะ บุญใดที่คุณ Asvel ได้ทำแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขออนุโมทนาในบุญนั้น รวมไปถึงบุญที่จะได้ทำต่อไปในอนาคตเพื่อการหลุดพ้นในชาตินี้ด้วยนะคะ ^__^

    สำหรับการระมัดระวังและตรวจสอบอารมณ์ใจของตนอยู่เสมอๆนั้น ก็ด้วยเหตุที่บารมียังน้อย ไม่สามารถทรงอารมณ์ใจอย่างต่ำคือพระโสดาบันแบบท่านที่เป็นพุทธภูมิปรมัตถบารมีได้ จึงต้องหมั่นตรวจสอบอารมณ์ใจของตนเองอยู่เสมอๆ เพื่อไม่ให้คิดว่าตัวเองดีกว่าผู้อื่นค่ะ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เราปฏิบัติธรรมจนหลงว่าตนเองดี จนพลาดจุดสำคัญเบื้องต้นที่พุทธภูมิต้องเรียนรู้ ซึ่งก็คือการละสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการ อันได้แก่ วิจิกิจฉา ศีลพตปรามาส และสักกายทิฐิ ค่ะ ^__^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2014
  12. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สู้ๆค่ะ ค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆ จะต้องได้อย่างแน่นอน เป็นกำลังใจให้นะคะ ^__^

    แนะนำให้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุงค่ะ แต่ถ้าตอนนี้ัยังไม่สะดวก ให้หมั่นฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลัง และหมั่นทรงพรหมวิหาร ๔ หรือกรรมฐานกองอื่นๆที่คุณนายเก่งชอบค่ะ เพื่อให้จิตทรงฌานได้ทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ เป็นการสั่งสมกำลังใจค่ะ

    สาธุ อนุโมทนาบุญนะคะ ^__^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2014
  13. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    แนะนำที่บ้านสายลม (มโนมยิทธิครึ่งกำลัง) และที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี (มโนมยิทธิเต็มกำลัง) นะคะ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2014
  14. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ถ้ามีอารมณ์ไกรธ ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ มันร้อนรุ่มอยู่ในอก นี่ควรจะทำยังไงให้หายครับ
     
  15. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ขออนุญาตตอบเป็นประสบการณ์ละกันนะคะ คุณเมธาวี ^^


    " พุทธภูมิ-พรหมวิหาร ๔-งานสาธารณะประโยชน์ "


    เมื่อเราเริ่มหันมาศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเราอายุ 15 ขวบ เราได้ไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิตและได้ดูดวงกับหมอดูท่านหนึ่ง ซึ่งเค้าทักเรามาว่า ในอดีตชาตินั้นเราเป็นทหารที่รบเก่งมาก เพราะตัดแต่คอข้าศึก และที่เราต้องมาเป็นผู้หญิงนั้นก็เพราะว่าในอดีตเราเจ้าชู้มามากนั่นเอง จากนั้นเราก็ได้พูดกับหมอดูท่านนั้นว่าเราปรารถนาพุทธภูมิ ซึ่งหมอดูเค้าก็ตอบมาว่าเราเคยปรารถนามานานมากๆแล้ว ต่อจากนั้นเราก็บอกกับหมอดูว่าเราต้องการอยากจะช่วยเหลือส่วนรวม ซึ่งหมอดูก็ได้แนะนำให้เราไปอธิษฐานที่ศาลหลักเมือง และพระแก้วมรกต

    เมื่อเรามีโอกาสเราก็ไปยังสถานที่เหล่านั้นทันที โดยเราได้ไปอธิษฐานที่พระแก้วมรกต ศาลหลักเมือง และพระเทพารักษ์ทั้ง ๕ อันได้แก่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อเจตคุปต์ และเจ้าพ่อหอกลอง ว่าจะขอทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ตาม และหลังจากนั้น เราได้มีโอกาสไปไหว้ท่านท้าวมหาพรหมที่โรงแรมเอราวัณ ซึ่งเราได้อธิษฐานกับท่านว่า จะขอทำงานสาธารณะประโยชน์ และหากผู้ใดมีจิตใจที่คิดเช่นนี้เหมือนกัน เราจะขอไปร่วมงานและช่วยเหลือผู้นั้น ซึ่งตรงนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่เราจะไปขอพรท่านในตอนสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยค่ะ


    [​IMG]


    พระเทพารักษ์ทั้ง ๕ ประจำศาลหลักเมือง : (เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา) เจ้าพ่อหอกลอง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี พระเสื้อเมือง และเจ้าพ่อเจตคุปต์


    ซึ่งในเรื่องของงานสาธารณะประโยชน์นั้น นอกจากเราจะอยากช่วยเหลือผู้อื่นตามวิสัยของผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิแล้ว บุคคลแรกที่เป็นตัวอย่างให้แก่เราก็คือคุณพ่อของเราเองค่ะ เพราะท่านเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น และเคยพูดกับเราอยู่เสมอๆว่า ถ้าหากคุณพ่อมีฐานะร่ำรวยเมื่อไหร่ คุณพ่ออยากจะสร้างโรงพยาบาลเพื่อรักษาฟรีให้กับคนยากจนทั้งหลายค่ะ และบุคคลที่สองที่เป็นตัวอย่างให้กับเรา อีกทั้งยังสอนธรรมะ สอนให้เราเป็นคนดีที่ฉลาดและรู้เท่าทันกิเลสของคน ก็คืออ.ฆราวาสของเรานั่นเอง

    โดยอ.ฆราวาสท่านจะสอนเราอยู่เสมอๆว่า พุทธภูมินั้นนอกจากจะสั่งสมบารมีด้วยการปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นที่มีความยากลำบาก และช่วยเขาเหล่านั้นให้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อการหลุดพ้นในที่สุดด้วย โดยงานสาธารณะประโยชน์นั้น จัดเป็นปรมัตถบารมีอย่างสูงสุด โดยเหตุที่เป็นปรมัตถบารมีอย่างสูงสุดนั้น ส่วนตัวเราตั้งข้อสังเกตว่า กรรมใดก็ตามที่ส่งผลต่อคนส่วนรวมนั้น จะมีผลมากกว่ากรรมหรือการกระทำที่ส่งผลต่อคนๆเดียว ยกตัวอย่างเช่น สังฆทานคือทานที่ถวายแด่พระสงฆ์ส่วนรวม ย่อมมีอานิสงค์มากกว่าทานที่ถวายแด่พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ดังนั้นการที่เราทำความดีสงเคราะห์ช่วยเหลือแก่คนส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมนั้น ย่อมต้องประกอบไปด้วยกำลังใจ(บารมี)ที่สูงมาก เพราะคนที่จะทำเช่นนี้ได้ อย่างน้อยจิตใจของเค้าต้องประกอบไปด้วยพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ ซึ่งเป็นเหตุให้เมื่อตายลง บุคคลผู้นั้นย่อมสามารถไปเกิดเป็นพรหมที่แปลว่า ผู้ประเสริฐนั่นเอง


    [​IMG]


    "งานสาธารณะประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเรา

    ให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการ

    บั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่าง ๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตา กฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่"


    จาก หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๔๒-๔๗ โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)​



    และด้วยความที่เรามุ่งมั่นในงานสาธารณะประโยชน์ เราจึงมีความคิดอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมองว่าเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ สามารถบริหารจัดการสิ่งต่างๆได้ง่าย จึงน่าจะทำประโยชน์แก่ส่วนรวมได้มาก และแล้วในวันหนึ่งตอนที่เราอายุประมาณ 17 ปี ขณะที่จิตกำลังสบายๆอยู่นั้น ด้วยความที่เรามุ่งมั่นในงานสาธารณะประโยน์ เราได้มีโอกาสถามพระท่านในเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเมือง และมีอยู่ช่วงหนึ่งท่านได้ตอบเรามาว่า หากเราอยากเป็นนายกรัฐมนตรี เราจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เพราะจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงก่อนหน้านั้น(จุดนี้ท่านตอบเราแบบอุปมาให้ฟังนะคะ เพราะตอนนั้นเรายังเด็กมากและก็สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษค่ะ) ซึ่งเรื่องที่เราทราบมานี้ เรารู้สึกไม่เชื่อเพราะการรับรู้ (perception) ของเราในขณะนั้น เรามองว่าเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศจะมีนายกรัฐมนตรีหญิง ดังนั้นเราจึงสรุปว่า สิ่งที่รู้มาน่าจะเป็นอุปาทานคิดไปเองมากกว่า

    และเมื่อเราปรารถนาพุทธภูมิ สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก่อนที่จะไปช่วยเหลือผู้อื่นนั้นก็คือ การทำตนให้ประสบความสำเร็จในทางโลกและทางธรรมเสียก่อน สำหรับในทางธรรมนั้น ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิจะต้องรู้จักปฏิบัติธรรมเพื่อสั่งสมบารมี(กำลังใจ)ให้ยิ่งๆขึ้นไป โดยเริ่มจากการปฏิบัติในทานและศีลก่อน เพราะถ้าหากว่าเรายังเป็นคนไม่มีศีล เราจะไม่สามารถเจริญพระกรรมฐานในสมถะและวิปัสสนาญาณได้เลย


    [​IMG]


    "การเจริญภาวนา : สมถกรรมฐาน และวิปัสสนาญาณกรรมฐาน"


    และในการเจริญพระกรรมฐานนั้น เราจะต้องเริ่มต้นจากการปฏิบัติสมถะภาวนาเป็นพื้นฐานก่อน โดยเลือกเอากรรมฐานกองใดก็ได้ในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองที่เราชอบ หรือตรงกับจริตของเรามากที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนเราทุกๆคนจะมีจริตทั้ง ๖ ประการอยู่ในตนเองทั้งสิ้น แต่ทุกคนจะมีจริตหลักหรือจริตนำที่เป็นนิสัยใจคอพื้นฐานของตนแตกต่างกันออกไป

    สำหรับจริตนิสัยพื้นฐานของเรา จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เด็กๆ เราจะมีนิสัยออกไปทางผู้ชาย ชอบเล่นต่อสู้และเตะต่อย อยากเป็นทหารและชอบดาบแบบโบราณ ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับยันต์ คาถา วิชาอาคมต่างๆ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า อาทิเช่น นิทานทศชาติ นอกจากนี้เรายังชอบสมมติตัวเองเป็นพระหรือนักรบ และเวลาวาดภาพเราก็จะวาดภาพแต่พระพุทธเจ้า นักรบโบราณถือดาบ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผิดแปลกไปจากเด็กผู้หญิงทั่วไปค่อนข้างมาก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเรามีพื้นฐานมาแบบโทสะจริต และยังมีนิสัยมาทางการทำบารมีแบบวิชชาสาม และอภิญญาหกอีกด้วย

    และเมื่อเรารู้จริตของตนเองแล้ว เราก็จะต้องรู้ว่าการปฏิบัติสมถะภาวนานั้น เป็นการระงับนิวรณ์ทั้ง ๕ อันเป็นอุปสรรคขวางกั้นไม่ให้เราเกิดสมาธิ ซึ่งหากว่าเราเป็นคนโทสะจริต นิวรณ์ตัวที่จะเกิดกับเรามากที่สุดก็คือตัวปฏิฆะ(ความรู้สึกไม่ชอบใจ หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจ) ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยกรรมฐานที่เรียกว่าพรหมวิหารธรรม ๔ นั่นเอง


    [​IMG]


    "คำว่า พรหมวิหาร วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม นี้แปลว่าประเสริฐ หมายความว่า เอาใจไปจับอยู่ในอารมณ์แห่ง

    ความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ที่เรียกว่า ประเสริฐ ประเสริฐ นี้แปลว่า ดีที่สุด พรหมวิหาร ๔ อย่าง

    คือ ๑.เมตตา ความรัก ๒.กรุณา ความสงสาร ๓.มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร ๔.อุเบกขา วางเฉย"



    ส่วนหนึ่งจากเทปเรื่อง พรหมวิหาร ๔ ปี ๒๕๒๑ ม้วน ๑ หน้า ก

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    โดยในช่วงเริ่มแรกของการปฏิบัตินั้น ธรรมชาติเดิมในจิตของคนเราจะมีนิวรณ์ ๕ ประการอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเวลาที่เราปฏิบัติภาวนา ความรู้สึกไม่ชอบใจหรือความโกรธ ย่อมจะเข้ามารบกวนจิตใจของเราตามความเคยชินเดิม ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะให้เราเกิดความรู้สึกว่า ทำไมเรามาปฏิบัติธรรมแล้วแต่ไม่สามารถแก้ไขความโกรธหรือโทสะให้เบาบางลงไปได้เลย จึงอยากจะเรียนท่านผู้อ่านว่า ความรู้สึกดังกล่าวเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เข้ามาทดสอบผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น และวิธีการผ่านบททดสอบดังกล่าวก็คือ เราจะต้องทราบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนต้องอาศัยการค่อยๆสั่งสมความดีทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ เพื่อให้จิตค่อยๆปรับตัวจนเกิดความเคยชินและรักในอารมณ์สมาธิ และสุดท้ายแล้ว เราจะเริ่มเห็นผลจากการปฏิบัติเอง

    ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน ดังนั้นในช่วงแรกๆ เราจะต้องแก้ไขปัญหาจากสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ง่ายก่อน โดยการระมัดระวังควบคุมกายวาจาของเราให้ดีในช่วงที่เรารู้สึกไม่พอใจหรือโกรธ และใช้ทักษะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า การมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส(โสรัจจะ)และใช้วาจาที่ไพเราะ(ปิยวาจา) การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ การโน้มน้าวและเจรจา และการพยายามแสวงหาทางออกที่เป็นผลดีกับทั้ง 2 ฝ่าย(win-win)นั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น เพื่อให้เราสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขไปพร้อมๆกับการค่อยๆฝึกจิตของเราให้ปราศจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการค่ะ


    บันทึกพิเศษท้ายเรื่อง


    *** สำหรับเรื่องที่พระท่านบอกเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีหญิงนั้น ข้าพเจ้ามีจิตเจตนาที่จะเล่าเรื่องราวเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มีอยู่จริง โดยมิได้มีจุดมุ่งหมายในทางการเมืองแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะผู้ปฏิบัติธรรม ย่อมต้องทรงอยู่ในพรหมวิหารธรรม และมุ่งละสังโยชน์ ๑๐ ประการเพื่อการหลุดพ้นเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ยังต้องยอมรับนับถือกฎแห่งกรรมที่เกิดขึ้นกับบุคคลทุกฝ่าย โดยไม่ได้แบ่งแยกเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด รวมไปถึงการสงเคราะห์ช่วยเหลือกันในยามที่สังคมส่วนรวมประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติบูชา แผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศล การให้ธรรมทานเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้คน อันจะนำไปสู่บ่อเกิดแห่งกุศลของบุคคลนั้นๆต่อไป นอกจากนี้ยังรวมถึงการช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบตามกำลังความสามารถของตนอีกด้วย


    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2014
  16. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    เล่าเรื่องเมืองยักษ์ให้ฟังบ้างสิครับ เช่น ท่านท้าวจตุบาลทั้งสี่ครับ
     
  17. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    เรียน คุณครุวาโร คะ

    เรื่องท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ซึ่งก็คือท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 ไม่มีประสบการณ์ที่มีเหตุการณ์มายืนยันจริงๆค่ะ เคยไปแต่แบบท่องเที่ยว โดยไปพบท่านและกราบขอพรท่านให้ท่านคุ้มครองตามปกติเฉยๆค่ะ ^^
     
  18. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    งั้นคงไม่รบกวนหรอกครับ แค่แปลกใจตรงที่ว่า ดินแดนที่อยู่ชิดติดกับภพภูมิมนุษย์ คุณเล่าไม่ได้แต่กลับเล่าในดินแดนยากๆที่ไกลออกไปนั้นได้ครับ
     
  19. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    ไม่เห็นคุณคุรุวาโรมาเล่าประสบการณ์หรือแนะนำการฝึกสมาธินานเลย จำได้ว่าอ่านเพลินเลย และทำให้เกิดความเพียรอยากปฏิบัติมากขึ้น นี่ผ่านไปกว่าปีสมาธิผมยังไม่ถึงไหนเลยครับ

    แวะมาฟังประสบกาณ์คุณ White Sage พออ่านแล้ว จะได้หึกเหิมเพิ่มความเพียรในการปฏิบัติ ขอโมทนาด้วยครับ และขอให้สำเร็จพุทธภูมิดังตั้งใจหวังนะครับ
     
  20. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    อ่อ น่าจะเป็นเพราะว่าเรื่องต่างๆที่นำมาเล่าให้ฟังนั้น จะพยายามคัดแต่เรื่องราวที่เป็นประสบการณ์มโนมยิทธิ+ญาณ ๘ ที่มีการยืนยันด้วยเหตุการณ์ และมีประจักษ์พยานที่เป็นบุคคลมาแล้ว ซึ่งตนเองมองว่าเป็นสิ่งที่ดูแล้วมีเหตุมีผล และมีพยานหลักฐานมากที่สุด เหมาะสำหรับคนที่มีบารมีมาทางวิชชาสามและอภิญญา ซึ่งมักจะสงสัยและอยากรู้อยากเห็น และต้องการพิสูจน์ในเรื่องต่างๆก่อน

    นอกจากนี้ ยังรวมถึงคนที่บำเพ็ญบารมีมาทางสุขวิปัสสโกที่ไม่สามารถรู้เห็นในเรื่องเหล่านี้ได้ และอาจจะมีความสงสัยว่าสิ่งที่เรา(สายวิชชาสามและอภิญญา)ไปพบเห็นมานั้น จริงหรือไม่ หรือว่าอ่านมาจากหนังสือต่างๆ ฟังมาจากคำสอนของหลวงพ่อองค์ต่างๆ ซึ่งมีการรับข้อมูลอยู่ก่อน แล้วเกิดความเชื่อ(โดยปราศจากเหตุผลและการพิสูจน์) แล้วอุปาทานจินตนาการไปเอง เป็นนิมิตหลอกในสมาธิ ดังนั้นจึงได้ตัดในส่วนของท่องเที่ยวออกไปค่ะ

    ส่วนอีกสาเหตุหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะว่าส่วนใหญ่ไปแต่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และพระนิพพาน ยิ่งช่วงหลังๆส่วนตัวจะเน้นทรงพรหมวิหาร ๔ ให้คล่องตัวที่สุด สลับกับการใช้ปัญญาฝึกพิจารณาตัดกาย(ใคร่ครวญเพื่อละสังโยชน์ ๓)เพื่อให้สามารถไปพระนิพพาน หรือไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คล่องตัวที่สุดค่ะ ดังนั้นดินแดนอื่นๆจึงไม่ค่อยได้ไปท่องเที่ยวเลยแม้แต่พระจุฬามณี จะมีก็แต่ช่วงแรกๆของการฝึกเท่านั้น

    แต่ถ้าจำไม่ผิด ดินแดนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา อ.ฆราวาสท่านเคยพาไปเหมือนกัน แต่นานมากแล้ว ดังนั้นส่วนตัวจะนึกถึงท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ แล้วนำอาทิสมานกายไปกราบท่านเฉยๆอ่ะค่ะ ^__^

    ถ้าเป็นการท่องเที่ยวในชั้นจาตุมหาราช ก็จะมีตอนที่ไปท่องเที่ยวหาคนธรรพ์ กินนรี ที่อยู่ในเขตแดนจาตุมหาราชิกา โดยไปฟังเพลงที่คนธรรพ์บรรเลง ซึ่งถ้าใครลองไปฟังจะพบว่า เพลงที่บรรเลงนั้นจะออกกลิ่นอายแบบไทยโบราณ เพราะใช้เครื่องดนตรีคล้ายๆของไทยโบราณ แต่เสียงของดนตรีนั้นจะมีความละเอียดประณีตกว่ามาก จึงมีความไพเราะมากกว่า เวลาที่เราฟังแล้วจะัให้บรรยากาศที่สงบสุข และประณีตมาก สร้างสุนทรียภาพแก่อารมณ์จิตเป็นอยางยิ่งค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...