พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490

    แม้ความรู้ในหลักธรรม
    ประสบการณ์ในการภาวนา
    ความเก่งกาจในการทำความเพียร
    ก็อาจกลายเป็น งูอสรพิษได้
    ...
    ครูบาอาจารย์จึงเตือนว่า
    อย่าเอาใจตัวเองเป็นเกณฑ์
    อย่าดึงธรรมะมาปฏิบัติเฉพาะส่วนที่ถูกใจ
    ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นระบบองค์รวม
    เราต้องน้อมใจเราไปสู่ธรรมะทั้งหมดจึงจะได้ผล

    ชยสาโรภิกขุ
     
  2. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    อาตมา เชื่อว่าความละอายเป็นคุณธรรม
    ที่เป็นทรัพยากรสำคัญของคนไทย
    ถ้าเราสามารถให้การศึกษาที่ถูกต้อง
    เรามีหวังว่าคนไทยทั่วไปเห็นได้ว่า
    การกระทำบางอย่างน่าละอาย...
    และความรู้สึกละอายจะเป็นแรงดลบันดาลใจให้เลิก

    ตำราวิสุทธิมรรคท่านอุปมาว่า
    ความรู้สึกละอายเหมือนความรู้สึกของคน
    ที่จำเป็นต้องไปนั่งถ่ายอุจจาระกลางตลาด
    ถ้าเป็นตัวเองจะรู้สึกอย่างไร
    หรือเห็นคนอื่นทำจะรู้สึกอย่างไร
    ก็คงรู้สึกรังเกียจว่ามันน่าละอาย
    การเบียดเบียน การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น
    ก็เป็นสิ่งที่น่าละอายอย่างนั้นเหมือนกัน

    ชยสาโรภิกขุ
     
  3. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    แบ่งท่อนเพลงปีใหม่ ๒๕๕๙ ค่ะ



    มาตามสัญญาค่ะ



    จากส่ง pm , mail และเคาะส่งที่ Facebook
    ด้วยเวลาที่น้อยมาก จำเป็นต้องสรุปยอดคนร้องและแบ่งท่อนแล้วอ่ะค่ะ

    และตามนี้นะคะ ไฟล์เสียงร้อง ขอให้ส่งได้ ไม่เกินวันที่ 26 ธันวาคม

    เพื่อรวบรวมส่งให้พี่เจนมิกซ์ เผื่อเวลาให้พี่เจนมิกซ์ ซัก 2-3 วัน
    ฮ่าๆ เป็นเวลาที่กระชั้นชิดจริงๆอ่ะ



    ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ ^_^
    (มากมาย)

    -------
    ส่งไฟล์
    --------
    และเช่นเคยค่ะ ไฟล์เสียงเปล่า ไม่ใส่เอฟเฟคใดๆ
    ส่งไฟล์มาที่

    imahsita@hotmail.com


    --------------
    ร่วมร้อง (สรุปวันนี้)
    --------------

    1.หนูตา*
    2.KeLBeRoS
    3.tangOAH 1 *
    4.mead
    5.panombe2013
    6.jasminine *
    7.ชมพู่หวาน*
    8.cat13*
    9.airthestar
    10.กาไก่*
    11.ดอกใบบุญ*
    12.tanaong2011
    13.maysa79*
    14.ง้วนดิน*
    15.wvichakorn*
    16.chakaj
    17.jainwit
    18.green_apple*
    19.Thep Tavada
    20.catjoobjoob
    21.pporjai*
    22.music_lover_man
    23.Tawee gibb
    24.ryuzaki_benz
    25.popy#love



    เพลงที่ ๑





    สวัสดีปีใหม่




    ท่อนที่ ๑


    สวัสดี ดี ดี ดี สวัสดี ปี ใหม่
    (maysa79)(pporjai)(tangOAH 1) (ง้วนดิน)(ชมพู่หวาน)
    สวัสดี ให้ดี สมใจ สวัสดี ให้ดี จริงจริง
    (chakaj)(airthestar)(KeLBeRoS)(mead)(catjoobjoob)


    ปี ที่ผ่านไปแล้วมันคลาด มันแคล้ว ก็ดี ถมไป
    (jasminine)
    มี ทั้งเจ็บ ทั้งไข้ ทั้งปวด ดวงใจก็ยัง ยืนอยู่
    (panombe2013)
    กิน มีอิ่ม บางมื้อ มีอด บางมื้อ ก็ยัง ยิ้มสู้
    (Tawee gibb)
    ถึงมัน จะหนัก จะหนา ก็ตื่น ลืมตา ให้มัน หมดปี
    (green_apple)



    ท่อนที่ ๒

    สวัสดี ดี ดี ดี สวัสดี ปี ใหม่
    (jainwit)
    สวัสดี ให้ดี สมใจ สวัสดี ให้ดี จริงจริง
    (jasminine)(green_apple)(หนูตา)(กาไก่)


    แล้ว ปีใหม่ ก็มา มาเพิ่ม ชีวิต ชีวา ทุกปี
    (KeLBeRoS)
    พร ใดที่ ดี ดี ตลอด ปีนี้ ให้ดี แน่นอน
    (catjoobjoob)
    กิน กินได้ กินดี กิน แซบ อีหลี มีกิน ไว้ก่อน
    (ดอกใบบุญ)
    นอน นอนหลับ สบาย นอนตื่น สบายหายใจ คล่องดี
    (หนูตา)



    ท่อนที่ ๓

    ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี ตลอด ปีนี้เป็นปี ของไทย
    (maysa79)
    ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี ตลอด ปีนี้ และปี ต่อไป
    (airthestar)
    ให้ การ ค้ามีกำไร
    (ryuzaki_benz)
    ให้ ความ รัก ดีเรื่อยไป
    (กาไก่)
    ให้ ชิงแชมป์ไม่มีพ่าย
    (ง้วนดิน)
    นางงามสวยเกินใคร ใคร
    (ชมพู่หวาน)
    ให้ ดีสมใจ ทั้งปี ใหม่เอย
    (music_lover_man)


    (Thep Tavada) ..โฮ..........





    ท่อนที่ ๔

    ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี ตลอด ปีนี้เป็นปี ของไทย
    (tangOAH 1)
    ให้ไทย ทั้งไทย โชคดี ตลอด ปีนี้ และปี ต่อไป
    (mead)
    ให้ การ ค้ามีกำไร
    (wvichakorn)
    ให้ ความ รัก ดีเรื่อยไป
    (cat13)
    ให้ ชิงแชมป์ไม่มีพ่าย
    (tanaong2011)
    นางงามสวยเกินใคร ใคร
    (pporjai)
    ให้ ดีสมใจ ทั้งปี ใหม่เอย
    (chakaj)




    ท่อนที่ ๕


    สวัสดี ดี ดี ดี สวัสดี ปี ใหม่
    (Thep Tavada)
    สวัสดี ให้ดี สมใจ สวัสดี ให้ดี จริงจริง
    (พร้อม-ญ)

    สวัสดี ดี ดี ดี สวัสดี ปี ใหม่
    (popy#love)
    สวัสดี ให้ดี สมใจ สวัสดี ให้ดี จริงจริง
    (พร้อม-ช)

    (KeLBeRoS)โฮ...........


    สวัสดี ให้ดี สมใจ ประเทศไทย จงสวัสดี
    (พร้อม-ญ)
    สวัสดี ให้ดี สมใจ ประเทศไทย จงสวัสดี...
    (พร้อม-ชญ)




    เพลงที่ ๒






    รื่นเริงเถลิงศก






    ท่อนที่ ๑


    วันนี้ วันดี ปีใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์
    (maysa79)
    ยิ้มให้กัน ในวันปีใหม่ โกรธเคืองเรื่องใด จงอภัยให้กัน
    (panombe2013)
    หมดสิ้นกันที ปีเก่า เรื่องทุกข์เรื่องเศร้า อย่าเขลาคิดมัน
    (mead)
    ตั้งต้น ชีวิต กันใหม่ ให้มันสดใสสุขใหม่ทั่วกัน
    (tangOAH 1)
    เอ้า เฮ เฮ เฮ เฮ้เห่เฮเฮ้ สุขใหม่ทั่วกัน
    (music_lover_man)(catjoobjoob)(popy#love)

    รื่นเริง เถลิงศกใหม่
    (wvichakorn)
    ช่า รื่นเริง เถลิงศกใหม่
    (mead)(Tawee gibb)(tanaong2011)
    รวมจิตร่วมใจ ทำบุญร่วมกัน
    (cat13)
    ทำบุญกันตามประเพณี กุศลราศี บรรเจิดเฉิดฉันท์
    (jainwit)
    พี่น้อง ร่วมชาติเดียวกัน
    (ryuzaki_benz)
    พี่น้อง ร่วมชาติเดียวกัน
    (ดอกใบบุญ) (cat13)(กาไก่)
    ขอให้สุขสันต์ ทั่วกัน เอย
    (catjoobjoob)

    นอย ทิงนองนอย น้อยหน่อยนอยน้อย
    หน่อยทิงนองนอย (พร้อม ญ)




    ท่อนที่ ๒


    วันนี้วันดีปีใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์
    (jasminine)
    ยิ้มให้กัน ในวันปีใหม่ โกรธเคืองเรื่องใด จงอภัยให้กัน
    (Thep Tavada)
    หมดสิ้นกันที ปีเก่า เรื่องทุกข์ เรื่องเศร้า อย่าเขลาคิดมัน
    ( กาไก่ )
    ตั้งต้น ชีวิต กันใหม่ ให้มันสดใสสุขใหม่ทั่วกัน
    (music_lover_man)
    เอ้า เฮ เฮ เฮ เฮ้เห่เฮเฮ้ สุขใหม่ทั่วกัน
    (tangOAH 1)(maysa79)(ชมพู่หวาน)

    รื่นเริง เถลิงศกใหม่
    (Tawee gibb)
    ช่า รื่นเริง เถลิงศกใหม่
    (wvichakorn)(กาไก่)(pporjai)
    รวมจิตร่วมใจ ทำบุญร่วมกัน
    (tanaong2011)
    ทำบุญกันตามประเพณี กุศลราศี บรรเจิดเฉิดฉันท์
    (ง้วนดิน)
    พี่น้อง ร่วมชาติเดียวกัน
    (ดอกใบบุญ)
    พี่น้อง ร่วมชาติเดียวกัน
    (Thep Tavada)(airthestar)(ryuzaki_benz)
    ขอให้สุขสันต์ทั่วกัน เอย
    (ชมพู่หวาน)


    นอย ทิงนองนอย น้อยหน่อยนอยนัอย
    หน่อยทิงนองนอย (พร้อม ช)






    ท่อนที่ ๓


    วันนี้ วันดี ปีใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใส พาใจสุขสันต์
    (green_apple)
    ยิ้มให้กัน ในวันปีใหม่ โกรธเคืองเรื่องใด จงอภัยให้กัน
    (airthestar)
    หมดสิ้นกันที ปีเก่า เรื่องทุกข์เรื่องเศร้า อย่าเขลาคิดมัน
    (KeLBeRoS)
    ตั้งต้นชีวิต กันใหม่ ให้มันสดใสสุขใหม่ทั่วกัน
    (หนูตา)
    เอ้า เฮ เฮ เฮ เฮ้เห่เฮเฮ้ สุขใหม่ทั่วกัน
    (panombe2013)(music_lover_man)(mead)


    รื่นเริง เถลิงศกใหม่
    (chakaj)
    ช่า รื่นเริง เถลิงศกใหม่
    (ง้วนดิน)(กาไก่)(ชมพู่หวาน)
    รวมจิตร่วมใจ ทำบุญร่วมกัน
    (pporjai)
    ทำบุญกันตามประเพณี
    (popy#love)
    กุศลราศี บรรเจิดเฉิดฉันท์
    (หนูตา)
    พี่น้อง ร่วมชาติเดียวกัน
    (panombe2013)
    พี่น้อง ร่วมชาติเดียวกัน
    (tangOAH 1)(jasminine)(green_apple)
    ขอให้สุขสันต์ ทั่วกัน เอย
    (popy#love)


    นอย ทิงนองนอย
    น้อยหน่อยนอยน้อย หน่อยทิงนองนอย..
    (พร้อม ชญ)





    ดนตรีค่ะ

    โหลดคาราโอเกะจากลิงค์นี้เลยนะคะ


    link รื่นเริงเถลิงศก
    https://od.lk/f/OV85NzQ1MTA2NF8
    link สวัสดีปีใหม่
    https://od.lk/f/OV85NzczNDg4N18



    __________________
    โปรดงดแสดงความคิดเห็นที่ไม่สร้างสรรค์ ขาดเมตตาธรรม ส่อเสียด ดูหมิ่น สร้างความแตกแยกให้แก่สังคมกระทบกระทั่งต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และขัดต่อกฎหมาย
    "ทีมงาน Palungjit ขอสงวนสิทธิ์ ที่จะ ลบ แก้ไข เคลื่อนย้าย หรือปิดกระทู้ ข้อความที่ไม่เหมาะสม โดยมิต้องบอกกล่าวแก่สมาชิกก่อน"
     
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2015
  4. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]
     
  5. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    สวัสดีวันพ่อค่ะพี่ใจ
    อนุโมทนาในธรรมทานนะคะพี่
     
  9. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_LpMB1OZ53g&app=desktop]New Years 2013 - Synchronized Epic Music (Heart of Courage) - FWSim Fireworks Display - HD - YouTube[/ame]

    สวยจริงๆ รีบดูจ้ะ เป็นพลุ..ที่ทดลองจุดที่หัวหิน.เฉลิม ฉลอง วันนี้... โดยเฉพาะรูปดาวเสาร์และรูปหัวใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 ธันวาคม 2013
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]
     
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    @ชีวิตก้าวหน้าด้วย 5 สุข


    สำหรับพี่น้องประชาชนผู้สนใจในธรรม โปรดทำความเข้าใจว่าความสุขความสำเร็จต่างๆในชีวิตที่แต่ละคนแต่ละท่านมี ล้วนเกิดจากเหตุที่เราประกอบขึ้น หาใช่เพราะ “เทวามาพลอยผสม พระพรหมมาช่วยลิขิต, ญาติมิตรมาดลบันดาล” ก็หาไม่ นักปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้น่าคิดว่า...

    เป็นเรื่องของ “การเสาะหา” ไม่ใช่ “เกิดมาเป็น”
    เป็นเรื่องของ “การต่อสู้” ไม่ใช่ “นั่งดูดวง”
    เป็นเรื่องของ “ความเชี่ยวชาญ” ไม่ใช่ “โชคช่วย”
    เป็นเรื่องของ “การฝึกฝน” ไม่ใช่ “บุญหล่นทับ”
    เป็นเรื่องของ “ความสามารถ” ไม่ใช่ “วาสนา”
    เป็นเรื่องของ “พรแสวง” ไม่ใช่ “พรสวรรค์”

    จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของคน หาได้มาจากสิ่งภายนอกไม่ แต่มาจากตัวเราเองทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ชีวิตที่จะสดใสไพโรจน์มีความก้าวหน้า ต้องดำเนินตามหลักพุทธวิธีแล้วท่านจะมีสุขทั้ง ๕ ระดับ คือ

    ๑. ทำดีมีสุข...ต้องประกอบด้วยคุณธรรม คือ

    ละชั่ว - เว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
    ประพฤติชอบ - ดำรงอยู่ในกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
    ประกอบความดี - เจริญอยู่ในทาน ศีล ภาวนา, ศีล สมาธิ ปัญญา
    มีระเบียบวินัย - รู้จักควบคุมพฤติกรรมของตน มิให้เป็นทุกข์โทษแก่ผู้อื่น

    ๒. มั่งมีศรีสุข...ต้องประกอบด้วยคุณธรรม คือ

    ขยันหา - ไม่เกียจคร้านในการหาเลี้ยงชีพ
    รักษาดี - ไม่สุรุ่ยสุร่าย หรือจับจ่ายในทางไม่จำเป็น มิฉะนั้น จะเข้าในลักษณะที่ท่าน
    กล่าวว่า “ขยันแต่ไม่ประหยัด ขจัดความจนไม่ได้” และอีกคำหนึ่งว่า “อยากรวยต้องขยัน อยากมีหลักฐานต้องประหยัด”
    มีกัลยาณมิตร - ไม่คบคนที่จะนำพาหายนะมาสู่เรา เพราะ “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตๆ พาไปหาผล”
    เลี้ยงชีวิตเหมาะสม - ไม่เสียเกินได้ ไม่ใช้เกินมี แต่ใช้ให้พอดีกับฐานะ เพราะ “ถ้าขาดความพอดี ท่านจะเป็นหนี้ตลอดกาล”

    ๓. สมบูรณ์พูนสุข... ต้องประกอบด้วยคุณธรรมคือ

    ไม่มีหนี้สิน - เพราะรู้จักอดทน อดกลั้น อดออม จึงไม่อดอยาก
    พอกินพอใช้ - ไม่ขาดแคลน เพราะอำนาจการรู้จักแบ่งกินแบ่งเก็บ
    ไร้โรคโศกภัย - ปราศจากโรคาพยาธิและกิเลสเบียดเบียน เพราะอำนาจอนามัยทั้งทางกายและจิต
    จิตใจเยือกเย็น - ด้วยอำนาจขันติธรรม และเมตตาธรรม

    ๔. อยู่ดีมีสุข...ต้องประกอบด้วยคุณธรรม คือ

    โอบอ้อมอารี - เจ็บเยี่ยมไข้ ตายเยี่ยมผี มีช่วยเหลือ ไม่แล้งน้ำใจ
    วจีไพเราะ - พูดจาอ่อนหวาน พูดประสานสามัคคี พูดมีสาระ
    สงเคราะห์ทุกคน - การเสียสละ เกื้อหนุน ด้วยกรุณา ยังโลกาให้เป็นสุข
    วางตนพอดี - ไม่มีมานะทิฐิ เย่อหยิ่งหรือแข็งกระด้าง “ไม่เป็นท้าวพระยาลืมก้น ต้นไม่ลืม
    ดิน ปักษินลืมไพร”

    ๕. อยู่เย็นเป็นสุข...ต้องประกอบด้วยคุณธรรมคือ

    รักกัน - ด้วยอำนาจเมตตาธรรม
    ช่วยเหลือกัน - ด้วยอำนาจกรุณาธรรม
    ไม่ริษยากัน - ด้วยอำนาจมุทิตาธรรม
    ไม่ทำลายกัน - ด้วยอำนาจอุเบกขาธรรม
    ทั้งหมดนี้เป็นพุทธวิธีสร้างสุขโดยอาศัยหลักพุทธธรรมดังกล่าวแล้ว ฯ



    พระพิจิตรธรรมพาที (ชัยวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน)
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,807
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    บ้านนี้มีทั้งเสียงสวดมนต์และเสียงเพลง บวกกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ความสุขทั้งนั้นเลย อีกไม่ช้าคงได้ดาวมาชม สาธุในธรรมทานค่ะcatt7
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    บ้านจับฉ่าย..ก็อย่างนี้ล่ะนะคะ คุณพี่สุภาทร ...
    ทุกข์ สุข อยู่ที่ใจเราสร้างขึ้นทั้งนั้นค่ะ..
    ขอบพระคุณ คุณพี่ ที่ทำให้รู้ลึกซึ้งยิ่ง ๆ ขึ้นด้านธรรมะ..
    กามสุขที่ทำให้เราหลง...มันมีให้เราหลงอยู่ตลอดเวลา..ทุกลมหายใจ


    ระลึกถึงคุณพี่..ผู้น่ารักและปรารถนาดี..ในใจเสมอ ๆ นะคะ..
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    [​IMG]

    เราเกิดมาทำไม จากการอ่าน จากการดู จากการฟัง คำสอน จากการปฏิบัติ จากประสบการณ์ ของผู้เขียนเอง(เจ้าของบล็อกแก็งค์นี้) ขอให้ความเห็นว่า เราเกิดมาเพื่อค้นหา"ดวงปัญญา" เพื่อให้รู้ ความจริงของชีวิต เพื่อปล่อยวาง จากการยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเรา ตัวเขา เพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติ นั่นเอง เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือ เวียนว่ายตายเกิดในภพที่ดี สุคติภพ นั่นเอง

    [​IMG]

    ตามแนวทางพุทธศาสนา สอนว่า เราทุกคน มีการเวียนว่ายตายเกิด มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ตามธรรมชาติ แต่เพราะ มี 1.อวิชชา หรือ ความไม่รู้ ทำให้เกิด 2.การปรุงแต่ง หรือ สังขาร 3.ทำให้เกิดธาตุ รู้ หรือ วิญญาณ ทำให้เกิด 4.นามรูป ทำให้เกิด 5.อายตนะภายใน และ ภายนอก ทำให้เกิด 6.ผัสสะทำให้เกิด 7. เวทนา ทำให้เกิด 8.ตัณหา ทำให้เกิด 9.อุปาทาน ยึดมั่น ถือมั่น เป็นเราเป็นเขา ทำให้เกิด 10.ภพ ทำให้เกิด 11.ชาติ ทำให้เกิด 12.ชรา มรณะ เกิดความทุกข์ ดังรูป

    [​IMG]

    ดังนั้น เราจึงเกิดมาเพื่อทำความรู้ให้แจ้ง หรือ ได้ ดวงปัญญา เพื่อดับ อวิชชา เมื่อได้ดวงปัญญา มาแล้ว สายโซ่ ที่นำด้วยอวิชชา จะกลาย เป็นสายโซ่ แห่งปัญญา เป็น เริ่มสายโซ่ 12 ห่วง จากความรู้ ทำให้คลายความยึดมั่น ถือ มั่น หรือ อุปาทาน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธรรมชาติ อยู่เหนือ การสมมติขึ้นเอง ได้ดวงปัญญา หรือ พุทธะ คอยนำทาง เริ่ม สายโซ่แห่งปฏิจจสมุปบาท เป็นสายโซ่แห่งปัญญา นำมาสู่ความสุข แทน สายโซ่ แห่งอวิชชา ซึ่งนำสู่ความทุกข์ มาให้นั่นเอง

    สรุป เราเกิดมาเพื่อทำความรู้ให้แจ้ง ให้ได้"ดวงปัญญา"

    [​IMG]


    ดวงปัญญา ตามแนวทาง แสงเงินแสงทอง แห่งชีวิต คือ

    แสง ที่ 1. การแสวงหาความรู้ 2.นำความรู้ มาปฏิบัติ 3.ด้วยความพอใจที่จะปฏิบัติเองไม่ต้องมีการบังคับ 4.ด้วยความเชื่อมั่นว่าเราสามารถ ทำได้ 5.ด้วยความเชื่อเรื่อง เหตุ เรื่อง ผล 6.ด้วยความไม่ผลัดวัน เร่งปฏิบัติ จนเกิดความชำนาญ จนได้ 7.ดวงปัญญา มาอยู่กับจิต ตลอดเวลาไว้ทำลายความไม่รู้ อวิชชา ลงได้

    ผลจากการได้ดวงปัญญา ทำให้รู้จริงตามที่เป็นจริงไม่ใช่ตามสมมติขึ้น ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของอุปาทาน การยึดมั่นถือมั่น ไม่มีการเกิดขึ้น ของสายโซ่ ปฏิจสมุปบาทแห่งอวิชชา อีก แต่ สายโซ่ยังหมุน ต่อไปด้วย สายโซ่แห่งปัญญาแทน ทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือ ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดก็จะอยู่ในภพที่ดี

    หมายเหตุ ที่เขียนขึ้นเป็นความรู้ ที่ผู้เขียน เสนอ ขึ้น แต่ทางปฏิบัติ ก็ยังคงอยู่เพียงในขั้นเข้าใจธรรมะ เรื่อง "แสงเงินแสงทอง" เท่านั้น กำลัง พยายาม ค้นหาดวงปัญญา อยู่ เหมือนกัน


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ธันวาคม 2013
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ชีวิตคืออะไร เราเกิดมาทำไม อะไรคือจุดมุ่งหมายของชีวิต

    ศาสนา ธรรมะ พุทธ สังคม เพื่อจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเบื้องต้น จึงต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองก่อนว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร?

    ชีวิตคืออะไร? ชีวิตของคนเราคือการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตนเอง คนเราทุกคนเกิดมาไม่ได้อะไรมาฟรีๆ ต้องศึกษาเรียนรู้เอาทั้งหมด ถ้าไม่ศึกษาเรียนรู้ก็ไม่ได้อะไรเลย และชีวิตของคนเราต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วเลวได้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วคนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ไหน

    คำตอบเพื่อความเข้าใจถ่องแท้ต้องเปรียบเทียบตัวเรากับสัตว์โลกอื่นๆ เช่น สัตว์เดรัจฉาน เราจะเห็นว่ามันเกิดมาเดี๋ยวเดียวมันก็จะเดินได้ ว่ายน้ำได้ พ่อแม่ของมันไม่ต้องสอนอะไรมากนัก มันอาศัยสัญชาติญาณของมัน ทีนี้หันมามองดูตัวเราเอง เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เกิดมาแล้วพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ถ้าปล่อยเราตายทันที พ่อแม่ต้องสอนทุกอย่าง สอนกิน สอนนั่ง สอนเดิน สอนนอน สอนขับถ่าย สอนทุกอย่าง คนเราไม่ได้อะไรมาฟรีๆ เลย ต้องฝึกต้องสอนเอาทั้งนั้น คนเราแพ้สัตว์เดรัจฉานก็ตรงนี้ แต่คนเราก็มีจุดที่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ตรงที่คนเราสามารถฝึกตัวเองได้ สัตว์เดรัจฉานฝึกตัวเองไม่ได้ คนฝึกให้เท่าใดก็ได้เท่านั้น ส่วนคนเราสามารถฝึกตัวเองได้ไม่มีที่สิ้นสุด ฝึกฝนเป็นอะไรก็ได้

    ฝึกเป็นคนดี ฝึกเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฝึกเป็นนักกีฬา ฝึกเป็นโจรก็ได้ และฝึกเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังได้เลย แต่ถ้าไม่ฝึกแล้วคนสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกเลวได้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า “ชีวิตคือการศึกษาเรียนรู้”

    เป้าหมายของชีวิตคืออะไร? เป้าหมายของมนุษย์ทุกคนคือ การพ้นทุกข์ มนุษย์ทุกคนต้องการหนีจากทุกข์เพื่อไปหาสุขที่ถาวร ความต้องการพ้นทุกข์นี้ฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน คนเรานั้นเกิดมาเพื่อจะหนีทุกข์ไปหาสุขด้วยกันทุกคน สุขเราที่ต้องการนั้นก็ต้องเป็นสุขถาวรตลอดไป สุขชั่วคราวจริงๆ ไม่มีผู้ใดต้องการ สุขถาวรที่ทุกคนต้องการแปลเป็นภาษาธรรมว่านิพพาน คนทุกคนที่เกิดมามีความต้องการสุขถาวรหรือต้องการนิพพานด้วยกันทุกคน ฉะนั้นเป้าหมายของชีวิตคนเราทุกคนคือนิพพาน

    คนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ไหน มีเครื่องมืออะไรที่ธรรมชาติให้มาฝึกฝนตนเองบ้าง? คนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกว่าอินทรีย์ ๖ อินทรีย์ ๖ นี้แหละที่ธรรมชาติให้มาเป็นเครื่องมือฝึกฝนตนเอง คนเราจะดีหรือเลวอยู่ที่การใช้อินทรีย์ ๖ ถ้าใช้อินทรีย์ ๖ ไปในทางรับความรู้สึกอย่างเดียวชีวิตก็จะมีแต่ปัญหา แต่ถ้าใช้อินทรีย์ ๖ ในทางการศึกษาเรียนรู้ชีวิตของคนเรานั้นก็จะมีปัญหาน้อย พบแต่ความสุข

    เมื่อเรารู้จักตนเองดีแล้วก็จะรู้จักใช้เครื่องมือฝึกฝนตนเองที่ธรรมชาติให้มา ต่อไปเราจะพบความพอดีของชีวิตของเราได้อย่างไร? และผู้ใดที่รู้เรื่องราวของโลกและชีวิตดีที่สุด? บุคคลที่รู้เรื่องราวของชีวิตดีที่สุดในโลกก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก เป็นผู้รู้แจ้งโลกและชีวิตหาผู้ใดเสมอเหมือนไม่ได้ ในโลกนี้หรือโลกไหนๆ พระพุทธองค์ได้ตรัสสั่งสอนมนุษย์และเทวดาอยู่ถึง ๔๕ พรรษา พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คำสอนทั้งหมดสรุปได้ว่า พระองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์เท่านั้น พระธรรมคำสอนของพระองค์ท่านขณะนี้ได้จารึกไว้ในพระไตรปิฎกจำนวน ๔๕ เล่ม ถ้ามนุษย์ทุกคนต้องการความพอดีของชีวิตตนเองว่าอยู่ตรงไหน ต้องศึกษาเรียนรู้จากพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่านที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกให้จบหลายๆ รอบ แล้วท่านจะรู้เห็นความจริงของโลก และชีวิตของท่านจะพบความพอดีของชีวิตได้


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าที่สุดโต่งของมนุษย์ มี ๒ ด้าน

    สุดโต่งด้านที่ ๑ คือ ความพอใจ (กามสุขัลลิกานุโยค) และที่สุดโต่งอีกด้านหนึ่งก็คือความไม่พอใจ (อัตตกิลมถานุโยค) มนุษย์ส่วนมากจะไปตกอยู่ในที่สุด ๒ ด้านนี้ตลอดเวลา

    ความพอใจก็คือความโลภ ความไม่พอใจก็คือความโกรธ ตามความพอใจไม่พอใจไม่ทันเรียกว่าความหลง ชีวิตของคนเราจึงไปหลงพอใจไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีโอกาสพบความพอดีของชีวิต

    ความพอดีของชีวิตก็คือหลักทางสายกลางหรือหลักความจริง ไม่ไปเกี่ยวข้องกับความพอใจไม่พอใจ โดยการรู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต คือความรู้ในกฎธรรมชาติ

    ๒ กฎที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ อันได้แก่ กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และกฎของเหตุปัจจัยหรือ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ หรือบังเอิญมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นเสมอ

    เมื่อคนราฝึกฝนตนเองให้รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิตตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ก็จะรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเราหรืออินทรีย์ ๖ ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง

    เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ตัวของเราก็ไม่ไปหลงพอใจและไม่พอใจต่อสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเรา สัมมาทิฏฐิหรือปัญญาก็เกิดขึ้นทันที แล้วองค์ธรรมในมรรค ๘ ก็จะเกิดขึ้นตามมาจนครบ ได้แก่ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

    นี่คือหลักความจริง หรือหลักทางสายกลาง หรือหลักความพอดี ความพอดีของชีวิตคนเราอยู่ตรงนี้

    ความพอดีของชีวิตคนเราอยู่ตรงที่คนเรารู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต เราจึงไม่ไปสุดโต่งทั้ง ๒ ด้าน คือความพอใจ และความไม่พอใจ

    ชีวิตคือการศึกษาเรียนรู้ ถ้าเรารู้ผิด เพราะเรียนมาผิด เราก็เห็นผิด เมื่อเห็นผิดก็คิดผิด การกระทำของเราก็มาจากความคิด การดำเนินชีวิตก็มาจากการกระทำ แต่ถ้าเราได้เรียนใหม่ คือเรียนสิ่งที่ถูก ความเห็นเราก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ถูก เมื่อเห็นถูกก็คิดถูก ทำถูก ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูก หรือชีวิตเปลี่ยนไปได้จากหลังมือเป็นหน้ามือ

    ธรรมชาติจริงๆ นั้นละเอียด ลึกเกินกว่าความคิดจะหยั่งลงไปถึง บางอย่างก็แสดงออกมาไม่ได้ การที่เราจะเรียนถูกได้นั้น มี ๒ กรณีคือ ฝึกตนเองให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองไม่ต้องมีใครมาสอน และได้พบผู้รู้แล้วเราก็เรียนรู้ตาม หรือต้องมีครู บุคคลที่รู้เองได้โดยชอบไม่มีครู เราเรียกว่า บรมครู ภาษาบาลีใช้คำว่า สัมมาสัมพุทธเจ้า

    การที่จะรู้เองได้นั้นมันยาก ใช้เวลาความทุ่มเทมาก ชีวิตเราทุกวันนี้ก็อาศัยการเรียนรู้มาจากผู้ที่รู้มาก่อนหน้านี้ทั้งนั้น คิดดูดีๆ เราไม่มีอะไรที่เรารู้เองเห็นเองเลยในชีวิตนี้ แต่การที่เราจะได้มีโอกาสพบครูที่รู้จริงมันก็ไม่ง่าย เพราะเรายังไม่มีความรู้ที่จะไปตัดสินได้ว่า ใครคือผู้รู้จริง แล้วผู้ที่จะรู้ว่าใครคือผู้รู้ ก็คือผู้ที่รู้แล้วเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่า การได้เกิดมาเป็นคนนั้นยาก การได้เกิดมาพบพระธรรมคำสั่งสอนก็ยากเข้าไปอีก จะต้องมีโอกาสพบผู้รู้ก่อนหน้าหรือพบสัปปบุรุษ ได้ฟังธรรมของสัปปบุรุษ รู้และเข้าใจตาม ถึงจะได้มาเป็นผู้รู้เหมือนเขา หรือได้เป็นชาวพุทธ .... ในสังคม คนที่เป็นพุทธจริงๆ ถึงมีน้อย สังคมจึงมีแต่ความวุ่นวายเหมือนที่เห็นกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ธันวาคม 2013
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เพลงนี้มอบให้คุณพี่ต้อย ผู้แสนดีและมีเมตตาต่อพอใจค่ะ..


    [​IMG]

    [​IMG]

    เรามีเรา

    แต่ก่อนแต่ไร ไม่เคยอุ่นใจโดดเดี่ยวเดียวดาย ข้างกายไม่มีใครสักคนฝ่าทางชีวิต ทุกข์ภัยผจญฝ่าลมและฝน ก็โดยลำพัง

    แต่มาวันนี้ คลุกคลีกับเธออยู่เคียงกับเธอ แล้วทำให้ใจมีพลังจะเดินต่อไป ไม่ยอมหยุดยั้งหากเดินพลาดพลั้ง ฉันยังมีเธอ

    *เราสองเคยผ่านชีวิต โดดเดี่ยวสองเราเคยเหนื่อยและท้อ เต็มทีหนทางยังอยู่แสนไกลจากวันนี้เพียงเรามีเรา หากจะเดินไปทางใด ไม่หวั่นจับมือกันเดินด้วยใจอดทน หากใครสักคนล้มลงฉุดมือกันขึ้นไปจะฝ่าประจันทุกข์อันตรายกอดคอกันไป ไม่กลัวภัยพาล

    (*)จับมือกันไป ไม่กลัวภัยพาลกอดคอกันไป ไม่กลัวภัยพาล



    ไฟล์เพลง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ธันวาคม 2013
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,807
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ***********************************
    ขอบพระคุณคุณน้องค่ะ เสียงยังใสแจ๋วซึ้งเข้าไปถึงในใจเหมือนเดิม catt11
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เพลงนี้ร้องตอนเช้ามืดค่ะพี่ต้อย ไม่ใสมากนัก นึกอยากร้องมาก ๆ ก็ร้องเลย ชอบความหมายของเนื้อเพลง ที่แสดงความเป็นมิตรแท้ และมั่นคงได้อย่างชัดเจน เฉกเช่นพี่ต้อยแสนดี ที่มีมิตรไมตรีพร้อมความปรารถนาดีมาให้พอใจอยู่เสมอ ๆ ให้ธรรมะและการใช้ชีวิตแบบสายกลาง ไม่ยึดติด ดึงเข้าหาตัวอยู่ร่ำไป ตั้งแต่พบพี่ได้ปฏิบัติธรรมหลาย ๆ อย่าง ขอบพระคุณพี่ และมวลมิตรจิตบุญหลาย ๆ คนที่ร่วมด้วยช่วยกันขัดเกลาจิตใจให้กันและกัน สาธุ ๆ ๆ
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    อย่าติดอยู่ในสิ่งที่เรารัก หรือไม่รัก
    การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก เป็นทุกข์
    การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์

    Be not attached to the beloved
    And never with the unbeloved.
    Not to meet the beloved is painful
    As also to meet with the unbeloved.
    .....................................
    เพราะฉะนั้น ไม่ควรรักสิ่งใด
    เพราะพลัดพรากจากของรัก เป็นทุกข์
    ผู้ที่หมดความรักและความไม่รักแล้ว
    เครื่องผูกพัน ก็พลอยหมดไปด้วย

    Therefore hold nothing dear,
    For separation from the beloved is painful.
    There are no bonds for those
    To whom nothing is dear or not dear.
    ..............................................
    ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก
    ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย
    เมื่อไม่มีความรักเสียแล้ว
    โศก ภัย ก็ไม่มี

    From love springs grief,
    From love spring fear;
    For him who is free from love
    There is neither grief nor fear.
    ————–

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรักเป็นความร้าย ความรักเป็นสิ่งทารุณ และเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้ว ก็เป็นพิษแก่จิตใจ ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น ความสุขที่เกิดจากความรักนั้น เหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง เธอทั้งหลายอย่าพอใจในความรักเลย เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่”
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่งและเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพราก ก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคน จะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง”
     
  20. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    สมดุลแห่งชีวิต

    “เต๋าที่อธิบายได้นั้น มิใช่เต๋าที่แท้จริง”
    ขยายความได้ว่า เต๋าอธิบายไม่ได้ เต๋าไม่มีตัวตน เต๋ามีก่อนสิ่งอื่นๆ
    มีก่อนจักรวาลจะเกิด เต๋าว่างเปล่า!

    ถ้าเต๋าอธิบายได้ว่าเต๋าคืออะไร แปลว่าเต๋าจะถูกจำกัดความว่ามีแค่นั้น
    เต๋า คือ ทุกสิ่ง แปลว่ามันคือทุกสิ่ง
    เต๋า คือ จักรวาล แปลว่าเต๋าคือจักรวาล
    เต๋า คือ ธรรมชาติ แปลว่าเต๋าคือธรรมชาติ

    หากลองแทนคำว่าเต๋าเป็นคำว่าธรรมหรือนิพพาน ก็จะได้ประโยคเหมือนกัน

    หากจะอธิบายให้เข้าใจแบบคนปัจจุบันที่ยังลุ่มหลงแบบเราๆ ท่านๆ
    รักที่อธิบายได้นั้น มิใช่ รักที่แท้จริง
    ขยายความได้ว่า รักอธิบายไม่ได้ รักมันไม่มีตัวตน


    ถ้ารักอธิบายได้ว่ารักคืออะไร แปลว่ารักจะถูกจำกัดว่ามีแค่นั้น
    รัก คือ ความคิดถึง แปลว่ามันคือความคิดถึง
    รัก คือ ความ คิดถึงและห่วงใย แปลว่ามันคือคิดถึงและห่วงใย
    รัก คือ รู้สึกดีต่อกัน แปลว่ามันคือความรู้สึกดีต่อกัน

    ขยายความแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้ง่ายดีนะครับ

    ในโลกเราตอนนี้มองแต่ด้วยตาของบุคคลผู้รู้จักแต่วัตถุนิยม
    เรารู้จักแต่วัตถุด้วย แล้วก็รู้จักแต่จะนิยมวัตถุด้วย
    เป็นความรับรู้แบบหยาบๆ ที่ไม่เข้าถึงความลึกซึ้งของจิตวิญาณ
    เหมือนเด็กอมมือที่รับรู้เท่าที่ตัวเองเห็นและฟัง

    เพราะเราถูกสะสมเป็นความทรงจำในสมองผ่านการ ดู ฟัง ดม กิน สัมผัส
    ว่าสิ่งนี้สวย ไพเราะ หอม อร่อย นุ่ม

    เท่านี้ไม่พอ เรายังถูกผู้มีอำนาจเหนือกว่า กำหนดสิ่งต่างๆ ด้วยชื่อ
    เช่น เสียงแบบนี้เรียกว่าเพลงโอเปร่า รสชาติแบบนี้เรียกว่าพิซซ่า หน้าตาแบบนี้เรียกว่าผู้หญิง

    และเราก็ถูกกำหนดต่อในชั้นที่สามว่า เพลงแบบนี้เพราะ แบบนี้ไม่เพราะ
    รสชาติแบบนี้อร่อย แบบนี้ไม่อร่อย หน้าตาแบบนี้สวย แบบนี้ไม่สวย

    เราเจอการกำหนดสิ่งหนึ่งถึงสามชั้น!
    ไม่แปลก ที่เราจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่แท้แล้วสิ่งนั้นคืออะไร


    แ่ต่ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ล้วนแต่เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น
    หน้าต่าง ที่ทำจากโลหะ เกิดจากเหล็ก มาจากดิน
    เตียง เกิดจากไม้ มาจากดิน มาจากน้ำ
    เรา เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ
    พลาสติก เกิดจากการสังเคราะห์ เกิดจากน้ำมัน เกิดจากซากสัตว์ เกิดจากเนื้อหนัง เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ

    ผมนั่งจับต้องลูบคลำประตู กระเบื้อง แขนขา เหมือนคนบ้าอยู่พักใหญ่ๆ
    ก็เพิ่งมองภาพได้ชัดเจนว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มาจากธรรมชาติ
    เพียงแต่ถูกแปรเปลี่ยนรูปร่างแตกต่างกันออกไป
    สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
    จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น


    ผมไม่แปลกใจแล้วหละ ว่าทำไม มหาบุรุษคนหนึ่งเมื่อ 2600 ปีก่อน นั่งใต้ต้นไม้และสามารถรู้ทุกอย่างในจักรวาล และมหาบุรุษนั้นเรามอบชื่อให้แก่ท่าน เพื่อให้เข้าใจเหมือนกันทั้งโลกว่า “พระพุทธเจ้า”
    พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่าโลกเราอยู่บนกลุ่มดาว ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกมันว่า ทางช้างเผือก
    พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่า กลุ่มดาวที่เราอยู่ อยู่ในกลุ่มดาวกว้างใหญ่มหาศาล ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกว่า จักรวาล
    ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้า พระองค์รู้จักสิ่งที่ไม่มีอันสิ้นสุดเกินจักรวาลออกไป ได้จากภายในตัวของท่านเอง

    เพราะตัวของเราเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นต้นไม้ มดเป็นธณรมชาติ จักรวาลเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นจักรวาล
    ว่าแต่ แล้วอะไรล่ะที่ใหญ่ไปกว่าจักรวาล ผมไม่สามารถบอกได้ ใครก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะปัญญามนุษย์ยังสำรวจไม่พบ
    จึงไม่ีใครตั้งชื่อ หรืออาจจะมีตั้งชื่อ แต่ผมไม่รู้

    แต่ไม่ว่าจะชื่ออะไร สิ่งๆ นั้น ไม่มีตัวตน อธิบายไม่ได้ มีก่อนสิ่งอื่นๆ มีก่อนจักรวาลจะเกิด และว่างเปล่า!

    ดังนั้นสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน แปรเปลี่ยนรูปร่างต่างกันไป
    สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
    จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น


    ถ้าสรุปแบบธรรมะผสมเต๋า ก่อนหน้าทุกอย่างว่างเปล่าแล้วจึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่และแปรเปลี่ยนจนมันดับไปเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง

    ดังนั้น หากเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของธรรมชาติ
    ก็จะเข้าใจ แนวทางการรักษาสมดุลของร่างกาย
    และจะเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของสิ่งต่างๆ
    เพราะธรรมชาติและร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งเดียวกัน
    คอยสนับสนุนหักล้างซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ความว่างเริ่มมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาทดแทน

    ถ้าเปรียบเทียบสัตว์ หมายังมีความสมดุลเป็นธรรมชาติมากกว่ามนุษย์เสียอีก..
    เช่น รูปแบบ (pattern) ของหมา ถูกกำหนดมาว่า นอนเพราะเหนื่อย กินเพราะหิว ถึงฤดูจึงผสมพันธุ์ ดุร้ายเมื่อต้องป้องกันตัว

    แต่มนุษย์มีความคิด ที่หลากหลายไม่จำกัดเหมือนหมา รูปแบบจึงซับซ้อนกว่า และหลดจากความเป็นสมดุลได้
    เช่น อาจจะนอนเพราะเหนื่อย ขี้เกียจ ไม่มีอะไรทำฯลฯ กินเพราะหิว อยาก ลองฯลฯ ดุร้ายเพราะป้องกันตัว อันทพาล หาเรื่อง ไม่มีอะไรทำฯลฯ


    แล้วกระนั้น ความซับซ้อนใน รูปแบบ (pattern ) ดังกล่าวของมนุษย์ ถูกกำหนดลงไปอีกมากมาย เช่น
    ถูกศาสนากำหนดว่า ดีหรือชั่ว อันนี้ก็แล้วแต่คำสอนของศาสนานั้นๆ
    ถูกกำหนดด้วยกฏหมายว่า ถูกหรือผิด อันนี้ก็แล้วแต่สังคมแวดล้อมของคนๆ นั้นอยู่
    ถูกประเพณีกำหนด ถูกพ่อแม่กำหนด ถูกเพื่อนกำหนด ต่างๆนานาๆ

    เลยทำให้ความเป็นมนุษย์มากมายหลากหลายรูปแบบ โชคร้ายก็สูญเสียความสมดุลอันเป็นธรรมชาติไป โชคดีก็ได้พบแนวทางค้นหาความเป็นสมดุลอันเป็นธรรมชาติ

    เพียงเพราะเราถูกกำหนดมันจากภายนอก แล้วเราก็ไปหลงสิ่งภายนอก แถมยกย่องสิ่งภายนอกตัวเราอีกต่างหาก
    โดยที่เราไม่ได้มองกลับเข้ามาหาตัวเองว่า ความสุขอยู่ที่เรา ความทุกข์อยู่ที่เรา ความใคร่อยู่ที่เรา ความอยาก สมดุลอยู่ที่เรา
    เพียงแค่เราเฝ้ามองตัวเอง นั่งฟังสิ่งที่ตนเองเรียกร้องเงียบๆ โดยปราศจากความคิดไปเอง
    ความฟุ้งซ่าน แล้วผมเชื่อว่าเราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าความสมดุลอันเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมะ ความเป็นเต๋า จักรวาล ชีวิต มันเป็นอย่างไร

    สิ่งที่ผมเขียนมา ผมอยากจะบันทึกไว้เตือนตัวเอง และเป็นข้อคิดให้แก่ทุกๆ ท่าน ไม่ได้ต้องการเขียนให้สวยหรู แต่ต้องการบันทึกเพื่อให้ตัวเองกลับมาอ่านอีกครั้ง และรู้สึกเกิดปัญญาเข้าใจอีกครั้ง ในอนาคตที่อาจจะมีโอกาสหลงผิด และเสียสมดุล


    หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจนะครับ

    ขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านพุทธทาส ที่ทำให้เกิดปัญญาเพียงแค่อ่านได้ 47 หน้า ผ่านหนังสือ “สรรนิพนธ์ พุทธทาส ว่าด้วย เต๋า”
    ปล1. สังเกตุว่า หลายๆ เนื้อหาเขียนใช้ข้อความซ้ำ เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน
    ปล2. สังเกตุว่า ตอนต้นและตอนจบ เหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
    ปล3. สังเกตุว่า แนวคิดเหมือนกันหมดแต่เขียนหลายแบบ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
    ปล4. แม้กระทั้ง ปล. 1 ถึง ปล.3 มันก็ยังเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกกันได้
    ปล5. สรุปความเป็น บล็อกนี้ได้จาก บทความนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...