ผม...พระ...และ...สาระยุคก่อน

...............
....ทีแรก..ผมคิดว่าเรื่องนี้จะสั้น...ไปๆมาๆ..ดูท่าอาจจะ
...ยาวกว่า..ขุนแผนเคลือบแคลง..วัดพัลวัน..รุ่นไหเหาะ..ซะอีก....
........ทั้งๆที่ไม่มีข้อมูลอะไรเท่าไหร่..แบบไม่เคยเห็น..ไม่เคยจับ
.........นี่แหละ........

 

.......
....ต่อจากตอนที่แล้ว....
..........................
..................................................................
....ผมนี่เสียหมา..น่าดู..อ่านพ.ศ.ผิด..ผมไปอ่านว่า..ที่ออกมาจากพระนอน..นะปี ๒๕๕๑..ความจริง
พอมาอ่านอีกที..อ๋อ..เป็น ๒๔๔๑...ผมกลับไปแก้..ส่วนที่เกี่ยวข้องในบทความที่แล้ว..ครับ..
จาก..สิบปี...เป็น ๒ ปี......
.....ขออภัยด้วยครับ..ต้วเลขมันเล็กมาก..สำหรับ..คนอายุอย่างผม....เลยสับสน.......
.........สำหรับ..การแตกออกจากองค์พระนอน..ได้รายละเอียดน้อย...แต่ก็ยังพอดูสมเหตุสมผลได้
...กว่าขุนแผนเคลือบแคลง....
.................ผมได้ภาพชัดหน่อย..จากในเว็ป..ที่เอามาจากหนังสือ..อ.รังสรรค์..ที่ถ่ายได้ชัดดีทีเดียว
....ปัญหา...ผมเห็นหลักๆ..ก็คือ....เรื่องคราบบนองค์พระ...ที่ผมไม่เรียกว่า...คราบกรุ..เพราะมัน
เป็นแบบ..ไม่ปกติ...ผมเลยไม่แปลกใจว่า...ทำไมถึงโดนต่อต้าน..นักเรื่องนี้.....
.............สมัยร่วมสี่สิบปี..มาแล้ว...เราจะได้เจอคราบแบบนี้..หรือ..ทำนองนี้..กับ...พระวัดพลับ
ปลอม..หรือ..วัดโค่งปลอม..เป็นส่วนใหญ่...ที่ปลอมระดับประถม....คนเล่นพระยุคเก่าจะคุ้น...ดังนั้น
....พวกเซียนพระรุ่นเก่า...ก็ออกมาต่อต้าน.........
.............ที่บ้านพ่อผม...พระวัดพลับแบบนี้..ก็มีหลายองค์..เพราะมีคนให้พ่อมา...ผมเคยเห็นตั้งแต่
เริ่มเล่นพระใหม่ๆ...พอมาเดินที่สนามวัดมหาธาตุ..ก็ได้พบอีก...แต่..............
.............ถ้าถามผมว่า....โอกาศที่มันจะเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติ..ในกรุจริงๆ...ในรูปแบบทำนองนี้
..........................เป็นไปได้มั้ย..................................
.........ผมตอบได้เลยว่า.........เป็นไปได้ครับ.....อันนี้..ผมตอบในฐานะ..วิศวกรที่ทำงานเกี่ยวกับดิน
และ..น้ำมา..มากกว่า สามสิบปี....และ..ชอบศึกษาพฤติกรรมของมัน..เป็นการส่วนตัว...
...เพื่อที่จะทำให้..ผมเข้าใจในงานผม..และแก้ปัญหาได้.....
.......คือ...ถ้าจะเป็นอย่างที่ผมจะเล่าต่อไป...ปัญหาคือ..ผมไม่ไได้เห็นของจริง..และ..ไม่ได้แคะดู
เอาแว่นส่อง..องค์ประกอบของมัน...ว่ามีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่......เช่นกาว.หรือ..สารเคมียึด
ประสาน..ใดๆ...การเกาะกันของมวลละเอียดเป็นยังไง............................
.........ดังนั้น..ผมจึงตอบไม่ได้ว่า..คราบนี้เกิดเองโดยธรรมชาติ..หรือ..เป็นการทำขึ้นมา.....
..............ความจริงผมต้อง..ขออภัยด้วย..แต่จะพยายามอธิบาย..ให้ผู้อ่านทั่วไป...เข้าใจแต่..มัน
จะยากซะหน่อย..ก็ลองดู......
.........ก่อนอื่นก็ลองไปหาภาพชัดๆ..แบบที่เขายังไม่ล้างคราบออกใน..Google..ดูประกอบด้วย
..จะได้เข้าใจมากขึ้น
................คือ..ถ้ามันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ.....ให้ผู้อ่านลองดู...จะเห็นเป็น..สีน้ำตาลอ่อนๆ..และทึบ
..ผิว..ไม่เรียบลื่น....เหมือนเราไปเดินถนนลูกรัง..ตอนฝนตก..โคลนติดรองเท้า..แล้วเราก็ยกเท้า
รูดกับ..ขอบปูน..เพื่อจะเอาโคลนใต้รองเท้าออก...แล้วอีก สามสี่วัน..พอมันแห้งแล้ว..มันก็จะ
คล้ายๆ..ทำนองนี้...
..........บางท่านอาจมองเป็น...น่าจะเหมือน..ตะกรัน..ในกาต้มน้ำอลูมิเนียม..นะ...
..คงไม่ใช่ครับ..เพราะจากบทความในคมชัดลึกของอีกวันที่เขาไปถามทางสมาคมฯ(..บทความ
ในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒)...คนในสมาคม..บอกว่า..คราบนี้ไม่ติดแน่น..กับองค์พระ....
.......ถ้าการเกิดมาจากหินปูน..และ..ผ่านขบวนการคล้ายๆแบบนั้น(คือ..มีความร้อนเป็นองค์ประ
กอบ)...คราบจะต้องติดแน่นมาก.......
...........ต่อตอนหน้าครับ..............

 

มารอฟังต่อครับผม... สำหรับกรุวัดขุนอินฯ

 

มาลงชื่อรายงานตัว ว่าอ่านจบ ตั้งแต่หน้าแรก จนถึง หน้าล่าสุด 243
ผมคิดว่าเป็นบทความที่ดีมาก เลยครับ ใช้หลักตรรกะ หลักวิทยาศาสตร์ มีที่มาที่ไป ใช้เหตุผลในการคิด วิเคราะห์
บทความคุณภาพจริงๆครับ
ขอบคุณพี่ modpong อีกทีครับ

 

.......
...จำไว้....
...ไม่มี REACTION ก็ไม่มี ACTION...
.....นับตั้งแต่นี้...ต่อไป...

 

........
...ขอบคุณครับ..สำหรับคำชม..และยินดีต้อนรับครับ....

 

......
...หวัดดี..คุณPardy....
.............................
..ต่อจากตอนที่แล้ว....
.............................
..............................................................
.........ที่ผม..ไม่เรียกว่า.."คราบกรุ"..เพราะมัน..จะทำให้ผู้อ่านสับสน..กับความเข้าใจเดิมของท่าน
...คราบกรุ..ที่เกิดขึ้นกับ...พระผง..(รวมถึง..พระโลหะด้วย...สำหรับ..พระโลหะ..ผมจะไม่พูดถึง
เพราะพูดไปเยอะแล้ว...ใครสนใจ..ไปรื้อหาตอนเก่าๆดูเอา)...เกิดจากมวลสารบางตัวที่..อยู่ใน
เนื้อพระ..แล้วมาทำปฎิกริยากับ..มวลสารที่อยู่ในอากาศ..ในของเหลวโดยอาศัย..อ๊อกซิเจน(ที่อยู่ในรูป
อิสสระ..หรือ..เป็นองค์ประกอบของก๊าซ..เช่น..คาร์บอนไดอ๊อกไซด์..ไนตรัสอ๊อกไซด์...
ซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์(ก๊าซไข่เน่า)..รวมทั้งความชื้น..ในรูป H2Oด้วย....ฯลฯ..เป็นต้น)..แต่สำคัญอย่าง
นึงคือ..ต้องมีความชื้น..เข้ามาประกอบด้วย..ไม่งั้นโอกาศเกิดยาก.....
.......ดังนั้น.."คราบกรุ"...ที่เรารู้จักกัน..จึงเกิด..จากข้างในเนื้อ..ออกไป...ทำให้..การแกะเอา"คราบกรุ"
...ทำได้ยาก..ในกรณีที่เป็น..พระผง..ยังพอทำได้..แต่ลำบาก...แต่ในพระโลหะ..อย่าง"สนิมแดง"..นี่
เรียกว่า..เป็นไปไม่ได้..เลย..เพราะมันกลายเป็นเนื้อไปเลย..ไม่มีรอยต่อ....
....ในพระผง.."คราบกรุ"...ที่เห็น..ปรากฎ..ทั้งหมด....ไม่ว่า..จะสีไหนก็ตาม.......
....องค์ประกอบ..เกือบทั้งหมดของมัน...คือ...แคลเซียมคาร์บอร์เนต....
...ไม่ว่า...จะเป็นแผ่น...จะเป็นเม็ดขยุกขยุย...หรือ..เม็ดกลมๆ....
....จะสีขาว...สีอมเหลือง...สีน้ำตาลอ่อน...สีน้ำตาลแก่.....
..องค์ประกอบเกือบทั้งหมด..มันคือ..แคลเซียมคาร์บอเนต Calcium carbonate ( CaCO3)
.......สิ่งที่ทำให้มันต่างกัน...คือ..สิ่งที่ปนเปื้อนจากภายนอก..และ..สารบางตัวในเนื้อ.....
..พระผงรุ่นเก่า...ไม่ว่าเนื้อสีอะไร..องค์ประกอบหลัก..คือ..ปูนเปลือกหอย..นั่นก็คือ
..แคลเซียมอ๊อกไซด์ ( CaO)..
...และก็มี..น้ำมันตังอิ๊ว.....เป็นตัวประสานและทำให้แข็งตัว..เป็นหลัก..ผสมมากน้อย..ก็แล้วแต่
.............ผมบอกแล้ว..ว่า...ขบวนการเกิดของมัน..จะต้องมีความชื้น..มาเป็นองค์ประกอบ......
....จะมีแค่..คาร์บอนไดอ๊อกไซด์..อย่างเดียว..มันก็ไม่เกิด...ความชื้นคือ H2O.......
.......คือ..เรียกว่า..ถ้าคุณเอาพระผงรุ่นเก่า..ที่ไม่มีคราบกรุซักองค์..ใส่ไว้ใน..ผอบ..เอาวางไว้..
ในที่ๆ..อากาศถ่ายเทสะดวก(..ถ้าที่อับๆ..เวลาฝนตกหนักจะอมความชื้นไว้)...ทิ้งไว้ ๑๐๐ ปี..
...แล้วกลับมาเปิด..ดู..คุณแทบจะมองไม่เห็นคราบกรุ..ที่บอกอย่างนั้น..เพราะบ้านเรา..ยังไงก็
มีความชื้นบ้าง..แต่ถ้า..เอาไปวางแถวยุโรป..หรือ..ตะวันออกกลาง...รับรอง..ไม่มีคราบกรุ..แน่
.............แต่ถ้าชื้นดีมาก...หรือ..จมแช่ไปเลย...นี่...คราบเพียบ..เยอะ..และ..ขึ้นเร็ว......
ตัวอย่างมีครับ....สมเด็จขาโต๊ะแช่น้ำมนต์...ของ..หลวงปู่โต๊ะ...อยู่ในโอ่งจมน้ำมนต์แค่ ๕๐ ปี..
....ออกมานี่..น้องๆ..บางขุนพรหมกรุใหม่เลย............
..................ต่อตอนหน้า................

 

มารอฟังต่อครับ
แต่ผมขอกด like เป็น reaction แทนการโพสต์ตอบนะครับ
ไว้รอพี่ให้สัญญาณว่าจบตอนเมื่อไหร่ค่อยแทรกประเด็นถามอีกที

 

ขออภัยครับคุณอา ที่ไม่มี reaction เพราะนึกว่าจะเหมือน ซีรีส์ขอบชีสอ่ะครับ

เกรงจะทำให้สะดุด เลยกะจะให้จบตอนแล้วค่อยสอบถามเพิ่ม

กระทู้นี้ของคุณอาเป็นเหตุเป็นผลจับต้องได้ทางวิทยาศาสตร์ที่สุดแล้ว

ถ้าจะไม่มีอีกก็น่าเสียดายที่สุดแล้วครับ

 

สวัสดีครับคุณอา...ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆคุณอาดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ติดตามอ่านมุมมองสมเด็จวัดขุนอินตอนต่อไปครับผม

 

เอาความรู้ไปใช้ก็นำทุเรียน ทำให้ผิวพระสวยแหละครับ ได้ผลสวยดีจริงๆ ครับ

 

...........ขอเรียนทุกท่านให้ทราบ....
..คำว่า REACTION ของผม..ไม่ใช่การกด..ปุ่ม..เพียงปุ่มเดียว
...ผมเข้ามา..ในเว็บบอร์ดนี้..ไม่ได้มาหาความรู้..
..การพูดคุยแก้เหงา...เหมือนคนอื่น..ผมเข้ามาเพื่อ..
...ให้ความรู้..คุณถามผม..มา..ผมก็ต้องไปค้นคว้า..เอาเอง
..แล้วใช้ประสพการณ์..และ..ความรู้ผม..มาประมวล..
..เพื่อกลั่นกรอง..มาเป็นคำตอบแต่ละตอน....
....ผมถามคุณว่า..ผมจะเหนื่อยมั้ย..
...แล้วผมทำไปเพื่อให้ความรู้คน..โดยไม่มีสิ่งตอบแทนอะไร..
.........แล้ว Reaction..มันไม่ได้หมายความว่า..
ต้องแสดง..ความคิดเห็นอะไร...แค่พิมพ์..สามสี่คำ..
..ให้ผม..ได้รับรู้..หรือ..รับทราบ...ทำไม่ได้เหรอ..
...มันเหนื่อยยากมาก..หรือ..ไง...
....มันเหนื่อยเท่าที่ผม..เขียน..พิมพ์..ไปเรื่อยนี่เหรอ..
.........เมื่อคำถามนี้...คุณเป็นคนถาม...
....แล้วคุณ..มาบอกว่า..จะทำแค่นี้....
..........ผมก็จะหยุด.....

 

ขออภัยครับพี่ ที่ทำให้พี่เข้าใจเจตนาผิดไปในโพสต์บน
ด้วยความที่เกรงเรื่องจะสะดุด จากใจจริง ๆ
ผมอ่าน หลายครั้ง ก็คันมือ อยากถาม หรือโพสต์เหมือนกัน
แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการลบ ด้วยเจตนาดังที่ว่าจริง ๆ
เพราะปกติเวลาดูกระทู้อื่น ๆ หลายกระทู้ขาดตอน อ่านไม่มัน ไม่ได้อรรถรสไม่ต่อเนื่อง
เกรงว่าโพสต์ไปแล้วบางทีไร้สาระ เจ้าของกระทู้อาจไม่ชอบใจ บวกกับคนอื่น ๆ ที่อ่านอาจจะรำคาญ
ด้วยความเกรงใจ ไม่อยากมาคั่นโพสต์ให้ดูสะดุด เลยได้กด like ตามไปก่อน
รอพี่ให้สัญญาณจบตอนถึงจะโพสต์

เมื่อพี่ต้องการ reaction ทันทีหลังจากที่พี่โพสต์ไม่นาน
ผมอ่านแล้ว ก็เลยโพสต์ออกมา เพื่อแสดงตัวว่ายังติดตามข้อมูลที่พี่ให้มาเสมอ
ด้วยความที่เข้าใจเจตนาผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ดัีงนั้น ขออภัยมาด้วย ณ ที่นี้ครับ

เพื่อรักษาบรรยากาศ ขอให้พี่ลืมข้อผิดพลาดนี้ไป
ผมจะคอยติดตาม พร้อมส่งเสียงตอบกลับอยู่เรื่อย ๆ ครับ
ขอบคุณครับ

 

สวัสดีพี่ modpong อีกครั้งนะครับ ...ขออนุญาตเรียกว่า พี่modpong ตามที่พี่โจ๊ะ (พี่กำธร) เรียกนะครับ..

ต้องขอบคุณพี่ที่นำข้อคิดเห็นดีๆ มาลงให้ผมอ่านและวิเคราะห์ตามหลักเหตุ/ผล ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ และ เชิงธรรมชาติ . . . . ผมชอบแบบนี้นะครับ หลายๆ ข้อความทำให้ผมคิดตามและมองเห็นภาพ ง่ายต่อความเข้าใจ . . .

 

......
...เอาละ..พี่โอเค..ยอมรับคำขอโทษ..ก็ว่าไปตามนั้น
......ไอ้เรื่องลืม..นะ..พี่ไม่เคยลืม...และไม่ต้องการลืม..
...ใครมาบอกให้ทำ..ก็ทำไม่ได้หรอก...
................พี่มัน..เป้นคนเลือดเดือดง่าย...
..ไม่ว่า..เฉียวฟง...พลศิริ..หรือ..กำธร..รู้ดี
ยิ่งแก่..ดีกรียิ่งแรง...ก็จะพักสงบสติอารมณ์..ซักวันสองวัน..
..แล้วค่อยมาเขียนต่อ...

 

...ได้เลยครับ..เรียกพี่..เฉยๆ..ก็ยังได้..กำธรน้องรัก..เขาก็เรียกแบบนี้..และขอบคุณอีกครั้ง
สำหรับ..คำชม..การสอนอะไรใครของพี่...พี่จะตั้งใจทุกครั้ง
..เพราะคนอื่นเขามาอ่าน..อาจจะทำให้เขาเข้าใจผิดไปได้
..เราไม่ใช่อาชีพเป็นอาจารย์..ดังนั้นการอธิบายมันเลยเยอะ..
....แต่ที่ยึดถือ..ไว้เป็นหลักคือ...ต้องไม่เหมือนของคนอื่น...
..เพราะ..คนอ่านเขาก็ไปหาอ่านที่ไหนก้ได้..จะมาอ่านของเรา
ทำไม..ให้เสียเวลา

 

....เออ..มารายงานผลแบบนี้..
ขอบใจมาก...นี่แหละที่ผมต้องการ..คือ..แสดงว่าที่ผมให้ความรู้ไป..
...ไม่เสียเปล่า..ขอบใจมากที่..ไปทดลองและมาบอก

 

ขอบคุณครับพี่สำหรับการให้อภัย
น้อมรับข้อผิดพลาดทุกอย่างที่เกิดขึ้น และพร้อมจะนำไปปรับปรุงตัวครับ

 

ครับ ครับ เดี๋ยวอารมณ์ดีแล้วมาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังอีกนะครับ...

 

รอคอยอ่านความรู้ดี ๆ ครับพี่ ขอบคุณมาก ๆ ครับ