จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "หลวงปู่ฝากไว้"

    ...วิญญาณที่บริสุทธิ์นั้นต้องประกอบไปด้วย "สติ"

    ...เอาตัวสตินี้มาตั้งอยู่ที่กาย...ที่เวทนา...ที่จิต...ที่ธรรม

    ...และจะรู้ตามความเป็นจริง...เรียกว่า "ยถาภูตญาณ"

    โยคีบุคคลใดเห็นความเกิดดับของรูปนาม...แม้จะเพียงวันเดียว...

    ก็ยังประเสริฐกว่าบุคคลที่ไม่เห็นความเกิดดับ...แม้มีชีวิตอยู่ร้อยปี...

    หลวงพ่อทอง พระธรรมมังคลาจารย์ วิ.อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ.การบหลวงปู่ทองเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2013
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขอพรอย่างปัญญาชน​

    ๑.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าหลงผิดคิดไปว่า ลําพังการขอเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องลงมือทําอะไรก็ประสบความสําเร็จ
    ๒.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าละเลยการใช้สติปัญญาในการดําเนินชีวิตด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ
    ๓.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าละเลยการใช้สติในทุกเรื่องที่คิด ทุกกิจที่ทํา ทุกคําที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
    ๔.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าพอใจในการเป็นคดในข้องอในกระดูก ตลบตะแลงปลิ้นปล้อนเฉกเช่นศรีธนูชัย
    ๕.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเป็นนักจับผิดมองโลกแต่ในแง่ร้าย เห็นแต่ด้านที่เลวทรามตํ่าช้าของมนุษย์ชาติผู้มีทั้งความดีงาม และความผิดพลาดในชีวิตเป็นธรรมดา
    ๖.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว จนมองไม่เห็นหัวคนอื่นรวมทั้งส่วนรวม
    ๗.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าพอใจในการประพฤติทุจริตฉ้อราฏร์บังหลวง หลอกลวงประชาชนในทุกรูปแบบ
    ๘.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเป็นคนละโมบโลภมากในยศ ทรัพย์ อํานาจ ชื่อเสียง การมารมณ์อย่างไม่ที่สิ้นสุด
    ๙.ขอให้ข้าพเจ้า อย่ามาเกิดเสียเวลาเปล่าโดยไม่เคยประทับรอยแห่งความดีงามฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง
    ๑๐.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเป็นคนลืมตัว หลงผิด คิดว่าตนเองเก่ง คนดี อยู่คนเดียวโดยไม่มีใครคอยช่วยเหลือเกื้อกูล
    ๑๑.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าพอใจในการขุดคุ้ย แคะไค้ ฟื้นฝอยความหลังอันเจ็บปวด ปมด้อยอันขมคื่น ความผิดพลาดอันน่าละอายของคนอื่นขึ้นมานินทา บอกเล่า ให้เขาได้รับความเจ็บชํ้านํ้าใจ
    ๑๒.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเป็นมนุษย์บ้างาน ที่เห็นงานสําคัญที่สุดในชีวิต จนทอดทิ้งดูแลสุขภาพ สถาบันครอบครัว และความรับผิดชอบทางสังคม
    ๑๓.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเลือกคบคนผิดติดจมอยู่ในหมู่คนเลว คนถ่อย คนทราม คนช่างประจบสอพลอ ผู้เป็นศัตรู แต่แฝงตัวมาในร่างของมิตร
    ๑๔.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเป็นคนเนรคุณบุพการีผู้มีพระคุณ อย่างมารดา-บิดาปู่-ย่า ตา-ยายและกัลยาณมิตรผู้เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือเกื้อกูลให้ในยามตกยาก
    ๑๕.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าเหยียบยํ่าชํ็าเติมคนที่กําลังตกตํ่า อย่าริษยาคนที่กําลังรุ่งโรจน์ อย่าเย็นชาผู้ที่ตกอยู่ท่ามกลางหายนภัยในรูปแบบต่างๆ
    ๑๖.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าสูญเสียสามัญสํานึกซึ่งเป็นเหตุให้ไม่รู้ดี-รู้ชั่ว ไม่กลัวกฏแห่งกรรมและนิยมเหยียบยํ้ากฏหมาย
    ๑๗.ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนก้าวร้าว รุนแรง อหังการ หยาบกระด้าง สร้างแต่ความระคายเคืองให้กับคนอื่น
    ๑๘.ขอให้ข้าพเจ้า อย่ากลัว อย่าหงอ ต่อคนชั่ว ต่อคนถ่อย ต่อคนบ้า ต่อความอยุติธรรมที่กําลังครอบงําประชาชนและยุดสมัย
    ๑๙.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าดูถูกตนเองว่าเป็นคนที่ตํ่าต้อยด้อยค่า อันนํามาซึ่งความหดหู่ท้อแท้สิ้นหวังไม่ลุกขึ้นมาแก้ปัญหาชีวิต
    ๒๐.ขอให้ข้าพเจ้า อย่าถูกมอมเมามาปั่นหัวให้ลุกขึ้นมาทําสงครามกลางเมืองระหว่างพี่-น้องประชาชนคนกลุ่มเดียวกัน
    ที่มาโดย ท่าน ว. วชิรเมธี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2013
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การเข้าใจในอารมณ์ของตนและคนอื่น น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า "พระพุทธเจ้าตรัส"ถึงแสดงความแตกต่างของคนไว้ที่"จริต" ทรงแสดงว่า คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน ก็เพราะชอบไม่เหมือนกัน พฤติกรรมไม่เหมือนกัน ท่านเรียกว่า"จริต" คนเหมือนกันแต่ถ้าจริตต่างกัน ก็จะมีอารมณ์ต่างๆกัน ความต่างกันของอารมณ์นี่เอง ที่ทําให้มนุษย์คิดต่างกัน เกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา กระทั่งนําความเครียดมาให้เรา ด้วยเหตุนี่เราจึงจําเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรมของคนในจริตทั้ง ๖ นี้ คือ
    ๑.คนบางคนรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ชอบประดิษฐ์ ทํางานช้า แต่ละเอียด คนประเภทนี้ท่านเรียกว่า"คนราคจริต"
    ๒.คนบางคนใจร้อน หงุดหงิด ชอบแสดงอํานาจเป็นนิสัย ทําอะไรเร็ว พูดเร็ว ไม่สนใจในเรื่องละเอียด ชอบหลักการมากกว่ารายละเอียด ท่านเรียกว่า"คนโทสจริต"
    ๓.คนบางคนชอบแสดงว่าตนไม่รู้อะไรไว้ก่อน เพราะปลอดภัย เพราะกลัวผิด กลัวถูกตําหนิ กลัวถูกใช้งาน การไม่รู้คือไม่ต้องทํา เมื่อไม่ทําก็ไม่ผิด ท่านเรียกวา"คนโมหจริต"
    ๔.คนบางคนเชื่อง่าย ชื่นชมอะไรง่ายๆโดยไม่พิจารณาหรือตําหนิง่ายๆแล้วกลับชื่นชมอีกเมื่อคนอื่นชื่นชมอีก แปลว่ากลับคําได้ง่ายๆ ไม่มีจุดคิดของตนเอง เรียกว่า"คนศรัทธาจริต"
    ๕.คนบางคนชอบคิด ชอบแสดงเหตุผล ชอบศึกษา เรียนรู้ ชอบหาความจริงของเรื่องนั้นๆ เป็นนิสัย ไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะเห็นด้วยปัญญาของตนเอง ท่านเรียกว่า"คนพุทธจริต"
    ๖.คนบางคนชอบจับจดฟุ้งซ่าน ชอบบ่น จู้จี่จุกจิก ทํางานแบบหยิบโหย่ง ไม่จับเป็นชิ้นเป็นอัน ชอบเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นํา คิดมาก กังวลมาก ท่านเรียกว่า"คนวิตกจริต"
    ที่กล่าวมาแล้วเป็นจริตเป็นลักษณะของคนที่เราต้องเรียนรู้ให้เข้าใจเขาก่อนแล้วเราก็จะอยู่กับคนทั่วไปได้ด้วยความเข้าใจกันว่าคนก็มีความแตกต่างออกไปตามแต่จริตนิสัยของแต่ละท่านๆนั้นเอง...
    ที่มา ธรรมะของ พระศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
     
  4. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/d5mQBCPYmHc?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความสุขจ๋า! เธออยู่ไหน
    เมื่อก่อน..ก่อนปฎิบัติธรรม เราก็เคยคิดเหมือนกันว่าจะต้องการกำลังใจจากคนใด คนหนึ่ง
    หรือคนส่วนใหญ่มักจะเอาความสุขของตนเองไปฝากไว้กับผู้อื่นเสียมาก พอได้ดั่งใจก็ดีไป
    แต่ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็เป็นทุกข์ร้อนกันอีก ความจริงคนเราส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้จริงๆ

    แต่ในระหว่างปฎิบัติธรรมไปได้สักระยะนึง ความคิดก็ค่อยๆเปลี่ยนไป คือไม่จำเป็นพึ่งพาใคร
    รอใครสักคนที่จะคอยมาให้กำลังใจเราอีกต่อไปแล้ว เพราะตัวเรานี่แหล่ะ เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด

    แต่ปัจจุบันนี้ฯ พอปฎิบัติไปเรื่อยๆ จิตใจของเราจะค่อยๆละ หรือปล่อยวางไปทีละอย่างสองอย่าง
    ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด หรือละเอียดยิ๊บๆ ผู้ปฎิบัติจะทราบด้วยตนเอง โดยมิต้องมีใครบอก
    ถ้าเราปฎิบัติเลยจิตในจิตไปจนถึงธรรมในธรรม ผู้ปฎิบัติจะทราบสภาวธรรม อาการหรืออารมณ์จิต
    ของตนเป็นอย่างดี(สำหรับผู้ที่คอยหมั่นเจริญสติปัญญาของตนบ่อย) เพราะธรรมในจิตของผู้นั้น
    จะกลับมาสอนสั่งตน(เสมือนดั่งมีตาวิเศษเห็นนะ!) ส่วนศีลและธรรมจะหยาบหรือละเอียดแค่ไหน
    ขอตอบว่า..ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของผู้ปฎิบัติท่านนั้นเอง ว่า..หยาบหรือละเอียดเพียงใดฯ
    เพราะถ้าจิตใจผู้นั้นสามารถละปล่อยวางของละเอียดได้ ศีลและธรรมก็จะเอียดตามจิตผู้นั้นด้วย
    พอเราละทุกข์ละสุขของตนได้ เราก็จะไม่ไปขอกำลังใจหรือจะไปพึ่งหวังเอาความสุขกับผู้อื่นแล้ว
    เพราะทั้งหลายทั้งปวงทั้งรูปทั้งนามต่างเป็นสมมุติทั้งสิ้น ไปหวังอะไรมิได้ เพราะทุกสิ่งไม่มีตัวตน
    ตอนนี้จิตเรามันรู้แล้วว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น ก็คือจิตที่ปล่อยวางสมมุติทั้งปวงได้ นั่นเอง

    แต่คนทางโลกมักเรียกกันว่า"ความสุขๆ" แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ความสุข เพราะจิตละทั้งทุกข์ทั้งสุข
    สุขแบบปล่อยวาง สุขแบบว่าง สุขแบบไม่มีอะไรเหลือ พากันเรียกกันเข้าไป ตามภูมิปัญญาแห่งตน


    สรุปแล้ว ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของเราตัวเดียว เท่านั้น เพราะจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว (จบเฮ่!)
    แต่ถ้าหากผู้ปฎิบัติท่านใด ยังเข้าไม่ถึงกระแสจิตตนเอง(จิตในจิต) หรือยังไม่พบเจอกับจิต(ดวงจิต)
    หรือจิตประภัสสรของตนก็ยากที่จะเข้าใจหรือเข้าถึงธรรมขั้นอื่นๆได้ ผู้ปฎิบัติจะต้องให้ความสำคัญ
    เรื่องศีลของตนเองมากๆด้วย แต่ถ้าไม่อย่างนั้น ผู้ปฎิบัติก็ยากต่อภาวนา คือการปฎิบัติธรรมของเรา
    ก็จะไปไม่ถึงไหน หรือไม่เจริญในศีลในธรรมของตนเท่าที่ควร แต่พอรู้ปฎิบัติไม่ได้ผลเหมือนคนอื่น
    เดี๋ยวกำลังใจของตนเองก็จะพลอยเสียไปด้วย เดี๋ยวก็ล้มเลิกในการปฎิบัติธรรมหรือกระทำดีแห่งตน

    ผลของการปฎิบัติธรรม พอจะมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะจิตใจของเราเป็นอย่างดีทีเดียว
    เพราะเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า..ก่อนปฎิบัติฯ ระหว่างปฎิบัติและในจิตขณะปัจจุบันฯ เป็นเช่นไร
    ก่อนการปฎิบัติ..ทุกคนล้วนไปหวังกำลังใจหรือเอาความสุขไปฝากไว้กับผู้อื่นหรือสิ่งอื่นๆ
    ในระหว่างปฎิบัติ..พอจะมองเห็นกิเลส ตัณหาและอุปาทานของตน ความคิดที่เคยเป็นมิจฉาทิฎฐิ
    ก็ค่อยๆกลายเป็นสัมมาทิฎฐิ นั่นเป็นเพราะว่าพอมีปัญญาเป็นของตน เราก็จะมีความเห็นถูกเมื่อนั้น
    ในขณะนี้ฯ..เห็นตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ชัดเจน จิตเรามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ หรือเป็นที่พึ่งสูงสุด
    ของจิตใจเรา มิมีอะไรที่จะเสมอเหมือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเราอีกต่อไปฯ

    สมมุติว่าเราตายตอนนี้จริงๆ พวกเราลองจินตนาการดูกันเล่นๆ ว่ามันจะเป็นยังไงน้อ!
    ไปไม่เป็นเลย ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยตายกันจริงๆสักทีนึง มรณานุสสติของตนนึกให้มาก

    สุดท้ายก็อยู่ที่กำลังใจของตนเองทั้งนั้น สำหรับผู้ที่ยังปฎิบัติเองยังไม่ได้ก็ให้เกาะครูหรือคนอื่น
    หรือไปหาบวชเนกขัมมะก่อน ส่วนใครสวดมนต์ไหว้พระทุกวันได้จะดีมาก เป็นบันไดบุญของตน
    สำหรับผู้ที่นิยมเดินทางตรงก็อาจถึงมรรคผลนิพพานไว แต่ถ้านิยมเดินทางอ้อมคือปฎิบัติไปเรื่อย
    ปู๊นๆ..ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ก็ขึ้นอยู่ที่กำลังใจของท่านนั้น คงไม่ว่ากัน
    ขออวยพรให้กับทุกท่าน ขอให้ชาตินี้มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอย่างต่ำ โดยเฉพาะผู้มีกำลังใจมาก
    ก็ขอให้ไปถึงมรรคผลนิพพานกันชาตินี้ทุกๆท่านกันด้วยเทอญ..สาธุๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2013
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=z_YvMDubzQ8]เป็นกำลังใจให้อย่าท้อ.wmv - YouTube[/ame]
    ขอมอบเพลงนี้ให้กับผู้ที่กำลังตามหากำลังใจจากคนอื่น สิ่งอื่น
    อย่าไปหลงตามหาจากใคร ที่ไหนเลย เพราะกำลังใจแห่งตน..ดีที่สุด!
    บอกกับตนเองว่า..เรามิใช่คนแพ้ แต่กำลังจะเอาชนะใจตนเอง ต่างหากเล่า!
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คำถาม- คำตอบ...ปัญหาธรรม...

    ...ถาม - ถ้าหมู่เราได้เข้าใจธรรมอย่างพระเดชพระคุณอาจารย์อบรมสั่งสอนก็จะรู้ว่า

    ธรรมะที่พระเดชพระคุณอาจารย์สอนนั้น...ถ้าใครปฏิบัติตามก็จะเห็นอาจารย์ว่าเป็น

    ดังสมัยพุทธกาลกล่าวว่า...ผู้ใดเห็นธรรม...ผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต...

    ...ตอบ - ถูกแล้ว...คือความจริงมันอันเดียวกัน...ไม่มีอดีตอนาคต

    เมื่อความจริงประกาศอย่างเด่นชัดภายในหัวใจแล้วจะไปสงสัยพระพุทธเจ้าที่ไหนกัน...

    ...ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ. อุดรธานี ...

    ท่านได้ตอบปัญหาให้หายสงสัย. กราบองค์ท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะกราบ กราบ ๆ...
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พยายามมีสติอยู่ที่กายใจตนเอง
    โดยเฉพาะ..ผู้ที่กำลังปฎิบัติธรรม

    เราคอยมีสติอยู่กับกาย อยู่กับใจ
    จิตเราก็คอยอยู่กับธรรม อยู่กับความจริง
    เมื่อจิตยอมรับธรรมทั้งปวงย่อมปล่อยวางได้
    รู้แล้วก็วาง เมื่อเรามีปัญญา เรามีตัวผู้รู้ไปรับรู้ เราเรียกว่า ตัวถูกรู้
    ท้ายที่สุด ตัวถูกรู้นี้ ก็ต้องปล่อยวางหรือทิ้งลงไปให้หมดสิ้น อย่าให้เหลือ
    เมื่อเรามีปัญญา จิตเราก็ปัญญา จิตทำหน้าที่ปล่อยวาง แต่จิตต้องยอมรับทั้งปวงก่อน
    ไม่อย่างนั้นจิตไม่สามารถปล่อยวางได้ เพราะการปล่อยวางเป็นหน้าที่ของจิต มิใช่กายหรือสติ
    รู้เมื่อไหร่รู้แค่ไหน วางเมื่อไหร่วางแค่ไหน ก็วางเมื่อรู้วางเท่าที่เรารู้ แต่ถ้าไม่รู้เราจะเอาอะไรไปวาง

    เราสนใจอะไรก็ย่อมได้แต่สิ่งนั้น
    หากผู้ใดทำบุญกุศลย่อมได้แต่ "บุญกุศล"
    หากผู้ใดสนใจดูจิตตนเองย่อมได้แต่ "ประภัสสร"
    แต่หากผู้ใดมีสังขารุเบกขาญาณ โดยเฉพาะสัจจานุโลมิกญาณ ย่อมถึง"พระนิพพาน"

    สังขารุเบกขาญาณ คือการวางเฉยต่อสังขารเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
    สัจจานุโลมิกญาณ คือการหยั่งรู้อริยสัจ คือพิจารณาวิปัสสนาญาณทั้ง๘ที่ผ่านมาว่าเป็นทุกข์
    เมื่อเห็นทุกข์ ก็เห็นสมุทัย นิโรธ มรรค โดยแต่ละญาณเป็นเหตุเกิดมรรคมีองค์๘ ตามลำดับฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2013
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    *******************************
    อนุโมทนาสาธุด้วยอย่างยิ่งค่ะ

    **คุณน้องLinda ก็เนอะ แหม ช่างทํา ป้าย แปะ ปิด แล้วปร๋อเลย ไวมากเหมือนคุณน้องพอใจเลย ตามพี่ไปถึงนรกภูิมิเชียว เดี๋ยวจะมีชื่อเรียกให้ว่า Princess Ninja นะคะ มิน่าไม่เคยเห็นตัวเลย ทั้งที่มากระทู้นี้ทุกวัน (f)
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    RELAX MUSIC MEDITATION
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=uRhoWQX2OF8]RELAX MUSIC MEDITATION - RELAXAMENTO MUSIC MEDITAÇÃO - YouTube[/ame]
    ขอให้เจริญในธรรม มีสมาธิแก่กล้าทุกๆท่านค่ะ
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn, pegaojung+
    ****************************
    ขอบคุณน้องแตนที่มาเยี่ยมค่ะ Goodnight from USA ;aa19
     
  13. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448

    อ่ะจึ๋ยยย!! แอบโผล่มาหน้าถ้ำนี๊ดนึง ถูกพี่ต้อยจับได้ซะแว้วววว (deejai)(deejai)(kiss)pig_ballet

    ธรรมะสวัสดีคุณครูและครอบครัวจิตพร้อมฯทุกท่านค่ะ;aa49(f)

    อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ใกล้จะได้เวลา Goodnight from Thailand ค่ะ พี่ต้อย
    :z4
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การปฏิบัติก็เพื่อให้จิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย...มีความบริสุทธิ์เพราะฉนั้น...

    เมื่อเข้ามาปฏิบัติจึงกำหนดว่าคิดหนอๆๆ...ให้กำจัดความคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดนั้นออกไป

    วิสัยที่ไม่ควรคิดของบุคคลนั้นมี ๔ อย่าง...คือ...

    - พุทธวิสัย...วิสัยของพระพุทธเจ้าใครจะหยั่งรู้ได้...เราจะไปวินิจฉัย วิสัย

    ...พระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างใดนั้นไม่ได้...

    - ฌานวิสัย...คือ ฌาณสมบัติ...เขามีพละสมาบัติเป็นอย่างใดๆ...

    ก็เป็นวิสัยที่ไม่ควรคิด...เพราะว่าเป็นสภาวะธรรมคิดแล้วจะเพี้ยน...

    ...หลวงปู่ทองสอนไว้. กราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ...
     
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    วิญญาณที่บริสุทธิ์นั้นต้องประกอบไปด้วย "สติ"

    เอวตัวสตินี้มาตั้งอยู่ที่กาย...ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม

    ...และจะรู้ตามความจริง...เรียกว่า "ยถาภูตญาณ"

    ...โยคีบุคคลใดเห็นความเกิดดับของรูปนาม...แม้จะอยู่เพียงวันเดียว..

    ...บุคคลนั้นก็ยังประเสริฐกว่าบุคคลที่ไม่เคยเห็นความเกิดดับเลย...การทำอะไรด้วย...

    ...สตินั้นก็จะเกิดปัญญา...ไม่ว่าการกระทำในสิ่งใดๆ...ก็จะทำด้วยความระมัด...

    ...ระวัง...สตินั้นจึงสำคัญยิ่งในการดำรงณ์ชีวิต...ให้มีสติคู่กับการเดินทางของเราตลอด...

    ........เวลาเพื่อที่จะได้ไม่หลงทาง.....จึงขอฝากไว้ค่ะ...
     
  16. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมเหมือน "นํ้าที่สะอาด" ที่มาชะล้างสิ่งสกปรก ก็คือตัวเราผู้สกปรกเพราะมีใจเป็นพื้นฐาน เพราะใจเป็นประธาน เพราะสิ่งสกปรกคือเป็น ส่วนสมมุติไม่ใช่ธรรมชาติแท้ เราต้องนําธรรมคือ"นํ้าธรรมมาชะล้าง"แต่ผู้จะนํานํ้ามาได้มากน้อยเท่าไหร่ นั้นขึ้นอยู่กับเราผู้จะมีความสามารถนํานํ้ามาได้ ต้องอาศัยเครื่องมือคือ"สติ"นั้นเป็นตัวสําคัญในการที่เราจะนําธรรมมาชะล้างสิ่งสกปรกที่มีอยู่ในใจ เราต้องอาศัย "การภาวนา" โดยทําให้จิตสงบ เพราะถ้าจิตไม่สงบเราจะมีความหนักในจิต เพราะหนักก็หนักที่จิต เบาก็เบาลงที่จิต เพราะการทําความเพียรหนัก เราก็จะได้สิ่งที่เบาตามมาคือ เบาเพราะกิเลสหลุดลอยไปก็ทําให้จิตใจเราเบาลงไปเรื่อยๆตามกําลังของความเพียร เหมือนเราจะทําอะไร เช่น ถ้าเราไปหาบนํ้ามาถ้าเราเอาใส่ถังใหญ่แล้วมันก็จะหนักมากกว่าที่เราเอาถังเล็ก แต่ถังเล็กมันก็ไม่ต้องลงแรงหาบมาหนัก แต่นํ้าที่ได้นั้นมันก็น้อย แต่ถ้าเราแบกถังใหญ่ถึงมันจะหนักแต่นํ้าที่เรานํามาก็ได้เยอะ ท่านจึงกล่าวไว้ว่าถ้าเราทําอะไรหนักๆมีความเพียรหนักๆ เราก็จะได้สิ่งที่เราควรได้นั้นคือ "ปัญญา" เพราะตัวนี้เราจะได้มาง่ายๆนั้นก็คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะเรายังไม่ได้ทํางานคือ "การฆ่ากิเลส" แล้วเราจะเห็นผลได้อย่างไร เราต้องผลิต"ตัวปัญญา"นี่ขึ้นมาเอง...สาธุค่ะ
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ​

    ในหลวงสนทนาเรื่อง"พุทธภูมิ"กับหลวงตามหาบัว

    "...เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดคือ เมื่อปี พ.ศ.2531 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จไปนิมนต์หลวง ตาไปในงานในวัง ปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยไปไหน แต่ตอนที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ไปนิมนต์ ท่านไปนิมนต์ด้วยพระองค์เอง เรายังจำได้..

    วันนั้นเป็นวันที่ 7 มกราคม 2531 เป็นปีเฉลิมราชรัชมังคลาภิเษกที่ทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใด ในประวัติ ศาสตร์ไทย ท่านนิมนต์หลวงตาเข้าวัง มาเป็นขบวนใหญ่ หลวงตาท่านจะอยู่ที่กุฏิ ท่านให้เราควบคุมดูแลญาติโยม ดูแลพวกทหารที่มา พระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาตอน 6 โมงเย็น

    เมื่อขบวนพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาถึง เรายืนตรงนี้ ผู้ว่าฯ สายสิทธิ์ยืนตรงนี้ หมออวย แล้วใครต่อใครยืนเป็นแถวรอรับเสด็จ แล้วท่านก็ขึ้นไปข้างบนซึ่งหลวงตารอท่านอยู่แล้ว ส่วนเราก็อยู่ตรงบันได ส่วนหลวงตาอยู่ข้างบน ที่ขึ้นไปก็มีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จครบหมดเลย พระราชินี พระบรมฯ พระเทพฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ หมดทั้งครอบครัวเพื่อจะนิมนต์หลวงตาไปงานพิธีในวัง

    พอพระองค์ท่านกราบหลวงตาเสร็จ ท่านก็ถวายคำถามแรก ( พระเจ้าอยู่หัวเรียกหลวงตาว่า "หลวงปู่" )
    "หลวงปู่... สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร" โอ้... พระเจ้าอยู่หัวถามปัญหาหลวงตาขนาดนี้

    หลวงตาตอบว่า...
    "พุทธ ภูมิ ก็เหมือน ดั่งเรานั่งรถไฟ นั่งรถไฟไปเชียงใหม่หรือนั่งรถไฟไปอุดรนั่นแหละพุทธภูมิ แต่ถ้าเรานั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่นแหละ...สาวกภูมิ เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการ นำคนไปได้เยอะ ๆ ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆ ไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิ เข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง"

    พระเจ้าอยู่หัวฯ ตอบหลวงตาว่า "เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะ หลวงปู่"

    หลวงตาตอบ : "อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยุ่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะ แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละ แต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน"

    และ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (คือสมเด็จย่า) ตอนนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรอยู่ หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า... "พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ ขอเองได้" ท่านว่างั้นนะ... "พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง" ท่านบอกไปเลยนะว่า... ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเอง จัดการเอง จัดการเองอาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก

    พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้กราบลาว่า "เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้ว ท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม"

    หลวงตาท่านได้เทศน์สั้น ๆ ว่า

    "การ เป็นพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้า แล้ว พระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ 5 คือ ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไป ตกเย็นสอนนักบวช สมณะชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดา พอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่างนี้ แต่... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไร ทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน..เอาล่ะ ๆ ... อาตมาจะให้พร"

    พอฟังมาถึงตรงนี้นะ เรายังจำได้แม่น เพราะพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านถามเรื่องพุทธภูมิ เสร็จแล้วพอท่านจะลากลับ หลวงตาท่านสรุปให้เสร็จสรรพเลย... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของไทยทำงานปรารถนาความเป็นอะไร... ทำงานกันจนไม่มีเวลาพักผ่อน... เอาล่ะ ๆ ...อาตมาจะให้พร

    เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จลงมา ท่านก็ตรัสว่า อยากให้ท่านอาจารย์อยู่กับหลวงตาไปนาน ๆ ...เราก็ได้ตอบท่านว่า เจริญ พร...มหาบพิตร อาตมาก็อยากจะอยู่ แต่ถ้าถึงเวลาที่อาตมาจะต้องเอา ตัวเองให้รอด อาตมาก็ขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เพราะทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถึงเวลาไปก็ต้องไปเหมือนกัน แล้วพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็บอกขอทำบุญกับหลวงตา 200,000 ถวายอาจารย์ 20,000 แล้วท่านก็ถามว่าพระที่อยู่ในวัดนี้กี่รูป เราก็ตอบท่านทั้งหมด 29 รูปรวมหลวงตานั่นแหละ... ท่านจึงถวายให้รูปล่ะ 2,000 "แล้วปัจจัยจะให้ไว้กับใคร" ท่าน ถาม...ท่านหยิบออกมาให้เลยนะ ท่านผู้ว่าฯ ยังรับมือสั่น พระเจ้าอยู่หัวไม่เพียงมากราบหลวงตา ท่านมาที่วัดท่านยังมาทำบุญกับพระด้วยปัจจัยที่เตรียมพร้อมจากพระหัตถ์ของ ท่านเอง จากนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เสด็จออกไปเยี่ยมประชาชนแล้วก็ขึ้นรถไป

    นั่นแหละเราได้ฟังมา เรื่องของพุทธภูมิ เรื่องของพระโพธิสัตว์ สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร เสร็จแล้วพอตอนจบขอพร หลวงตาท่านก็สรุปและให้พร จึงบอกได้ว่าเป็นบทสนทนาของจอมปราชญ์...

    "ไฟไหม้แต่รูปพระเท่านั้น แต่มิอาจไหม้พระที่อยู่ภายในใจของฉัน"
    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ
    _/l\_ _/l\_ _/l\_​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2013
  18. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    โห พี่ต้อย น้องก็พูดจาเอาสาระไม่ไ้ด้น่ะค่ะ แต่ Princess Ninja มิกล้ารับๆ ขอเป็น Devil Ninja จะเหมาะกว่า เหอๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะรายวัน อ่านฟรี!
    ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ก็ประมาท!
    เพราะในขณะที่เรากำลังหายใจกันอยู่นี้ แต่ถ้าไม่มีสติเป็นเครื่องระลึกรู้แล้ว
    จิตใจของเราก็ไม่มีทางนิ่งได้เลย ตามปกติตามธรรมชาติจิตก็ไม่นิ่งอยู่แล้ว
    เมื่อจิตคนเราไม่นิ่งหรือนิ่งไม่เป็น ก็ย่อมไหลไปตามความรู้สึกหรือนึกคิดตน
    จิตใจก็เปรียบเสมือนน้ำ ก็คือย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ
    นอกจากผู้ที่ฝึกจิตฝึกสติ ก็พอจะทำให้จิตนิ่งได้บ้าง แต่ถ้าไม่ฝึกจิตก็ไม่นิ่ง

    เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นด่านแรกสุดที่จะทำให้จิตคนเรานิ่ง เป็นประตูแรกสุด
    ที่จะทำให้เราพบกับความสงบ ความสุขได้ในที่สุด
    เพียงแค่นำทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาใช้ ก็คือมรรคมีองค์๘(ศีลสมาธิปัญญา)
    ศีลเป็นพื้นฐาน คือก้าวแรกสุดแห่งการทำดีตามความหมายในพระพุทธศาสนา
    เพียงปรับ จูน แก้ไข มีเป้าหมายชัดเจน มีเจตนารมณ์ที่ดีก่อนจึงค่อยทำภาวนา
    การภาวนา คือจิตตภาวนา เราจะต้องมีเจตนาที่จริงใจในการทำความดีก่อน
    นั่นก็คือ การรักษาศีลหยาบเป็นอย่างต่ำของตนเองให้ครบถ้วนบริบูรณ์เสียก่อน
    นี่คือ การปรับพื้นฐานให้ดี ใ้ห้มั่นคงก่อน คือละ ลด เลิกทำบาปทั้งปวงให้ได้ก่อน
    แล้วค่อยกระทำความดี ทำบุญ ทำกุศล อย่าเอาน้ำสกปรกไปผสมกับน้ำสะอาด

    อย่าลืมนะ สติเป็นประตูแรกที่จะนำพาเรา จิตของเราไปสู่มรรคผลนิพพาน
    แต่ถ้าพวกเรายังไม่มีสติหรือว่ามี แต่ว่าสติน้อยเกินไป เราก็ทำภาวนาไม่สำเร็จ
    เพราะเราจะช่วยให้จิตเรามีปัญญา เราต้องช่วยสร้างสติให้มาก ทำให้บ่อย
    เมื่อจิตมีปัญญามากแล้ว เดี๋ยวจิตเขาจะทำหน้าที่ปล่อยวางกับทุกสิ่งเอง เมื่อนั้น
    เราถึงจะเบาสบาย ไร้ทุกข์กันเมื่อนั้น แต่ความจริงทุกข์นั้น ไม่มีใครหนีพ้นหรอก
    เพียงแค่เราแยกจิตออกมาจากรูปนามสมมุติกันให้ได้ จิตที่มีปัญญาเท่านั้น
    จิตจึงจะเห็นสิ่งสมมุติทั้งรูปทั้งนามเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของจิต ของโลกได้
    ทุกวันนี้คนปกติกำลังตามหาสติตน แต่อริยบุคคลนั้น กำลังตามหาตัวปัญญาตน
    ทั้งสติและปัญญา ทั้งสองธรรมนี้จึงนับได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งยวดทีเดียว
    ภาคทฤษฎี ก็จะหมายถึงศีล สมาธิ ปัญญา ที่พวกเราจะต้องปฎิบัติตามกันให้ได้
    แต่ในส่วนของภาคปฎิบัติ ก็จะหมายถึงการเจริญสติภาวนา หรือการสร้างสติให้มี
    ให้ได้ ทำสติของตนให้เกิดขึ้นมากๆก่อน เพราะถ้าสติไม่มี ไม่มากหรือไม่พอแล้ว
    จิตเราก็จะไม่นิ่งไม่สงบและท้ายที่สุด เราเองก็ต้องเป็นฝ่ายทุกข์เป็นทุกข์ต่อไป

    เป็นเรื่องยาก ที่ผู้ปฎิบัติจะทำให้ถึงแก่นธรรมจริงๆ นั่นก็คือ จิต
    ส่วนธรรมนั้นจะมาในภายหลังจากที่ผู้ปฎิบัติถึงแก่นคือจิตในจิตตนเอง
    หรือผู้ปฎิบัติสามารถหาจิตตนเองพบเจอแล้ว เผื่อพวกเราจะหากันพบกันเจอได้
    เราจะต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด แต่ถ้ามีแค่ศรัทธาอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
    เมื่อจิตเรานิ่งได้ก็สุขได้เมื่อนั้น นี่คืออานิสงส์แรกสุด คือการเข้าเขตบุญกุศลของเรา
    เมื่อเราเจริญสติภาวนาไปเรื่อยๆสักระยะนึง พอมีปัญญาถึงจิตแล้ว ธรรมะก็จะผุด
    มาสอนเราเอง เพราะธรรมะใครธรรมะมัน เราจะเอาธรรมของเราที่ปฎิบัติได้
    แล้วนำไปสอนคนอื่นเขานั้น ทำไม่ได้นะ ได้แค่บอกกล่าวหรือเล่าให้ฟัง จนกว่า
    ผู้ปฎิบัติธรรมท่านนั้นเขาจะพบธรรมะที่ผุดออกมาจากกลางใจของเขาเองก่อน
    เพราะธรรมะที่ผุดออกมาจากใจจะกลับมาสอนผู้ปฎิบัติท่านนั้นเอง

    เท่านี้ก่อน ส่วนผู้ใดรู้แล้ว ทราบแล้วหรือปฎิบัติได้แล้ว ก็ขอให้ก้าวข้ามไปนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีและขอต้อนรับคุณแตนอย่างเป็นทางการ
    ได้ยินชื่อ ได้ยินนามเรียกขานจากคุณพี่สุภาทรมาตั้งนานแล้ว
    แหม๊ท่านนี้ จิตใสจิตดีจริงจิ๊ง เห็นปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบมานานแล้ว
    ป่านนี้บุญกุศลของคุณแตนได้นำพาไปถึงมรรคผลนิพพานหรือยังครับ
    ขอโมทนาสาธุกับการกระทำดีทุกประการด้วยครับ
    ขอให้เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าอยู่ในจิตตลอดไป ขอให้ถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ
    สวรรค์สมบัติหรือพระนิพพานสมบัติ ตามแต่ที่ตนปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...