อยากถามหน่อยว่าคนที่เคยก่อกรรมหนักอย่างผมเนี่ยจะปราถนาพุทธภูมิได้หรือไม่ครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Chakkrapong, 7 ธันวาคม 2012.

  1. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    มารไม่มี บารมีไม่เกิดครับ

    โพธิยานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  2. iaui

    iaui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +454
    ตอบว่าได้ พระเทวทัตทำบาปกับพระพุทธเจ้ายังต้องขึ้นมาตรัสเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตครับ อีกอย่างพุทธภูมิต้องลองตกนรกเพื่อจะได้รู้และเอามาสอนผู้อื่น ไม่มีพุทธภูมิองค์ไหนไม่เคยตกนรกครับ ถ้าบารมียังไม่แก่พอ
     
  3. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    พุทธศาสนา สอนให้เรารู้จักทุกข์ และชี้หนทางดับทุกข์
    เหตุที่ทุกข์เกิด เพราะการปรุงแห่งเหตุและปัจจัย ซึ่งมีอวิชชาเป็นตัวตั้ง
    การเข้าสู่กระแส สิ่งที่สำคัญอันดับต้น ๆ คือต้องประกอบด้วยสัมมาทิฐิ
    คือมองธรรมชาติและมองตนอย่างที่มันเป็น ภาษาพระเรียกว่า ตถตา

    เมื่อคุณเห็นว่ามันเป็นของมันเช่นนั้น คุณก็จะคลายซึ่งทุกข์
    ไม่ว่าใครจะทำดีเลวอะไรเท่าใหร่มา ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณเป็นทุกข์ สุขกับมัน เพราะ
    คุณเอาแต่รับรู้สิ่งเหล่านั้นว่า มันเป็นทุกข์ เป็นสุข เป็นความดี ความเลว ของคุณ
    ยิงกว่านั้น คุณมองว่า มันเป็นสมบัติของคุณ นี่คือตัวคุณ ของคุณ คือสิ่งที่คุณจะต้องนำติดตัวไปไม่ว่าที่ใหน เมื่อใหร่
    ซึ่งเป็นตัวสร้างเหตุและปัจจัยต่อภพต่อชาติไม่มีวันจบสิ้น
    มองทุกอย่างด้วยปัญญา แบบที่มันเป็น ไม่ต้องปรุงแต่ง ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป
    เมื่อเราปล่อยวาง ตัวเราก็จะเบา คุณก็จะเดินไปข้างหน้า ได้สะดวกขึ้น และเร็วขึ้น โดยปราศจากพันธะ

    ในทางมหายาน ในยุคหลังมีการพัฒนาแนวคิดเรื่องการบันลุธรรมสำหรับทุกคนได้อย่างเป็นรูปธรรม วิธีคิดมีอยู่สองสามประเด็นให้มองให้คุณมองและทำความเข้าใจคือ
    1. การพัฒนาแนวคิดเรื่องโพธิจิตต์ ซึ่งเชื่อว่า ทุกสรรพสุตว์ มีสภาวะเดียวกันแฝงอยู่
    นั่นคือมีจิตแห่งพุทธะภายใน ซึ่งเมื่อผ่านการเจียนัยแล้ว มันจะแสดงภาวะดั้งเดิมของมันออกมาเอง
    แต่ด้วยอวิชชา นี่ทำให้เราหลงวนเวียนในอาสวะต่อไป

    2. การพัฒนาแนวคิดเรื่องโพธิสัตว์ ซึ่งพัฒนามาคู่กันกับโพธิจิตต์ ว่าด้วย
    ทุกชีวิตมีความดีในตัว

    ซึ่งในลังกาวตารสูตร พระสูตรมหายานยุคแรกสอนให้มองว่า
    ทุกสรรพสัตว์ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมานับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงเรา ๆ ด้วย
    นั่นหมายความว่า ทุกชึวิต เคยเกี่ยวพันกันเป็นญาติพี่น้องครูอาจารย์กันมาก่อน
    เมื่อเรามองและเข้าใจเช่นนี้แล้ว เราก็จะใช้ชีวิตในสังคมแบบเกื้อกูลในวงกว้าง
    ให้ความเคารพตัวเองและผู้อื่นจากภายใน

    สำหรับพระสูตรยุคหลังเช่นสัทธรรมปุณฑริกะการพัฒนาทางความคิดเรื่องการบรรลุธรรม
    ยิ่งมีความเป็นรูปธรรม ที่มองว่า แม้คนที่ทำอนันตริยกรรม ก็ยังสามารถบรรลุเป็นอนาคตพุทธได้ ดังที่มีอธิบายไว้ในบทที่ว่าด้วยเรื่องของพระเทวทัต
    ที่เขาบอกว่า พระเทวทัตเหตุที่จะบรรลุได้นั้น แม้จะทำอนันตริยกรรม แต่ในอดีตชาติ
    พระเทวทัต เคยเป็นครูบาอาจารย์แด่พระสมณโคดมและบำเพ็ญตามแนวทางพระโพธิสัตว์มาก่อน
    ซึ่งนั่นหมายความว่า ท่านเองก็มีส่วนช่วยเหลือให้พระสมณโคดมบันลุธรรมในครั้งนี้ด้วย
    ความดีเลวซึ่งเคยทำไว้แม้เมื่อใหร่ มันไม่สูญ ซึ่งตรงนี้เองจะเป็นปัจจัยให้ท่านบรรลุธรรมในอนาคต

    ในสัทธรรมปุณฑริกะเองยังแยกย่อยอีกว่า สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตวยาน แท้จริงมีเพียงหนึ่งเดียวคือ พุทธยาน นั่นคือเพื่อต่อยยอดความคิดว่า ไม่ว่าใครก็สามารถบันลุธรรมได้
    (แต่สำหรับท่านที่ศึกษาพระสูตรต้องเข้าใจว่า พระสูตรเล่มนี้มีการแต่งเพิ่มในหลายยุค บางบทจะมีการวางตำแหน่งแห่งหนของโพธิสัตว์ยานไว้เหนือกว่ายานที่เหลือ ด้วยเหตุผลทางการเมือง)

    ทำอะไรมาไม่สำคัญ เพราะเราแก้ไขอะไรไม่ได้
    แต่การปรับมุมมองสำหรับการก้าวต่อไปในอนาคตและการควบคุมจิตและความคิดต่างหาก
    ซึ่งต้องอาศัยการภาวนาและสมาธิที่ถูกต้อง
    ค่อยๆ ฝึก ค่อย ๆ ศึกษา เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณก็จะเห็นได้เองว่า ถ้าจะปลดปล่อยตัวจากพันธนาการ
    ก็ต้องปลดปล่อยจากตัวกูของกู และทิ้งทุกอย่าง ปลดโซ่แห่งพันธนาการด้วยวิชชา
    ซึ่งเป็นเครื่องมือนำเราข้ามฝั่ง ครูอาจารย์หลายนิกายมองว่า ธรรมะ ที่ท่านและที่พระดุทธเจ้าสอน เป็นแค่เครื่องมือ ไม่ใช่ความสัจที่เราต้องยึดถือ เพราะท้ายที่สุด เราก้ต้องละมันด้วยเช่นกัน
    หวังว่าคงพอช่วยเป็น guideline ได้บ้างนะครับ

    ปล. (ผมไม่รู้ว่าพุทธภูมิที่คุณว่ามันคืออะไร ใช่แดนสุขาวดีของมหายาน หรือพุทธยานหรือเปล่า)
     
  4. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    ตามท่าน อินทรบุตรเลย กระจ่างแล้ว
    ทำตามสาวกภูมิทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าจะต้องไปทำบุญ ทำพิธี หรือสังฆกรรมใดๆเป็นพิเศษ เพราะความปราถนาอย่างแรงกล้านะ ที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์นั่นแหละ คือความเป็นพุทธภูมิ
     
  5. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    รู้อะไรไหม? พ่อหนุ่มสิ่งที่กั้นระหว่างมนุษย์ และ พุทธเกษตร นั้นนะ มีสิ่งเดียวเท่านั้น คือความปราถนา ที่จะได้มาซึ่ง พุทธเกษตรนั้นแล เข้าใจไหมล่ะ คนเรานะจะเวลามันจะหยิบจับคว้าอะไรมาได้นะมันต้องเรียนรู้ที่จะแบบมือที่กำอยู่ออกไปก่อนนะ เข้าใจไหมล่ะ ไม่ใช่กรรมเก่าดอกที่ทำให้คนบนโลกนี้ไปไม่ถึงพุทธเกษตรนะ แต่ความต้องการที่จะได้พุทธเกษตรมาต่างหาก ไอ้ความคิดลงทุนน้อยกำไรงาม เอาแต่ได้นี่แหละ ตัวการเลยล่ะ คิดดูสิ เราเวียนว่ายมาหลายชาติภพแล้วเอ็งจะรู้ได้อย่างไรว่า เราไม่เคยทำกรรมเก่าที่มันหนักกว่านี้อีกร้อยเท่าพันทวี เมื่อหลายๆๆชาติที่แล้วล่ะ เห็นไหมเรื่องกรรมเก่านั้นนะจิ๊บๆๆ

    สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า อะไรคือสิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้กันแน่ ไม่ใช่ชาติที่แล้วหรืออดีตทำอะไรไว้ เอ็งเข้าใจไหม? ล่ะ ปัญหาทั้งหลายของมนุษย์นะ เริ่มต้นที่ การแสวงหาความมั่นคงให้ความเป็นฉันที่เป็นมายาไม่ใช่หรือ? และสิ่งนี้ก็ขับเคลื่อนเราไปสู่ความต้องการเพื่อที่จะเป็นอะไรสักอย่างไม่ใช่การหันมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราเป็นจริงๆๆ นี่ก็เหมือนการที่พ่อหนุ่มพุ่งตรงไปใช้ความคิดตะวันตกนั้นแหละเป็นเครื่องนำทางชีวิตในวัยหนุ่ม แลตอนนี้เอ็งก็หันมาที่ศาสนาที่ตัวความเชื่อ เพราะเอ็งรู้แล้วว่าความคิดตะวันตกที่เอ็งเคยยึดถือเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ เอ็งจึงหันมาลองของใหม่ นั้นคือความคิดทางศาสนาเพราะหวังว่ามันจะสร้างความมั่นคงลึกๆๆ ให้ได้ภายในเบื้องลึกของจิตวิญญาณ

    แต่นั้นก็เป็นเพียง การล้อเล่นกับอสูรกาย เป็นเพียงเด็กที่วิ่งเข้าหาของเล่นใหม่ที่น่าตื่นเต้นกว่า เร้าใจกว่า นี่คือวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณล่ะ มันคือความรู้สึกขาดอะไรบางอย่างลึกๆๆลงไปในใจต่างหาก ที่เป็นปัญหาของเอ็งตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องปรามาสพระพุทธเจ้าอะไรนั้นหรอก
    นี่เป็นเรื่องจิ๊บๆๆ เอ็งเข้าใจไหม?ล่ะ มันแปลกตรงไหนที่เอ็งไม่เชื่อในพระพุทธเจ้ามาก่อน เอ็งต้องตั้งคำถามต้องเถียงกันท่านสิ แล้วเอ็งก็จะรู้เองว่ายิ่งเถียงก็ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น ยิ่งเอ็งกีดร้องด่าว่าพระพุทธเจ้าก็ยิ่งทำให้เอ็งใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปเรื่อยๆๆโดยไม่รู้ตัว เข้าใจไหม?ล่ะ คนบาปนะมันใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่านักบุญนะ พวกกิเลสหนาอย่างเราๆๆนี่ก็ใกล้พระเจ้ามากกว่าพวกที่ว่าตัวเองกิเลสน้อยนะ
    ทีนี้ เอ็งเห็นความกลัวของเอ็งไหม?ล่ะ ความกลัวลึกๆๆที่เชื่อมโยงอยู่กับ ความรู้สึกขัดสนยิ่ง แปลกแยกไร้ค่า ล้มเหลว ดูนี่สิมีพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ท่านเหล่านั้นถึงซึ่ง ความบริบรูณ์บางอย่างของชีวิตแล้ว ฤดูใบไม้ผลิได้ปรากฏกับพวกท่านแล้ว แต่เอ็งยังอยู่กับที่ ไม่ไปไหน? และมันก็ก่อให้เกิดปฏิกริยาสองอย่างคือหนึ่งปฏิเสธไปเลยล่ะ อย่างโอ๊ยนี่มันไร้สาระมันพิสูตรไม่ได้พระพุทธเจ้าก็แค่ขอทานที่หนีจากโลก เทสน์สอนเรื่องอะไรว่ะฟังไม่รู้เรื่อง นี่ปกตินะ ดูพระเยซูสิชาวยิวเอาท่านไปตรึงกางเขนก็เพราะสิ่งนี้นั้นแหละ คนปฏิเสธพระพุทธเจ้าก็เพราะสิ่งนี้เหมือนกัน สองคือยอมรับท่าน แต่ยอมรับแบบคนอ่อนแอทางจิตวิญาณ ที่ลึกๆๆในใจเอ็ง บอกว่า เรามันโง่ไม่เอาถ่าน ทำทุกอย่างพังหมด มีชีวิตวัยเด็กที่เลวร้าย(ไม่ว่าเอ็งจะโทษว่าเป็นเพราะเพื่อนเอ็งเพราะนั้นนี่หรือไม่ก็ตามที) และตอนนี้มันก็พังยับเยิน ไปหมด เราจะต้องหนีจากสิ่งนี้ให้พ้นให้ได้และบางทีนะบางที การสั่งสมบุญบารมี การไปพบพระ พบจิตแพทย์ ไปพบหมดดูหมอคูณไสย์ญาณทิพย์ ก็อาจจะช่วยอะไรฉันได้

    โอ๊ยๆๆ นี่มันเป็นเรื่องเหลวไหลจริงๆๆ ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนมันก็เป็นสิ่งเดียวกันทั้งนั้นแหละ เป็นเรื่องไก่อ่อนพ่อหนุ่ม เป็นเรื่องของการหนีจากปัญหาหนีจากความรับผิดชอบในชีวิตของตนเอง เอ็งเข้าใจไหม?ล่ะ มันเป็นกลลวงของการยึดติดในความเป็นฉัน ฉันที่ต้องการบางสิ่งเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ บางสิ่งที่ดูสบายหูสบายตามีคำอธิบาย และมอบความรู้สึกสุขให้ พุทธเกษตรก็เลยเป็นโลกยูโทเปียในความฝัน เป็นครรถ์มารดา ที่เอ็งอยากจะไปให้ถึงหรือมุดกลับเข้าไปอีก เป็นการหลบซ่อนหลังเมฆทะมึน พูดได้ว่าไร้ซึ่งความกล้า ขาดกลัวอย่างหมดท่าต่อชีวิต เป็นการฆ่าตัวตายอย่างจงใจ แม้ว่าในภายในยังคงมีการต่อสู้ดิ้นรนขัดแย้งก็ตามที แต่การวิ่งหนีไปยังความฝัน เหล่านี้มันใช่ความจริงที่ไหนกันล่ะ

    เอ็งมันคือขอทาน แต่เอ็งเป็นขอทานที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองนั้นมีทรัพย์สมบัติ มหาศาลอยู่ในบ้านของตัวเองอยู่ในที่ที่ตัวเองนอนทับอยู่ทุกๆๆวัน เอ็งจึ่งวิ่งวุ่นไปนั้นนี่ ไปอดีต ไปอนาคต ไปซ้ายขาวหน้าหลังบนล่าง เพื่อหาความมั่งคั่ง ทั้งๆๆที่ความมั่งคั่งนั้นอยู่ใต้จมูก
    พุทธเกษตรที่เอ็ง อยากจะไปก็คือสมบัติที่เอ็งเหยียบอยู่ใต้เท้าเอ็งอยู่ขณะนี้ นั้นแหละเอ็งเข้าใจลุงไหม? เอ็งจะหาพุทธเกษตรได้ที่ไหน? กันเล่าถ้าไม่ใช่ ที่นี่ตรงนี้ในใจของเอง เข้าใจไหม?ล่ะ อดีต อนาคต ปัจจุบันมันไม่ได้แยกขาดจากกันดอกนะ ที่นี่ที่นั้นที่ไหนก็ไม่ได้แยกขาดจากกัน และเวลาอวกาศก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อสัมผัสที่นี่เดี๋ยวนี้เอ็งก็สัมผัสอวกาศ อดีต อนาคตไปพร้อมๆๆกัน เข้าใจไหมล่ะ

    พุทธเกษตรที่เอ็งหานะมันอยู่ที่นี่ตรงนี้แล้วนะ ก็ในการตระหนักรู้ศักยภาพของตัวเอง ว่าเอ็งนั้นแหละ คือพุทธะ เอ็งคือมนุษย์ธรรมดาๆๆที่มีศักยภาพที่เต็มเปลี่ยมที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นพระพุทธเจ้า(หรือพระอรหันต์หรืออะไรก็แล้วแต่)ได้ เพราะเอ็งเป็นสิ่งที่หานี้อยู่แล้ว เอ็งเข้าใจไหม?ล่ะ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?พุทธเกษตรของพระองค์ก็อยู่ที่นั้น เห็นอะไรไหม? แล้วเอ็งจะหาพุทธะที่ไหนอีกล่ะ นอกจากในจิตที่ปลอกลอกขัดเกลาเอาความสับสนทั้งหมดที่เอ็งมีออกไปนี่ เอ็งจะหาปัญญารู้แจ้งได้ที่ไหนล่ะถ้าไม่ใช่ที่บทเรียนที่ชีวิตจะต้องพบเจอ ในทุกๆๆสถาณการณ์ที่เจิดจ้าคมชัด จัดเจนที่เอ็งได้เข้าไปม่ความสัมพันธ์ด้วย เห็นนั้นไหม? เห็นอะไรไหม? เห็นท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด หลังเมฆที่หนาทึบที่เองสร้างขึ้นมาเองไหม?ล่ะ นั้นแหละพุทธเกษตรที่เอ็งหาอยู่ล่ะ เอ็งแค่ต้องปลุกเอาความภาคภูมิและธรรมชาติแห่งความดีงามที่มีอยู่แล้วขึ้นมาก็เท่านั้น และ อีกอย่างก็คือ เอ็งก็แค่ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นตัวเอ็งเอง ไม่ใช่อย่างอื่นเลย ลืมเรื่องกรรมเก่าไปเถอะ ภายใต้กฏแห่งความเป็นอนิจจังนั้น กรรมเก่า(ในทางอกุศล)ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการสร้างเหตุสร้างปัจจัยในทางที่โน้มนำชีวิตไปสู่ความเป็นกุศล แต่ไม่ว่าเอ็งจะมุ่งมั้นสั่งสมบุญประดุจดั่งเมล็ดทรายทั้งหมดในโลกหากไม่เข้าใจในสิ่งที่ลุงพูด มันก็ยังไม่อาจจะนำเอ็งไปสู่แดนพุทธเกษตร ไปสู่การหักวงล้อของการเวียนว่ายตายเกิดได้ดอกนะ มีแต่จะเป็นห่วงโซ่ฝังเพชรเสียอีกไม่ว่า

    ในพระสูตรทางพระพุทธศาสนา แดนสุขาวดีนั้น เป็นพุทธเกษตรที่มีคนรู้จักดีที่สุด ดั่งเรื่องกามนิตที่ เสฐียรโกเศศ–นาคะประทีป แปลมาจากงานเขียนของกวี Der Pilger Kamanitaก็ได้อิทธิผลมาจากพุทธเกษตรนี้ แลเรื่องนี้ถูกจริตคนไทยมากจนถึงทุกวันนี้ บางคนเข้าใจว่า เพียงแค่เอ่ยนาม นโมอมิตาภะล้านจบก็จักได้ไปแดนสุขาวดี แต่นั้นก็ยังเป็นเพียงความเข้าใจที่เลื่อนลอยไร้แก่นสารอยู่ดี

    เกี่ยวกับแดนสุขาวดีนี้ ฮุ่ยเหน็ง สังฆปรินายกที่6แห่งนิกายเซน ได้อธิบายไว้ดังนี้ แลลุงยืมมาขยายต่อดังนี้

    ตามพระสูตรแล้ว บรรพชิตและฆราวาสต่างเอ่ยพระนามของพระอมิตาภะโดยหวังว่าจะไปบังเกิดในดินแดนทางทิศตะวันตกอันเป็นดินแดนบริสุทธิ์ ดังในพระสูตรนี้ที่กล่าวถึงว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสที่กรุงสาวัตถีว่า แดนบริสุทธิ์สุขาวดีนั้นอยู่ไกลไปจากกรุงสาวัตถี(ที่ที่คนที่ที่สดับพระสูตรนี้ในขณะนั้นยืนอยู่)เป็นระยะทาง 108,000 ไมล์ สิ่งนี้หมายความว่าอะไร อันว่าระยะทาง108,000 ไมล์นี้แท้ที่จริงก็คือ อกุศล 10 และ มิจฉัตตะ 8 ภายใน ตัวเรานั่นเอง ดังนั้นสำหรับพวกที่มีใจต่ำแดนสุขาวดีนี้ย่อมอยู่ไกลแสนประมาณ แต่สำหรับพวกมีใจสูงย่อมอยู่ใกล้นิดเดียว อันว่า อกุศล 10 ประการนั้นเกิดจาก จิต ถึงสามประการคือ โลภ โกรธ หลง เกิดจากวาจา มีถึงสี่ประการคือ โกหก หยาบ นินทา และเพ้อเจ้อ และกายกระทำชั่ว สามอย่างคือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมยและผิดในกามตัณหา ส่วนมิจฉัตตะหมายถึงหนทางที่ตรงกันข้ามกับ มรรคมีองค์แปดคือมิจฉาปัญญา มิจฉาสมาธิ มิจฉาสติ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวาจา เป็นต้น เพราะฉะนั้นในขณะที่คนมีปัญญาชำระใจของตนเองให้บริสุทธิ์ เขาจึ่งจักพบดินแดนแห่งพุทธะ เพราะพระพุทธองค์เคยตรัสว่า "เมื่อใจบริสุทธิ์ดินแดนแห่งพระพุทธเจ้าก็บริสุทธิ์พร้อมกัน" แต่คนที่ไร้ปัญญาไม่เข้าใจในนัยยะนี้ เพียงเข้าใจว่า แค่พากันกันออกนามพระอมิตาภะและอ้อนวอนขอไปเกิดในแดนบริสุทธิ์ก็เพียงพอแล้ว อาศัยแค่ศรัทธาเข้าว่า ย่อมมิอาจจะไปถึงได้ คนสามัญและคนโง่ไม่เข้าใจในธรรมญาณ และไม่รู้จักว่าแดนบริสุทธิ์มีอยู่พร้อมแล้วในตัวของตัวเอง ดังนั้นจึงปรารถนาไปเกิดทางทิศตะวันออกบ้าง ทางทิศตะวันตกบ้าง แต่สำหรับคนที่มีปัญญาแล้วที่ไหนๆก็เหมือนกันทั้งนั้น ตามที่พระพุทธองค์ ตรัสเอาไว้ว่า "เขาจะไปเกิดที่ไหนไม่สำคัญเขาคงมีความสุขและบันเทิงรื่นเริงอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อใจบริสุทธิ์จากบาป แดนสุขาวดีก็จักอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้" แต่มันลำบากอยู่ที่คนเราใจโสมมตาบอดจึ่งไม่เห็นสิ่งนี้ เพราะงั้นจึ่งมักมีความเข้าใจแบบผิดว่าพุทธเกษตรสุขาวดีจะถึงพร้อมได้ก็ต่อเมื่อในชาติหน้าหรืออีกหลายๆๆชาติ เมื่อสั่งสมบารมี เมื่อเอ่ยนามพระอามิตาภะมากพอ

    คนโง่มักเข้าใจว่า ในโลกนี้มีผู้อื่นซึ่งสามารถพาเราไปยังแดนบริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นจึงคลั่งไคล้ใหลหลงต่อผู้ที่มีวัตรปฏิบัติแปลกประหลาดมหัศจรรย์มากกว่าที่หันมาบำเพ็ญตนเองโดยหวังผู้วิเศษเหล่านั้นจักนำพาเข้าไปสู่แดนสวรรค์โดยที่ตนเองมิต้องบำเพ็ญปฏิบัติแต่อย่างใด

    แต่ทว่า แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ไหนเล่าที่จะพาเอ็งไปที่นั่นได้นอกจากตัวเอ็งเองที่จะช่วยตัวเองในการกำจัดอกุศล10 และ หากเข้าใจหลักธรรมอันกล่าวถึงธรรมชาติที่ไม่มีการเกิด(สุญญตา) ก็จะพาเอ็งไปยังแดนสุขาวดีนี้ได้ภายในอึดใจเดียว แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะไปถึงที่นั่นด้วยลำพังการออกนามพระอมิตาภะสั่งสมบารมีแบบโง่ๆๆเหมือนคนฝากธนาคารแล้วมาเก็บกินพร้อมดอกเบี้ยในภายหลังได้อย่างไรกันล่ะ บ๊ะ แลหลักธรรมอันกล่าวถึงการไม่เกิดนั้นเป็นสิ่งที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่งเป็ยบ่อเกิดแห่งปัญญาบารมีและพระพุทธเจ้าทั้งปวง ร่างกายสังขารมีวันเกิดจากพ่อแม่ แต่ธรรมญาณซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพชีวิต นั้นไม่มีวันเกิด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวันดับ ความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมทำให้เข้าใจถึงการเวียนว่ายตายเกิด และ หักวงจรของการเวียนว่ายเสียได้ การหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายจึงไม่ได้อยู่ที่การทำบุญดอก แต่มันอยู่ที่การปฏิบัติตนเอง ให้พบสภาวะแห่งธรรมญาณ อันเป็นธรรมชาติแท้ที่ไม่เกิดดับ ไม่มีไปไม่มีมา ไม่มีดีไม่มีชั่ว ไม่มีสกปรกหรือสะอาด เป็นการทำลายห่วงโซ่ของความกลัว และ การแสวงหาความมั่นคง เห็นอะไรไหม? บุญคือสิ่งที่เอ็งไม่กลัว บาปคือสิ่งที่เอ็งกลัว และสำหรับผู้ที่มีความกลัวเขาย่อมมิอาจจะพบการเติมเต็มทางจิตวิญญาณหรือดินแดนแห่งอมิตาภะซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอมตะนิรันดรได้ล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 ธันวาคม 2012
  6. sutongperd

    sutongperd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +1,047
    ดีคับ กลับตัวกลับใจทัน ผมว่าคุณคงเคยได้สร้างกุศลเป็นอันมากไว้แน่ จึงมีเหตุให้ได้ปรารถนาพระโพธิญาณ
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อยากถามหน่อยว่าคนที่เคยก่อกรรมหนักอย่างผมเนี่ยจะปราถนาพุทธภูมิได้หรือไม่ครับ

    Chakkrapong
    สมาชิก




    สมน้ำหน้ามัน ขอให้มึงได้สมเจตนา ที่มึงตั้งไว้ ขออ้างอิง คุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐม เป็นต้น พระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอริยะสงฆ์สาวกตั้งแต่ต้น ถึงปัจจุบัน พระปัจเจกะพุทธเจ้าทั้งหลาย พรหม เทวดาทั้งหมด ทั่วสากลภิภพ จบโลกา พระแม่ธรณี คุณบิดามารดา และครูอุปัจฌาอาจารย์ และพระบารมีพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย มาเป็นบารมี ๑๐ จวบจนจบ บารมี ๓๐ ทัศ ถ้าปราถนาจริงดังว่า เราขออนุโมทนาสาธุการ ให้ท่านได้ สมดั่งมโนรส เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นโอฆสงสาร ถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ


    วิริยาธิกะ ต้องเก็บละเอียดลออ กว่า ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ เพราะใช้ความเพียรนำหน้า เขาเรียกหืดขึ้นคอ ทำบารมีตัวเดียว ตัวอื่นมันตามมาหมดแหละ แต่ก่อนเราก็ไม่เข้าใจนัก ถึงทำได้ก็เหอะ ไม่รู้เมื่อมาได้อ่าน ตำราของหลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง ถึงได้เข้าใจ ลึกซึ้งพอประมาณ คำว่าบารมีหมายถึงกำลังใจเต็มนั่นเอง มันเต็ม เมื่อทำถึงมันก็เข้าใจของมันเองแหละ อารมย์ต่างๆ ถ้าไปเล่าให้พวกปราถนา สาวก พวกนี้เขาไม่เข้าใจหรอก มันจะค้าน แห่งตามความเป็นจริง

    นอกจาก พวกพุทธภูมิที่มีบารมีใกล้เคียงกัน หรือที่เขามีบารมี สูงกว่าเรา ถึงจะเข้าใจและแยกแยะได้ ถ้าพวกพุทธภูมิ ที่ต่ำกว่าเรา เขาก็ยังไม่เข้าใจเราเหมือนกัน กำลังใจของคุณเข้มแข็งดีนะ ถ้าคุยเรื่องนี้คุยเป็นวันยังไม่จบเลยครับ ไม่ขออธิบายมากกว่านี้แล้ว เพราะผม อธิบายของกระทู้ผู้อื่น ไว้เยอะ พอสมควรแล้ว จึงยุติเพียงแค่นี้ครับ ผมขออนุโมทนาสาธุ กับกำลังใจของคุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2012
  8. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ขอตอบเท่าที่ค้นหามาได้นะครับ

    1..... อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล

    ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบันสมัยนั้นเป็นมหาทุกขตะสมัยที่พระปทุมมุตตะทรงอุบัติขึ้นในโลกแกไม่มีอะไรเป็นคนจนไปชวนนายเขาทอดกฐินตัวเองก็เอาผ้าไปขายแลกกับด้ายหลอดเขามาด้วยด้าย๒หลอดเข็ม๑เล่มเอามาผสมกับกฐินเขาแล้วก็ปรารถนาพระโพธิญาณพระปทุมมุตตะก็ทรงพยากรณ์ว่าบุคคลๆนี้ต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมนี่เป็นสมุฏฐานของการปรารถนาพระโพธิญาณของท่านมีกฐินเป็นปัจจัย...
    ......อานิสงส์ของกฐินคราวเดียวก็สามารถให้ผลถึงเพียงนี้ทุกคนควรจะทอดกฐินกันแล้วเวลาทอดกฐินก็นึกว่าตนจะสงเคราะห์พระพุทธศาสนาหรือสงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั่นเอง แต่ว่าเนื้อนาบุญนี่สำคัญนะเวลาจะหว่านข้าวลงไปดูเนื้อนาเสียด้วยนี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองเนื้อนาบุญนี่สำคัญ ถ้านาดอนหว่านข้าวไม่ขึ้นม้านหมดถ้านาลุ่มข้าวก็น้ำท่วมนี่สำคัญมาก (แล้วว่ากันไปก็แล้วกัน) ใครจะทำที่ไหนจะทอดที่ไหนก็ไม่ว่านี่แนะนำให้ฟังหลวงพ่อปานท่านเทศน์อย่างนี้
    ข้อมูลจากhttp://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538726624&Ntype=56

    ส่วนเรื่องเคยปรามาสพระรัตนตรัยมา ก็หมั่นขอขมาพระรัตนตรัยซิครับ
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=154
    http://www.watthasung.com/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ธันวาคม 2012
  9. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,500
    สาธุ...ครับลุงเทพฯ เป็นธรรมที่กล่าวไว้ได้ลึกซึ้งยิ่งแล้ว
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปครับ
     
  10. kritsadakorn

    kritsadakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +636
    ได้ ขอแค่ตั้งใจ แต่เรื่องเผลอไปทำกรรมชั่ว เมื่อถึงเวลาใช้กรรมในนรกก็ต้องยอม เมื่อขึ้นมาแล้วก็พยายามสร้างบุญบารมีต่อไป
     
  11. หนูไทย

    หนูไทย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมว่าได้นะครับ น่าจะเคยตั้งจิตอธิฐานมานานแล้วด้วยไม่งั้นไม่มีจิตไปทางนี้หรอกครับ
    ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
     
  12. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ไม่เห็นด้วยนะครับ ถ้าบารมีมาดีแล้วทำทิพจักษุให้รู้เห็นเป็นพอ ไม่ต้องไปนั่งแช่เองนะ มันเสียเวลา ส่วนคนที่คิดว่าต้องตกนั้นผมไม่ทราบ จริงๆแล้วก่อนหน้าก็ตกมาทุกขุมแล้ว แค่มันจำไม่ได้เอง
     
  13. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    อืม ต้องขอโทษด้วยที่ต้องขุดกระทู้ขึ้นมาใหม่ เพราะพอกลับมาอ่านอีกรอบ มีโพสหนึ่งน่าสนใจที่จะค้นหา
    ท่านความเห็นที่ 25 ผมไม่รู้หรอกนะว่าท่านเป็นผู้อาวุโสจริงเหมือนในรูปหรือไม่ รู้แต่ว่าความเห็นของท่านนั้นเป็นผู้ผ่านโลกมาเยอะจริงๆนั่นแหละ ที่มองตัวผมได้เกือบถูกหมด ดังนั้นถ้าท่านอาวุโสจริง ผู้น้อยล่วงเกินอะไรก็ขออภัยนะครับ (รู้สึกผิดจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ)

    เรื่องกรรมเก่านั้นผมคงต้องยอมรับแล้วว่าตัวเองเข้าใจผิดจริงๆ
    แต่ที่ผมพูดเรื่องการอธิษฐานขอนั้น ผมก็แค่พูดตามหลักการที่เคยได้ยินมา ซึ่งบอกตามตรงว่าตัวผมเองก็ยังกังขาอยู่เลยว่า มันไม่น่าจะถูกนะ ขนาดพระอรหันต์ยังต้องปฏิบัติอย่างยากเย็น ดังนั้นพุทธเกษตรนี่ไม่น่าจะได้มาง่ายๆขนาดที่เอ่ยปากขอเฉยๆก็ได้มา ตามหลักเหตุผลนั้นมันไม่ใช่ ดังนั้นที่ผมพูดเรื่องอธิษฐานนั้น ผมก็แค่ถามไปเพราะอยากรู้ว่าวิธีการมันเป็นไปตามที่เคยได้ยินมาแบบนี้จริงๆหรือเปล่า แต่จริงๆผมไม่เชื่อหรอกว่าจะง่ายปานนั้น ซึ่งมาได้ฟังทุกท่านอธิบาย ก็ทำให้ผมเข้าจะอะไรๆได้มากขึ้นแล้ว
    แน่นอน ถ้าผมรู้ว่าการอธิษฐานเป็นเรื่องเหลวไหลตั้งแต่แรก ผมก็คงจะไม่พูดถึงหรอก ดังนั้นต้องขออภัยครับ
    ผมไม่ได้หันเข้าหาศาสนาหรือความคิดตะวันตกใดๆ เพราะเรื่องความกดดันทางจิตใจหรอกครับ ผมก็แค่อยากจะรู้เรื่องพวกนี้ให้มากขึ้น ซึ่งพอรู้ได้มากๆเราก็เอาความรุ้ที่ได้ไปช่วยคนก็เท่านั้น ทั้งหมดนี้ก็ทำไปเพื่อคนอื่น ผมไม่ใช่คนหนีความจริงแต่ผมอยากจะรู้ความจริง เวลามีเรื่องทุกข์ผมก็แก้ด้วยเหตุผล อยู่สู้กับปัญหา พึ่งพาตัวเองให้ถึงที่สุด (ผมเป็นคนไม่ชอบขอใคร) ผมไม่ได้คิดหันเหไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมอดู หรือจิตแพทย์เลย (ที่ผมได้ไปเจอกับหมอดู นั่นก็เป็นเพราะผมไปท้าทายเขาต่างหาก ซึ่งทุกวันนี้ผมเองก็ไม่ได้เชื่อเขามากมาย เขาน่ะอาจจะทำให้ผมหันกลับมานับถือศาสนาได้ แต่ผมก็ไม่ได้ไปงมงายในตัวเขา เพราะผมถือว่าตัวเองก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อถือในสิ่งใด จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ความเชื่อนั้นได้ด้วยตนเอง เหมือนกับส้มที่เราต้องชิมเอง เชื่อคนอื่นเขาไม่ได้ ต่อให้เป็นคำพูดของพระอรหันต์ก็ตาม)
    ที่ท่านเข้าใจว่าผมหันเข้ามาศึกษาศาสนาเพราะเบื่อชีวิต อยากหนี นั่นก็ไม่ใช่นะครับ เป้าหมายหลักที่ผมหันมาศึกษาพุทธศาสนานี่ไม่ใช่เรื่องพุทธภูมิ แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากช่วยเหลือสังคม มันเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาสังคมที่เป็นอยู่ ในชีวิตนี้ไม่ใช่ชาติหน้า อยากสนับสนุนให้คนเข้าหาธรรม เผื่อว่าสังคมมันจะดีขึ้น (ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้คิดว่าสังคมมันจะเลวร้ายถึงขนาดที่เราต้องหลุดพ้นหรือพาคนหลุดพ้น ก็ในเมื่อเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าปลงได้ก็ไม่ต้องทุกข์ ปุถุชนเรายังปลงได้และยอมตาย แต่แล้วทำไมอริยสงฆ์ที่บอกว่าตนจิตใจเข้มแข็งกว่า ถึงยังต้องการการหลุดพ้น เพื่อที่จะได้ไม่ตายอีก และปัญหาสังคมมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แก้ได้ก็คือจบ อดีตที่เลวร้ายนั้น จะจริงหรือไม่ ถ้าไม่ไปทุกข์กับมันก็คือจบ แล้วจะหลุดพ้นกันไปทำไม ก็ในเมื่อปัญหาทุกอย่างในโลกนี้มันมีวิธีแก้กันอยู่แล้ว มีประโยชน์อะไรที่ต้องหลุดพ้น สู้ปล่อยตัวไปตามวัฐจักรแบบเดิมไม่ดีกว่าหรือ
    อันที่จริงแล้ว ที่ผมบอกว่าอยากถอนขนสัตว์เข้านิพพานนั้น มานั่งนึกดูอีกทีก็ขำ ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าจะขนสัตว์เข้านิพพานไปเพื่ออะไร ก็ในเมื่อชีวิตในวัฐจักรเป็นสิ่งที่อยู่สู้ได้อยู่แล้ว ทุกข์สุขมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี้ จริงๆแล้วผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติของพุทธภูมิ สาวกภูมิ หรือแม้แต่ฆารวาสภูมิเลยก็ได้ที่โจทย์พื้นฐานของชีวิตแค่นี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ ตอบไม่ได้ ซึ่งผมก็จะต้องศึกษาต่อไป ทั้งปฏิบัติปริยัติ เผื่อสักวันจะได้เข้าใจ)
    ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ยึดติดอะไรกับเป้าหมายดังกล่าว ได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่อง ซึ่งถ้าผมเป็นคนตำหนิตัวเองว่าไร้ค่าต่อคนอื่น ผมก็คงจะไม่ทำอย่างนี้ และที่ทำนี้ก็ไม่ได้หวังให้ใครมายกย่องเชิดชู เพราะผมไม่คิดตัวเองมีปมด้อยประเภทว่า ตอนเด็กขัดสน ตอนนี้ก็เลยอยากมั่งอยากมีเหมือนกับเขาหรอกนะครับ

    แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ท่านมองผมอย่างถูกต้อง นั่นคือผมออกจะเป็นคนกลัวความล้มเหลว แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเพราะว่าตัวเองเคยล้มเหลวเลยกลัวว่าจะล้มซ้ำ แต่มันกลัวเพราะอีกเรื่องหนึ่ง
    โจทย์หลักที่ผมกลัวนั่นก็คือ ทุกวันนี้ผมคนนี้ก็ยังแยกไม่ออกเลย ว่าการกระทำใดเรียกว่าดี หรือการกระทำใดเรียกว่าชั่ว
    ความดีความชั่ววัดกันที่เจตนา แต่แล้วทำไมถึงมีการกระทำมากมายที่ทำไปเพราะเจตนาดี แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นความชั่ว เช่น บวชภิกษุณี แต่กลับขัดตาชาวบ้านเขา แล้วเช่นนั้น ความดีมันคืออะไร.... ตัวเรายังแยกดีชั่วไม่ออก แล้วจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร มีลูกก็ไม่รู้จะสอนลูกมันยังไง เกิดเราสอนลูกไม่ถูก แล้วลูกไปหลงทำชั่วตามที่เราสอน มันจไม่ไปกันใหญ่เลยเหรอ
    นี่แหละคือสิ่งที่ผมกลัวอย่างมากในตอนนี้ ก็เท่านี้แหละที่ผมกลัว ตายน่ะผมไม่กลัวเท่าปัญหานี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมาเฉลยหรอก ผมจะค้นหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง

    ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงที่ท่านห่วงใยและเติอนกันอย่างตรงๆ แต่ในเมื่อผมไม่ได้เป็นแบบที่ท่านคิดจริงๆ ผมก็เลยจำเป็นต้องชี้แจง ไม่งั้นคนเขาจะเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนหนีปัญหา หนีความจริง ขอให้ท่านเข้าใจผมด้วยนะครับ

    ผมชอบคุยกับคนที่ผ่านโลกมามาก มันเหมือนกับว่ากึ๋นทั้งหมดที่มีมันกำลังถูกทดสอบว่าแน่จริงหรือไม่ ดังนั้น ถ้าวันหลังผมส่ง PM ไปคุยเรื่องจิปาถะด้วย รบกวนคุยกับผมด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  14. Cradle of Filth

    Cradle of Filth สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    อนันตริยกรรม นั้น รู้ได้จากการกระทำของเราเอง แต่หนักขนาดไหน ต้องรอดูต่อไป แม้ว่าหมดอายุขัยแล้ว ถ้ากรรมยังไม่หมด
    ก็ต้องรับผิดชอบชดใช้ในกรรมของเรา กว่าจะหมด จะกี่ภพ กี่ชาติ ไม่รู้ได้
    หลวงพ่อจรัญ ตอนเป็นพระ ก็ไม่พ้นกรรมไม่ดี ที่ท่านได้ทำไว้...
    เราเวียนว่ายตายเกิดไม่สามารถนับได้ ทุกภูมิคงจะได้เกิดแล้ว ฝึกจิตครับ จิตจะนำพาให้เราสูงขึ้นเอง
    ศาสนาพุทธสอนว่า อย่ายึดติดกับอดีต รู้ไปก็เท่านั้น แก้ไขไม่ได้ พึงรู้แล้วก็ค่อยๆ แก้ไข ไม่ทำกรรมเพิ่ม สร้างบุญบารมีให้ตนเอง
    สิ่งต่างๆ ของเรา เรารู้แล้ว ที่มา ผลที่ได้รับ เป็นครู เป็นประสบการณ์ เป็นธรรมทาน สอนตนเอง สอนผู้อื่น...
    เราเป็นเรื่องต้องมีทิศทาง มีจุดหมาย คือ การอธิษฐาน ครับ สร้างบุญแล้ว อธิษฐานรองรับด้วย ขอให้ค้นพบ ได้เจอ มนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ นิพพานสมบัติ เป็นของตนเองเถิด
    นำจิตมาดูตนเอง อย่าเอาจิตไปคิดเรื่องอื่น คนอื่น ให้ฟุ้งซ่านมากมาย
    นำจิตมาดูตนเอง ให้มีสติไว้เสมอ เตือนตนเองเสมอๆ รู้ตัวว่ากำลังคิดอะไร ทำอะไร อยู่อย่างไรในปัจจุบัน
    ทำ ทาน ฝึกจิตรู้จักให้ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตใจ ให้ ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
    ถือศีล คนทั่วไป 5 ข้อ สรุปคือ ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น นำจิตมาดูตนเอง อย่าไปจับผิดคนอื่น
    ส่วนกรรมจะจัดสรรส่วนต่างๆ ของกรรมเอง (กรรมดี กรรมชั่ว)
    ภาวนา และ สมาธิ อยู่ในจิต ฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะพบนิพพานเอง
    ยินดีที่จะใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ให้หมด ต้องอดทน แม้อายุขัยหมดลง ก็ไปชดใช้ต่อตามภูมิ ตามภพ สมควร
    จากการตัดสินของท่านยมบาล
    ระลึกไว้เสมอว่า ทาน ศีล ภาวนา ด้วย กาย วาจา ใจ ฝึกฝนให้บริสุทธิ์ให้ได้
    พระพุทธเจ้าท่าน กว่าจะสั่งสมพระบารมีมาได้ นับหลายร้อยชาติ แม้ชาติสุดท้ายท่านยังต้องผจญกับมารมากมาย กว่าจะสำเร็จ...
    และฝากพระธรรม ไว้ให้ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาได้เดินก้าวตาม
     

แชร์หน้านี้

Loading...