พญานาคกับอดีตที่ผ่านมา

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 1 กันยายน 2012.

  1. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440

    ขอบคุณค่ะ :cool: :cool:
     
  2. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    แนวทางปฏิบัติของมิก (แบบส่วนตัว) อาจไม่เหมือนใคร

    * ฝึกแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ พยายาม พุทโธ ทุกลมหายใจเข้าออก (เท่าที่จะระลึกได้)
    * ศีลพร่องเป็นระยะๆ โดยเฉพาะฆ่ายุง แต่ก็พยายาม ลด & ละ อยู่ (เท่าที่จะทำได้)
    * สวดมนต์เฉพาะวันโกนกับวันพระ สวดมนต์บทธรรมดาๆ อยากสวดบทไหนก็สวดบทนั้น
    * พยายามนั่งสมาธิทุกคืนก่อนนอน ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น (แต่ไม่ชอบเดินจงกลม)
    * ขณะนั่งสมาธิ...ดีไม่คิด...ร้ายไม่คิด
    * มีคนบอกว่า...ในความว่างนั้นมีความไม่ว่างอยู่ และ ในความไม่ว่างนั้นก็มีความว่างอยู่เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2012
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าความก้าวหน้านั้น เกิดจากเหตุปัจจัยถึงพร้อมค่ะ
    ทำเหตุให้เต็มก่อน แล้วไม่ต้องไปร้องหาผล เดี๋ยวมันมาโผล่ให้เห็นเอง

    *อย่าชิงสุกก่อนห่าม...มีแต่เสียกับเสียค่ะ*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2012
  4. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    กรกนกวรรณ นาคีแห่งเมืองจันทร์ ชีวิตในบาดาลนั้น สุขสบายครับ เพียงแค่ตอนเมืองแตกพ่ายนั้น ก็แยกย้ายไปที่อื่น น่าจะนับเป็นญาติของทิพย์อักษรได้อยู่ เพราะว่า ทิพย์อักษรคือพระมเหสีเมืองนี้ครับ--
     
  5. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    สวัสดีค่ะคุณคุรุวาโร การที่เราเคยฝันเห็นพยานาคลำตัวใหญ่มาก สีเขียวตาแดง ในฝันนะกลัวมากเลย ไม่ทราบว่าเคยเกียวเนื่องกับพยานาคไหมค่ะ แล้วเคยไปที่อาจารย์แห้วตากฟ้านครสวรรค์ อาจารย์บอกว่า เคยเป็นลูกหลาน พยานาคมาก่อน แต่ถ้าเป็นจริงๆ ไม่ราบว่ากี่ชาติมาแล้วค่ะ อาจเป็นคำถามที่ ไม่สำคัญมาก กับชีวิตประจำทุกวันนี้ แต่ก็ชอบอยากจะรู้นะค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    ตอบเท่าที่สัมผัสได้ครับ คุณมาจาก กินรี นามว่า อัปสรสวรรค์ครับ เป็นกินรี ที่สวยงามมากครับ พญานาคนั้น อยู่ใกล้ชิด เลย เสน่หาคุณครับ(ในอดีต)
     
  6. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    ไม่ชอบเดินจงกลมเหมือนกันค่ะพี่มิ๊ก :cool:


    สาธุค่ะ ... :cool: จะระลึกไว้เสมอค่ะ ปล. อยากไปเที่ยวไวๆ เลยคิดว่ามันไม่ก้าวหน้ามั้งคะเนี่ย แย่จริงๆ ...
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ง่ะ...ไม่มีเรื่องแล้วเหรอ เผลอแป๊บเดียว หายแซ้บบบบอีกแระ
     
  8. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    คุณหวานใจ กับ คุณ hastin ไม่มีเรื่องเล่าหนอเหรอคะ...รออ่านหนอ...^^
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เอามาฝากจร้า...
    ความมุ่งหมาย และประโยชน์ของสมาธิ
    (คัดจากหนังสือพุทธธรรม หน้า ๘๓๓ - ๘๓๙)

    ขั้นตอนความมุ่งหมาย และประโยชน์ของสมาธิ

    ความมุ่งหมายของสมาธิที่ใช้อย่างถูกต้อง หรือพูดตามศัพท์ว่า ความมุ่งหมายของสัมมาสมาธินั้น เพื่อเตรียมจิตให้พร้อมที่จะใช้ปัญญาอย่างได้ผลดี

    พูดอย่างง่ายๆว่า สมาธิเพื่อปัญญา ดังบาลีที่เคยอ้างแล้วว่า
    “ สมาธิเพื่ออรรถ คือ ยถาภูตญาณทัสสนะ (สมาธิเพื่อจุดหมายคือการรู้เห็นตามความเป็นจริง) ” บ้าง
    “ สมาธิมี ยถาภูตญาณทัสสนะเป็นอรรถ เป็นอานิสงส์ (ความมุ่งหมายและผลสนองที่พึงประสงค์ของสมาธิ คือการรู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นจริง) ” บ้าง
    “ จิตวิสุทธิ เพียงแค่มีทิฏฐิวิสุทธิเป็นอรรถ (การบำเพ็ญสมาธิให้จิตบริสุทธิ์มีจุดหมายอยู่แค่จะทำความเห็นความเข้าใจให้ถูกต้องบริสุทธิ์) ” บ้าง และอาจจะอ้างพุทธพจน์ต่อไปนี้มาสนับสนุนด้วย


    “สมาธิที่ ศีลบ่มรอบแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก, ปัญญาที่สมาธิบ่มรอบแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตที่ปัญญาบ่มรอบแล้ว ย่อมหลุดพ้นโดยชอบเทียว จากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ” (ที.ม. 10/77/99)


    แม้ว่าสมาธิ จะมีความมุ่งหมายดังกล่าวมานี้ก็จริง แต่สมาธิก็ยังมีคุณประโยชน์อย่างอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากจุดมุ่งหมายนั้นอีก

    ประโยชน์บางอย่าง เป็นผลพลอยได้ในระหว่างการปฏิบัติเพื่อบรรลุจุดหมายของสมาธินั้นเอง บางอย่าง เป็นประโยชน์ส่วนพิเศษออกไป ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนยิ่งกว่าธรรมดา บางอย่างเป็นประโยชน์ที่เกื้อกูล แม้แก่ท่านที่ได้บรรลุจุดหมายของสมาธิเสร็จสิ้นไปแล้ว

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2012
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โดยสรุป พอจะประมวลประโยชน์ของสมาธิได้ดังนี้

    ก.ประโยชน์ ที่เป็นจุดหมายหรืออุดมคติทางศาสนา : ประโยชน์ที่เป็นความมุ่งหมายแท้จริงของสมาธิตามหลักพระพุทธศาสนา คือ เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่ง แห่งการปฏิบัติเพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุด อันได้แก่ความหลุดพ้น จากกิเลสและทุกข์ทั้งปวง

    ๑) ประโยชน์ที่ตรงแท้ของข้อนี้ คือ การเตรียมจิตให้พร้อมที่จะใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้แจ้งสภาวธรรมตามความเป็น จริง เรียกตามศัพท์ว่า เป็นบาทแห่งวิปัสสนา หรือ ทำให้เกิดยถาภูตญาณทัศนะ ดังได้กล่าวแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่วิชชาและวิมุตติในที่สุด

    ๒) ประโยชน์ที่รองลงมาในแนวเดียวกันนี้ แม้จะไม่ถือว่า เป็นจุดหมายที่แท้จริง คือการบรรลุภาวะที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสชั่วคราว ที่เรียกว่าเจโตวิมุตติประเภทยังไม่เด็ดขาด กล่าวคือ หลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจพลังจิต โดยเฉพาะด้วยกำลังของฌาน กิเลส ถูกกำลังสมาธิ กด ข่ม หรือ ทับไว้ ตลอดเวลาที่อยู่ในสมาธินั้น เรียกเป็นศัพท์ว่า วิกขัมภนวิมุตติ

    ข. ประโยชน์ในด้านการสร้างความสามารถพิเศษเหนือสามัญวิสัย ที่เป็นผลสำเร็จอย่างสูงในทางจิต หรือเรียกสั้นๆว่า ประโยชน์ในด้านอภิญญา ได้แก่ การใช้สมาธิระดับฌานสมาบัติเป็นฐาน ทำให้เกิดฤทธิ์และอภิญญาขั้นโลกีย์อย่างอื่นๆ คือ หูทิพย์ ตาทิพย์ ทายใจคนอื่นได้ ระลึกชาติได้ จำพวกที่ปัจจุบันเรียกว่า ESP (Extrasensory Perception)

    ค. ประโยชน์ในด้านสุขภาพจิตและการพัฒนาบุคลิกภาพ เช่น ทำให้เป็นผู้มีจิตใจและมีบุคลิก
    ลักษณะ เข้มแข็ง หนักแน่น มั่นคง สงบ เยือกเย็น สุภาพ นิ่มนวล สดชื่น ผ่องใส กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เบิกบาน งามสง่า มีเมตตากรุณา มองดูรู้จักตน เองและผู้อื่นตามความเป็นจริง (ตรงข้ามกับลักษณะของคนมี นิวรณ์ เช่น อ่อนไหว ติดใจหลงใหลง่าย หรือ หยาบกระด้าง ฉุน เฉียว เกรี้ยวกราด หงุดหงิด วู่วาม วุ่นวาย จุ้นจ้าน สอดแส่ ลุกลี้ลุกลน หรือหงอยเหงา เศร้าซึม หรือขี้หวาด ขี้ระแวง ลังเล)

    เตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมและง่ายแก่การปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ และเสริมสร้างนิสัยที่ดี รู้จักทำใจให้สงบและ สะกดยั้งผ่อนเบาความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจได้ เรียกอย่างสมัยใหม่ ว่ามีความมั่นคงทางอารมณ์ และมีภูมิคุ้มกันโรคทางจิต ประโยชน์ข้อนี้ จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นในเมื่อใช้จิตที่มีสมาธินั้นเป็นฐานปฏิบัติตามหลักสติ ปัฏฐาน คือ ดำเนินชีวิตอย่างมีสติตามดูรู้ทันพฤติกรรมทางกายวาจา ความรู้สึกนึกคิดและภาวะจิตของตนที่เป็นไปต่างๆ มองอย่าง เอามาเป็นความรู้สำหรับใช้ประโยชน์อย่างเดียว ไม่ยอมเปิดช่องให้ประสบการณ์ และความเป็นไปเหล่านั้น ก่อพิษเป็นอันตรายแก่ชีวิตจิตใจของตนได้เลย ประโยชน์ ข้อนี้ย่อมเป็นไปในชีวิตประจำวันด้วย


     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ง. ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น
    ๑) ใช้ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย หายเครียด เกิดความสงบ หายกระวนกระวาย ยั้งหยุดจากความกลัดกลุ้มวิตกกังวล เป็นเครื่องพักผ่อนกาย ให้ใจสบายและมีความสุข เช่น บางท่านทำอานาปานสติ (กำหนดลมหายใจเข้าออก) ในเวลาที่จำเป็นต้องรอคอยและไม่มีอะไรที่จะทำ

    เหมือนดังเวลานั่งติดในรถประจำทาง หรือปฏิบัติสลับแทรกในเวลาทำงานใช้สมองหนัก เป็นต้น หรือ อย่างสมบูรณ์แบบได้แก่ฌานสมาบัติที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ใช้เป็นที่พักผ่อนกายใจ เป็นอยู่อย่างสุขสบายในโอกาสว่างจากการบำเพ็ญกิจ ซึ่งมีคำเรียกเฉพาะว่า เพื่อเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร

    ๒) เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน การเล่าเรียน และการทำกิจทุกอย่าง เพราะจิตที่เป็นสมาธิ แน่วแน่อยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก ไม่เลื่อนลอยเสีย ย่อมช่วยให้เรียน ให้คิด ให้ทำงานได้ผลดี การงานก็เป็นไปโดยรอบคอบ ไม่ผิดพลาด และ ป้องกันอุบัติเหตุได้ดี เพราะเมื่อมีสมาธิก็ย่อมมีสติกำกับอยู่ด้วย

    ดังที่ท่านเรียกว่า จิตเป็นกัมมนียะ หรือกรรมนีย์ แปลว่า ควรแก่งาน หรือเหมาะแก่การใช้งาน ยิ่งได้ประโยชน์ในข้อที่ ๑ มาช่วยเสริม ก็ยิ่งได้ผลดีมากยิ่งขึ้นไปอีก

    ๓) ช่วยเสริมสุขภาพกายและให้แก้ไขโรคได้ ร่างกายกับจิตใจอาศัยกันและมีอิทธิพลต่อกัน ปุถุชนทั่วไป เมื่อกายไม่สบาย จิตใจก็พลอยอ่อนแอเศร้าหมองขุ่นมัว ครั้นเสียใจ ไม่มีกำลังใจ ก็ยิ่งซ้ำให้โรคทางกายนั้นทรุดหนักลงไปอีก แม้ในเวลาที่ร่างกายเป็นปกติ พอประสบเรื่องราวให้เศร้าเสียใจรุนแรง ก็ล้มป่วยเจ็บไข้ไปได้ ส่วนผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งสมบูรณ์ (โดยเฉพาะท่านที่มีจิตหลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว) เมื่อเจ็บป่วยกาย ก็ไม่สบายอยู่แค่กายเท่านั้น จิตใจไม่พลอยป่วยไปด้วย ยิ่งกว่านั้นกลับใช้ใจที่สบายมีกำลังจิตเข็มแข็งนั้นหันกลับมา ส่งอิทธิพลบรรเทาหรือผ่อนเบาโรคทางกายได้อีกด้วย อาจทำให้โรคหายง่ายและไวขึ้น หรือแม้แต่ใช้กำลังสมาธิระงับ ทุกขเวทนาทางกายไว้ก็ได้

    ในด้านดี ผู้มีจิตใจผ่องใสเบิกบาน ย่อมช่วยให้กายเอิบอิ่มผิวพรรณผ่องใสสุขภาพกายดี เป็น ภูมิต้านทาน โรคไปในตัว ความสัมพันธ์นี้มีผลต่ออัตราส่วนของความต้องการ และการเผาผลาญใช้พลังงานของร่างกายด้วย เช่น จิตใจที่สบายผ่องใสสดชื่นเบิกบานนั้น ต้องการอาหารน้อยลงในการที่จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์ผ่องใส เช่น คนธรรมดามีเรื่องดีใจ ปลาบปลื้มอิ่มใจ ไม่หิวข้าว หรือพระที่บรรลุธรรมแล้วมีปีติเป็นภักษา ฉันอาหารวันละมื้อเดียว แต่ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่หวนละห้อยความหลัง ไม่เพ้อหวังอนาคต ไม่เฉพาะจิตใจดี ช่วยเสริมให้สุขภาพกายดีเท่านั้น

    โรคกายหลายอย่างเป็นเรื่องของกายจิตสัมพันธ์ เกิดจากความแปรปรวนทางจิตใจ เช่นความมักโกรธบ้าง ความกลุ้มกังวลบ้าง ทำให้เกิดโรคปวดศีรษะบางอย่าง หรือโรคแผลในกระเพาะอาหารอาจเกิดได้เป็นต้น เมื่อทำจิตใจให้ดีด้วยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ช่วยแก้ไขโรคเหล่านั้นได้

    ประโยชน์ข้อนี้ จะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีปัญญาที่รู้เท่าทันสภาวธรรมประกอบอยู่ด้วย
     
  12. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229

    อ้าว..มาดองกับเราอีกคนละ ..

    มิน่าล่ะไปที่ไหนเธอก็ตามติดไปทุกที่เลย..คริ คริ
     
  13. jernnrej_JJ

    jernnrej_JJ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +1,175
    ท่าทางว่าหนูจะต้องทำสมาธิอย่างจริงจังแล้วละคะT^T
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ถ้าสรุปตามพระบาลี การฝึกอบรมเจริญสมาธิมีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆดังนี้
    “ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา (การเจริญสมาธิ) มี ๔ อย่าง ดังนี้ คือ
    ๑. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร
    (การอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน)
    ๒. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อการได้ญาณทัสสนะ
    ๓. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อสติและสัมปชัญญะ
    ๔. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย”

    สรุปว่าความก้าวหน้าของสมาธิที่แท้จริง มีด้วยกัน ๔ ข้อหลักด้านบนคร้า..าา

    แบบที่ ๑
    บาลีขยายความว่า ได้แก่ ฌาน ๔ ข้อนี้ก็คือ การเจริญฌาน ในลักษณะที่เป็นวิธีหาความ สุขแบบหนึ่ง ตามหลักที่แบ่งความสุขเป็น ๑๐ ขั้น ซึ่งประณีตขึ้นไปตามลำดับคือ กามสุข สุขในรูปฌาน ๔ ขั้น สุขในอรูปฌาน ๔ ขั้น และสุขในนิโรธสมาบัติ

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย นิยมเจริญฌานในโอกาสว่าง เพื่อเป็นการพักผ่อนอย่างสุขสบาย ที่เรียกว่า ทิฏฐธรรมสุขวิหาร

    แบบที่ ๒
    บาลีขยายความว่า ได้แก่ การมนสิการอาโลกสัญญา (กำหนดหมายในแสงสว่าง) อธิษฐานทิวาสัญญา (กำหนดหมายว่าเป็นกลางวัน)เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีใจเปิดโล่งไม่ถูก (นิวรณ์) ห่อหุ้ม ฝึกให้เป็นจิตที่มีความสว่าง

    อรรถกถาอธิบายว่า การได้ญาณทัสสนะในที่นี้ หมายถึงการได้ทิพยจักษุ และท่านกล่าวว่าทิพยจักษุนั้นเป็น ยอดของโลกียอภิญญาทั้ง 5 (อีก 4 คือ อิทธิวิธี ทิพยโสต เจโตปริยญาณ และปุพเพนิวาสานุสติญาณ) บางแห่งท่านกล่าวถึงญาณทัสสนะนี้คำเดียว หมายคลุมถึงโลกียอภิญญาหมดทั้งห้า

    ดังนั้น ประโยชน์ข้อนี้ จึงหมายถึงการนำเอาสมาธิไปใช้เพื่อผลสำเร็จทางจิต คือ ความสามารถพิเศษ จำพวกอภิญญา รวมทั้งอิทธิปาฏิหาริย์

    แบบที่ ๓
    คือ การตามดูรู้ทันความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นดับไป ในความเป็นอยู่ประจำวันของตน ดังที่บาลีไขความไว้ว่า เวทนา สัญญา และวิตกทั้งหลาย จะเกิดขึ้น จะตั้งอยู่ จะดับไป ก็เป็นไปโดยรู้ชัด

    แบบที่ ๔
    บาลีขยายความว่า ได้แก่ การเป็นอยู่โดยใช้ปัญญาพิจารณาเห็นอยู่เสมอถึงความเกิดขึ้น และความเสื่อมสิ้นไปในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นของรูปเป็นดังนี้ ความดับไปของรูปเป็นดังนี้

    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นดังนี้ เกิดขึ้นดังนี้ ดับไปดังนี้ มองอย่างกว้างๆ ก็คือ การใช้สมาธิเพื่อประโยชน์ทางปัญญา เป็นอุปกรณ์ในการเจริญวิปัสสนา อย่างที่เรียกว่า เป็นบาทฐานของวิปัสสนา เพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุดคือ อาสวักขยญาณ หรือ วิชชาวิมุตติ

    ตามคำอธิบายของอรรถกถา จะเห็นว่า ประโยชน์อย่างที่ ๑ และ ๒ เป็นด้านสมถะ ส่วนประโยชน์อย่างที่ ๓ และ ๔ เป็นด้านวิปัสสนา

    ประโยชน์อย่างอื่นๆ ที่ได้กล่าวข้างต้น แม้จะไม่มีระบุไว้ในพระบาลีนี้ ก็พึงเห็นว่าเป็นประโยชน์พลอยได้สืบเนื่องออกไป ซึ่งพึงได้รับในระหว่างการปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สี่อย่างนี้บ้าง เป็นข้อปลีกย่อยกระจายออกไปไม่ต้องระบุไว้ให้เด่นชัดต่างหากบ้าง

    อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.tong9.com/main/index.php/2010-04-03-01-28-48/2010-04-07-08-48-19/2010-05-13-04-27-41
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2012
  15. A-ya

    A-ya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +2,549
    สวัสดีทุกท่านคร่า วันนี้เพื่อนมาหา เลยพาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม (พาน้องมณีไปด้วย) ข้างๆวัดเจ้าแม่กวนอิม มีวัดแขก เลยเข้าไปไหว้ด้วย มีเทพหลายองค์ ขณะที่กำลังเดินไหว้เทพแต่ละองค์ คนในนั้นเค้าเล่นเพลงอะไรก็ไม่รู้เสียงดังกังวาลชวนขนลุก ไหว้เสร็จเลยรีบออกเพราะไม่รู้พิธีการเค้าอ่ะ เห็นมีพราหมณ์ชุดขาวแขกๆคอยแต้มหน้าผากด้วยคะ :cool:


    เมื่อคืนฝันว่าไปบ้านเพื่อน บ้านก่ออิฐแต่ไม่ได้ฉาบปูนด้านหลังเป็นเนินเขา เรากำลังจะเดินไปตรงเนินเขาพลันสายตาไปเห็นผู้ชายลักษณะเหมือนแฟนเก่ายืนอยู่บนนั้น เราก็วิ่งหลบทันทีไม่อยากเจอ
    แล้วเราก็ไปโผล่อยู่บ้านอีกหลังหนึ่งใหญ่มาก มีคนรับใช้เป็นผู้ชายดูแลบ้าน 4-5 คน เค้ากำลังถูพื้นบันไดอยู่ แต่เราต้องการขึ้นข้างบนห้องเราเลยบอกขอโทษเค้าก่อนเดินผ่าน เค้าก็ไม่พูดอะไร ฝันนี้ไม่รู้ว่าเราไปบ้านใคร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2012
  16. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    คืนวันเสาร์ นิมิตไปว่า ไปสถานที่หนึ่ง มีเนินสูงๆ มีชายสูงวัยนั่งอยุ่ข้างบน และบนเนินนั้นมี

    ผุ้คนมากมายยืนเรียงกันลงมา เห็นทิพย์อักษรอยู่แถวๆกลางเนิน มองหาสมุนาเทวีไม่เจอ

    เห็นนราวดี อยู่บริเวณพื้นราบเลยเดินเข้าไปหา ยังไม่ทันถึง ก็มีคนใ่ส่ผ้ามัดเป็นกางเกงไม่

    ใส่เสื้อ มือถือหอก มาไล่ไม่ให้ไปต่อ ก็เลยต้องกลับบ้าน
     
  17. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    อ้าว อดทักทายกันเลย :cool: โดนไล่เสียอย่างนั้น อิอิ

    ปล.ขอบพระคุณพี่นุ๊ก สำหรับข้อมูลดีๆจ้าาา สาธุๆๆ :cool:
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มันแหงอยู่แล้ว...คุณhastin ไม่เจอเราหรอก เพราะว่าเราไม่ค่อยไปกับใครเป็นกลุ่มนะ
    เรามันเดียวดายสไตล์วันแมนโชว์ แงๆ :'( ภาระกิจใดเราก็ทำคนเดียว หากจะได้เจอก็บังเอิญซะมากกว่า
    เราไม่เคยไปกับนราวดีและทิพย์อักษรหรือคนอื่นๆ หรอก ส่วนใหญ่ไปเองทุกคืน มีภาระกิจที่แตกต่างกัน
    ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี เมื่อคืนก็ต่างคนต่างไป แล้วไปเจอกันตอนที่เรากำัลังกลับ แต่นราวดีกับเพื่อนเพิ่งไปถึง
    ตื่นเช้ามา...เราต้องถามหาพยานบุคคลตาหลอดดดดอ่ะ จะได้ไม่คิดว่าตัวเองเพ้อเจ้อ
    แต่ก็หนุกดีนะ เพราะมันเป็นสไตล์ที่เราชอบ ไปไหนมาไหนไม่ชอบมีห่วง เวลาที่ไปทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ อิอิ
     
  19. พิมพ์ชนา

    พิมพ์ชนา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +50
    มินาล่ะ อิอิ

    พี่รั้งขา สรุปว่า หนูดองๆ กับพี่รั้ง แล้ว สรุปว่าหนูมาจากสายท่านไหนค่ะ แล้วเมืองจันทร์ นี่คือ เืมืองอะไรค่ะ เวียงจันทร์ รึจันทบุรี ค่ะพอดีท่านคุรุฯ ยังมิได้ให้คำตอบหนูค่ะ แล้ว ท่านพระบิดาที่ท่านต้องการจะสื่อสารกับหนูเนี่ย ท่านมีนามว่ากระไรค่ะ และ สามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับท่านได้ทางใดบ้างค่ะพี่ รบกวนพี่รั้งช่วยแนะนำหนูหน่อยค่ะ คิดว่า ท่านคุรุฯ อาจจะยังไ่ม่ว่างตอบ รึว่าหนุถามท่านเยอะไปหน่อยนึงน้า อิอิ ขอโทษน่ะค่ะ พอดีไอ้ความสงสัยมันอยู่ในใจมานานเลย ถามเป็นชุดเลยอะค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณพี่รั้ง
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คุณhastin แล้วนราวดีกับทิพย์ัอักษรที่เห็นเนี่ย เห็นเป็นคนหรือนาคีล่ะ
    แล้วรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ทำไมถึงได้รู้ว่าคือสองคนนั้นอ่ะ อยากรู้หนอ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...