จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214

    สวัสดีค่ะคุณหมอ

    จิตคุณหมอกำลังอยู่ในวิปัสสนาญาณ พี่เพ็ญไม่มีไรแนะนำมาก ขอให้ตามดูจิตต่อไปค่ะ อีกนี้ดดดดดดดเดียวค่ะ สาธุ ขอให้ท่านปิดโลกปิดสงสารได้สำเร็จในคืนนี้เทอญ

    ตัดที่ขันธ์ห้าตัวเดียวจบเลยค่ะคุณหมอ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีในเรา(จิต) เรา(จิต)ไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่มีในเรา(จิต) เราไม่ต้องการร่างกายนี้อีกต่อไป เราต้องตายแน่ ตายเมื่อไรเราขอไปนิพพานทันที เราขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอได้โปรดรับดวงจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่พระนิพพานในคืนนี้ด้วยเทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ส่วนใหญ่นักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน คงจะหนีไม่พ้นกิเลสขั้นละเอียด(กิเลสเซียน)ของพี่มานะนี้ไปได้ง่ายๆ
    แต่ถ้าจิตใครเดินมาถึงตรงนี้กัน ส่วนใหญ่มักสอนกันไม่ได้ เพราะถือตัวตน ถืออัตตา โดยเฉพาะตัวมานะตัวนี้แหล่ะ!
    นามธรรมสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่จะละสังโยชน์ในเบื้องสูง
    แต่เราจะละกันได้ง่ายดาย ต้องด้วยสติ+ปัญญา(ตนเอง)เท่านั้น
    ถ้าอย่างนั้น ไม่มีทาง เพราะผู้ปฎิบัติธรรมละกันข้ามภพ ข้ามชาติกันมาก็มากแล้ว รวมถึงตัวคุณด้วย
    ที่แล้วมาคุณก็หมั่นสร้างแต่กรรมดี
    คนเราทำแต่กรรมดีอย่างเดียวไม่ได้ หรือมุ่งเอาแต่สมถสมาธิเพียงอย่างเดียวกันไม่ได้
    เพราะฉะนั้นเราต้องนำจิตในขณะที่จิตปัญญานั้น(คือในขณะที่จิตทรงฌาน)นำไปพิจารณาธรรม หรือสิ่งที่มากระทบทุกขณะจิตของตนเอง
    เพราะนักภาวนาส่วนใหญ่ ที่มาถึงฌานกันนั้น จะไม่ยอมเอาจิตมาชนกับกิเลสที่กำลังมากระทบจิตของตน เอาแต่ติดสุขจากฌานนั้น
    แต่ถ้าไม่มีครูมาแนะ ก็จะหลุดพ้นยาก นอกจากจะต้องรอจิตเกิดปัญญากันโน้นแหล่ะ!
    ถามว่า เมื่อไหร่จิตจะเกิดปัญญา เราจะตายเสียก่อนน่ะสิ!
    นี่คือ คำตอบ...
    ในเมื่อจิตเกาะพระมาเยือนพวกเราแล้ว รีบซะ!...รีบซะ!!...
    จิตติดเทอร์โบ!!!
    อันนี้ครูเพ็ญทราบดี
    (ครูเพ็ญขำกลิ้งเลย ดีนะตอนนั้นท่านยังไม่อวบระยะสุดท้ายๆ คิคิ แล้ไง๊มาจบตรงครูเพ็ญได้เนี๊ย!)

    เอ๊า! คุณลินดา(จิตพยายาม) ยกจิตตามคุณหมอไปเล๊ยยนะ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ เป็นล้านๆครั้ง
    สงสัยอีกไม่นานนัก มีหวังจะยกตามมาไวๆนี้ เพราะบารมีท่านเต็มแล้ว แต่ยิงธนูพลาดเป้าไปนิดเดียว
    ผมว่าครูเพ็ญเก่งนะ หรือว่าพระจัดสรรให้คุณแม่ผ้าขาว?
    ไม่สำคัญ ขอให้ท่านยกไวๆก็แล้วกัน ท่านมีความเพียรสูงมากถึงขนาดนั้น
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มีข้อแนะนำในบางประการ
    นับต่อจากคืนนี้เป็นต้นไป คุณหมอจะรู้สึกว่าตนเอง เหมือนตนเองไม่ได้นอนทั้งคืน
    แต่ไม่ต้องตกใจ นั่นเป็นเพราะว่า จิตเขากำลังเข้าสู่วิปัสสนาญาณ
    แต่ไม่ต้องกังวล ที่แท้กายนอนหลับ แต่จิตไม่ได้นอน
    รู้สึกว่าเหมือนเรานอนไม่พอ พอตื่นนอนกลับตรงกันข้าม คือ จิตเบิกบานกว่าปกติ อย่าไปสงสัยให้เสียเวลา
    นี่คือปฎิเวธของคุณหมอเอง จงมีสติตามจิตต่อไป ให้รู้สึกว่าจิตนี้ สตินี้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้
    แล้วคุณจะพบดวงจิตที่แจ่มใสมากกว่าเดิมเท่าที่รู้มา
    จุดจะลอยอยู่สักที่หนึ่ง อันนี้คุณหมอคอยสังเกตดูให้ดีๆว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย
    เพราะถ้าจิตยกแล้ว คุณก็จะทราบเองว่าจิตที่ยกนั้น มีลักษณะอย่างไร
    แล้วให้ย้อนกลับไปดูขันธ์ ไปดูกิเลสตัวที่ละเอียดที่สุด ก็คือ มานะ ดูสิว่ามันถูกทำลายไปได้อย่างไร

    เมื่อตะกีนี้ ผมได้ส่งพลังบางอย่างไปให้ถ้าคุณรู้สึกอึดอัดมาก(จุกอก)
    นั่นก็แสดงว่าคุณรับมากไป ขอให้คุณหมอนำช่างมาติดสายกราวด์ให้นะ
    ไม่ทราบว่าครูเพ็ญแนะนำไปหรือยัง? เรื่องสายดิน(สายกราวด์)
    สายดินนี้จะใช้เฉพาะผู้ที่ไปรับพลังมาจากที่ใดก็ตาม ขอให้ทุกท่านกำหนดลงในส่วนด้านล่างสุดของร่างกายตนเอง
    คือแผ่พลังพุทธะ(พลังจิต)ไปให้กับคนที่เรารักต่อไป) แล้วเราจะรู้สึกว่า เบากาย เบาใจทันที
    อันนี้จะเหมือนกับที่เราได้แผ่เมตตา หรือแผ่บุญกุศลไปแล้ว จิตใจของเราก็จะรู้สึกดีมากๆ

    ขอแนะนำท่านอื่นด้วยนะว่า ถ้าท่านอยากให้จิตใจเบาสบายทุกๆวัน
    ท่านจงอุทิศหรือแผ่บุญกุศลไปให้ใครก็ได้ ที่เรารัก ที่เราชอบ
    โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรของเรา
    OK?

    ***ท้ายนี้ขอโมทนาจิตคุณหมอได้เข้าสู่วิปัสสนาญาณแล้ว นับจากนี้ไปอีกไม่นาน
    เผลอๆจะคืนนี้ด้วยซ้ำไป ในขณะที่กายนอนหลับพักผ่อน จิตกำลังสงบ
    แต่ถ้าคืนนี้ยังไม่ยก อย่าลืมมีสติอยู่ที่จิตให้ตลอด
    คือพยายามทรงฌานทั้งกลางวันและกลางคืนให้ได้ ช่วงนี้คุณหมอจงตั้งจิต ตั้งใจให้ดี
    อย่าพลาดโอกาสทองเด็ดขาด(จิตทองคำ จิตประดับไปด้วยเพชร)
    ตอนนี้จิตมองเห็นจิตคุณหมอสวยงามมากจริง เกินบรรยาย
    ช่วงนี้เกาะให้ติดสถานการณ์ให้ได้ อะไรไม่สำคัญไปกว่าจิตตนเอง เอาจิตตนเองให้รอดก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน
    ตอนนี้จิตคุณหมอใสมาก แจ่มมาก แจ่มใสดั่งเพชรตกผลึก
    คอยสังเกตจิตอันนั้นให้ดีๆนะ มันจะไม่กาะกายหยาบแล้ว จิตจะค่อยๆเคลื่อนออกจากร่างกาย
    อาจจะไปลอยเด่นอยู่ที่ใดที่หนึ่งของร่างกาย
    และจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ อันนี้ปกตินะ เดี๋ยวเราจะเข้าใจเอง(จิตสำรวจกาย)
    แต่ถ้าจิตอยู่ที่กาย ก็เหมือนกับจิตมันซ้อนกันอยู่กับกายหยาบ
    และไม่ได้แนบกายเหมือนแต่เก่าก่อน
    เรื่องรู้สึกภาคภูมิใจนั้น ก็คือ อรูปฌานดีๆนี่เอง จำพวกมีคนยอแล้วแอบปลื้ม
    คนส่วนใหญ่จะเป็นกันแบบนี้ แต่สำหรับจิตยกแล้ว ขอไปห่างๆเลย คือเฉยมาก
    ไม่ได้รู้สึกแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว พวกเราคอยสังเกตจิตของตนเองกันด้วย แต่ถ้าใครรู้ ขอให้สสร้างสติมากๆ
    แล้วจิตปัญญาจะเป็นตัวกำจัดไปในที่สุดเอง เมื่อจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ
     
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อยากจะได้คำอธิบายเพิ่มเกี่ยวกับจิตในจิตครับ

    คุณลองนึกอย่างนี้นะ ในลูกโป่งใสมีลูกแก้วหลากสีอยู่ในลูกโป่งนั้นจนเต็ม ปกติลูกโป่งจะเบามากแต่พอมีลูกแก้วหลากสีอยู่ในลูกโป่งทำให้ลูกโป่งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนลอยไม่ได้

    เปรียบเหมือนจิตคนเราที่เดิมใสและเป็นอิสระอยู่นอกเหนือขันธ์ห้า(ก่อนที่จิตจะมาสวมอยู่ในร่างกายนี้ จิตก็ล่องลอยอยู่นอกร่างกายเหมือนกัน) ต่อเมื่อจิตมาสวมอยู่ในร่างกาย แล้วเจริญเติบโตขึ้นพร้อมกับสะสมอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามามากมายตั้งแต่เล็กจนโต

    จิตที่เมื่อครั้งเป็นเด็กนั้นเคยเบาสบายไร้กังวล แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จิตกลับรู้สึกหนักและอึดอัด เกิดจากการสะสมอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาไว้ในจิตจนหนักอึ้ง เช่น อารมณ์รัก อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์)

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาชั่วชีวิตของเรา เรามีแต่สะสมอารมณ์ต่าง ๆ ไว้มากมาย แต่ไม่เคยมีสักวันที่เราจะปลดปล่อยอารมณ์เหล่านั้นออกไปจากจิตจากใจของเราเลย

    จิตเปรียบเป็นลูกโป่งพองเบา ลูกแก้วเปรียบเป็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ในจิต

    อารมณ์เป็นเจตสิก(จิตย่อย-ลูกแก้วหลากสี) ที่อาศัยอยู่ในจิตวิญญาณ(ลูกโป่งใส) เมื่อจิตวิญญาณสะสมแต่อารมณ์หนักและหยาบอยู่ตลอดเวลา จิตวิญญาณจึงมีอาการหนัก เมื่อจิตวิญญาณต้องแบกรับอารมณ์ที่หยาบและหนักอยู่เป็นนิจ จิตวิญญาณที่เคยใสจึงขุ่นมัวและหนักอึ้ง เพราะความหนักของจิตจึงไม่สามารถยกตัวอยู่เหนือร่างกายและอารมณ์ได้

    ทีนี้ทั้งอารมณ์และจิตวิญญาณเป็นนามธรรม ไม่สามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีสัมผัส แต่สามารถรู้ได้ด้วยความรู้สึก(สติ)

    อารมณ์เปรียบเหมือนลูกแก้วหลากสีที่อยู่ในลูกโป่ง(จิตวิญญาณ) การที่เราจะเข้าไปค้นหาอารมณ์ในจิตวิญญาณเราต้องทำสติเข้าไปรู้สึกถึงอารมณ์เหล่านั้น

    ทำไมเรา(สติ)ต้องเข้าไปดูอารมณ์เหล่านั้น ก็เพื่อที่จะแยกแยะอารมณ์ซึ่งฝังตัวอยู่ในจิตวิญญาณ ว่าอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

    ก็เหมือนเราดูลูกแก้วสีต่าง ๆ ที่่ซ้อนอยู่ในลูกโป่ง ลูกแก้วล้วนมีลักษณะกลมเหมือนกัน ต่างกันก็ที่สีสันเท่านั้น อารมณ์ก็เหมือนกัน ต่างกันที่อาการเท่านั้น

    ทำไมเรา(สติ)ต้องดูอารมณ์ การจะคัดแยกของเสียออกจากของดีมันก็ต้องดูให้เห็นชัด ๆ พิจารณาให้ละเอียดว่าอันไหนของดีอันไหนของเสีย สติเป็นผู้ดูและคัดแยก จิตเป็นผู้เลือก หน้าที่ของสติกับจิตต่างกันตรงนี้คือผู้ดูกับผู้เลือก

    การดูจิตในจิตก็คือดูอารมณ์ที่คละเคล้าอยู่ในจิตตนนั่นแล แล้วเอาสติเข้าไปคัดกรองว่าอารมณ์ไหนดีให้คุณกับจิต อารมณ์ไหนเสียให้โทษกับจิต อารมณ์ที่ให้คุณคืออารมณ์ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่ให้โทษคืออารมณ์ที่เป็นอกุศล สติเป็นผู้ดูและคัดแยก จิตเป็นผู้เลือก

    คุณถามนิดเดียวพี่เพ็ญตอบซะยาว ถ้าไม่เข้าใจให้อ่านทวนนะคะ เพราะเรื่องอารมณ์กับจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่พวกเรามาปฏิบัติธรรมกันนี้ก็เพื่อมาปฏิบัติจิตให้อยู่เหนือธรรมอยู่เหนืออารมณ์ทั้งปวง เพราะทุกข์ไม่ได้เกิดอยู่ที่ใดในโลก แต่ทุกข์เกิดอยู่ในจิต(ใจ)เรานี่เอง ถ้ายกจิตให้อยู่เหนือทุกข์เสียอย่างเดียว ทุกข์ก็จะไม่มีในจิต(ใจ)ของเราอีกต่อไป ถามว่าทำได้ด้วยหรือ ตอบว่าทำได้แน่นอนค่ะ แต่ขอให้เดินทางตรงหรือทางสายกลางกันนะ แล้วท่านจะพบสุขในจิตอย่างแท้จริง

    โมทนา สาธุ

    พี่เพ็ญ จบ.3

    ปล. ขอนำคำตอบยกขึ้นเป็นธรรมทานบนกระทู้จิตพร้อมฯด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  6. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออภัยทุกท่าน วันนี้พี่เพ็ญไปสอบอารมณ์คุณแม่ผ้าขาวที่วัดดอยเปามาค่ะ กลับมาซะดึกเลย ตอบการบ้านไม่ไหวแล้วค่ะ ขอยกยอดไปวันถัดไป อิอิ ราตรีสวัสดิ์
     
  7. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    การเขียนการบ้าน

    โมทนาสาธุกับคุณหมอด้วยครับ..
    เอ้า.. อึดเข้าไว้..อีกนิดเดียว.. เอาใจช่วยอยู่ครับ..


    ถึงท่านจิตบำเพ็ญและจิตเกาะพระทุกๆท่าน
    ท่านได้อ่านการบ้านของคุณหมอแล้ว ท่านได้เห็นอะไรบ้าง?
    เห็นreality show?, แอบช่วยลุ้น, ยินดี/ชื่นชมกับคุณหมอด้วย, เฉยๆไม่ใช่เรื่องของตรู, ได้ความรู้(สัญญาทางโลก)เพิ่มเติม, โอ้โห..ทำงัยตรูจะทำได้อย่างคุณหมอบ้าง, อิจฉาตาร้อน, ไม่สนใจ และอื่นๆอีกซาละตะ.. แล้วแต่สัมมาทิฐิหรือมิจฉาทิฐิในตัวเราเองของแต่ละท่านๆว่าได้ใช้ปัญญาพิจารณามองเห็นอะไรบ้าง อะไรเป็นกุศลก็ให้หยิบฉวยขึ้นมาพัฒนาตนเอง อะไรเป็นอกุศลก็ให้วางลงซะ อะไรเฉยๆก็วางอุเบกขาซะ.. ถึงจะเรียกได้ว่ามีสัมมาทิฐิ(ความเห็นชอบ)เจริญรอยตามอริยมรรค..

    แต่ว่าสิ่งที่เราจะบอกคือว่า..
    ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นนะ มันก็แค่เปลือก(คนเรานี่ชอบกันจริงๆเลย..อ้ายเปลือกนี่) คราวนี้มาดูกันให้ถึง"แก่น" มองให้ทะลุลงไปเลยถึงแก่นเลย..
    กรุณาดูตัวอย่างการเขียนการบ้านของคุณหมอไว้ให้ดีๆ..
    รู้ไหมว่าคุณหมอเขียนออกมาอย่างไร? แล้วท่านเห็นอะไร?
    - เขียนออกมาจาก"จิต" ของท่านเลย
    - เขียนออกมาจากสติที่ไปรับรู้อารมณ์แห่งจิต ว่ามันเป็นอย่างไร แยกแยะออกมาได้อย่างดี
    - ท่านพรรณนาได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง จากอารมณ์อันละเอียดของจิตซึ่งเสวยอารมณ์นั้นๆอยู่
    - ท่านทรงปัญญาสูง จากจิตที่ละเอียดปราณีต รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอารมณ์ต่างๆที่จะต้องเขียนการบ้านส่งคุณครู
    - เห็นถึงความเพียร อันไม่ย่อท้อและต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
    - เห็นถึงการละวางอีโก้ตนเองลง ปฎิบัติตามคำชี้แนะของครูฝึกอย่างจริงจัง เอาปฎิบัตินำ"ความสงสัย" (อันที่จริงแล้วท่านยังมีอีกไม่น้อยตามสไตล์พวก"พุทธจริต" แต่ว่าท่านได้วางลงก่อนแล้วปฎิบัติตามคำครู)
    - เห็นวัตรปฎิบัติ ปฏิปทาของคุณหมอ (สมควรที่ท่านๆควรจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างสืบต่อไป..)
    - เห็นถึงจิตที่เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นสู่เป้าหมายอย่างแท้จริง
    - เหนืออื่นใดจะเห็นได้ว่า"สติ" ของท่านนั้นมีได้อย่างต่อเนื่องตลอดแทบจะทุกเวลานาทีเลย ท่านถึงสามารถ"รู้" ถึงจิตของตนเองได้เป็นอย่างดี นำสิ่งที่รู้ออกมาเขียนเป็นการบ้านได้ (เมื่อท่านผู้ปฎิบัติท่านอื่นๆสติยังติดๆดับๆอยู่ จึงยังไม่รู้ถึงจิตตนเองอย่างแท้จริง จึงไม่รู้ว่าจะเขียนการบ้านอะไรมาส่งคุณครู.. ได้แต่บอกว่า.. วันนี้ไม่มีอะไร..)
    เอาหล่ะ.. ก็ให้นำไปเป็นแบบอย่างในการปฎิบัติสืบต่อไป..

    เอ้า..ไหนๆก็ไหนๆแล้วเขียนถึงตรงนี้.. เรามีข้อแนะนำในการเขียนการบ้านส่งคุณครูนะครับ (พอเป็นแนวทางในการปฎิบัติ)
    สาระหลักแบ่งออกได้เป็น3 ส่วนคือ:-
    1. ผลเรื่องการรักษาศีล5 (หรือศีล8สำหรับบางท่าน)
    (ตย. วันนี้ผมรักษาศีล5ได้บริสุทธิ์เลยครับ)
    2. ผลการระลึกนึกถึงพระ(จิตเกาะพระ)
    - ความถี่ในการระลึกนึกถึงพระในแต่ละวัน
    (ตย. หนูนึกถึงพระตอนตื่นเช้ากับตอนก่อนนอน, ผมนึกถึงพระได้ตลอดเกือบทั้งวันเลยแทบจะตลอดเวลาเลยครับ)
    - ผลของภาพพระ
    (ตย. ช่วงเช้ากับก่อนนอนภาพคมชัดเป็นแก้วเลยค่ะ ตอนยุ่งๆเรื่องงานอยู่ก็นึกถึงพระตลอดเลยค่ะแต่ว่าไม่เห็นภาพพระ พอโล่งๆขึ้นมาหน่อยก็สามารถมองเห็นภาพพระเป็นเงาดำๆแต่ว่าในบางช่วงก็เห็นเป็นแก้วใสเลยค่ะ)
    3. การทรงอารมณ์ในแต่ละวัน
    - รูป (ตย. ตอนบ่ายดูนิตยสารเห็นดาราสาวสวย จึงคิดว่าถ้าได้มาเป็นแฟนก็คงจะดีไม่น้อย)
    - รส
    - กลิ่น
    - เสียง (ตย. เที่ยงคืนได้ยินเสียงสุนัขข้างบ้านเห่าดังมากๆไม่ยอมหยุดเลย แต่ว่าหนูเฉยๆค่ะ วางอุเบกขา)
    - สัมผัส
    ธรรมารมณ์
    - รัก
    - โลภ
    - โกรธ (ตย. วันนี้สามีมาพูดประชดประชัน ดิฉันจึงโกรธพอสมควร แต่ว่าก็ดับเร็วเช่นกันค่ะ)
    - หลง
    (ก็ให้บรรยายมาในแต่ละเรื่องแต่ละราว ตรงประเด็น สาระหลักๆต้องมีอยู่ส่วนการบรรยายเพิ่มเติมเพื่อประกอบความเข้าใจก็สามารถทำได้.. ไม่ใช่บรรยยายซะยาวเยียดแต่ประเด็นหลักๆกลับหายไป..)
    สำหรับท่านจิตเกาะพระ ก็ให้เน้นๆที่ข้อ1, 2 เป็นหลัก ส่วนข้อที่3 ก็แบบคร่าวๆก็ได้
    ส่วนท่านจิตบำเพ็ญ(ตั้งแต่อริยบุคคลขั้นต้นขึ้นมาแล้ว) ก็ให้เน้นๆที่ข้อ 2และ3 เป็นหลัก โดยเฉพาะข้อที่3 ต้องแจกแจงให้ละเอียดหน่อย (อันนี้คือกระบวนการสอบอารมณ์ของผู้ปฎิบัติ คุณครูฝึกจึงจะแนะนำในขั้นถัดๆไปได้อย่างถูกต้อง แม่นยำขึ้น)
    หมายเหตุ: ถ้าท่านทำได้ดังนี้ จะเป็นการช่วยทุ่นเวลาของคุณครูได้อย่างมากๆเลยครับ เห็นใจคุณครูฝึกที่มีลูกศิษย์หลายๆท่าน ตอบการบ้านแทบจะไม่ทันด้วยนะครับ.. ถือว่าช่วยๆกันนะครับ..


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    กราบขอบคุณพี่ภูกับพี่เพ็ญ คุณนก(ชาย) รวมถึงท่านอื่นๆ ที่ช่วยผลักดันแนะนำเป็นอย่างดีที่สุด

    หนูคิดว่าไม่ติดในรูปแล้ว เมื่อเช้าตื่นมานึกถึงอาการป่วยของคัวเอง จิตก็เฉย ในขณะที่ทุกครั้งยังมีกังวลแว๊บมาบ้าง เห็นตุ๊กตาน่ารักก็หัวเราะและรู้สึกว่าเดี๋ยวมันก็หายไป เลยนืกได้ว่าตอนดูกามคุณ 5 เราลืมพิจารณาไตรลักษณ์ ก็เห็นว่าสุดท้ายมันก็หายไปหมด

    ตั้งแต่เมื่อคืน พอเพลงในที่สุดมันก็ไม่เหลืออะไรเลยขึ้น ก็จะต่อด้วยเพลงบอกมือลา

    หนูยังติดอยู่นิดนึง
    หนูเกิดอยากรู้ขื้นมาว่าอวิชชาตัวสุดท้ายคืออะไร หนูเป็นพวกชอบรู้ให้ละเอียดในแต่ละเรื่องที่ศึกษา แต่ก็พยายามเอาสติไว้กับจิตให้เยอะที่สุด


    ลืมบอกไปเมื่อวานแว็บขื้นมาว่าอีกวัน สองวัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214

    พวกครูทั้งหลายก็รอดูอวิชชาตัวสุดท้ายของคุณหมออยู่เนี่ย ทั้งที่มันควรจะวิปัสสนาขาดไปตั้งแต่เมื่อวานแต่ก็ยังไม่ขาด เพราะคุณหมอไม่เห็นทุกอย่างที่กระทบเป็นอนัตตาแต่เพิ่งมารู้สึกตัววันนี้ แสดงให้เห็นว่าสติช้ากว่าจิตและปัญญา

    ***อวิชชาตัวสุดท้ายคนอื่นไปดูแทนจิตคุณหมอไม่ได้ค่ะ สติของคุณหมอต้องเข้าไปรู้ในจิตเอง หากรู้ถึงอวิชชาตัวสุดท้ายที่นอนเนื่องอยู่ในจิตเมื่อไร ปัญญารอฟันไม่เลี้ยงอยู่แล้ว ย้ำคุณหมอเน้นทำตรงนี้ให้แนบแน่นนะ***

    ขอให้คุณหมอเอาสติเกาะจิตไว้อย่าให้หลุดเชียวนะ ถ้าหลุดอีกจะโดนไม้เรียวอีกรอบ คราวนี้แจกสองอันควบเลย(ไม่ใช่ตะเกียบนะ แฮ่)

    สิ่งที่ต้องมีในปัจจุบันคือ สติตามดูจิตให้ทัน จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว

    สูตร = สติเกาะจิต => จิตเกาะพระอยู่ในสมาธิ => สมาธิต้องรักษาให้ต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน(ฌานสี่ต้องมีอย่างต่อเนื่องหลุดไม่ได้)

    ให้คุณหมอเน้นมีสติตามดูจิตให้ทัน สติกับจิตเท่าทันกันเมื่อไรเมื่อนั้นปัญญาญาณทำงานขั้นสูงสุด กิเลสตัวสุดท้ายสามารถฆ่าให้ตายในดาบเดียว

    การจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดคุณหมอต้องสอบกฎไตรลักษณ์ให้ผ่านโดยจิตเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตยอมรับโดยดุษฎีไม่มีโต้แย้ง จิตเห็นโทษของการมีร่างกายและอารมณ์ จิตจึงละออกจากธรรมทั้งปวงโดยจิตเอง

    ตามดูจิตต่อไปค่ะ ก็ไม่น่าจะเกินวัน สองวันนี้ เพราะตอนนี้วิมานขึ้นไปรอแล้ว แต่จิตยังวิปัสสนาไม่จบกิจ เอาให้จบค่ะ จบลงที่อนัตตาให้หมด แม้แต่ร่างกายที่เราอาศัยอยู่ก็เหมือนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ขันธ์ห้าตัดลงที่กฎไตรลักษณ์ให้หมด กิเลสดับไม่เหลือเชื้อ จิตจึงว่าง สว่าง กลาง เบา ให้สังเกตความรู้สึกเหล่านี้ไว้ให้ดี เอาให้แจ้งแก่จิตเลยนะ

    สายสุขวิปัสสโกเป็นอย่างนี้เอง พวกไม่ค่อยมีแรงวิ่งแข่งกะเขา ชอบรู้ละเอียด ปัญญามากแต่สติช้า จิตช้า สมาธิช้า เหมือนครูเพ็ญ แต่คุณหมอก็ยังเดินมรรคเร็วกว่าครูเพ็ญหลายเท่า เพราะครูทั้งหลายจี้ไม่หยุด อิอิ

    อย่ามัวไปเสียเวลาเก็บละเอียดอยู่ค่ะคุณหมอ ขึ้นมาก่อนแล้วจะรู้ว่าสิ่งที่มัวไปสงสัยหรือเก็บละเอียดอยู่นั้นน่ะมันก็แค่เปลือกหรือดอกไม้ริมทาง กระเทาะเอาจิตเปลือกออกให้หมดจนเห็นจิตแท้เมื่อไรนั่นแล คุณหมอจึงจะสิ้นสงสัย ตอนนี้อย่ามัวไปเกาะสงสัยอยู่จะขึ้นก็ขึ้นมาไวไว ท่านพ่อรออยู่แล้ว มัวชักช้าเดี๋ยวจะโดนเขกหัวเหมือนใครบางคน ใครรู้ตัวว่าโดนเขกหัวยกมือขึ้น สารภาพมาซะดี ๆ อิอิ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  10. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โอลิมปิค ..... จิตเกาะพระ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ช่วงนี้หลายๆท่านคงได้ดูกีฬาโอลิมปิค ใช่ไหมครับ .. <O:p</O:p
    4 ปี จัด 1 ครั้ง ... ทุกชาติในโลกอยากเข้าแข่งการแข่งขันโอลิมปิคนี้มากๆ<O:p</O:p
    แต่ ..... การแข่งขันนี้มีโควต้าจำกัด ไม่สามารถให้ทุกคนที่อยากลงแข่งเข้าร่วมได้<O:p</O:p
    คนที่มีอันดับโลกดีๆ ก้อจะได้สิทธิ์เข้าร่วมโดยอัตโนมัติ หรือ บางชนิดก้อจะมีการแข่งขันคัดเลือกก่อนหลายๆครั้ง เพื่อหาตัวแทนที่จะได้สิทธิ์เข้าร่วม ..... แย่งกันน่าดู<O:p</O:p
    แต่ละชาติก้อต้องหาตัวแทนที่เก่งท่สุดของชาติตัวเอง เพื่อเข้าแข่งขันคัดเลือก .... กว่าจะได้เป็นตัวแทนทีมชาติ ก้อเลือดตาแทบกระเด็น พอเข้าแข่งขันเพื่อคัดเลือก ก้อ แสนสาหัส ต่อสู้กับหลายๆชาติที่ต้องการเช่นกัน<O:p</O:p
    ซึ่งแน่นอน การแข่งขัน ก้อจะมีทั้งผู้สมหวัง และ ผิดหวังเป็นธรรมดา<O:p</O:p
    คนที่ผ่านการตัดตัว ก้อดีใจที่จะได้เข้าร่วมโอลิมปิค .... ดีใจได้แวปเดียว ก้อต้องกลับมาเครียดต่อ ต้องเข้าค่ายฝึกซ้อม ฝึกฝน เพื่อเตรียมแข่งขัน อีกหลายเดือน ...<O:p</O:p
    โชคดีก้อ ฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ ไม่มีปัญหาอะไร .... <O:p</O:p
    แต่บางคนโชคร้าย บาดเจ็บระหว่างซ้อม อดไป ....โชคร้ายเสียจริง<O:p</O:p
    ..... ท่านจะเห็นได้ว่า ลำบากมากจริงๆ กว่าที่จะได้เข้าร่วมแข่งขัน .... แค่เข้าร่วมนะครับ ขอย้ำ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เปรียบเทียบทางธรรม ก้อไม่ต่างกับเราๆท่านๆที่อยากพ้นทุกข์ ....<O:p</O:p
    ตามหาครู หาวัด หาสถานที่ปฎิบัติธรรม ..... กว่าจะเจอ กว่าจะถูกใจเรา ลงตัว ใช้เวลาไปตั้งเท่าไหร่<O:p</O:p
    เมื่อเจอแล้ว ก้อต้องมาเรียนรู้ มาฝึกฝน ..... ใช้เวลาฝึกกว่าจะสงบ กว่าจะได้สมาธิ ใช้เวลาไปอีกเท่าไหร่<O:p</O:p
    ก้าวหน้ามั่ง ถอยหลังลงคลองมั่ง ย่ำกับที่มั่ง สามวันดี สี่วันไข้มั่ง ..... หลากหลายที่จะเจอ<O:p</O:p
    ซึ่งกำลังใจแต่ละคนก้อไม่เท่ากัน ..... <O:p</O:p
    ... บางคนสู้ยิบตา ไม่ยอมแพ้ ทำไปถึงแม้มันจะช้า มันจะไม่ก้าวหน้า แต่ขอให้ได้ทำ ได้สมาธิก้อพอแล้ว ดีแล้ว หรือ ได้ญาณสูงๆ ก้อพอแล้ว ... ขอแค่ ตายแล้ว ได้เกิดเป็น เทวดา เป็น พรหม ก้อพอแล้ว ดีกว่าตกนรก<O:p</O:p
    ... บางคนก้อยอมพ่ายแพ้ไป หมดความอดทนที่จะสู้ ไม่เอาแล้ว มันยากจัง <O:p</O:p
    ... บางคนก้อ หาทางใหม่ หาที่ใหม่ หาครูใหม่ (กลุ่มนี้น่าจะเยอะ) ไม่ท้อ หวังไว้คงจะมีสักทางที่ถูกกับเรา ที่จะทำให้เราก้าวหน้าได้<O:p</O:p
    ไม่ต่างกับนักกีฬาที่กำลังแข่งขันตะเกียกตะกายเข้าแข่งโอลิมปิค ..... จริงไหมเอ่ย
    (จบภาค1 ต่อภาค2)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  11. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โอลิมปิค ..... จิตเกาะพระ(ภาค 2)<O[​IMG]</O[​IMG]


    พอได้มาเข้าแข่งขันจริงๆ ..... นี่ละครับ ของแท้ ของจริงมาแล้ว เสือ สิงห์ กระทิง มาเจอกัน<O:p</O:p
    ความกดดันมากมายมหาศาลแบกไว้เต็มสองบ่า ..... <O:p</O:p
    การแข่งขันนั้น ใช้ทั้งความสามารถของนักกีฬาเอง และคำแนะนำของโค้ช ที่จะแก้ทางให้เมื่อนักกีฬาเพลี่ยงพล้ำ<O:p</O:p
    กว่าจะผ่าน รอบแรก รอบ สอง รอบแปดคน รอบรอง รอบชิงชนะเลิศ ..... คนชนะก้อเข้ารอบ คนแพ้ก้อตกรอบ เป็นเรื่องปกติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หยาดเหงื่อ หยดน้ำตา เสียงร้องสะใจ กระโดดตัวลอย มีให้เห็นทุกรูปแบบที่จะแสดงออกมาเพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงอารมณ์ข้างใน ของทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ <O:p</O:p
    แต่สุดท้ายก้อคือ ... คนที่แข็งแกร่ง คนที่เก่งที่สุด ดีที่สุดคือผู้ชนะเหรียญทอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คนที่แพ้ ก้อมีหลากหลายหนทางที่จะเลือกเดิน ..... <O:p</O:p
    ... กลับไปฝึกใหม่ อีก 4 ปี กลับมาสู้ใหม่ ไม่มีวันยอมแพ้ ซึ่งก้อไม่แน่เสมอไปว่า อีก4ปีนั้น เค้ายังจะเป็นคนที่เก่งที่สุดที่สามารถผ่านรอบคัดเลือกมาได้หรือไม่ หรือผ่านมาแล้ว เค้าจะชนะได้หรือไม่ .... นี่คือความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นแน่นอน<O:p</O:p
    ... ยอมแล้ว พอแล้ว แค่ได้เข้าร่วมครั้งนึงก้อพอแล้ว หรือแค่ได้เหรียญเงิน ทองแดงก้อสุดยอดแล้ว พอเพียงเถอะเรา อีก4ปี คงจะไม่ไหวแล้วแหละ อย่าฝืน ... ก้อมี<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ท่านเห็นอะไรไหมครับ ... ผมขอเปรียบเทียบดังนี้ <O:p</O:p
    ... ก่อนที่จะเข้าแข่งโอลิมปิค ก้อเปรียบเหมือนการใฝ่หาทางปฎิบัติ เพื่อพ้นทุกข์ .... ทำจนได้สมาธิ ได้อภิญญา ได้ญาณ ได้ฌาณ ... แต่ ก้อไม่พ้นทุกข์สะที<O:p</O:p
    ... เข้าแข่งโอลิมปิค น้อยคนที่จะได้รับโอกาสนี้ เอาง่ายๆประชากรโลกกว่า 7 พันล้านคน ... มีไม่กี่คนที่จะได้เข้าแข่งโอลิมปิค<O:p</O:p
    เช่นกัน ทางไปนิพพานนั้น ทุกคนไม่ได้หากันเจอง่ายๆ ต้องเป็นผู้ถูกเลือก ...<O:p</O:p
    เปรียบเหมือนท่านลองปฎิบัติมาหลากหลายวิธี จนกว่าจะมาเจอ จิตเกาะพระ<O:p</O:p
    เปรียบไป จิตเกาะพระนั้น ก้อเป็นโอลิมปิคทางธรรมดีนี่เอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่โอลิมปิคทางธรรมนี้ ต่างจากทางโลก คือ ท่านไม่ต้องไปแข่งกับคนอื่น ..... ท่านแค่ศึกษาตัวเอง อยู่กับตัวเอง หาธรรมในกาย ในจิตตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ไม่ต้องไปหาภายนอกเลย ของดีอยู่ในตัวท่านนั่นเอง<O:p</O:p
    ฝึกไป ทำไป อยู่กับตัวเองไป อยู่กับพระไป อยู่กับครูไป .....


    ครูก้อเหมือนโค้ช ..... ที่จะคอยชี้ทางที่ถูกที่ควรให้ คอยติชม คอยหวด คอยช่วยเหลือ เพื่อสุดท้าย ให้ท่านถึงทางพ้นทุกข์เสียที<O:p</O:p
    โค้ชไม่ได้ลงสนามด้วยนะครับ นักกีฬาต้องเล่นเอง เล่นตามที่ฝึกซ้อม <O:p</O:p
    แข่งกับตัวเองคืออะไร .... ก้อเกาะพระให้ได้แนบแน่น มีสติ ให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดวิปัสสนาญาณ .. มีสติทั่วพร้อม พิจารณาทุกสิ่งที่มากระทบ
    (จบภาค2 .. )<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  12. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โอลิมปิค ..... จิตเกาะพระ(ภาคสุดท้าย)<O[​IMG]</O[​IMG]


    ถ้าท่านทำสำเร็จ ..... เหรียญทองโอลิมปิค ก้อคือ จิตยกสำเร็จ จิตพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิด สะที<O:p</O:p
    แล้วถ้าไม่สำเร็จละ .... เหรียณเงิน เหรียญทองแดง ก้อได้จิต อนาคามี สกิทาคามี หรือ โสดาบัน หรือ ตกรอบแรก รอบ สอง รอบแปดคน ..... จิตก้อยังเป็นสมาธิ หรือ ได้ฌาณ 2-3-4 แต่ยังไม่ยกเป็นจิตอริยะ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่ ..... โอลิมปิคทางธรรมนี้ ไม่กำหนด ระยะเวลานะ ถ้าอยากได้เหรียญทองอีก ท่านก้อทำได้ เร่งความเพียร ปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่หลงทาง ปล่อยวาง ทำให้จิตเกิดวิปัสสนาญาณต่อเนื่องๆๆๆๆๆๆ ท่านก้อสามารถเปลี่ยนจากเหรียญเงิน เหรียญทองแดง หรือ คนที่ตกรอบแรก .... ให้กลายเป็นผู้ชนะเลิศได้ <O:p</O:p
    ขอเพียงให้ท่าน อดทน มีความเพียร อย่าท้อถอย ทำๆๆๆๆ แล้วก้อ ทำๆๆๆๆ <O:p</O:p
    อยู่กับพระ หมั่นพิจารณาทุกสิ่งให้จิตเกิดปัญญา ทำตามที่ครูแนะนำ ตามที่ครูสอน อย่าท้อ อย่าละจากไปเสียก่อน<O:p</O:p
    โอลิมปิคทางโลก .... มีแต่ ผู้แพ้ กับ ผู้ชนะ เท่านั้น .... ผู้แพ้ไม่มีโอกาสแก้ตัว ต้องรอครั้งต่อไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่โอลิมปิคทางธรรม(จิตเกาะพระ) นั้น มีแต่ ผู้ที่ทำได้ และ ผู้ที่ยังทำไม่ได้เท่านั้น .....<O:p</O:p
    ไม่ต้องรอโอกาสครั้งต่อไป เพราะโอกาสมีอยู่แล้ว ขอแค่ท่าน ปฎิบัติ ๆๆๆๆ อย่างจริงจัง มั่นคง ถูกทาง<O:p</O:p
    จากผู้ที่ยังทำไม่ได้ ก้อจะกลายเป็นผู้ทำได้ แน่นอน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มีโอกาสแล้ว จงทำให้ได้นะครับทุกท่าน ผมมั่นใจว่าทุกท่านทำได้ ..... เหรียญทองโอลิมปิคทางธรรมรอทุกท่านอยู่<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะเจ้าทั้งหมด แผ่บุญบารมีให้ผู้ที่ฝึกทุกท่าน ให้ปฎิบัติจนสำเร็จมรรคผลนิพพานสำเร็จในชาตินี้ด้วยเทอญ .... สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ธรรมชาติสวัสดี<O:p</O:p
    วิทย์ จบ.11 (7 สค 55)<O:p</O:p
     
  13. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    คุณหมอคร้าบบบบบบบ ....
    วาง ว่าง นะ
    อีกนิดเดียว .....

    จิตบุญทุกดวงช่วยลุ้นสุดตัวเลยนะ

    มามะ ... พี่ภูจะได้มอบเหรียญทองโอลิมปิคทางธรรมให้

    สู้โว้ยยยย
     
  14. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูน้องหนู ครูวิทย์ ครูลูกหว้า ครูลูกพลัง ครูนิวเวป ครูนก ครูจารุณี รวมถึงชาวจิตบุญ คุณเมิล คุณเกษ คุณหมอและทุกท่าน
    ขอมาเป็นกำลังใจให้คุณหมอ คุณเมิลรวมถึงคุณโอม คุณเกษและท่านที่กำลังฝึกอยู่ด้วยนะค่ะ ขออารธนาบารมีพระพุทธเจ้าองค์ปฐม(ท่านพ่อ) และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นำบุญที่ลูกมีอยู่เวลานี้ส่งให้คุณหมอ คุณเมิลรวมถึงคุณโอม คุณเกษและท่านที่กำลังฝึกอยู่ได้ถึงนิพพานในเร็ววันด้วยเทอญ.....สาธุค่ะ
     
  15. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ถาม สงสัย นิดนึงครับ ตอน กลางคืนเราจะทรง ฌาณ 4 ยังไงครับ?

    ตอบ ทรงไว้ตั้งแต่ล้มตัวลงนอนหลับตาแต่ยังไม่หลับ นึกถึงพระใสเป็นประกายจนหลับไป ก็เท่ากับว่าจิตทรงฌานสี่หลับตลอดคืน พอตื่นยังไม่ลืมตานึกถึงพระใสเป็นประกายเข้าฌานสี่ต่อก่อนลุกไปทำกิจส่วนตัว ในระหว่างวันก็ให้นึกถึงพระใสเป็นประกายเป็นระยะ ๆ อย่าทิ้งช่วงนานเกินไป เพื่อกันพลาดก็ให้นึกถึงพระใสเป็นประกายบ่อย ๆ ตลอดวัน
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เมื่อจิตคุณหมอนิ่งมาก จิตก็มักจะไปรับรู้เรื่อละเอียดจากโลกทิพย์(นิมิต) ตัวนี้อย่าไปหลงเชื่อมันนะ
    เสียคนมามากแล้ว เพราะนิมิตจะมีทั้งจริงและไม่จริง แต่ไม่จริงจะเยอะมากกว่า
    ขอให้รู้แล้วก็วางไปซะ ขืนติดนิมิตกัน ชาตินี้ไปไม่ถึงพระนิพพานไม่รู้ด้วย
    แทนที่จะปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น แต่ไปหลงยึดติดกับนิมิตเป็นตัวเป็นตน แทนที่จะละปล่อยวางกับทุกสิ่ง แต่กลับไปเพิ่มอัตตามานะเข้าไปอีก อันนี้นะ ไม่มีใครมาสอนให้แล้ว เพราะถือตนเองเป็นผู้วิเศษ อันนี้หลงทางแน่นอน (เตือนแล้วนะ จะหาว่าไม่เตือน)
    ขอให้จิตไปถึงฝังก่อน ยังพอมีลมหายใจก็ค่อยกลับมาเรียนเอา กับคำว่า
    อภิญญา ฤทธิ์ทางใจ เป็นต้น

    อวิชชา
    หมายถึงความไม่รู้แจ้ง คือ ความไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ โดยถูกต้องแจ่มแจ้ง
    (ไม่ใช่ความรู้ที่พวกเราเล่าเรียนมานะ ไม่ใช่ความหมายทางไสยศาสตร์)

    ความหมายอวิชชา ในอริยสัจ4
    ก็คือไม่รู้ตัวทุกข์ ไม่รู้ทุกข์นั้นเกิดมาจากไหน ไม่รู้ว่าทุกข์นี้ดับได้ และไม่รู้วิธีมรรค(ไม่รู้วิธีข้อปฎิบัติการดับทุกข์)

    ความหมายอวิชชาในสติปัฎฐาน4
    ก็คือ ไม่มีสติสัมปชัญญะ (ไม่รู้สึกต้วทั่วพร้อม) หรือไม่มีสติรู้เท่าทัน หรือไม่รู้กายในกาย ไม่รู้เวทนาในเวทนา ไม่รู้จิตในจิต และไม่รู้ธรรมในธรรม
    สรุปแล้ว มั่วไปหมด ไม่รู้ว่าทุกข์นั้นมาจากที่ไหน ได้แก่ ทุกข์เกิดมาจากที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม(สิ่งกระทบมาจากภายนอก)

    หรือ ไม่รู้อวิชชา8
    ได้แก่ ไม่รู้ในอริยสัจจ์ 4 อย่าง รวมกับความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริงที่เกี่ยวกับ 1.ไม่รู้อดีต 2.ไม่รู้อนาคต 3.ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต 4.ไม่รู้หลักการทางพระพุทธศาสนา(อิทัปปัจจยตา) กล่าวคือ ความเกี่ยวเนื่องกันของเหตุและผล เมื่อมีเหตุย่อมมีผล หรือเมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ ได้แก่เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เป็นต้น
    อิทัปปัจจยตา เป็นหัวใจของปฏิจจสมุปบาท (เป็นกฎเหนือกฎทั้งปวง) เป็นสัจธรรมความจริงแท้ที่สุดของพุทธศาสนา เพราะเชื่อมโยงคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนก็เป็นไปตามหลักธรรมทั้งสิ้น

    ความหมายข้างบนนั้น เป็นความหมายของคำว่า "อวิชชา"
    นำมาให้อ่านกันเล่นๆ
    ที่พวกเราทุกคนก็สามารถหาความรู้จากตำรากันได้
    แต่ผมจะบอกว่า ตัวอวิชชาที่คุณหมออยากรู้นั้น มันจะเป็นตัวอวิชชาของคุณหมอเอง

    ผมหมายถึง ตัวอวิชชาของผู้ปฎิบัตินั้นจะไม่เหมือนกันทุกคน
    ถึงบอกคุณหมอไป คุณหมอก็แค่รู้เฉยๆเดี๋ยวก็ลืม คือรู้แต่วางยังไม่ได้
    หรือยังไม่หายเคลือบแคลงสงสัยอยู่ดี แล้วจะมีประโยชน์อันใด
    เพราะตัวที่ทำหน้าที่ปล่อยวางนั้นก็คือ จิต มิใช่ตัวคุณหมอ หรือตัวสติของคุณหมอ

    คำว่า รู้แจ้ง หรือไม่รู้แจ้ง มันเป็นภาษามนุษย์โลก(ภาษาสมมุติ)เท่านั้น เราไม่มีทางที่จะไปรู้ให้ละเอียด ลึกซึ้งเหมือนกับจิตของตนหรอก
    แต่คุณหมอจะรู้ หรือหายสงสัยได้ก็ต่อเมื่อ จิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณไปแล้ว เดี๋ยวจิตปัญญา จะไปพบกับ จิตพุทธะ
    จิตพุทธะ หมายถึง จิตไปพบสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจิตรู้แจ้งในธรรม
    เมื่อนั้นคุณหมอจะหายความสงสัยในการปฎิบัติของตนเอง
    เพราะเมื่อจิตกลายเป็นพุทธะแล้ว คุณหมอก็พบคำตอบทั้งหมดตรงนี้
    ถามว่าจิตผ่านวิปัสสนาญาณแล้วเรารู้เรื่องราวสิ่งต่างๆกันได้อย่างไร
    *ปฎิบัติให้ถึงก่อนละกัน อย่าลืมมาตอบให้พี่ภูด้วย*
    บอกแล้วอย่าถาม ผมจะตอบให้ยิ่งงงไปกันใหญ่ซะงั้น(สม..อิอิ)
    คุณหมอข๋า! คุณหมออย่าติดนิสัยตอนเรียนทางโลกจิ
    แต่เรียนธรรมะนี่ สงสัยได้ไม่ห้าม แต่ปฎิบัติไปก่อนได้ไหม คุณหมอลองไปถามจิตที่ยกไปแล้ว ไม่เห็นมาถามกันเลย หายหัวไปหมด
    เรียนธรรมะ ขอให้วางตำรา วางจิตให้ว่างมากที่สุด
    หมั่นสร้างสติให้มาก จิตจะได้นิ่งไวๆ จิตจะได้เป็นสมาธิ จิตทรงฌาน
    จิตจะได้เกิดปัญญา(สติมาก=จิตเป็นสมาธิ=จิตเกิดปัญญา(มาก+นาน)=จิตวิปัสสนาญา=ญาณ๑๖ หรือวิปัสสนาญาณ๙)

    ***ผมเตือนผู้ปฎิบัติไปหลายท่านแล้วว่า อย่าไปติด คำว่า "อยากรู้"
    ยิ่งผู้ปฎิบัติอยากรู้มากเท่าไหร่ เราก็จะไม่ได้รู้ หรือ จิตจะยกช้า
    เพราะจิตไปติดตัวรู้ หรือตัวสงสัยของตนเอง

    ใครพูดไม่ฟัง เดี๋ยวพี่ภูตีตายเลย (ครูดัชเตรียมไม้เรียวคู่)

    นี่แสดงว่าคุณหมอยังไม่ได้อ่านธรรมะของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    คือว่าหลวงปู่มั่นฯ ท่านไปติดสงสัยในการปฎิบัติของตน ว่าทั้งๆที่ตนเองก็ปฎิบัติมาก และปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกอย่างแล้ว
    แต่ทำไมตนเองยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์สักที
    หลวงปู่มั่นจะนำเรื่องนี้ที่ติดคั่งค้างอยู่ภายใน จะไปสอบถามหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล(พระอาจารย์ของหลวงปู่มั่นฯ)
    พอท่านเห็นหน้าหลวงปู่เสาร์เท่านั้นแหล่ะ! ท่านรู้วาระจิตลูกศิษย์
    หลวงปู่เสาร์จึงเอ่ยปากพูดว่า ขอให้ปฎิบัติไปเรื่อยๆ อย่าได้เกิดความสงสัยในผลการปฎิบัติของตนเอง ถึงเมื่อไหร่ก็จะรู้เมื่อนั้น
    เพราะการบรรลุธรรมนั้นเป็นปัจจััตตัง คือ ผู้ปฎิบัติเท่านั้นที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง(เหมือนคนถาม ไม่ได้กิน คือถามเฉยๆ แล้วจะไปรู้ไหม๊ว่ารสชาดจะเป็นอย่างไร เราอยากรู้ต้องไปกินเอง)
    เมื่อหลวงปู่มั่นผู้เลิศทางด้านปัญญา ท่านก็ถึงบางอ้อทันที คือท่านหมดความสงสัยเมื่อไหร่ ท่านก็ได้พระอรหันต์เมื่อนั้น
    เพราะหลวงปู่มั่นฯ ปฎิบัติธรรมก็มากแล้ว แต่คงเหลือกิเลสละเอียดตัวเดียว
    แค่พระอาจารย์ตนเองบอกแค่นี้ ท่านก็เลยหายข้องใจเลย
    เหมือนใบไม้หล่น แต่มีอยู่ใบเดียวที่ไม่หล่นถึงพื้น เพราะว่า ไปค้างที่กิ่งไม้

    จิตอรหันต์ของจริงท่านจะไม่พูดถึงกันนะ(จำไว้) คนที่ชอบให้คนอื่นพูดถึงตนเองว่า เรา(จิต)นี้คืออรหันต์ อันนี้ไม่ใช่ของจริง เพราะยังหลงติดกิเลสตัวละเอียด เพราะตัวอวิชชานี้มันแยบคายยิ่งนัก
    เหมือนกับคุณหมอไปเรียนรู้สิ่งต่างๆมามากมาย อะไรก็รู้หมด
    แต่ไม่รู้อย่างเดียว ก็คือ ไม่รู้ตนเอง(จบกัน)

    ที่คุณหมออยากรู้นั้น คุณหมอไม่ผิดหรอก แต่คุณหมอคงจะลืมไปแล้วว่า
    ที่เราเรียนจิตเกาะพระกันนี้ เรากำลังส่งจิตเรียนธรรมะ
    ตรงนี้มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ค่อยเข้าใจ คือตอนปฎิบัติแรกๆ ก็เอาสติตามดู ตามรู้จิตด้วยใจเป็นกลาง แต่พอตามไปตามมาตัวเราเอง(สติ)นี่แหล่ะ!
    ไปเรียนธรรมะแทนจิตซะงั้น!

    จะบอกเคล็ดลับง่ายๆในการบรรลุธรรมให้กับผู้ที่เคยมีอีโก้สูง ก็คือ จงปฎิบัติธรรมแบบคนโง่
    (จำมาจากหลวงปู่ดู่)
    คนโง่ทางธรรมในที่นี้หมายถึง คนโง่ในทางโลกคือเก็บความรู้ ความฉลาดไว้ก่อน ทำจิตให้ว่างก่อน แล้วจึงลงมือปฎิบัติ เพราะมันจะเป็นตัวคอยขัดขวางโดยตรง มิให้เราเจริญในธรรม หรือบรรลุธรรม

    (((คุณหมออ่านจบแล้ว ช่วยดูธรรมารมณ์(ความคิด)ของตนเองด้วยว่า พอใจ ไม่พอใจ หรือว่าเฉยๆ(เฉยแบบมีสติ+ปัญญา)))
    ผมมาช่วยครูเพ็ญยำโดยเฉพาะ งานนี้กะจะบี้มานะไม่ให้เหลือ
    จิตยกไม่ได้ จะทนคำพูดผมไม่ไหวนะ งั้นต้องรีบยกจิตหนีไวๆ
    ให้พ้นคำว่า ขันธ์5 นะ หรือทำจิตพ้นโลก จิตจะได้รู้แจ้งเสียที
    ที่แท้เราเกิดมาก็มาเอา มายึดนามสมุตติกันเพิ่มอีกหนึ่งชาติกันเท่านั้น
    พี่ภูแผนกยำยำ ส่วนไวไวครูดัช ต้มยำหมูสับต้องครูเพ็ญ(ครูละเอียด)
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151


    กำลังขำๆอยู่ แต่จิตเฉยค่ะ
     
  18. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214

    เฉยแบบไหนคะ?

    1. เฉยแต่ปัญญาคิดค้นพิจารณาดูในกาย ในเวทนา ในจิต หรือในธรรม?

    2. เฉยแบบช่างมันฉันไม่แคร์ ฉันก็เป็นของฉันอยู่อย่างเนี้ย ใครจะทำไม?

    3. เฉยแบบจิตนอนเชื่องหมอบหลบ ไม่รับรู้สิ่งมากระทบและอารมณ์ที่เกิดขึ้น?

    คุณหมอช่วยขยายความหน่อยค่ะ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  19. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    แบบ1 ค่ะ หนูคิดว่าติด เพราะวางเราไม่ลง ยังหมายว่าเป็นเรา ไม่แน่ใจว่า จิต หรือ ธรรม

    หนูชอบเลข 8 เลยคิดเอาเองว่าสงสัยจะไปวันที่ 8 พอรู้สึกว่าอีกวันสองวัน
    แต่เมี่อกี้อ่านที่พี่ภู post ถึงรู้ว่าโดนกิเลสหลอกอีกแล้ว ควรไม่มีเราแต่ดันไป คิดว่าสงสัยจะไปวันที่ 8 เพราะมีเรา พอรู้ก็เบาลงแต่ยังติดอยู่

    แต่วันนี้หนูไปเจอลูกศิษย์เก่าโดยบังเอิญ เขาไม่ทักหนู หนูแค่รับรู้แล้ววาง ไม่ปรุงต่อ รู้ปุ๊ปวางเลย

    ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
     
  20. พีรวิชช์

    พีรวิชช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +218
    ขออนุญาตสอบถามครับ ผมเพิ่งเข้ามาศึกษาในที่นี้ได้ประมาณสามสี่เดือนแล้วครับ ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปคือผมเลิกเหล้า บุหรี่ งดกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด สวดมนต์ทุกวันเช้าและก่อนนอน นั่งสมาธิแต่จิตไม่เคยนิ่ง บางครั้งลองทำแบบที่ท่านแนะนำคือจิตเกาะพระแต่ก็ไม่สามารถสร้างจินตนาการของพระได้ครับ อยากรบกวนสอบถามแนวทางในการปฏิบัติที่เกิดผลที่รวดเร็วและถูกต้องครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...