นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    " กูไม่อยู่แล้ว กูกลับไปวังของกูดีกว่า "

    ว่าแล้วทิดบุญโฮมก็วิ่งออกไปนอกชานกระโจนผลุงลงดินออกวิ่งหนีไปทางแม่น้ำชาวบ้านพากันโดดเรือนตามไปอย่างไม่ต้องบอกอาตมาเห็นไม่ได้การก็หันมาพูดกับหนานอินว่า

    "
    ผีเข้าเจ้าสิงทิดบุญโฮมผีนี้แรงมาก เราตามไปดูกันเถอะ "

    หนานอินหน้าซีดขาวปากคอสั่นแสดงความหวาดกลัวพนมมือถามอาตมา

    "
    มันเป็นผีอะไรครับหลวงพ่อ "

    ยังไม่รู้เหมือนกัน มันไม่ยอมแสดงตัวให้เห็นมันกลัวอาตมาถึงได้วิ่งหนี ไข่ประหลาดใบนั้น ที่ทิดบุญโฮมต้มกินเป็นเหตุ "

    อาตมาพาหนานอินและชาวบ้านแห่ตามทิดบุญโฮมไปยังแม่น้ำเมื่อไปถึงก็ต้องตะลึงจังงังไปตามๆ กัน เมื่อพบว่าทิดบุญโฮมกำลังคุกเข่าลงที่ชายน้ำก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำอยู่อย่างกระหาย

    "
    เดี๋ยวก็ได้ท้องแตกตายหรอกไอ้ทิดมึงกินเข้าไปได้ยังไง พอแล้ว " หนานอินร้องตะโกน

    ทิดบุญโฮมไม่สนใจคงก้มหน้าก้มตากินน้ำในแม่น้ำต่อไปสักครู่ก็เงยหน้าขึ้นหันมาทางชาวบ้านตาขุ่นขวางแดงก่ำน่ากลัว ตะโกนดัง ๆ

    "
    ร้อน...ร้อนจริงโว้ย กูกินน้ำแล้วก็ยังไม่หายร้อน กินเท่าไหร่ไม่อิ่มกูอยู่ไม่ได้แล้ว กูจะไปแล้ว "

    อาตมาก้าวไปหาถามว่า

    "
    โยมจะไปไหน "

    ทิดบุญโฮมจ้องหน้าอาตมาอย่างขุ่นขวางดุร้าย เอามือชี้หน้าตวาดว่า

    "
    พระเก่งมากนักเรอะ มายุ่งกะเรื่องของชาวบ้านทำไม พระก็อยู่ส่วนพระซี่ "

    "
    อาตมาไม่เก่งหรอกโยม บอกได้ไหมว่า โยมเป็นใคร มาเข้าสิงทิดบุญโฮมต้องการอะไร "

    "
    ไม่ใช่กงการอะไรของพระ ข้าไม่บอก " ทิดบุญโฮมตวาด

    "
    โยมเป็นเจ้าของใข่ประหลาดใบใหญ่ที่ทิดบุญโฮมเอามาต้มกินใช่ไหม " อาตมาถาม

    ทิดบุญโฮมไม่ตอบจ้องหน้าอาตมาถมึงทึงแล้วหันไปทางหนานอินและชาวบ้านตะโกนดัง ๆ ว่า

    "
    กูจะไปแล้ว พวกมึงจะต้องตายกันหมดทั้งหมู่บ้าน กูจะให้น้ำท่วมบ้านให้ไฟไหม้บ้านพวกมึง คอยดู "

    ว่าแล้วทิดบุญโฮมก็หันหลัง วิ่งลุยน้ำตูมตามลงไปในแม่น้ำโขง ท่ามกลางเสียงร้องตกอกตกใจของชาวบ้านดังเซ็งแซ่ทิดบุญโฮมลงไปจนน้ำถึงแค่คอ ก็จมตัวมุดลงน้ำดำหายไปต่อหน้าต่อตาใครๆทำเอาทุกคนตัวแข็งเงียบกริบ ลืมหายใจไปตาม ๆ กัน ด้วยความตะลึงงัน

    นับเป็นปรากฎการณ์อันประหลาดที่อาตมาไม่เคยประสบมาก่อนพิศวงงุนงงจนพูดอะไรไม่ออกไปทีเดียว ต่อเมื่อหนานอินครางขึ้นเสียงแหบ ๆ นั้นแหละถึงได้สติ

    "
    ไอ้ทิดบุญโฮมจมน้ำตายแน่ๆ หลวงพ่อ โธ่เอ๋ยผีเอามันลงไปกินใต้น้ำเสียแล้ว "

    เสียงลูกเมียทิดบุญโฮมร้องไห้เซ็งแซ่อาลัยใจหาย คนเฒ่าคนแก่หลายคนร้องไห้ตามกันอื้ออึงเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

    "
    ขอให้ทุกคนทำใจดีๆ ไว้ อาตมาจะช่วยเอง "

    "
    หลวงพ่อจะเอามันขึ้นจากน้ำได้ยังไง มันจมหายไปแล้ว "

    หนานอินสะอื้นเพราะทิดบุญโฮมเป็นหลานชายของแก เมื่อมันมีเหตุเพทภัยเป็นไปเช่นนี้ใครเล่าจะเลี้ยงดูลูกเมียมัน.......
     
  2. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440

    อย่าทำร้ายตัวเองค่ะพี่ดาว... เดี๋ยวผิวสวยๆจะช้ำเสียเปล่าๆนะคะ :cool:
     
  3. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    อาตมาเองก็จนปัญญาตอบไม่ถูกผีที่เข้าสิงทิดบุญโฮมรายนี้ ดุร้ายมีฤทธิ์มาก ถ้าช่วยช้าไปทิดบุญโฮมอาจจะจมน้ำตายเพราะไม่มีอาการหายใจ

    อาตมาบอกให้หนานอินและชาวบ้านทุกคนนั่งลงที่ชายหาดให้อยู่ในความเงียบสงบทุกคนปฎิบัติตามลูกเมียทิดบุญโฮมยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ด้วยทุกขเวทนา

    เมื่อทุกคนอยู่ในอาการสำรวมพากันนั่งหมอบลงเรียบร้อยแล้วอาตมาก็เลี่ยงขึ้นไปนั่งบนตลิ่งสูงใกล้ ๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มลมในแม่น้ำพัดหวู่หวิวเย็นยะเยือกพิกลยังไงไม่รู้ ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนต้นไม้ใหญ่นี้มีโพรงลึกเข้าไป เป็นที่อาศัยของพวกหนู พวกสัตว์เลื้อยคลานอาตมาจึงหยิบก้อนหินขนาดฝาบาตรที่มีอยู่แถวนั้นมาวางไว้ในโพรงไม้แล้วจุดเทียนยันต์พระเจ้าส่องโลกปักลงที่หินก้อนนี้การที่ปักเทียนศักดิ์สิทธิ์ไว้ในโพรงไม้ก็เพื่อป้องกันลมพัดไม่ให้ดับได้นั่นเอง

    แล้วอาตมาก็ก้มกราบสามหน ว่า นโมตัสสะ - ภควโต อรหโตสัมมาสัมพุทธัสสะ ถวายความนอบน้อมนมัสการแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์เป็นสรณะ ที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุดขอให้เสด็จมาโปรดการอาราธนานี้ อาตมาอารธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ที่เคยปรากฎขึ้นในโลก มีญาติโยมสงสัยกันมากว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพานไปนานแล้ว ยังมีตัวตนอีกหรือ

    ปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องพูดกันเป็นเรื่องหนึ่งต่างหากในโอกาสอันสมควรข้างหน้าถ้าอธิบายไม่แจ่มชัดแล้วละก็ มีหวังถูกมหาเปรียญจอมปราชญ์ทั้งหลายจากทั่วสารทิศโจมตีอาตมาให้วุ่นวายเป็นแน่ ๆ จึงใคร่ขอกล่าวแต่เพียงสั้น ๆว่า...


    พระพุทธเจ้าทรงดับขันธุ์ไปนับพันปีแล้ว เสด็จเข้าสู่พระนิพพานไปแล้วตัวตนหรือจิตวิญญาณของพระองค์ยังมีอยู่ละหรืออาตมาขอตอบว่าสิ่งที่เหลืออยู่ของพระองค์นั้นคือพลังงานของพุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พลังพุทธานุภาพนี้ก็เหมือนพลังงานอื่นๆในสากลจักรวาลที่ไม่ได้สูญไปไหนเป็นพลังงานจิตของพระพุทธองค์ที่ทรงสร้างสมไว้แต่วันแรกวินาทีแรกที่ทรงตรัสรู้จวบจนวินาทีสุดท้ายก่อนเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน

    ผู้ที่สามารถจะติดต่อกับพลังงานพุทธานุภาพของพระพุทธองค์นี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังสมาธิตั้งแต่ปฐมญาขึ้นไปยิ่งได้ตั้งแต่จตุตถฌานหรือฌานสี่ขึ้นไป พลังจิตย่อมมีอานุภาพแรงกล้าการติดต่อสัมผัสกับกระแสพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ก็ได้ผลขึ้นเป็นลำดับ

    พลังงานพุทธานุภาพนี้เป็นสิ่งเร้นลับมหัศจรรย์เมื่ออาราธนาแล้ว สามารถเข้าถึงหรือสัมผัสกระแสพุทธานุภาพนี้แล้วอาตมามักจะได้พบนิมิตของพระพุทธองค์เสมอ นิมิตนี้เป็นภาพพระพุทธองค์แปลก ๆ เช่นเป็นภาพพระพุทธรูปปางต่าง ๆ บางครั้งก็เป็นนิมิตรปางบำเพ็ญทุกขกิริยาบางครั้งก็เป็นปางสมาธิบ้าง ปางลีลาบ้าง ปางพุทธไสยาสน์ ฯลฯแต่ที่จะพบนิมิตของพระพุทธองค์เสด็จมาโปรด เป็นคนเป็น ๆ คือ มีพุทธลักษณะเคลื่อนไหวแย้มพระโอษฐ์รับสั่งด้วยได้เหมือนคนมีชีวิตจิตใจนั้น ผู้ที่สามารถจะพบได้จะต้องได้ญาณ ด้วย คือ ได้วิปัสสนาญาณตั้งแต่ระดับโสดาบันขึ้นไปคือเป็นพระอริยเจ้าแล้วนั่นเอง สำหรับผู้ได้ ญาณแต่อย่างเดียวจะพบพุทธนิมิตเคลื่อนไหวไม่ได้เด็ดขาด เพราะพวกได้แค่ ญาณ นี้ยังมีกิเลสหนายังมีอุปทานมาก
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นอนไม่หลับ ไ่ม่กระสับกระส่ายแต่ไม่รู้ใครคิดถึง

    ยังไม่มีนิทานให้อ่านอีกหรือเนี่ย???????
     
  5. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440

    เอาเรื่องเล่าของฟ้ามุ่ย ไปแก้หงุดหงิดก่อนได้หรือเปล่าคะพี่นุ๊ก อิอิ :cool:
     
  6. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    เมื่ออาตมาอาราธนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ให้เสด็จมาโปรดแล้วก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมดที่เคยปรากฎขึ้นในโลกเป็นลำดับต่อมาจากนั้นอัญเชิญเทวดา พรหมทั้งหลายเป็นอันดับสุดท้าย

    เรื่องเทวดา พรหมนี้พุทธศาสนิกชนผู้เป็นปัญญาชนทั้งหลายบอกว่าเป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา อันนี้ผู้พูดยังไม่รู้จริงอาตมาขอชี้แจงว่า เรื่องเทวดา เรื่องพรหมนี้ มีมาก่อนพุทธกาลแล้วศาสนาพราหมณ์เขาค้นพบเทวดา พรหมมาก่อน ต่อมาพระพุทธองค์ก็ทรงค้นพบบ้างว่าเรื่องเทวดา พรหมนี้ เป็นของจริง ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเอาไว้โอกาสหน้าอาตมาจะเล่าสู่ฟังให้หายข้องใจกัน

    ทีนี้เมื่ออาตมาอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อาราธนาบารมีพระอรหันต์ทุก ๆพระองค์ และอัญเชิญเทวดา พรหม ให้มาชุมนุมกันแล้วก็สำรวมกายและใจเข้าสูสมาธิจนล่งเข้าถึงจตุตถฌานหรือฌานสี่แล้วถอยออกมาอยู่ที่อุปจาระสมาธิ หรือจะเรียกว่าอุปจาระฌานก็ได้เป็นสมาธิที่มีความตั้งมั่นใกล้จะถึงปฐมฌานหรือปฐมฌานนั้นเองการถอยออกมาจากฌานสี่นี้ ก็เพื่อจะได้ใช้ความรู้สึกนึกคิดได้นั้นเองเพราะถ้าอยู่ในฌานสี่แล้ว จะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นเพราะจิตกับกายแยกจากกันโดยเด็ดขาดแล้ว การเข้าถึงฌานสี่ เปรียบง่าย ๆ ก็คือสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เครื่องทำงาน การถอยออกมาอยู่ที่อุปจาระฌาน
    ก็คือการเริ่มใส่เกียร์เพื่อให้รถวิ่ง นี่ยกตัวอย่างกันหยาบ ๆ นะอาจจะไม่ถูกต้องนัก

    เมื่ออาตมาถอยออกจากฌานสี่ มาอยู่แค่อุปจาระฌานแล้วก็เกิดความ
    "
    สว่างใน " คือได้ตาทิพย์หรือทิพยจักษุสำหรับเทียนยันต์พระเจ้าส่องโลกนั้น
    เป็นสื่อทำให้อาตมาเข้าถึงความ " สว่างใน "เร็วขึ้นเท่านั้นเองเพราะเป็นเทียนที่ได้ประจุพลังพุทธานุภาพมาจากอาจารย์ของอาตมาอีกทีเมื่อเกิดความสว่างภายใน คือ ได้ทิพยจักษุแล้ว...


    เมื่อเกิดความสว่างภายในคือได้ทิพยจักษุแล้ว
    อาตมาก็ได้เห็นนิมิตพระพุทธเจ้าเสด็จมาปรากฎลอยอยู่ในอากาศเบื้องหน้าเป็นพระพุทธรูปใหญ่ปางโปรดพระยานันโทปนันทนาคราชเจ้า คือเป็นภาพพระพุทธรูปยืนลอยตัว พระหัตถ์ขวายกขึ้น พระหัตถ์ซ้ายพระหัตถืซ้ายหย่อนลงข้างพระวรกาย

    อาตมาจึงน้อมจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ขอให้ทรงโปรดด้วยอยากทราบว่าทิดบุญโฮมที่วิ่งลุยน้ำจมหายลงไปนั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ประการใดแล้วด้วยเหตุประการใด ทิดบุญโฮมถึงมีอันเป็นไปเช่นนั้น

    อาจจะมีผู้สงสัยว่าไม่อาราธนาพระบารมีของพระพุทธเจ้าไม่ได้หรือ (ตรงกับที่แม่มดกวางสงสัยจริงๆเจ้าค่ะอิอิ)

    เข้าฌานจนเกิดทิพยจักษุแล้วมองเห็นได้เลยมิใช่หรือ

    ข้อนี้ อาตมาขอตอบว่าเข้าฌานจนได้ทิพยจักษุแล้วเห็นได้หมดเหมือนกัน รู้ได้หมดเหมือนกันแต่มีทางผิดพลาดได้มากปาน ๆ กัน เพราะผู้ได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน หรือฌานแปดยังมีอุปทานอยู่เมื่อมีอุปทานย่อมจะทำให้ทิพยจักษุผิดพลาดได้ดังนั้นพระคณาจารย์สมถวิปัสสนาทั้งหลายจึงนิยมใช้วิธีอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าแล้วน้อมจิตอธิษฐานถามพระพุทธเจ้าหรือจะเรียกว่า ถามพุทธานุภาพของพระองค์ก็ได้เมื่อปฎิบัติอย่างนี้แล้วสิ่งที่อยากจะรู้จะเห็นย่อมจะไม่ผิดพลาดเลย


    เมื่ออาตมาน้อมจิตอธิษฐานถามพระพุทธองค์แล้วทันใด ภาพที่อยากจะรู้อยากจะเห็นก็ปรากฎขึ้นกับจิตทันที

    ภาพที่ได้เห็นคือแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ลึกลงไปใต้น้ำมีโขดหินใหญ่รูปร่างประหลาดคล้ายพระสถูปอยู่กลางแม่น้ำ ที่โขดหินใหญ่โตนี้มีปากถ้ำกว้างมองเข้าไปมีน้ำเต็มแต่ลึกเข้าไปประมาณสองกิโลเมตรน้ำได้หายไปกลายเป็น
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไม่ได้หงุดหงิดค่ะ แต่พอลุกออกมานั่งดู มันก็ง่วงอีกแล้ว

    จะเอายังไงแน่ พอไปนอนมันก็ไม่ยอมหลับ

    วันนี้อากาศขมุกขมัว ไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้ค่ะ
     
  8. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    ที่โขดหินใหญ่โตนี้มีปากถ้ำกว้าง มองเข้าไปมีน้ำเต็มแต่ลึกเข้าไปประมาณสองกิโลเมตรน้ำได้หายไปกลายเป็นหาดทรายขาวสะอาดสวยงามกว้างใหญ่ เป็นถ้ำมหึมามีความสว่างประหลาดคือมีสีสันแพรวพราวอันเกิดจากหินงอกหินย้อยส่งประกายสะท้อนวูบวาบไปหมดมองขึ้นไปเบื้องสูงบนเพดานน้ำอันลิบลิ่วเป็นโพรงลักษณะรูปฝาชีขนาดยักษ์มีปล่องแลเห็นแสงสว่างลาดลงมาทำให้เข้าใจว่าเบื้องบนจะต้องเป็นภูเขาบนพื้นพิภพครอบถ้ำใต้บาดาลนี้ไว้

    ถ้ำใต้บาดาลนี้นอกจากจะมีหาดทรายขาวสะอาด สวยงามน่าอัศจรรย์แล้วยังมีสระน้ำกว้างใหญ่ใสเขียวคล้ายผลึก มีสวนดอกไม้พันธุ์แปลก ๆออกช่อชูไสวส่งกลิ่นหอมหวลตลบฟุ้งไปทั่ว ใกล้ ๆสระเป็นแทนหินกว้างสีขาวเป็นเงาบนแท่นหินสีขาวนี้ มีงูใหญ่ตัวหนึ่งนอนขดอยู่ลักษณะคล้ายงูเหลือม แต่มีหงอนสีแดงคล้ายหงอนไก่ลำตัวขนาดเสาไฟฟ้าเห็นจะได้

    " งูโบราณ วังพญางูยักษ์ "

    อาตมาอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ พลางรำพึงว่า นี่ละกระมั้งที่ชาวบ้านเรียกว่า "พญานาค " ตามที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาในนิทานพื้นบ้านหรือนิยายปรำปรา

    ใกล้ ๆแท่นพญางูใหญ่ อาตมาเห็น ทิดบุญโฮมนั่งพนมมือตัวสั่นเทาอยู่แสดงความหวาดกลัวพญางูยักษ์อย่างถึงขนาดทีเดียว แต่พญางูไม่ได้สนใจทิดบุญโฮมเลยคงทอดตัวอันใหญ่โตมองออกไปทางปากถ้ำเฉยอยู่คล้ายกะว่าในที่นั้นไม่มีทิดบุญโฮม

    "
    นี่มันเรื่องอะไรกันหนอเป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นภาพมานาอันเกิดจากอุปทานของเรากันแน่หนอ "

    อาตมารำพึงอย่างประหลาดใจ

    ทันใดคล้ายมีเสียงลึกลับแว่วขึ้นในดวงจิตบอกอาตมาว่าให้เข้าไปหาพญานาคหรืองูใหญ่ตัวนี้ในถ้ำ เพื่อพาตัวทิดบุญโฮมออกมามิฉะนั้นทิดบุญโฮมจะต้องถึงแก่ความตายด้วยพิษพญานาคที่คายพิษออกมาในตอนกลางคืนพระจันทร์วันเพ็ญ

    อาตมาไม่แน่ใจในเสียงลึกลับนี้เกรงจะเป็นเรื่องของประสาทหวาดแว่ว และยังไม่ค่อยจะแน่ใจในภาพพญางูในถ้ำใต้บาดาล

    จึงได้เข้าฌานสี่อีกครั้งแล้วถอยออกมาที่อุปจาระฌานน้อมจิตอธิษฐานช่อบารมีพระพุทธเจ้าอีกครั้งเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ได้ประจักษ์ในคลองทิพยจักษุ

    ภาพที่เห็นคงเหมือนเดิมคือ ภาพถ้ำใต้พิภพ มีงูใหญ่และทิดบุญโฮมอยู่ที่เก่าและได้ยินเสียงลึกลับดังแว่วเข้าสู่กระแสจิตบอกให้อาตมาลงไปช่วยทิดบุญโฮม

    อาตมามองไปที่ภาพพุทธนิมิตที่ลอยอยู่ในอากาศภาพนิมิตองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่อย ๆ จางลงจนหายไปในที่สุด.....


    ภาพนิมิตองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่อย ๆ จางลงจนหายไปในที่สุด
     
  9. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    เหอ..เหอ.. เมื่อวานนะ..เรื่องเวลาที่พี่ตอบคำถาม..ก็บังเอิญแบบเป๊ะ..ทีเดียวเชียว
    คำตอบแรก..พี่ก็ตอบพร้อมน้องกุลธิดา
    คำตอบสอง..จริงๆ แล้ว พี่กลับไปบ้านช้ากว่าปกติ ถ้าแม่มณีไม่ขอยืดเวลา เป็น หกโมงครึ่ง..
    พี่ก็ตอบไม่ทันอยู่แล้ว..พี่กลับจากที่ทำงาน ห้าโมงเย็น แวะไปดูมณีรุ้งที่ให้หุ้มกรอบเล็กน้อย
    ไปบ้านน้องคนหนึ่งให้เค้าร้อยคริสตัล ก็คุยกันนานพอสมควร จึงกลับบ้าน
    พี่เข้าบ้านแล้วก็ยังไม่ได้เปิดคอม..พอเปิดดู พี่ไปหาเพลงลาวคำหอมก่อน แล้วฟังซักหน่อย..ตามประสาชอบ
    พอมาที่กระทู้นิทาน..เห็นบอกมีเรื่องกำหนดเวลา..พี่ก็อ่าน ดูแล้วน่าจะหมดเวลา
    แต่พี่อยากตอบคำถามข้อที่สอง..ก็เลยตอบ พอโพสปั๊บ..6.30 น. พอดี
    แล้วที่พี่ตอบเมื่อวาน..พี่ไม่ได้มีฌาณมีญาณใดใดทั้งสิ้น..ตอบจากความรู้สึกโดยแท้...
     
  10. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    อาตมาเห็นเช่นนั้น ก็เข้าใจในทันทีว่า พระพุทธองค์ทรงโปรดแค่นั้นไม่มีอะไรจะต้องให้ซักถามอีกต่อไป เป็นเรื่องของอาตมาเองที่จะจัดการเองพระพุทธองค์ไม่เกี่ยว ทำไมพุทธนิมิตของพระองค์ถึงได้หายไป ญาติโยมที่ไม่รู้ขอให้งงๆไปก่อนนะ ขืนอาตมาอธิบายเวลานี้ก็คงที่จะยากแก่การเข้าใจ คือ บอกไปคงไม่เชื่อท่านผู้ใดสนใจใคร่รู้จริง ๆลองฝึกสมาธิให้เข้าถึงฌานสี่แล้วก็จะรู้เอง

    เมื่อพุทธนิมิตหายไปแล้วอาตมาก็บอกตัวเองว่า จำเป็นต้องช่วยทิดบุญโฮม เพราะได้รับปากกับชาวบ้านไว้แล้วจะเสียสัจจะไม่ได้

    แล้วอาตมาก็เข้าฌานสี่ใหม่อีกครั้ง ทำจิตให้โปร่งสว่างไสวอาการของฌานสี่อาตมาใคร่ขออธิบายให้รู้กันไว้สักเล็กน้อยพอเป็นแนวทางดังนี้

    ๑.ผู้เข้าถึงฌานสี่จะไม่ปรากฎลมหายใจเหมือนสภาพฌานอื่น ๆเพราะลมละเอียดจนไม่มีลมหายใจ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านว่า ลมหายใจไม่มีเลยแต่ความจริงลมหายใจยังมี แต่ลมหายใจละเอียดมากจนไม่มีความรู้สึกว่าตนกำลังหายใจอยู่
    ตามนัยวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวถึงคนไม่มีลมหายใจไว้สี่จำพวกด้วยกันคือ
    ก.คนตาย
    ข.คนดำน้ำ
    ค.เด็กในครรภ์มารดา
    ง.ผู้ที่เข้าฌานสี่

    ผู้ที่เข้าฌานสี่นี้ที่ขี้ตื่นตกใจ เมื่อพบว่าตนไม่มีลมหายใจ พลันจิตจะตกลงมา แล้วก็จะพบลมหายใจพระคณาจารย์ท่านแนะนำว่า ไม่ควรตกใจ เมื่อเข้าถึงฌานสี่แล้วไม่พบลมหายใจของตัวเองให้ถอยออกมาอยู่แค่อุปจาระฌานก็จะพบลมหายใจอยู่เอง

    อารมณ์จิตเมื่อเข้าสู่ระดับฌานสี่จะมีอารมณ์สงัดเงียบจากอารมณ์ภายนอกจริง ๆกิเลสทั้งหลายจะแน่นิ่งเหมือนเอาก้อนหินทับกอหญ้าในสนามไว้กิเลสยังคงมีอยู่ไม่ได้หายไป เพียงแต่สงบนิ่งเท่านั้นผู้ได้วิปัสสนาฌานแล้วเท่านั้น ถึงจะค่อย ๆกำจัดกิเลสให้หมดไปตามลำดับขั้น

    อารมณ์จิตของฌานสี่ จะไม่ได้ยินเสียงใด ๆคือดับเสียงหมดสิ้น ร่างกายจะสุข ร่างกายจะทุกข์ มดจะกิด เสือจะขบกิน อันตรายใด ๆเกิดขึ้นกับตน จิตจะไม่รับรู้ทั้งสิ้น จิตกับกายแยกจากกันโดยเด็ดขาดจิตจะมีแต่อารมณ์โพรงสว่างไสว แต่มีความรู้สึกตัวว่าเป็นตัวเราไม่ใช่หลับใน คือมีสติว่า ตัวเองกำลังเสวยอารมณ์ในฌานสี่
     
  11. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440

    สาธุ สาธุ สาธุค่ะพี่ดาว...
     
  12. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440

    เดี๋ยวส่งแดดจ้าๆ จากกรุงเทพไปให้นะคะ
     
  13. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    น้องฟ้ามุ่ย..คิดอะไรอยู่จ๊ะ.. บอกพี่ซะเลยนะ.. เด๋วพี่จะเล่าต่ออีก..เหอะ..เหอะ..
     
  14. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    ไม่มีความบังเอิญโดยแท้จริงหรอกจ้า พี่ดาวจ๋า
     
  15. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    เมื่ออาตมาเข้าฌานสี่ตั้งมั่นดีแล้วก็ถอนจิตออกมาอยู่แค่อุปจาระฌานอีก แม้น้อมจิตอธิษฐาน ขอให้กายอีกกายหนึ่งปรากฎขึ้นคือ กายทิพย์หรือเจตภูตประจำเราอธิษฐานเสร็จก็เข้าฌานสี่อีกครั้งเพื่อความแน่นอนมั่นคงของกระแสจิตจะได้ทรงพลังอำนาจแล้วถอยจิตออกมาที่อุปจาระฌานอีก ทันใด กายทิพย์ก็ปรากฎสว่างวาบขึ้นในร่างอาตมามีขนาดเท่าตุ๊กตาเด็กสูงประมาณห้านิ้วลอยตัวอยู่ในช่องท้องเหนือสะดือ เรียกว่า "กายในกาย " หรือจะเรียกว่า "ธรรมกาย " ก็ได้ เป็นกายประเภททิสมานกายที่ซ้อนกายที่ซ้อนอยู่ในกายเรามองดูด้วยสายตาเนื้อธรรมดาไม่เห็น ต้องดูด้วยตาใน หรือตา "ญาณ" (ญานที่เกิดจากวิปัสสนาญาณทิพย์จักษุญาณย่อมแจ่มใสกว่าผู้ที่ได้ทิพยจักษุญาณที่เกิดจากสมถภาวนา)

    เมื่อกายทิพย์หรือธรรมกายปรากฎขึ้นแล้ว อาตมาก็เข้าฌานสี่อีกครั้งแล้วถอยออกมาอยู่แค่อุปจาระฌาน น้อมจิตอธิษฐานว่า

    "
    อาตมาต้องการจะออกจากกายหยาบนี้เพื่อเดินลง ลงไปได้ในถ้ำบาดาลขอให้กายทิพย์จงออกมาจากร่างมีสภาพสมบูรณ์ด้วยเนื้อหนังมังสาโตใหญ่เท่ามนุษย์ธรรมดาดุจการถอดออกของไส้หญ้าป้องฉะนั้นสามารถให้ชาวบ้านมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและขอให้ช่วยกำบังกายหยาบของอาตมาที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำนี้อย่าให้ชาวบ้านเห็นได้เลยถ้าชาวบ้านเห็นทั้งกายหยาบและกายทิพย์พร้อมกันในคราวเดียวย่อมจะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมไป ซึ่งไม่เป็นมงคล "

    อธิษฐานจบกายทิพย์ขนาดตุ๊กตานั้นก็พุ่งวาบออกมาจากร่างอาตมาเป็นประกายดุจสายรุ้งกายทิพย์นั้นออกมายืนอยู่ข้าง ๆ ร่างอาตมา แล้วค่อย ๆขยายส่วนโตขึ้นคล้ายสภาพในจอภาพยนต์เรื่องประเภทอภินิหาริย์จนมีร่างเท่าตัวจริงของอาตมาทุกประการ

    อาตมาจึงบังคับกายทิพย์นั้นให้ออกเดินไปรอบ ๆ กายเดิมของอาตมาที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้กายทิพย์นั้นก็เดินตามคำสั่งจิตของอาตมาในกายเดิมและกายทิพย์รับรู้ถึงกันอยู่ในสภาพจิตดวงเดียวกันเมื่อเห็นว่ากายทิพย์สามารถเคลื่อนไหวได้แข็งแรงเป็นปกติเหมือนมนุษย์ธรรมดาดีแล้วอาตมาก็พูดขึ้นว่า " เราไปกันเถอะ "

    แล้วกายทิพย์นั้นก็ก้มลงหยิบเทียนยันต์พระเจ้าส่องโลกที่จุดสว่างในโพรงไม้ขึ้นมาถือไว้ออกเดินลงไปที่ชายหาดพวกหนานอินที่นั่งอยู่หันมามองแล้วพนมมือกันสลอนไม่ได้สงสัยในกายทิพย์ของอาตมาแม้แต่น้อย ต่างก็เข้าใจว่าเป็นอาตมานั้นเองอาตมาหันกลับไปมองใต้ร่มไม้ใหญ่ก็เห็นกายหยาบของอาตมายังคงนั้งตามปกติซึ่งชาวบ้านไม่สามารถจะมองเห็นได้ เพราะถูกบังตา

    "
    เป็นยังไงครับหลวงพ่อพอจะช่วยทิดบุญโฮมได้ไหมครับ "

    หนานอินถามกายทิพย์อาตมาด้วยความเร่าร้อนใจเป็นทุกข์หนัก

    อาตมายิ้มน้อย ๆ ไม่ตอบว่ากระไรแต่ชี้มือลงไปในแม่น้ำเป็นคำตอบแทนให้รู้ว่า อาตมาจะลงไปในแม่น้ำเพื่อทิดบุญโฮม

    หนานอินและชาวบ้านมองอาตมาอย่างงง ๆ ไม่เข้าใจอาตมาไม่พูดว่ากระไร เดินตรงลงไปยังแม่น้ำ เทียนที่จุดสว่างไว้ในระดับอกในท่าพนมมือชาวบ้านเห็นเช่นนั้นก็พากันทะลึ่งพรวดขึ้นยืนพอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรพอเห็นอาตมาเดินลุยน้ำลงไป พวกเขาก็ร้องกันเอะอะอย่างตื่นเต้นตระหนกตกใจ

    "
    นั้นหลวงพ่อจะไปไหนครับ เดี๋ยวก่อน "

    อาตมาไม่ตอบ คงเดินดุ่มลงไปในน้ำชาวบ้านร้องกันเอะอะห้ามไว้

    "
    หยุดก่อน หลวงพ่อ อย่าลงไปเดี๋ยวจะจมน้ำตายไปอีกคน "

    อาตมาไม่ฟังเสียงร้องห้ามปรามไว้ด้วยความหวังดีนั้นแต่อย่างใดคงเดินลุยน้ำต่อไปจนกระทั่งร่างจมหายไปในกระแสน้ำลึกอันเยือกเย็น

    ด้วยอำนาจของกายทิพย์อันประจุไว้ด้วยพลังกระแสฌานอันแรงกล้าทำให้กระแสน้ำแยกเป็นช่องเฉพาะตัวคล้ายเราเดินแหวกเข้าไปในกอพงดงอ้อฉะนั้นร่างทิพย์ของอาตมาไม่เปียกน้ำเลย เทียนที่จุดสว่างที่ถืออยู่ก็ไม่ได้ดับนี่ละกระมัง ที่หลวงปู่หลวงพ่อผู้ทรงฤกตยาคมทั้งหลายทำพิธีถือเทียนระเบิดน้ำลงไปทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องของขลังกันใช้เวลาอยู่ใต้น้ำลึกเป็นชั่วโมงๆ แล้วกลับขึ้นมาจากน้ำ โดยร่างกายสบงจีวรไม่เปียกน้ำเลย และก็ไม่ตายด้วยอาตมาคิดในใจว่า หลวงปู่หลวงพ่อเหล่านั้น อาจจะถอดกายทิพย์ทำแบบอาตมามานี้ก็ได้

    *******************************

    เรื่องเล่าคั่นเวลาค่ะ ... เดี๋ยวท่านประธานมาเมื่อไร จะรีบจบโดยไว เรื่องยาวม๊ากกก:cool:
     
  16. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440

    เอ่อ คิดว่า... ทั้งช่วงเวลา ความรู้สึก และคำพูดของแม่มณีล้วนมีเหตุ มีผลที่ยากจะอธิบายให้พี่ดาวค่ะ :cool: .... แล้วยิ่งมาตอบคำถามพอดีเป๊ะ พร้อมๆกันอีก คำตอบเดียวกัน มันสุดยอดค่ะ :cool:
     
  17. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    ว่าแต่เมื่อคืน พี่ดาวไม่มีเรือ่งเกี่ยวกับน้องมณีรุ้งมาเล่าให้น้องๆ ฟังบ้างหรือคะ
     
  18. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    พี่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็จะติดเรื่องเหตุเรื่องผลเป็นธรรมดา แต่ในเรื่องของจิต พลังจิต..
    มันก็มีเรื่องนอกเหตุเหนือผลมากมาย..ก็..ช่างมันเต๊อะ..เนาะ..!
    ตอนนี้น้องมณีรุ้งไม่อยู่บ้านจ้ะ..พี่ส่งไปเปลี่ยนรูปโฉม..เค้าคอร์สแบบนางงามอยู่..อิอิ
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดอกมณฑาทิพย์ บ้างเรียกว่าดอกมณฑารพ หรือดอกมณฑาสวรรค์
    ท่านเล่ากันว่าเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมจรุง มากกว่าดอกไม้ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกมนุษย์

    ความปรากฏในพระไตรปิฎกส่วนที่ว่าด้วยพระสุตตันตปิฎก บทปรินิพพานสูตร กล่าวว่า ดอกมณฑารพ ซึ่งเป็นดอกไม้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีความสวยงามและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เวลาดอกมณฑารพจะ บาน และร่วงหล่นก็ด้วยเหตุการณ์สำคัญ ๆ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ตุรงคสันนิบาต และทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร ดอกมณฑารพ จึงได้ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์

    ครั้งเมื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่เมืองกุฉินารา ดอกมณฑารพ นี้ก็ได้ร่วงหล่นลงมาทั้งก้านและกิ่ง เปรียบเหมือนความเสียอกเสียใจพิไรรำพันต่อการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงเหล่าพระภิกษุผู้ได้ชื่อว่าอรหันตขีนาสพทั้งหลายด้วย หมู่เหล่าข้าราชบริพาร ประชาชนทั้งหลายได้พากันมาถวายสักการะพระบรมศพ อีกทั้งยังได้พากันเก็บนำดอกมณฑารพที่ร่วงหล่นลงมาเพื่อไปสักการบูชาและ รำลึกถึง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ดอกมณฑารพ ที่เก็บมาสักการบูชาเริ่มเหี่ยวแห้งและหมดไป เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ

    รวมทั้ง เหตุการณ์ในวันสำคัญต่าง ๆ จึงได้พากันนำเอาข้าวตอกมาสักการบูชา เพราะถือว่าข้าวเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และเป็นของสูงที่มนุษย์จะขาดไม่ได้ การจัดข้าวตอกดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชามีจุดเริ่มต้นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าแรก ๆ จะใส่พาน ไว้โปรยเวลาพระสงฆ์เทศนา ต่อมาจึงมีการนำมาประดิษฐ์ตกแต่งที่เห็นว่าสวยงาม สืบทอด กันเรื่อยมาจนกลายเป็นประเพณีแห่มาลัยในปัจจุบัน

    อ่านเพิ่มเติม http://palungjit.org/threads/มณฑาทิพย์-ดอกไม้สวรรค์.206219/
     
  20. ผู้มีจักร

    ผู้มีจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +222
    สวัสดีครับกัลยาณมิตรทางธรรมทุกท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...