เจองูจงอางขนาดใหญ่กลางป่า..และเสียงลึกลับ(เสียงทิพย์)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ผู้มีสติ1, 30 กันยายน 2010.

  1. เด็ก3ขวบ

    เด็ก3ขวบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +1,524
    พี่คับเขาป่าไปฝึกอีกเมื่อไรชวนผมด้วยนะคับชอบแนวนี้มากๆเลยแบบว่าตายเป็นตายแบบนี้ผมว่าง365วันคับ.......:cool:
     
  2. งูขาวพันปี

    งูขาวพันปี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2010
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +146
    ช่างน่าตื่นเต้นดีแท้ งู...ที่จริงแล้วมันก็น่ารักดีออกนะ ^^
     
  3. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ตอนนี้ไปไหนไม่ได้เลย ดูแลแม่ แกแก่มากแล้ว เอาไว้อีกสักระยะหนึ่งก่อน

    ถ้ามีโอกาสคงได้ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกันนะครับ ดีใจครับ ที่มีเพื่อนร่วมทางสายนี้.
     
  4. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    อย่าล้อเล่นกับสัตว์ที่มีพิษ แมงป่อง ตระขาบ

    โดยเฉพาะ อสรพิษร้าย ตายสถานเดียว
    ผมเคยดูเรื่องจริงผ่านจอ งูจงอางเลื้อยเข้าไปในบ้านคน
    เพื่อนบ้านเห็นบอกเจ้าของบ้าน แจ้งหน่วยกู้ภัยมาจับ
    คนมาเป็นสิบๆ มาดู มาจับ ผมดูตื่นเต้น ผมยังตื่นเต้น หวาดเสียวมาก มันดุร้าย
    ตัวมันใหญ่ มันเลื้อยไปทางไหน คนแตกกระเจิง บ้านช่อลื้อกระจัดกระจาย นึกว่าถ้ามาอยู่ในบ้านเรานะ มันจะสยองขนาดไหน.......................

    ผมเตือนคุณแล้วนะ......Mr Warning






    ผมเตือนพวกคุณแล้วนะ.........Mr Warning
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2010
  5. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    ....................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. innovex

    innovex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,679
    ทำให้ผมนึกถึงตอนทำงานที่ป่าอเมซอนเมื่อ2ปีก่อนเหมือนกัน
    มีอยู่วันนึงช่วงบ่ายผมกำลังเดินอยู่ในป่าเพื่อจะกลับที่พักวันนั้นฝนตกพรำๆ น่าำรำคาญ ผมต้องเดินทางกลับไปขึ้นเรือเร็วที่จอดรอรับผมอยู่ ใช้ระยะเวลาการเดินประมาณครึ่งชั่วโมงระหว่างเดินทางกลับมีผมกับผู้ช่วย ที่มาช่วยแบกเครื่องมือกันสองคน ขณะเดินๆอยู่ก็มีฝูงผึ้งบินมาจากไหนไม่รู้มาเกาะที่หัวผม น่าจะประมาณไ่ม่ต่ำกว่า 20 ตัว เมื่อฝูงผึ้งเค้าบินเข้ามาผมเองได้สติก็จัดการไม่ปัดไล่ หรือวิ่งหนีก็ปล่อยให้เค้าเกาะติดหน้าและหัวผมไปเฉยๆอย่างนั้นโดยที่ผมไม่ทำอะไรเลย ในใจผมก็สวดแต่บทแผ่เมตตาไป แต่ร่างกายก็ต้องทนกับความรำคาญนิดนึงตรงที่ผมเดินแทบต้องหลับตา มือก็ไม่กล้าไปไล่ไปปัดเค้า และเดินในป่าต้นไม้ใบไม้ก็เยอะ ในใจก็กลัวเดินชนต้นไม้ รำคาญก็รำคาญ ในใจก็สวดแผ่เมตตา และขณะเดียวกันหูก็ได้ยินเสียง ของผู้ช่วยยกของ ร้องโหวกเหวก โวยวาย วิ่ง ปัด แข้งปัดขา แต่ตัวผมเองยังเดินนิ่ง เป็นปกติ แต่ในใจก็ยังคงแผ่เมตตา จนรู้สึกว่าแทบตาผมแทบจะเปิดไม่ได้เลย เพราะเค้าบินมาเกาะกันที่บริเวณหน้ากันเยอะ และก็บินจากที่อื่นมาสมทบอีก ผมก็อาราธนา คุณพระรันตรัย และสิ่งสักศิทธิ์ รวมถึงพระเเม่ธรณี(เวลาอยู่ในป่าอเมซอนจิตผมจะเชิญพระแม่ธรณีมาคุ้มครองผมทุกๆวัน)ให้มาช่วยผมด้วย เดินได้ไม่นาน ผมก็เดินตกหลุมของต้นไม้ที่ต้นมันล้มลงไปกลายเป็นหลุมขนาดครึ่งแข้ง ตัวผมก็ล้มคุกเข้าลง ฝูงผึ้งเองคงตกใจ ก็บินหายกันไป จนเหลืออยู่สองตัว ผมก็เอามือค่อยๆลูบ เค้าออกไป

    จากวันนั้นมาก็เป็นเรื่องเล่ากันใหญ่ในกลุ่มคนที่ทำงาน ว่าฝูงผึ้งไม่ทำอันตรายผมและผมไม่ได้ไปปัดหรือไปทำอันตรายพวกเค้า
     
  7. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    อนุโมทนาครับ คุณพระรักษาจริงๆ
     
  8. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    อืมน่าสนใจดีครับ

    สาธุ อนุโมทนาด้วยคนครับ
     
  9. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    มีอยู่วันหนึ่งกลับจากบิณบาต เดินลัดเลาะตามไหล่เขา เพื่องมุ่งหน้าสู่สถานที่พำนัก
    มีแสงสะท้อนเป็นประกาย ขณะที่ข้าพเจ้าจะเหยียบเท้าลงไป เห็นงูตัวดำๆแต่เวลาต้องแสงพระอาทิตย์แล้ว เป็นประกายเป็นสีๆ ก็นึกอยุ่ในใจนะ สงสัยจะเป็นงูแสงอาทิตย์หรือเปล่า ป่านะ ฤดูฝน ตามพื้น มีหญ้า มีต้มไม้ขึ้นปกคลุมไปทั่ว ยากแก่การมองเห็น แยกแยะ
    ถ้าพูดถึงงูเห่านี่ ข้าพเจ้าเห็นทุกวัน งูเขียวหางไหม้ งูงอด งูสามเหลี่ยมนี่ก็เจอบ่อย

    งูสิงห์ งูทางมะพร้าวก็พบเห็นได้ หุบเขาที่ข้าพเจ้าอยู่ เป็นสถานที่รวมงูนานาพันธุ์เลยก็ว่าได้

    แต่ถ้าพูดถึงภูมิอากาศ สภาพป่าไม้ ดีมาก อากาศดี ป่าไม้ไม่ทึบมาก โปร่งๆ มีที่โล่ง

    ที่ว่าง เหมาะแก่การเดินจงกรม สถานที่สอาด ธรรมชาติยังดีอยู่มาก

    เหมาะแก่ผู้แสวงหาความสงบจากธรรมชาติ สถานที่สัปปายะดี..

    ถ้าว่าง จะมาต่ออีกนะครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2011
  10. สกั๊ง

    สกั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +131
    ขอบคุณ จขกท.(และสหายร่วมแบ่งปัน) สุดยอดมากครับ

    ผมเชื่อ ว่า ถ้าเราไม่ยอมทำร้ายใคร เพื่อ ปกป้องตัวเอง สิ่งดีๆย่อมปกป้องคุณแน่นอน :cool:
    จขกท. อยากทราบ ว่า ที่ไหนเหรอครับ ดู อุดมสมบูรณ์ มากกกกก
    คุณ พญางู อุสส่าห์ มาเยี่ยม
    ได้อารมณ์ เหมือนเจอหัวหน้าเผ่ากินคนเลย นะครับ เอิ๊กๆ
     
  11. Dolfin

    Dolfin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +258
    ขออนุโมทนาค่ะ

    น่าชื่นชมมากค่ะ อายุยังน้อยแต่ก็มีความพยายามและตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติธรรม ดิฉันก็เช่นกันค่ะ มีความคิดคล้ายกับคุณเลย อยากโกนหัวบวชและออกธุดงค์ฯ ตั้งแต่เด็ก แต่ครอบครัวไม่สนับสนุนเพราะเป็นหญิง ก็เลยต้องเดินทางโลก ปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับทางโลก แต่ก็ไม่วายให้เกิดความยินดีกับทางโลกได้ เวลาเห็นพระออกเดินธุดงค์ฯ จะชอบมาก อยากติดตามไปปฏิบัติรับใช้ แต่ก็ไม่ได้อีก แม้กระทั่งมีความคิดบ้าๆ ที่จะไปตัดมดลูกทิ้งเพราะคิดว่าเป็นอุปสรรคต่อทางธรรม คิดไปคิดมาจนแก่เลยปลงได้ คงไร้ซึ่งวาสนาที่จะไปทางนั้นแล้วในชาตินี้ รอชาติหน้าก็แล้วกันเผื่อฟลุคได้เกิดเป็นคนกับเขาอีก ก็ได้แต่เฝ้ารอวันที่จะได้ชื่นชมและปลื้มปิติยินดีที่จะได้เห็นผ้าเหลืองของลูกชายตัวน้อยนี่แหล่ะ ใจจริงก็อยากให้เขาฝักใฝ่ทางธรรมเหมือนท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ ^_^

    ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกคุณรู้ไหมว่าพวกคุณโชคดีมากที่ได้เกิดเป็นบุรุษเพศ มีโอกาสได้บวชเมื่อวัยอันสมควรและสามารถออกธุดงค์ฯแสวงหาโมกขธรรมได้อย่างไร้ข้อกังวลและปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา แต่พวกคุณรู้ไหมว่าเกิดเป็นสตรีเพศนั้นยุ่งยากมากเลยที่จะทำเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่ใจนั้นอยากปฏิบัติดังเช่นพระธุดงค์ทั่วไป อย่างมากก็ได้แต่นุ่งขาว ห่มขาว อย่างดีขึ้นไปอีกก็ภิกขุณี ซึ่งยากมากที่จะออกธุดงค์ฯองค์เดียวได้ ชีวิตหนอชีวิต เลือกเกิดไม่ได้จริงๆ แม้แต่การเลือกเพศให้แก่ตนเอง
     
  12. rin5297

    rin5297 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +569
    ชอบข้อความของคุณพี่เนยยะ เมตตาค้ำจุนโลกครับ สัตว์ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม สมควรที่จะจบชีวิตตามวิถีธรรมชาติ
     
  13. tonarocki

    tonarocki สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +20
    [​IMG]
     
  14. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    เป็นประสบการณ์ที่หน้าสนใจมากเลยครับ

    รออ่าน ติดตามอยู่นะครับผม
     
  15. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    [​IMG]
     
  16. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    อนุโมทนาความตั้งใจดี ตั้งใจที่เป็นธรรมกับท่านผู้โพสครับ
     
  17. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    งูพิษ มีสัญชาติญาณอาฆาตที่รุนแรงมาก เฉพาะผู้ที่ทำร้ายมันเท่านั้น

    โบราณจึงสอนว่า อย่าตีงูให้หลังหัก (เดี๋ยวมันก็ต่อกระดูกได้เอง) มันจะเฝ้ารอจังหวะที่ดีในการเอาคืน ถ้าคิดจะตีงูก็ต้องตีให้ตาย หรือ อย่าไปทำร้ายใดๆกับมัน

    ปกติงูพิษทุกชนิด ไม่ว่าขนาดไหนก็ตาม มักหลีกหนีมนุษย์ให้ห่างไกล แต่ที่ต้องเผชิญหน้า ก็เพราะเหตุสุดวิสัย มันอาจหวงถิ่นที่อยู่หรือกำลังฟูมฟักไข่ สถานการณ์เช่นนี้มันจะดุสุดๆ ใครโชคร้ายไปเจอ คงลำบากไม่น้อย
     
  18. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ณ.ที่ห่างไกลจากบ้านผู้คน สมัยข้าพเจ้าครองสมณะเพศ

    ข้าพเจ้าชอบอาศัยอยู่กลางป่าขุนเขา เป็นที่ซึ้งมีความเป็นธรรมชาติ


    ชาติ แมกไม้นานาพันธ์ ดูแล้วเพลินตา เพลินใจ อากาศก็แสนจะ

    บริสุทธิ์ สถานที่ก็สปายะ วิเวกดี เมื่อสถานที่วิเวก สภาวะจิตของผมก็

    พลอยวิเวกตาม หรือมีความสงบใจตามไปโดยธรรมชาติ ปราศจากสิ่ง

    ปรุงแต่งทางสายตา

    พอนึกถึงอนาคต มองไปข้างหน้าช่างมัน ทิ้งมันก่อน มันยังมาไม่ถึง

    ทำวันนี้ไห้ดีก็พอ อดีตก็ช่างมันผ่านพ้นไปหมดแล้ว

    เราจะไปอาลัยอาวรณ์เพื่อประโยชน์อันใด อยู่กับปัจจุบัน

    อยู่กับลมหายใจนี่แหละ ลมเข้าก็พุทธ ลมออกเราก็นึกในใจว่าโธ

    ฝึกไห้มีสติอยู่กับลมเข้าออก อยู่กับปัจจุบัน

    ความรู้สึกของข้าเจ้าในเวลานั้น มีความสุข มีความเบากาย เบาใจ

    กำหนดลมหายใจได้ง่ายจัง สมาธิรวมตัวได้ง่าย

    อยู่ปฏิบัติธรรม ตามลำพังอยู่นานพอสมควร ทั้งๆที่ไม่มีสิ่งยั้วเย้า

    ก่อไห้เกิดกิเลส จิตใจของข้าพเจ้าเอง เกิดการปรุงแต่ง นึกถึงเพศตรง

    ข้ามอย่างหามรุ่ง หามค่ำ รู้สึกว่าหัวหนักมาก มึนตื้อไปหมด รู้สึก

    รำคาญใจตัวเองเป็นที่สุด

    ก็เลยนึกในใจว่าเฮ้ย!! มันจะปรุงแต่งไปถึงไหนกัน พอที พอบอกกับตัว

    เองพอที

    ข้าพเจ้าสูดลมหายใจเข้า ยังไมทันออก อารมณ์ปรุงแต่ ทีวนเวียน

    อยู่ในหัว หายเป็นปลิดทิ้ง สติแจ่มใส คำภาวนา กำหนดรู้ลมเข้าออก

    ได้อย่างเยือกเย็น ลมหายใจเข้าก็เย็น ลมหายใจออกก็ยังสงบเย็น

    ข้าพเจ้า รำพึงในใจว่า โอ้หนอ อำนาจของสมาธินี่ช่วยเราได้ถึงเพียงนี้

    เชียวหนอ แล้วถ้าเราเอาวิปัสสนาญาณมาไช้ควบคู่ไปด้วย ใจเรา

    ต้องมีความสุข กายเบา ใจเบาอย่างแน่นอน หลังจากนั้น ข้าพเจ้า

    ก็ทำควบไปทั้งสองอย่าง

    การทำสมาธิ ในป่าเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย การปฏิบัติเป็น

    ไปอย่างสม่ำเสมอ

    ...มีวันหนึ่ง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า เอะ เหมือนรู้สึกว่า เทวดากำลัง

    สัญจรผ่านมาทางนี้ พอคิดเท่านั้น ต้มไม้สูงขนาดเมตรกว่า ที่อยู่ตรง

    หน้า เกิดการไหวเหมือนลมพัดแรง ทั้งที่อากาศช่วงนั้นสงบนิ่ง

    ลมโดยรอบมันไม่ได้พัดเลย แต่ต้นไม้ตรงหน้าไหวอย่างแรง

    ตกช่วงเย็น พอทำวัดเส็จแล้ว ข้าพเจ้า ก็ทำกิจวัตรของพระ

    ก็คือ เดินจงกรม ก่อนที่จะนั่งสมาธิ

    ผมเดินอยู่แถวหน้าที่พักนั่นแหละ เดินไป เดินมา

    เดินมาแล้วก็เดินไป ใจก็กำหนดรู้ลมเข้า ลมออก รู้อาการไหวตัวของ

    ร่างกาย ที่ขยับ อยู่ไปมา มีสติกำหนดรู้ตัวอยุ่ทั่วพร้อม

    พอเดินได้สักพัก จิตเบา กายเบา จิตใจปกติดีทุกอย่าง เอาแล้วสิท่าน

    เดินอยู่กลางป่าคนเดียว ไช้คำว่ารูปเดียวและกันนะ เพราะบวชอยู่ตอน

    นั้น ใจก็ปกติ แต่กายสิ มันเต้นไปมา ส่ายสะโพกโยกย้ายเด้งหน้า

    เด้งหลัง แต่พอสังเกตอารมณ์ใจ มันมีปิติ มีความสุข ใจสงบเย็น

    นึกในใจ เรานี่ถ้าจะบ้าซะมั้ง

    เอาว่ะ บ้าก้บ้านึกในใจ มันอยากเต้นก็เต้นไป เอาไห้เต็มที่

    พอเอาเข้าจริงๆ มันก็เลิก พอไม่สนใจมัน ใจอยู่กับคำภาวนา แต่จิตใจ รวมตัว

    สงบ ดิ่งลงไปได้ดีมาก ใกล้จะหนึ่งทุ่ม บรรยากาศในป่า เริ่มมืดสนิท

    แต่ใจข้าพเจ้า เกิดเห็นโอภาส ขาวเหมือนแสงนีออน สว่างไสว ตามขอบ

    ยอดต้นไม้ไปทั่ว โอภาสสำแดง ไห้เห็นสว่างใสวไปทั่วบริเวณ

    ใจข้าพเจ้าชักชอบโอภาส ดูแล้วเพลินดี เป็นอยู่แบบนั้น อย่างนั้น หลายวันอยู่

    สงสัยเราจะติดโอภาสเสียแล้วสิ พอ ไม่สนใจดีกว่า บอกกับตัวเอง

    พอตั้งใจ ทิ้ง ไม่เอาละ ไม่สนใจ จะมา หรือมา หรือมี ก็ช่าง เจ้า

    โอภาสที่ว่านี้ ต่อมาก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อข้าพเจ้าในเวลาต่อมาอีก

    การเดินจงกรมในเวลาเย็นของข้าพเจ้า มีอะไรแปลกๆอยู่เรื่อย

    มีวันหนึ่ง พอเส็จกิจวัตร ทุกสิ่งอย่าง หมดความกังวลใจ วางภาระ

    เสียสิ้น ข้าพเจ้าก็เริ่มเดินจงกรม เดินไป เดินมา เดินอยู่อย่างนั้น

    อยู่ๆขนลุกซู่ ไปทั้งตัว ขนตามแขน ตามขาตั้งชัน ใจเบาหวิวๆ

    นึกในใจช่างมัน มีอะไรแปลกๆอยู่เรื่อย..

    อาการซูซ่า ยังไม่ทันหายเลยครับ ขณะที่เดินจงกรมไปมา อยู่นั้น

    ตัวข้าพเจ้า มันจะลอยท่าเดียว มีอาการเหมือนคนจะเหาะ

    พอเดินๆ กำลังใจดิ่งตกวูบปัป! เท้าลอยจากพื้นเลย พอข้าพเจ้านึก

    เอะ! เฮ้ย! ในใจ กลับมาปกติเหมือนเดิม แต่พอเดินไป เดินมา

    พอจิตวูบดิ่ง กำลังจิตรวมตัว ใจตั้งมั่น เอาอีกแล้ว จะลอยท่าเดียว!

    แบบว่าเท้าหลุดจากพื้นทั้งสองข้างเลยนะ..


    ยังมีต่อนะครับ...มีเวลาจะมาต่อไห้จบนะครับ

    เล่าสู่กันฟัง แลกเปลี่ยนคุยกันในฐานะ นักปฏิบัติกรรมฐานคนหนึ่งครับ
     
  19. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ฌาณหนึ่งอย่างละเอียด หรือประฐมฌาณ และการถอดจิตครั้งที่สอง

    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->

    กลับมาเล่าต่อใหม่เลยนะครับ เพื่อไม่ไห้เป็นการเสียเวลา


    ...น่าจะเป็นพรรษาที่สองเห็นจะได้ เท่าที่ข้าพเจ้าจำความได้ อดีตที่ผ่านมายาวนานพอสมควร

    การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าก็เจริญก้าวหน้า ไปได้ด้วยดี ไม่ติดขัด

    มีอยู่วันหนึ่ง ผมกลับจากการไปบิณทบาตในหมู่บ้านที่ห่างไกล จากภูเขา ที่ผมพำนักอยู่ การเดินไปกลับ

    ไช้เวลาพอสมควร เดินขึ้นเขา ลงเขา ก็ภาวนาพุทโธเป็นปกติ พอฉันข้าวเส็จ อยู่กับที่ยังไม่ได้ไปไหนเลย

    ร่างกายรู้สึกอ่อนล้า เพลียๆ จิตของข้าพเจ้าก็มีอาการดิ่งจะรวมตัว ผมเองก็มองหาจุดที่จะทำไห้จิตรวมตัวได้เร็ว

    ก็เหลือบไปเห็นฝาบาตรโลหะ ฝาลักษณะเป็นรูปกลมๆ

    ก็เลยเอาจิตเพ่งอยู่ที่ฝาบาตร พอเพ่งปัป จิตก็รวมตัวเป็นสมาธิทันที ผมลืมตานะ ลืมตาทำสมาธิ

    แต่ใช้กำลังจิตจับอยู่ที่ฝาบาตร พอจิตเป็นสมาธิ ฝาบาตรก็กลายเป็นสีขาวนวล สว่างวาบ เคลือบทั้งฝา สีขาวนวลมีรัศมี

    เป็นประกาย รู้สึกว่านั่งแป๊ปเดียว กำลังจิตก็ถอนออกจากสมาธิ ความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า หายไปหมดสิ้น

    กำลังจิตก็สดชื่น ร่างกายก็กระปี้กระเป่า รู้สึกว่าแป๊ปเดียว แต่พอดูนาฬิกา 30นาทีกว่าเห็นจะได้นะ

    นี่ละมั้งที่เขาเรียกกันว่าธรรมะโอสถ ผมคิดในใจ

    ...การภาวนาของข้าพเจ้ายังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทำอะไร จะหยิบ จับ

    หรือทำอะไรก็ตาม ผมก็พยายามภาวนาพุทโธ อยู่อย่างสม่ำเสมอ จนรู้สึกว่า หายใจเข้า และออก

    ใจผมสัมผัสได้ รู้สึกสัมผัสได้ดี มีอาการ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา

    มีสติอยู่กับลมหายใจ เดินขึ้นเขา ลงเขา หรือเดินจงกรม

    ใจก็อยู่กับการภาวนา ระบบการหายใจเข้าออก เป็นอย่างไร รู้สึกได้เลย

    ทางด้านจิตใจ มีความสุขอยู่กับปัจจุบันขณะ เห็นสภาวะความไม่เที่ยง

    ของของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้าง ถ้าเราเอาใจเขาไปยึด เข้าไปมีส่วนร่วม

    ความจบสิ้นก็หามีไม่ ปล่อยไห้เหตุการณ์ต่างๆผ่านไป ทุกอย่าง สักแต่ว่า รับรู้ แต่ไม่ยึดเกาะ ไม่เอามาใส่ใจ

    การศึกษาธรรมนั้นต้องมีทางด้านปริยัติ เพื่อเอาเป็นแนวทาง ถึงแม้จะอยู่ป่าก็ตาม

    หลายครั้ง ที่ข้าพเจ้าจะกำหนด ลมเข้าออก ไห้จับความรู้สึกกระทบได้ทั้ง สามฐาน

    ก็คือ จมูก ทรวงอก และเหนือบริเวณสะดือ

    ผมเองรู้สึกอึดอัด จับได้ยากยิ่ง ทำได้บางครั้งแต่รู้สึกว่าฝืนใจอยู่มาก

    ถ้ารู้ลม เข้าออกเฉยๆแบบนี้ ทำได้ไม่ยาก ทำได้ตลอด

    แต่ถ้าจับลมกระทบสามฐานแบบหนังสือปริยัติเขียนไว้ ทำไม่ค่อยจะได้

    อยู่มาวันหนึ่ง การเข้าถึงฌาณหนึ่งละเอียด อย่างที่หนังสือวิสุทธิมรรคได้เขียนบอกไว้ ก็ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า

    วันนั้น ข้าพเจ้าทำความเพียรอย่างหนัก ทั้งเดิน ทั้งนั่ง

    ทำอย่างไม่ลดละ ช่วงบ่ายๆแก่ ข้าพเจ้านั่งสมาธิ

    นั่งไปนานแสนนาน

    จิตเริ่มนิ่งกำลังใจรวมตัวลงสู่อัปปนาสมธิ จิตใจมีความปิติ ชุ่มชื่นมาก กำลังใจไมไหวติง

    ข้าพเจ้ารู้สึกรับรู้ได้ ของการประทะของลมหายใจ กับจมูก

    ทรวงอก และแถวหนือสะดือ ได้ทั้งเข้า และออก อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย

    อาการลมประทะกับกายทั้งสามฐานนี้ หนังสือวิสุทธิมรรคบอกว่าเป็นปฐมฌาณละเอียด

    ผมรู้สึกได้ตลอดเวลา ไม่มีพลาดเลยแม้แต่นิดในขณะที่นั่งสมาธิ มีสติตามตามระลึกรู้ได้ตลอดเวลา

    นอกเหนือไปจากนั้น สภาวะจิตก็ สงบรวมตัวลงไปอีกเป็นลำดับ ดับสภาวะวิตก วิจารณ์!

    พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็ห็นลมหายใจ ไหลเข้าออกทางจมูก เหมือนหมอกควันจางๆบางๆ

    เหมือนควันบุหรี่ไหลเอื่อยๆ เข้าออกทางโพลงจมูกตลอดสาย ทั้งๆที่ข้าพเจ้านั่งหลับตาทำสมาธิอยู่

    ร่างกายข้าพเจ้าสงบนิ่งไม่ไหวติง


    จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกัคคตารมณ์

    ดับความรู้สึกรับรู้จากภายนอก

    พอข้าพเจ้าถอนออกจากสมาธิ สภาวะภายนอก บรรยากาศก็โผล้เผล้แล้ว

    วันนั้นนกายและจิตของผม มีความเบา

    และสว่างใสวอยู่ภายใน จิตใจสุขเย็นๆ และมีความชุ่มชื่นใจ..


    ยังมีต่อนะครับ (การถอดจิตครั้งที่สอง)
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2012
  20. iivv

    iivv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +201
    [​IMG]




    งูจงอาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...