ดาวหาง Elenin / Nibiru (planet X) - Elenin - Events

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 28 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลก








    <table class="contentpaneopen"><tbody><tr><td class="contentheading" width="100%">2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลก </td><td class="buttonheading" align="right" width="100%">[​IMG] </td><td class="buttonheading" align="right" width="100%">[​IMG] </td><td class="buttonheading" align="right" width="100%">[​IMG] </td></tr></tbody></table>






    [​IMG]





    พายุสุริยะคืออะไร?


    พายุ สุริยะคือกระแสของอนุภาคพลังงาน สูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณและความเร็วสูงกว่าระดับปกติ อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอนและโปรตอน เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และพายุแม่เหล็ก ซึ่งส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลก



    พายุสุริยะมีผลกระทบต่อโลกอย่างไร?


    ปกติ พายุสุริยะจะไม่ ส่งผลโดยตรงต่อโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากโลกมีบรรยากาศและสนามแม่เหล็กคุ้มกัน มีเพียงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอวกาศเท่านั้นที่อาจได้รับ อันตราย ทั้งจากพายุสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์

    ใน อดีต พายุสุริยะเคยสำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นแล้วหลายครั้ง เช่น ใน ค.ศ. 1859 พายุสุริยะทำให้สายโทรเลขลัดวงจรจนทำให้เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งในยุโรปและ อเมริกา ส่วนใน พ.ศ. 2532 พายุสุริยะก็เคยทำให้หม้อแปลงของไฟฟ้าระเบิดจนทำให้ไฟดับทั่วทั้งจังหวัด ควิเบกของแคนาดามาแล้ว นอกจากนี้ดาวเทียมและยานอวกาศที่อยู่ในอวกาศก็อาจเสียหายจากพายุสุริยะได้ ในอดีตเคยมีดาวเทียมหลายดวงเสียหายจากเหตุการณ์นี้มาแล้ว เนื่องจากปัจจุบันชีวิตประจำวันของผู้คนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอวกาศมาก ทั้งโทรศัพท์ โทรทัศน์ การกระจายเสียงวิทยุ ระบบบอกพิกัด ฯลฯ ดังนั้นหากมีพายุสุริยะมาทำให้ดาวเทียมเหล่านี้เสียหายไป ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างแน่นอน



    ในปี ค.ศ. 2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลกจริงหรือ?


    จริง

    พายุ สุริยะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และส่งผลกระทบถึงโลก และมีระดับความรุนแรงผันแปรเป็นคาบ คาบละประมาณ 11 ปี คาบที่ชัดเจนนี้ทำให้นักดาราศาสตร์พยากรณ์ได้ว่าช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของ วัฏจักรสุริยะจะเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะเกิดในครั้งถัดไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงกลาง ค.ศ. 2013

    ช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ กินเวลายาวนานข้ามปี ดังนั้นแม้ช่วงสูงสุดจะอยู่ใน ค.ศ. 2013 แต่พายุสุริยะก็เริ่มจะกระหน่ำโลกตั้งแต่ก่อน ค.ศ. 2012 แล้ว

    แม้ ช่วงปี 2013 จะอยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ แต่พายุสุริยะที่จะเกิดขึ้น ก็ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อน ซึ่งเกิดในราวปี ค.ศ. 2000, 1989, และก่อนหน้านั้น ความจริงมีแนวโน้มว่าช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะมาถึงในปี 2013 จะอ่อนกำลังกว่าวัฏจักรก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ





    ที่มา : วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com) สมาคมดาราศาตร์ไทย

    http://earthunseen.blogspot.com/2010/09/2012_7120.html
     
  2. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    Ancient Astronaut: บทที่ 1 อารัมภบท


    Ancient Astronaut: บทที่ 1 อารัมภบท

    จากงานเขียนของ วิลเลียม เซเลอร์ และแรงบันดาลใจจากภาพอภิมหาคลาสสิคแห่งวงการพระเจ้าจากอวกาศ อันเป็นภาพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวมายาโบราณนาม ปากัล-Pakal มาเป็นบทความอภิมหายาว The Return of Ancient Astronauts แอ่น-แอ น-แอ๊น (ทั้งที่แอตแลนติสก็ยังทำไปได้ไม่ถึงไหน) ท่านที่ตามงานของนายโซนิคเป็นประจำคงจะเอียนกับเรื่องของ Anunnaki และ Nibiru กันเต็มทน มาบัดนี้ท่านจะได้เอียนซ้ำอีกรอบหนึ่ง แต่เป็นคนละมุมมอง นายโซนิคไม่รับประกันนะครับว่าเรื่องที่ทำอยู่นี้จะเสร็จเมื่อไหร่ และนี่คือสาระสังเขปของเรื่องราวที่ท่านกำลังจะได้อ่านกัน คลิกที่ลิงค์เพื่อเข้าไปอ่านบทเต็ม(เฉพาะบทที่เสร็จนะครับ จะทยอยอัพเดทตามเวลาที่มีอยู่) ด้านล่างคือสารบัญสำหรับผู้ต้องการลัดไปอ่านบทที่สนใจโดยเฉพาะ



    บทนำ ไหว้ครู โหมโรง อารัมภบท ฯลฯ แล้วแต่จะเรียกครับ

    # จิ๊กซอแห่งประวัติศาสตร์ # ชิ้น ส่วนเล็กๆที่จะนำมาประกอบกันเพื่อยืนยันทฤษฎี "พระเจ้าจากอวกาศ" ทั้งจากตำนานโบราณ วรรณคดี โบราณวัตถุต่างๆที่ขุดค้นพบกัน ที่บ่งชี้ว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าจากห้วงเวหาได้เหินลงมาสร้างอาณานิคมอยู่บน โลกมนุษย์ของเรา หลายชิ้นได้รับการยอมรับแล้วจากวงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ในขณะที่อีกหลายๆชิ้นยัง"หาคำตอบกันไม่ได้"

    # ลายเส้นบนพื้นราบ # ลวดลายเรขาคณิตบนที่ราบนาซก้าและที่อื่นที่มีลักษณะเดียวกัน เป็นลวดลายที่สร้างขึ้นมาโดยคนโบราณโดยมีความน่าประหลาดคือ มันสามารถมองเห็นได้จากทางอากาศเท่านั้น นี่คือไอเดียใหม่ๆที่จะชยายความให้ท่านฟังว่า คนโบราณสร้างลวดลายเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไรและสร้างมันขึ้นมาเพื่ออะไร

    # โบราณสถานขนาดยักษ์ #ที่ กระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่งบนโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้ หรือเป็นความจริงตามในพระคัมภีร์ที่ว่า "กาลครั้งหนึ่ง เคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกใบนี้" คนโบราณสร้างอนุสรณ์สถานด้วยหินยักษ์หนัก 2,000,000 ปอนด์ได้อย่างไร ในเมื่อด้วยวิทยาการของโลกปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย มันก็ยังเป็นไปได้อย่างยากเย็น บางทีไอเดียบางอย่างในบทนี้ อาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องในอนาคต

    # ปิระมิด-ปิระมิด-ปิระมิด # สูงน้อยหน่อยก็ 400 ฟิต ที่สูงมากหน่อยก็ 2,300 ฟิต แถมพบในชนชาติโบราณที่เจริญผิดยุคแทบทุกชาติ พวกเขาสร้างมันขึ้นมาทำไม? นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่า ปิระมิดคือโบราณสถานที่เกิดขึ้นมาพร้อมอารยธรรมมนุษย์ และทำหน้าที่อย่างหลาก หลาย เป็นจุดสังเกตในการลงจอด เป็นลานบินฉุกเฉิน สถานีเติมเสบียง หลุมหลบภัย และศาสนสถานเพื่อประกอบพิธีบวงสรวง ข้อสรุปของบทนี้คือ ปิระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์มีโอกาสได้ติดต่อกับพระเจ้า - - The Contact

    # ปริศนาแห่งตำนานโบราณ # ความลับของนักบินอวกาศยุคโบราณ ที่ซุกซ่อนอยู่ในตำนานของชนชาติที่เจริญด้วยอารยธรรมอย่างผิดยุค พันธุวิศวกรรม ยานอวกาศในคัมภีร์ไบเบิล และไขข้อข้องใจที่ว่า ทำไมแนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าจากอวกาศจึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก

    # From Myth to Myth # จากตำนานสู่ตำนาน จากปริศนาสู่ปริศนาที่ซับซ้อนกว่า จะนำพาท่านไปพบกับเรื่องราวอันชวนพิศวงของ

    * ชนชาติสุเมเรียน ทายาทของทวยเทพจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบ
    * เรื่องลึกลับในคัมภีร์ไบเบิล นักท่องอวกาศยุคโบราณผู้สมอ้างตนเป็นพระเจ้า
    * มหากาพย์กิลกาเมช วรรณกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้เป็นเพียงตำนานวีรบุรุษธรรมดาๆ
    * มหาภารตะ เพียงจินตนาการหรือสงครามนิวเคลียร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จริงๆ...



    [​IMG]








    # พาหนะของทวยเทพ # "มนุษย์อินทรีย์" ของสุเมเรียน, "นาวาแห่งสวรรค์(Boat of Heaven)" ของอียิปต์, "วิมานะ" ของอินเดีย, "มังกรบิน" ของตะวันออกไกล, "พญางูมีปีก" ในอเมริกากลาง และบัลลังก์ลอยฟ้าที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆในจารึกของชนชาติฮีบรู ฯลฯ มันคืออะไร?

    # การบวงสรวงบูชายัญ # แกะ วัว แพะ หรือแม้กระทั่งมนุษย์ พระเจ้าที่ว่ากันว่าอมตะต้องการอาหารเหล่านี้ไปทำไม? ศาสนสถานหลายแห่งบ่งชี้ว่า มันคือสถานที่ที่พระเจ้าเสด็จลงมา"เติมเสบียง"ที่เรียกร้องเอาจากมนุษย์ ยะโฮวา เรียกร้องวัว 100 ตัวลูกแกะ 100 ตัว ลูกแพะร้อยตัว ยะโฮวาเอาไปทำไม เก็บไว้ในตู้เสบียงของยานขณะเดินทางหรือ? คิฮัวโคเทิล เทพโบราณของอเมริกากลางต้องการให้มีการสังเวยมนุษย์ทุกสัปดาห์ พระเจ้าองค์นี้ต้องการมนุษย์เพื่ออะไร เอาไปกินหรือแค่ต้องการชิ้นส่วน?

    # สงครามนิวเคลียร์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ # "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง", "เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้ง ร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกเอาไว้ อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว" - - จาก มหาภารตะ

    # วิทยาการแห่งชีวิต # - - Biotechnology of the God พระเจ้าทรงปั้นแต่งมนุษย์ขึ้นจากฝุ่นผงแห่งพสุธา เป่าลมหายใจให้มีชีวิต ประทานสติปัญญา เรื่องราวจากพระคัมภีร์เหล่านี้แฝงไว้ด้วยฉากหลังที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ของกระบวนการพันธุวิศวกรรม ทูตสวรรค์ที่อยู่กินกับหญิงสาวชาวมนุษย์ การผสมข้ามสายพันธุ์ของมนุษย์และพระเจ้า เข้าแทรกแซงวิวัฒนาการตามธรรมชาติของ มนุษย์ เรื่องราวเหล่านี้ยังคงสร้างความกังขาและถกเถียงกันอย่างไม่จบสิ้น บัดนี้เทคนิคทางพันธุวิศกรรมที่เรียกว่า "cross-species cell transfer" และ "recombinant DNA" กำลังจะให้คำตอบเราและยืนยันกับเราว่า อย่างช้าๆ...มนุษย์กำลังเจริญรอยตามพระผู้สร้างในอดีต...

    # อมตะ # ไม่ใช่หนังสือรางวัลซีไรท์ แต่เป็นความลับแห่งอายุขัยของพระเจ้า

    # Orion: Home of the God? # พระเจ้าโบราณของพวกเราไปอยู่เสียที่ไหน? บางทีร่องรอยขนาดยักษ์ที่พระเจ้าทิ้งเอาไว้บนโลก ดวงจันทร์ ดาวอังคาร คือ step เล็กๆที่พระเจ้าต้องการให้เราก้าวตามไป เมื่อผนวกเข้ากับปริศนาแห่ง Orion แล้ว พระเจ้าของเราน่าจะอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งบริเวณกลุ่มดาว Orion - - มุมมองใหม่ที่ไม่ใช่ Nibiru...

    # พลิกฟ้าคว่ำดิน # ไม่ใช่วิทยายุทธในหนังจีน... แต่เป็นเรื่องราวของทฤษฎี Pole Shift, Pole Round ซึ่งได้ให้ข้อสังเกตกับเราว่า การที่แกนโลกเปลี่ยนแนวนั้น สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของอายธรรมโบราณอย่างไร แกนโลกกำลังจะพลิกในเร็ววันนี้จริงหรือไม่ ถ้าจริง มันจะพลิกเมื่อใด?

    # Akkadian Seal #- จารึกดินเหนียวชิ้นเล็กๆในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน ที่ Zecharia Sitchin บอกว่า มันคือข่าวสารจากโลกโบราณที่บอกกับเราว่า บรรพชนของเรารู้จักระบบสุริยะจักรวาลเป็น อย่างดี จารึกดินเหนียวชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึง ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ทั้งเก้า(รวมไปถึง... Nibiru) Titan ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ดวงจันทร์ของโลกเรา แต่ไม่ยักกะมีพลูโต นักวิชาการหลายคนค้าน Sitchin ว่าด้วยเรื่องของจำนวนดาวเคราะห์และ scale ที่ผิดสัดส่วน Akkadian Seal คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนงั้นรึ? ไม่มั้ง... ไปฟังเค้าเถียงกันหน่อยเป็นไร

    # บทสรุป # ปัจจุบัน พระเจ้าจากอวกาศเหล่านี้อยู่ที่ไหน ปรากฏในรูปแบบใด พระเจ้าเคยสัญญาว่าจะหวนกลับมาสู่โลกมนุษย์ คำสัญญานี้จะเป็นจริงเหมือน "I'll Back!" กับภาคต่อของคนเหล็ก Terminator หรือไม่ และถ้ากลับมาจริง พระเจ้าจะกลับมาเพื่ออะไร?
    [​IMG]










    Ancient Astronaut(s) ได้ลงมาที่โลกของเราเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้ว วิทยาการด้านไบโอเทคโนโลยีของพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์ในปัจจุบันมาก พวกเขาได้สร้างชาติพันธุ์มนุษย์ด้วยวิธีการทางพันธุวิศวกรรม โดยผสานยีนของพวกเขาเข้ากับสิ่งมีชีวิตคล้ายมุนษย์บนโลก ปรับปรุงสั่งสอนศิลปวิทยาการให้เพื่อใช้มนุษย์ในการทำงานบางประการ เช่น เป็นหน่วยผลิตอาหาร ทำเหมืองแร ่และแรงงานในการก่อสร้าง

    พระเจ้าจาก อวกาศ (จริงๆแล้วผมควรใช้คำว่า Gods from Space มากกว่า หากอิงตามบริบทของคนโบราณ แต่ยังไงก็ตามนะครับ ผมขอใช้คำๆนี้ในความหมายเดียวกันกับ Ancinet Astronauts คงไม่ว่ากัน เพื่อความคล่องปากของผมเองนั่นแหละ) โดยปกติแล้วไม่ต้องการให้มนุษย์เข้าใกล้หรือเห็นพวกเขา เพียงอนุญาตให้มนุษย์รับรู้การคงอยู่ของพระเจ้าโดยให้เห็นในรูปของสัญลักษณ์ หรือปรากฏกายแก่สายตามนุษย์ในลักษณะที่น่าเกรงขามและพรั่นพรึง อย่างไรก็ตาม มนุษย์บางส่วนก็ยังสามารถ contact กับบริวารของพระเจ้าได้ เช่นทูตสวรรค์ หรือเทพกึ่งสัตว์ (หุ่นยนต์?) พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์เข้าใกล้แหล่งพำนักของพระเจ้านัก ยกเว้นเฉพาะนักบวชชั้นสูง มีข้อสังเกตว่า สาเหตุอาจจะมาจากการป้องกันการติดเชื้อบางชนิด ซึ่งมีเฉพาะบนโลกของเราก็เป็นได้

    พระเจ้าจะไปไหนมาไหนด้วยพาหนะที่ ใช้เชื้อเพลิงเคมี ในคัมภีร์โบราณหลายเล่มกล่าวตรงกันว่า ช่วงแรกพระเจ้ามักเสด็จลงมาบนยอดเขาสูง ในซอกเขา หรือปล่องถ้ำ ทั้งนี้อาจจะเพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย และการทำอันตรายแก่เหล่าทาสรับใช้คือมนุษย์ ที่อาจโดนลูกหลงเมื่อตอนยานลงจอด และพัฒนามาเป็นตามเทวสถานใหญ่ๆ เช่น ปิระมิด หรือ ซิกกูรัตในภายหลังเมื่อเวลาผ่านไปได้ช่วงใหญ่ และมนุษย์เริ่มพัฒนาอารยธรรมขึ้นมาแล้ว (นึกภาพปิระมิดแบบตะวันออกกลางหรือมายาที่มียอดตัดเรียบสิครับ เหมาะสำหรับนำ ฮ.ลงจอดหรือไม่?) ในกรณีที่ไม่มีที่จอดที่เหมาะสม พระเจ้าอาจสั่งให้คนงานชาวโลก ทำสัญลักษณ์ชี้พิกัดที่ใกล้เคียงกับการลงจอดและสามารถมองเห็นได้จากอากาศ เช่น เลย์ไลน์ในยุโรป หรือนาซก้าไลน์ในอเมริกากลาง

    พระเจ้าจากอวกาศ ยังต้องการอาหาร เราไม่แน่ใจว่าพระเจ้ากินอาหารด้วยวิธีไหน หรือกินอย่างไร แต่ที่แน่ๆ พวกเขามีการป้องกันหรือฆ่าเชื้ออย่างง่ายๆ โดยการให้มนุษย์ย่างหรือเผาเครื่องสังเวยที่มนุษย์นำมาถวายเสียก่อน (อาจเป็นที่มาของธรรมเนียมการบวงสรวงพระเจ้าในการบูชายัญด้วยไฟ ของหลายๆชนชาติในภายหลัง) จากหลักฐานที่มี พระเจ้าจะสั่งเครื่องสังเวยที่ต้องการมาเป็นล็อทๆ และมนุษย์ต้องหาและนำไปให้ที่เทวสถานหรือในถ้ำในตามเวลาที่พระเจ้าสั่ง (ยังกะ Just in Time เลยแฮะ) ส่วนใหญ่คือเนื้อสัตว์ และในบางครั้งสิ่งที่พระเจ้าต้องการคือมนุษย์

    พระ เจ้าได้ทรงสอนศิลปวิทยาการแขนงสำคัญแก่มนุษ์หลายๆสาขา เช่น กสิกรรม วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประทานกฏหมายฉบับแรกแก่มนุษย์ สุดท้ายสงครามชิงความเป็นใหญ่ระหว่างพระเจ้าโดยใช้โลกเป็นสมรภูมิก็เกิดขึ้น (นึกถึงสงครามชิงอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกนะครับ พระเจ้ากับมนุษยืนี่จริงๆแล้วก็ไม่ต่างกันเลย) และสุดท้ายเมื่อโลกประสบภัยพิบัติจากดาวหางที่พุ่งเข้ามาชน พระเจ้าก็ได้ถอนตัวจากไป คงเหลือไว้แต่ซากอารยธรรมและตำนานที่สืบขานกันมารุ่นต่อรุ่น ยังผลให้พวกเราคนรุ่นใหม่ฉงนฉงายกันจนถึงทุกวันนี้

    ครับ... นี่คือสรุปเนื้อหาโดยรวมที่กล่าวถึง Ancient Astronauts ยืนพื้นบนงานเขียนของ Zecharia Sitchin, Eric Von Daniken, William Saylors และ Alan F. Alford ผู้เขียน The Gods of new Millenium หนังสือดีที่ออกมาตั้งนานแต่นายโซนิคเพิ่งได้มาจับ (เค้าให้มาอีกทีครับ) เนื้อหาอาจจะซ้ำกับที่เคยเขียนเอาไว้แล้วบ้าง ตัดทอนเนื้อหาจนสั้นห้วนและ บางคนตามไม่ทันบ้าง ก็ต้องขอให้ทำความเข้าใจนะครับว่า หนังสือหรือเอกสารหลายสิบเล่ม หนาเป็นพันๆหน้านั้น ผมทำได้ดีที่สุดแค่วิธีตัดมาปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว หรือหยิบมาแต่ประเด็นสำคัญๆ (ซึ่งบางครั้ง ผู้อ่านต้องเข้าใจพื้นฐานในบางสาขา เช่นโบราณคดี มานุษยวิทยา หรือ ศาสนเปรียบเทียบพอสมควร) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อตอบคำถามสี่ประเด็นหลัก ที่ผมตั้งใจจะเก็บมานำเสนออันประกอบด้วย


    1. ลักษณะตามธรรมชาติของพระเจ้าจากอวกาศ
    2. อธิบาย "อภินิหาร" ของพระเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในปัจจุบัน
    3. พระเจ้ามาจากไหน?
    และ
    4. พระเจ้ากำลังจะไปที่ไหน (อืมห์ ยังกับทิศทางและแนวโน้มทางเศรษฐกิจเลยแฮะ)



    earthunseen.blogspot.com: Ancient Astronaut: บทที่ 1 อารัมภบท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  3. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    Ancient Astronaut: บทที่ 2 นักบินหรือพระเจ้า


    Ancient Astronaut: บทที่ 2 นักบินหรือพระเจ้า ?

    กรณีศึกษาที่น่าสนใจของนายจอห์น

    ใน ราวปี 1930 นักบินชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ได้รับภารกิจให้เป็นทีมสนับสนุนการสำรวจป่าลึกแห่งหนึ่งในนิวกีนี พวกเขาต้องทำการบินเพื่อลงจอดบนเกาะและลำเลียงเสบียงรวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ แน่นอนว่าพวกเขาพบกับชาวพื้นเมืองของที่นั่น บนเกาะเล็กๆแถบนิวกีนีที่มีลักษณะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ชาวป่าประหลาดใจกับการมาของพวกเขา และยิ่งตระหนกกับ"นกยักษ์"ที่นักบินโดยสารมาด้วย นักบินทั้งสองมาที่เกาะบ่อยๆเพื่อส่งเสบียง และแน่นอน พวกเขาไม่ลืมที่จะทิ้งของฝากเล้กๆน้อยๆ เช่นอาหารกล่อง หรือ โค้ก ให้กับชาวป่าเพื่อสร้างมิตรภาพ ไม่มีใครเอะใจกับเหตุการณ์ช่วงนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบกว่าปี

    นัก สำรวจอีกทีมได้มาที่เกาะนี้ พวกเขาประหลาดใจกับพฤติกรรมของชนพื้นเมืองที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินของทีมสำรวจลงจอด ที่หมู่บ้านของชาวป่า นักสำรวจทีมนั้นได้พบกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวป่า เป็นรูปแกะสลัก"นกยักษ์"ที่เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบเครื่องบินใบพัดสองชั้น เซอร์ไพรส์กว่านั้น... ชาวป่าเหล่านี้ได้ทำแม้กระทั่งกล่องที่เลียนแบบวิทยุสื่อสารของนักบินที่ทำ จากไม้ไผ่!!

    ล่ามพื้นเมืองที่ไปกับคณะนักสำรวจได้สอบถามชาวป่าเหล่านี้พบว่า พวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าจาก ท้องฟ้า ผู้มาพร้อมกันนกยักษ์ "Jon Frum" และมาทราบกันทีหลังเมื่อทีมสำรวจชุดนี้สืบสาวราวเรื่องขึ้นไปว่า ทีมนักบินที่มาที่เกาะนี้ชุดแรกนั้นชื่อ John และชื่อ Jon Frum นี้ก็น่าจะมาจากคำว่า "John From New York" ซึ่งเป็นคำปกติธรรมดาเวลาที่จอห์น - นักบินคนนั้นแนะนำตัว

    อ่านแล้วพอปิ๊งอะไรขึ้นมาบ้างไหมครับ?



    [​IMG]






    หรือว่าสิ่งประดิษฐ์โบราณเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพชนเราทำเลียนแบบ "นกเหล็ก"ที่พวกเขาเคยเห็น



    จิ๊กซอชิ้นเล็กๆเท่าที่พอจะเอามาเชื่อมเพื่อเป็นภาพใหญ่ๆโดยรวมของพระเจ้าจากอวกาศ ที่เราจะพูดถึงกันก็ได้แก่

    ลายเส้นขนาดยักษ์ บนพื้นราบทั่วโลก เช่นลวดลายบนที่ราบนาซก้าและถนนในบริเวณใกล้เคียง เช่น ceques อันเป็นถนนสายสำคัญที่ผ่านบริเวณโบราณสถานหลายแห่งในโบลิเวีย หรือ Ley Line ในอังกฤษ ที่เป็นเส้นตรงเชื่อมกองหินโบราณหลายๆแห่งเข้าด้วยกัน

    ปิระมิดหลากสไตล์ ซึ่งตรงนี้เราจะมาพูดถึงกันโดยละเอียดในภายหลัง เพราะดูเหมือนว่านอกจากวัตถุประสงค์ทางศาสนาแล้ว ปิระมิดเหล่านี้ยังถูกสร้างขึ้นมาด้วยประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ อเมริกากลาง จีน เมโสโปเตเมีย หรือแม้แต่ในอเมริกาใต้

    สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ ยักษ์สมชื่อ เพราะบางที่ใช้หินก้อนขนาดสองล้านปอนด์ในการสร้าง คนโบราณสร้างมันขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีไหน? การสร้างอาจไม่มีปัญหาแต่การขนย้ายเล่า เรื่องนี้แม้แต่วิศวกรระดับโลกยังส่ายหน้าด้วยความกังขา

    บันทึกโบราณ ที่เขียนถึงพระเจ้าผู้สามารถไปไหนมาไหนได้ทางอากาศ ทั้งคัมภีร์ Enuma Elish, อัลกุรอาน, โปโปล วู (มายา), มหาภารตะ, ไบเบิ้ล, และจารึกดินเหนียวที่บันทึกการเดินทางของพระเจ้าที่เราพบกันในตะวันออกกลาง

    ประตูสวรรค์ (Heaven Gates - - หรือจะ Star Gates ตามหนังดีล่ะครับ) เป็นประตูหรือช่องทางที่ใช้สัญจรระหว่างโลกและสวรรค์ที่ปรากฏอยู่ในตำนาน หากมองตามประวัติศาสตร์ที่เราทราบ สถานที่ติดต่อระหว่างสวรรค์กับโลกนี้ มีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลองไปหาตำนานสุเมเรียนสักเล่ม หรือคัมภีร์พันธสัญญาเก่ามาอ่านสิครับ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนที่ศาสนสถานขนาดมหึมาจะถูกสร้างขึ้นนั้น ถ้ำหรือซอกหินตามธรรมชาติ คือแหล่งที่พระเจ้าใช้เสด็จลงมายังโกลมนุษย์ ในบางคราว ก็มีเฉพาะนักบวชชั้นสูงหรือกองอารักขาเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในสถานที่หวง ห้ามเหล่านี้ได้ ในบางครั้ง สถานที่เหล่านี้ กลับดูเหมือนหลุมหลบภัยที่ใช้ป้องกันกัมมันตรังสีมากกว่าศาสนสถาน ลองมาดูตัวอย่างกันไหมครับ

    :: รวมมิตรปิระมิด ::


    "He who wonders discover that this in itself is wonderful" - - M.C. Escher

    ห่าง หายกันไปเสียแสนนาน ใครที่นึกว่าผมทิ้งเว็บนี้ไปแล้วก็อย่าเพิ่งปลงนะครับ นายโซนิคยังอยู่นี่ไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน ถึงจะห่างกันหน่อยตามกรรมและวาระ นั่นก็เป็นความจำเป็นของชีวิตที่เลี่ยงไม่ได้

    ผม ลองมาไล่ๆดูเรื่องที่ตัวเองทำทิ้งไว้ ตกใจเหมือนกันครับเพราะมันค้างเติ่งอยู่หลายเรื่องมากเลย ประมาณว่าทำได้ซักพักก็ค้างเอาไว้ไม่ยอมทำให้จบ ซึ่งตรงนี้ต้องขอทำความเข้าใจอีกรอบล่ะนะครับว่า บทความหรือเรื่องที่ผมนำมาเสนอนั้นช่วงหลังๆมันมีแต่ยาวๆทั้งนั้น ครั้นจะทำให้จบเรื่องเป็นซีรี่ส์ๆไป เช่นร่ายยาวแอตแลนติสให้จบเสียในทีเดียวนั้น คงกินเวลามากเอาการ แล้วก็อาจจะมีหลายๆท่านที่สนใจเรื่องอื่นมากกว่า ดังนั้นผมจึงเลือกใช้วธีนี้แหละครับ ทยอยทำไปทีละหลายเรื่องๆ เรื่องละตอนสองตอนสลับกันไป ผลก็คือมีหลายเรื่องมากที่ผมยังห้อยท้ายไว้ว่า Under Construction หรือ "รอหน่อย มี Update ต่ออีก" อะไรประมาณนั้น ใครที่หงุดหงิดอยุ่กับการรอคอย ก็คงให้อภัยผมนะคร๊าบ ^.^

    เอ้า... มาต่อเรื่องของเรากันเลยดีกว่า กับ Ancient Astronauts Revisited (ต่อไปจะพูดย่อๆว่า AA หรือ AAR เพื่อความคล่องปาก) ซึ่งแรกทีเดียวเมื่อได้ต้นฉบับมาเป็นหนังสือเล่มหนึงและเอกสารที่ Print มาอีกสองปึ๊ง แต่มัน"เยอะมาก"เลยครับ แถมศัพท์แสงที่พี่แกใช้ก็ยากเย็นแสนเข็ญสำหรับนายโซนิคเหลือเกิน งานชิ้นนี้เลยเป็นไปแบบกระดึ๊บๆเหมือนกิ้งกือเดิน อีกประการ งานใหญ่เนื้อหาเยอะแบบนี้ถ้าย่อยสั้นเสียจนเกินเหตุล่ะก็ มันไม่ดีกับคนอ่านแน่ๆ โดยเฉพาะเรื่องในวันนี้น่ะ ผมต้องแกะอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมันใหญ่โตมโหฬารอยู่ค่อนข้างมาก

    อ๋อ... เราจะมาคุยกันเรื่องปิระมิดครับ...



    [​IMG]








    เชื่อ ว่าทุกท่านคงรู้จักและคุ้นเคยกับปิระมิดเป็นอย่างดี เจ้าสิ่งก่อสร้างโบราณขนาดมหึมานี้ นักโบราณคดีเค้าว่ามันมีวิวัฒนาการมาจากรูปทรงของภูเขาครับ ใครเรียนประวัติศาสตร์หรืออารยธรรมโลกมาก็คงได้ข้อมูลจากอาจารย์ตรงกันว่า ทุกชาติทุกภาษาที่สร้างปิระมิดล้วนแต่พัฒนารูปทรงของมันมาจากภูเขาทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า เทพเจ้าของพวกเขาสถิตย์อยู่บนขุนเขานั่นเอง ตัวอย่างเช่น ภูเขาโอลิมปัสของกรีก เขาไกรลาสของอินเดีย เขาแอนดิสในอเมริกาใต้ รวมไปถึงฟูจิซังภูเขาไฟที่มีภูมิทัศน์สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น

    ในไบเบิลเองก็กล่าวถึงยะโฮวา ในฐานะผู้สวมบทบาทของ "พระเจ้าแห่งขุนเขา" ด้วยครับ

    แต่ นักลึกลับศาสตร์และนักจานผีวิทยา(OFOlogist) กลับมองลึกลงไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าการสร้างปิระมิดของคนโบราณ คือมรดกตกทอดที่มนุษย์ได้รับมาจากพระเจ้า(ซึ่งมาจากอวกาศ?) ตัวอย่างง่ายๆ ชนชาติที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณนั้น ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวพันกับการสร้างปิระมิดอย่างล้ำลึก บางชาติเช่นสุเมเรียนและอินคาถึงกับมีบันทึกระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ศาสตร์ในการสร้างปิระมิดขนาดใหญ่นั้น พวกเขาได้รับการถ่ายทอดจาก"พระเจ้า"ครับ

    อืม... ฟังดูคลาสสิคและก็เป็นไปได้มากเสียด้วย เพราะปิระมิดหลายแห่งนั้น ต่อให้ใช้เทคโนโลยีและกำลังคนที่มีในศตวรรษที่ 21 ก็ยังทำได้ยาก ลำพังคนโบราณที่อาศัยเพียงแรงหรือเครื่องไม้เครื่องมือง่ายๆนั้นไม่น่าจะ สร้างขึ้นมาได้ นอกจากอาศัยความช่วยเหลือของ "พระเจ้า" เท่านั้น คำพูดนี้ว่ากันตามความน่าจะเป็นและการศึกษาทางโบราณคดีนะครับ มิได้ดูถูกสติปัญญาของคนโบราณแต่ประการใด


    :: Why The Pyramids Everywhere ?::

    ปิ ระมิดทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกใบนี้ ล้วนแต่มีสถาปัตยกรรมและรูปแบบเป็นของตัวเอง นับว่าน่าแปลกนะครับ ปิระมิดเหล่านี้มีอยู่แทบจะทุกทวีป ทั้งใน ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลางและตะวันออกไกล เอเชียแปซิฟิค รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราด้วย กระจายกันอยู่ทุกสารทิศว่างั้นเถอะครับ

    เนื่อง จากนายโซนิคไม่มีอาชีพเป็นไกด์ผี ดังนั้นจึงไม่สามารถพาทุกท่านไปทัวร์ปิระมิดจนครบทุกที่ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือแนะนำปิระมิดในบางสถานที่ซึ่งมีความ"พิเศษ" บางประการ ความพิเศษดังกล่าวคือสิ่งที่ผมเรียกมันว่าจิ๊กซอครับ จิ๊กซอชิ้นเล็กๆที่จะเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ที่ผมอยากให้ท่านได้ทัศนากันใน วันนี้ แล้วมันมีอะไรน่าสนใจบ้างหรือ? ไปดูกันเป็นที่ๆเลยดีกว่าครับ
    [​IMG]








    Ziggurat อันยิ่งใหญ่ของชาวเมโสโปเตเมียโบราณ​



    อิรัค : สิ่งก่อสร้างทรงปิระมิดโบรารที่เราเรียกกันว่าซิกกูรัต(Ziggurat) ในเมือง Ur ของดินแดน Sumer โบราณ

    อียิปต์ : ปิระมิดแบบ step ในเมืองซัคคารา

    อียิปต์ : หมู่ปิระมิดทั้งสามที่เมืองกีซา หรือมหาปิระมิดนั่นเองครับ ที่นี่เป้นปิระมิดที่มีลักษณะโดดเด่น เพราะผนังของปิระมิดถูกทำให้ราบเรียบ(อย่างน้อยก็ในสมัยก่อน ปัจจุบันไม่เรียบแล้วล่ะครับ เพราะผุพังไปตามกาลเวลาและน้ำมือมนุษย์) นักเขียนชื่อเกรแฮม แฮนค็อค ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับปิระมิดที่กีซาเอาไว้ว่า สิ่งก่อสร้างที่เป็น ground plan ของบริเวณนั้นดูแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างอื่นที่อยู่เบื้องบน เนื่องจากอายุอานามที่ปาเข้าไปถึง 10,500 B.C. หรือหมื่นสองพันกว่าปีนั่นเทียว แต่ตัวปิระมิดแห่งกีซาและปิระมิดเล็กที่รายรอบ กลับสร้างขึ้นราวๆ 2,500 B.C. เท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าแปลกมาก

    เพราะอายุอานามที่แตกต่างกัน ถึงขนาดนั้นนั่นเอง ทำให้หลายคนเชื่อว่า ปิระมิดสามหลังนั้นถูกสร้างเพื่อคร่อมทับซากโบราณสถานในยุคก่อน แต่ข้อนี้ไม่มีใครยืนยันได้เต็มปากเต็มคำหรอก อีกอย่างนะครับ เสียงเล่าลือที่หนาหูเกี่ยวกับอุโมงค์ลับใต้ดินที่อยู่ใต้ปิระมิดนั้น ช่างเย้ายวนใจนักโบราณคดีและผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับเสียเหลือเกิน เป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันทรายได้กลบทับบริเวณนั้นไปหมดแล้ว ครั้นจะมีการรื้อขุดค้นเพื่อหาอุโมงค์ดังกล่าว รัฐบาลอียิปต์และองค์การที่เกี่ยวกับมรดกโลกเค้าคงยอมอยู่หรอกนะครับ ฮึ่ม...

    ปริศนาอีกประการที่อยู่ใกล้ๆกับกีซาก็คือสฟิงซ์ครับ น่าแปลกใจมากที่สฟิงซ์นั้นเลือกสร้างในทำเลที่โดดเด่นมากๆ และมองเห็นได้ง่ายแม้ว่าอยู่บนชั้นบรรยากาศ แถมรูปร่างและพื้นที่รายรอบนั้นก็ดันไปใกล้เคียงกับพื้นที่บนดาวอังคารที่ เรียกว่า ไซโดเนีย อย่าง เป็นที่สุด อันว่าไซโดเนียนี้คือพื้นที่ที่ NASA ไปได้ภาพถ่ายใบหน้าคนบนดาวอังคารมานั่นเองครับ แม้จะมีแถลงการออกมามากมาย และมีหนังสือสนับสนุนจานักวิชาการยืนยันว่ามันเป็นเพียงภูเขาธรรมดาก็ เหอะ...



    [​IMG]





    ปิระมิดของชาวมายา



    เม็กซิโก : ปิระมิดแบบ step สุดสูงแห่งเมือง ชิเซ่น-อิทซา, มองเต อัลบาน, วิหารในเมืองพาเลงกอ, ที่ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับหมู่ปิระมิดแห่งกีซาอย่างน่าประหลาด อันนี้เป็นปริศนาที่ชวนให้ขบกันหัวแตกอีกประการหนึ่งในวงการโบราณคดีเหมือน กันครับ ว่าทำไม๊ทำไมชนโบราณแห่งอเมริกาใต้ถึงได้บุกบั่นขึ้นไปสร้างปิระมิดและศาสน สถานกันบนเขาสูงนัก ปิระมิดหลายๆลูกจงใจต่อเสริมเติมยอดให้โดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับว่าสร้างเพื่อให้สามารถสังเกตได้ง่ายจากทางอากาศกระนั้น...

    เม็กซิโก : ไซต์ทางโบราณคดีที่ขุดค้นกันใหม่ที่โชลูลาซึ่งตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟโปโปเค เตเพเทิล หรือ เอล โปโป(El popo) ในภาษาโบราณของชนพื้นเมือง อันแปลว่า "man-made moutain" หรือภุเขาที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ซึ่งบริเวณนี้เองที่ตำนานของชาวอินคากล่าวไว้ว่า เควซซัลโคเทิลเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้เสด็จลงมาสู่ผืนโลกครั้งแรก โชลูลามีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "the place of flight" ครับ น่าคิดดีป่ะ? และในบริเวณใกล้ๆกันมีปิระมิดที่เรียกกันว่า "Piramide Tepanapa" อยู่ เป็นปิระมิดยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงถึง 200 ฟุต และฐานโดยรอบรวม 1300 ฟุต นับเป็นปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ อ้อ... อาจจะใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ ปิระมิดแห่งนี้มีวิหารเล็กๆประดับอยู่ด้านบนเพื่อประกอบพิธีกรรมลึกลับบาง ประการ ซึ่งภายหลังในยุคที่สเปนรุกรานวิหารดังกล่าวก็แปรสภาพกลายเป็นโบสถ์คริสต์ไป และยังคงอยู่ตราบถึงปัจจุบัน

    เม็กซิโก: ปิระมิด เทรส ซาโปเทส (1400-1300 B.C.) ของชาวออลเม็ค นับเป้นปิระมิดดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดในเมโสอเมริกา เป้นแหล่งโบราณคดีอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้วงการโบราณคดีงงกันเป็นไก่ตาแตก เพราะออลเม็คคืออารยธรรมของชนผิวดำครับ "มีอารยธรรมของนิโกรในอเมริกาก่อนยุคค้าทาส? มันจะเป็นไปได้ไงในเมื่อประวัติศาสตรืที่เราเรียนมา นิโกรจากอาฟริกาขึ้นฝั่งสู่โลกใหม่กับเรือค้าทาสของชาวยุโรป ก่อนหน้านั้นอเมริกากลางไม่เคยมีนิโกรหรือชาวยุโรปไปพำนักอาศัยอยู่แน่ๆ..." หลายท่านอาจจะเถียงผมแบบนี้ ก็ตรงกับที่ผมคิดและสงสัยน่ะนะครับ ซึ่งเราก็คงต้องงงกันต่อไปตราบใดที่ปริศนานี้ยังไขกันไม่กระจ่างชัด เรื่องของชาวออลเม็คนั้น มีคนโยงเข้ากับโมอายที่เกาะอีสเตอร์และหอคอยคนบาปบาเบลด้วย ว่างๆจะเอามาเล่าให้ฟังกัน



    [​IMG]








    นี่ก็ปิระมิดของชาวมายาเช่นกันครับ



    เม็กซิโก : ปิระมิดและวิหารสุริยเทพของชาวอินคาที่เมืองติโอติฮัวกัน หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของชาวอินคาที่รู้จักกันไปทั่วโลก จอห์น มิเชล กล่าวในงานเขียนของเขาว่า วิหารสุริยานั้นใช้มาตรและหน่วยวัดที่ตรงกับหน่วยวัดของชาวฮีบรูว์โบราณ ซึ่งก็บังเอิญว่าไปตรงกับหน่วยวัดที่ใช้กับกองหินยักษ์ สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ หรือโบราณสถานทั้งสองที่มีความเกี่ยวพันกันทั้งที่อยู่กันคนละทวีปครับ?

    กัวเตมาลา : ที่นี่เป็นชุมชนโบราณของชาวมายาที่ชื่อว่า El Miradors ซึ่งเต็มไปด้วยปิระมิดสไตล์มายามากมาย ในจำนวนนี้มีปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดชื่อ Trige pyramid รวมอยู่ด้วยครับ

    เปรู : วิหารแห่งพระอาทิตย์ของชาวโมเช่ (Moche) สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างในวงการโบราณคดี เพราะสร้างจากอิฐดินเผานับสิบๆล้านก้อน และในเปรุอีกเช่นกัน บริเวณที่เรียกกันว่า Huaca del Sol ในหุบเขาโมเช่ มีปิระมิดทรงสูงสร้างจากอิฐดินเผา ด้านหน้าของปิระมิดมีวิหารที่ชื่อ Huaca del luna วิหารที่ใช้บวงสรวงพระเจ้า ซึ่งตำนานของคนพื้นเมืองกล่าวว่านั่งเรือสีทองลงมาจากท้องฟ้า



    [​IMG]








    ซิกกูรัตแห่งนคร Ur อันเลื่องลือ



    โบลิเวีย : Akapana ซึ่งเป็น Platform-Pyramid ในเมืองเทียฮัวนาโค นักโบราณคดีคะเนอายุของมันเอาไว้ว่าสร้างขึ้นเมื่อ 1580 B.C. สถาปัตยกรรมของปิระมิดนี้นับว่าคล้ายคลึงกับที่ยิปต์อย่างน่าประหลาด

    ชวา : Cani Sukuh Pyramid ที่อยู่ใกล้ๆเมืองไทยของเรานี่เอง นักโบราณคดีกล่าวว่า มันน่าประหลาดที่ปิระมิดในชวากลับไปมีลักษณะการออกแบบคล้ายกับปิระมิดใน อเมริกาใต้ ใครครับ? ใครกันที่หอบเอาสถาปัตยกรรมแบบอินคาข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอินโดนีเซียเพื่อน บ้านของเรา

    หมู่เกาะริวกิว: เคยเล่าไปแล้วในตอนโบราณสถานใต้น้ำแห่งโยนากุนิ (อยากอ่านวีรกรรมและการค้นพบของนายอาราทาเกะ นักประดาน้ำชาวญี่ปุ่นก็คลิก ที่นี่ ได้ เลยครับสำหรับผู้ยังไม่เคยอ่าน) ปัจจุบันยังถกเถียงกันอยู่ว่า แนวกำแพงซึ่งอยู่ใต้น้ำและแผ่นหินที่คล้ายกับปิระมิดมากๆนั้น เกิดขึ้นโดยฝีมือของธรรมชาติหรือว่าเป็น man-made (ดูจากรูปแล้วตัดสินเอานะครับ) อ้อ อายุอานามของมันก็ราวๆ แปดพันปีก่อน ค.ศ. หรือหมื่นกว่าปีก่อนนู้น... ตรงกับยุคแอตแลนติสเลยเนอะ

    จีน: ปิระมิดขาว (The White Pyramid) แห่งเมืองซีอาน ซึ่งนักสำรวจชาวเยอรมันนาม ฮาร์ทวิก ฮาวดอร์ฟ ได้เขียนในหนังสือเกี่ยวกับปิระมิดในแผ่นดินจีนของ เขาว่า มีปิระมิดดินเหนียวในลักษณะเดียวกันนับพันๆลูก กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินมังกรอันไพศาล เสียดายที่ไม่มีนักสำรวจชาวตะวันตกหน้าไหนเข้าไปศึกษาอย่างใกล้ชิดได้ ก็แหงสิครับ อยู่หลังม่านไม้ไผ่ออกขนาดนั้น ปิระมิดขาวมีความสูงประมาณ 200 ฟุต ตั้งอยุ่บริเวณใกล้เคียงกับสุสานของฉินสื่อหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้นั่นเอง

    โพลีนีเซีย: "Modest Pyramid" ในตองกาบู วิหารทรงปิระมิดในตาฮิติ และแลงกีปิระมิดในตัวฮาลา

    กรีซ: ปิระมิดแห่งเฮลลินิกอนใกล้ๆกับอาร์กอส เป็นปิระมิดเล็กๆที่ยังสร้างไม่เสร็จ จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบว่า การก่อสร้างดังกล่าวขาดการต่อเติมยอดขึ้นไปอีกประมาณ 10 ฟุต ปิระมิดนี้จึงจะเสร็จสมบูรณ์ อะไรกันหนอที่ทำให้คนโบราณเหล่านี้ละทิ้งงานไปเสียกลางครัน และที่สำคัญพวกเขาเป็นใครกันครับ เนื่องจากอายุอานามของปิระมิดที่อาร์กอสนั้น มันเก่ากว่ามหาปิระมิดที่อียิปต์เสียอีก



    [​IMG]









    ปิระมิดใต้น้ำที่โยนากุนิ​



    หมู่เกาะคานารี: ปิระมิดแห่งกุยมาร์ ที่ซึ่งนักสำรวจชื่อ ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า "มันเป็น step pyramid ที่มีสถาปัตยกรรมคล้ายกับปิระมิดของคนโบรารในเปรูและโบลิเวียอย่างที่สุด ทั้งที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่น่าจะรับอิทธิพลเหล่านั้นมาได้ เนื่องจากอยู่คนละซีกโลกกัน แถมสภาพภูมิศาสตร์ที่โดนตัดขาดจากโลกภายนอกยังมาเป็นตัวคั่นอีกต่างหาก"

    สหรัฐอเมริกา: ปิระมิดโบราณแห่งคาโฮเกีย รัฐอิลลินอย เป็นปิระมิดทำมาจากดินเหนียว ซึ่งคาดว่ายังมีปิระมิดลักษณะนี้ตกค้างหลงสำรวจในดินแดนมะริกันอีกเป็นจำนวน มาก

    ฟู่... เหนื่อย นี่ยังไม่หมดหรือถึงครึ่งเลยนะครับ ยกมาแค่ตัวอย่างที่เห็นกันชัดเจนเท่านั้น แต่แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะครับที่จะชี้ว่า โลกของเรานี้เต็มไปด้วยปิระมิดที่ถูกสรางขึ้นมาโดยคนโบราณ ทำไมต้องเป็นปิระมิด? และพวกเขาสร้างปิระมิดขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร นั่นยังเป็นคำถามที่ค้างคาใจนักโบราณคดี และหาคำที่เหมาะสมร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน

    จิ๊ก ซอชิ้นเล็กๆที่จะนำมาประกอบเป็นภาพรวมเพื่อไขปริศนาของเราในวันนี้ มีคีย์สำคัญอยู่ที่"พระเจ้า"ครับ พระเจ้าของคนโบราณที่สั่งให้มีการสร้างปิระมิดเหล่านี้ขึ้นมา และบางครั้ง บันทึกเรื่องราวของคนโบราณก็บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า "พระเจ้า"บางองค์ได้เสด็จลงมาควบคุมและสั่งการก่อสร้างด้วยตนเอง



    [​IMG]







    ดูขนาดอันมโหฬารของมันสิครับ แถมไปสร้างบนเขาสูงด้วย ทำได้ไงกันเนี่ย...



    เคยได้ยินชื่อของ Gudea ไหมครับ? Gudea คือผู้สร้างซิกกูรัตแห่งลากาซ (น่าสังเกตว่าบทบาทของเทพองค์นี้คล้ายคลึงกับเทพบางองค์ในหลายๆอารยธรรม อาทิเช่น Kothar-Hasis แห่งบาบิโลน, เฮเฟตัสหรือวัลแคนของกรีกและโรมันโบราณ, ส่วนในอียิปต์นั้น บทบาทนี้ตกเป็นของเทพเจ้าธ็อธบิดาแห่งความรู้และวิทยาศาสตร์ ) ว่ากันว่า Gudea ถูกยกย่องให้ขึ้นเป็นเทพในภายหลัง เขาออกแบบซิกกูรัตหลายแห่งในตะวันออกกลางภายใต้การชี้นำของพระเจ้าหรือ Annunnaki


    Zecharia Sitchin เจ้าของเรื่อง 12th Planet อันลือเลื่องให้ข้อสังเกตว่า มีความเกี่ยวเนื่องบางประการระหว่างปิระมิดทั้งสามแห่งอียิปต์และปิระมิด แห่งพระอาทิตย์ในทิโอติฮัวกันว่า มันตั้งอยู่ ณ 43.5 องศาเหมือนกัน แถมมีลักษณะการก่อสร้างคล้ายกันอย่างนะประหลาดทั้งขนาดและความสูง เชื่อไหมครับว่า ปิระมิดที่เกี่ยวข้องกับตำนานพระเจ้าจากอวกาศนั้น มีความเหมือนกันอย่างอย่างน่าทึ่งมากๆ ปิระมิดเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของกษัตริย์ และก็ไม่ใช่ศาสนสถานที่ใครๆจะพากันเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ ไอ้ใช้ประกอบพิธีกรรมน่ะก็มีแหละครับ แต่เฉพาะในเวลาที่พระเจ้าเสด็จลงมาเยี่ยมเยือนเท่านั้น ในเวลาปกติปิระมิดเหล่านี้คือสถานที่ต้องห้าม เป็นดินแดนศักดิสิทธิ์ที่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปย่างกรายผ่านอย่างเด็ดขาด


    :: หรือว่ามันคือ... ลานจอดอากาศยาน... ::

    ครับ! จั่วหัวเอาไว้แบบนี้หลายท่านก็คงทราบแล้วว่าต่อไปผมจะพูดถึงเรื่องอะไร ขอให้นึกภาพในยุคปัจจุบันตามผมไปก่อนนะครับ ลองนึกถึงตึกระฟ้าใหญ่ๆที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ดูนะครับ ไม่แปลกใช่ไหมที่ไหนก็มีกันถ้วนหน้า ไม่เพียงแต่จะใช้จอด ฮ. เท่านั้นนะครับ เครื่องบินที่ขึ้นลงตามแนวดิ่งเช่นแฮร์ริเออร์ของนาโต้ ก็อาศัยที่จอดเหล่านี้ได้เช่นกัน

    แล้วสมัยโบราณยุคเดียวกับที่สร้างปิระมิดกันนั้น เค้ามีเครื่องบินใช้กันแล้วเรอะ? อืมห์... จะว่าไงดีล่ะ ลองหาบทความเรื่องวิมานะ หรือ นักบินอวกาศยุคโบราณ ซึ่งผมเคยนำมาลงแล้วก่อนหน้านี้อ่านกันดูนะครับ เผื่อจะเห็นภาพอะไรชัดเจนขึ้น

    มา ถึงตอนนี้ก็น่าจะอนุมานกันได้บ้างแหละน่า ว่าปิระมิดใหญ่ๆในสมัยโบรารนั้น จุดประสงค์ในการสร้าง ก็คงเพื่อเป็นลาดลงจอดหรือจุด landing ให้กับพระเจ้าจากอวกาศนั่นเอง เอาอะไรมาพูดหรือครับ? ลองดูลักษณะของปิระมิดโบราณดีๆนะครับ มันมีพื้นที่หน้าตัดอยู่ด้วยตรงยอด มันชวนให้คิดไหมล่ะว่า ลักษณะช่างไปคล้ายคลึงกับลานจอด ฮ. บนตึกระฟ้าเป็นที่สุด อีกประการ ความแข็งแกร่งของฐานปิระมิดพวกนี้ทำให้มั่นใจได้เลยครับว่า สามารถรองรับการลงจอดของเครื่องขึ้นลงแนวดิ่งได้ทุกประเภท แม้แต่เครื่องบินในปัจจุบันที่เป็นเครื่องบินประเภทเบา เข้าท่าใช่ไหมล่ะครับไอเดียนี้ แถมปิระมิดเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไปสร้างกันไว้ในที่สูงๆ ทั้งนี้อาจจะเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตจากทางอากาศก็ได้


    แค่ลานจอด ฮ. ถึงกับต้องลงทุนสร้างปิระมิดเลยเรอะ?

    ก็ คงงั้นมั้งครับ อย่าลืมสิว่า ปัญหาประการหนึ่งของเครื่องขึ้นลงแนวดิ่งก็คือ ฝุ่นและดินครับปลิวฟุ้งไปเลยแน่ๆ แถมลงจอดในที่ชุมชนแล้วด้วยนะ อะไรๆมันจะปลิวไปกับแรงลมบ้างก็ไม่รู้ แถมน้ำหนักเครื่องก็อาจทำให้ดินยุบได้หากไม่มีการทำฐานที่ดี ที่หนักที่สุดก็คือ หากอากาศยานของพระเจ้าดันขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนตร์ที่ปนเปื้อนรังสีเข้า การไปจอดในที่ชุมชนคงไม่โสภาเท่าไหร่แน่ๆ

    ...เพราะงั้นล่ะมั้ง ในตอนแรกๆของไบเบิลจึงกล่าวถึงบทบาทของยะโฮวาและเอโลฮิมว่า เวลาที่พระเจ้าเหล่านี้จะเสด็จลงมายังโลกเพื่อพบมนุษย์แต่ละครั้ง มักจะเสด็จลงมาบริเวณที่เป็นภูเขาสูงหรือมีหินใหญ่กำบังอยู่เป็นอันดับแรก เพื่อป้องกันรังสีหรือ? (โปรดอ่านไบเบิ้ลกับพระเจ้าจากอวกาศประกอบด้วยนะคร๊าบ)

    :: หลุมหลบภัยมากกว่าล่ะมั้ง? ::

    ย้อน กลับมาดูที่อียิปต์ ปิระมิดจำนวนมากที่เข้าใจว่าสร้างเพื่อเก็บพระศพของฟาโรห์นั้น จริงๆแล้วกลับไม่ใช่เสียแล้วสิครับ ปิระมิดหลายลูกเต็มไปด้วยห้องลับมากมาย ที่นักโบราณคดีขบไม่แตกว่าจะสร้างขึ้นมาทำพระแสงของ้าวอะไรกัน ตัวอย่างเช่น ห้องที่เรียกกันว่า Queen Chamber และห้องลับใต้ดินในปิระมิดของสเนเฟรูครับ แต่ก็แปลกนะครับ ที่ห้องที่นักโบราณคดีว่ากันว่าเป็นห้องเก็บพระศพนั้น ทำไม๊ทำไมการออกแบบถึงได้ไปคล้ายคลึงกับหลุมหลบภัยในสมัยปัจจุบันนัก

    ปิ ระมิดเก่าๆในยุคต้นเช่น ปิระมิดแห่งไมซีรินุส, ยูนาส, เทตี ต่างก็มีห้องใต้ดินครบครัน ไม่มีหลักฐานใดๆที่ระบุว่าปิระมิดเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเก็บพระศพของบรรดา คนในราชวงศ์ แต่ละที่ก็ล้วนมีอุโมงค์ใต้ดินที่ขุดลึกลงไปชนิดลึกมากๆ คนโบราณเค้าขุดกันลงไปทำไมครับ ขุดไว้หลบระเบิดนิวเคลียร์เรอะ?

    "...ก็อาจเป็นไปได้นา"

    ไม่ ใช่คำพูดนายโซนิคนะครับ ^^! อันนี้มาจากคำกล่าวของนักวิทยาศาสตร์บางท่าน ที่ทำการศึกษาสถาปัตยกรรมและบริเวณรายรอบของปิระมิดเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง น่าแปลกตรงที่ว่าปิระมิดที่กล่าวมาถูกออกแบบราวกับหลุมหลบภัยในสมัยใหม่ แถมเป็นหลุมหลบภัยชั้นดีเมื่อเกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วยครับ เนื่องจากทางเดียวที่จะรอดพ้นจากรังสีและพิษร้ายของนิวเคลียร์บอมบ์ได้ ก็คือการลงไปอยู่ใต้ดิน (ว่างๆลองหาหนังสือหรือบทความว่าด้วยเรื่องของระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนา งาซากิมาอ่านเล่นกันนะครับ ลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มีแต่อยู่ใต้ดินหรือศูนย์กลางแรงระเบิดนั่นแหละ ถึงจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด - - ระเบิดปรมาณูส่วนใหญ่ระเบิดกลางอากาศสูงเหนือพื้นดินขึ้นไปนะครับ อย่าลืมเสีย) ดูเหมือนเป็นสิ่งก่อสร้างแบบโบราณๆ แต่ความหนาจากอิฐและดินนี่แหละครับ ที่ช่วยป้องกันแรงทะลุทะลวงของรังสีแกมมาจากนิวเคลียร์บอมบ์ได้เปHนอย่างดี

    ...สำหรับเรื่องการใช้นิวเคลียร์เป็นอาวุธสงครามนั้น ผมจะกล่าวถึงในตอนต่อๆไปของชุดนี้ครับ



    [​IMG]










    ส่วนนี่คือปิระมิดที่พบแถบหมุ่เกาะในแปซิฟิคครับ...​



    มา ดูกันหน่อยครับ กับข้อมูลที่นักเขียนชื่อ Mark และ Richard Wells ได้เขียนเอาไว้ พวกเขากล่าวว่า ตำแหน่งที่ตั้งของปิระมิดกับตำแหน่งดาวบนท้องฟ้าดูจะมีความสัมพันธ์กันเป็น พิเศษ โดยเฉพาะกับกลุ่มดาวนายพรานหรือ Orion's belt ครับ... ทฤษฎีนี้ไม่น่าประหลาดเพราะรู้กันมานานแล้ว ในเว็บของผมก็เพิ่งเอาบทความที่ได้จากน้องโอลงไปแหม่บๆ แต่ทราบไหมครับว่า นอกจากปิระมิดทั้งสามที่กีซาแล้ว ปิระมิดที่เมืองซีอานในจีน และที่ทิโอติฮัวกันในเม็กซิโกนั้นห็มีลักษณะคล้ายกันไม่มีผิด มันบังเอิญเกินไปไหมจ๊ะแฟนๆจ๋า?


    :: สรุป ::

    เรื่อง ของเราในวันนี้พูดกันถึงแต่ปิระมิดเพียวๆ ที่สูงตั้งแต่ 40-400 ฟุต ฐานมีขนาดตั้งแต่ 100-2300 ฟุต ภายในมีอุโมงค์และห้องลับที่ขุดลึกลงถึงชั้นใต้ดิน สถาปัตยกรรมเชิงโครงสร้างเป็บแบบขั้นบันไดบ้าง ผนังเรียบบ้าง วัสดุในการก่อสร้างส่วนมากจะหาได้ในท้องถิ่น ซึ่งก็มีทั้งหินก้อนมหึมาที่เอามาตัด อิฐดินเผา อิฐดินเหนียว และบนยอดของปิระมิดส่วนมากมีลักษณะเป็นหน้าตัด บางแห่งมีวิหารเล็กๆประดับอยู่ด้านบนเสียด้วย สำหรับจุดประสงค์ในการสร้างนั้น ผมคงสรุปไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรอกนะครับว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไรกันแน่ ก็ผมเกิดไม่ทันยุคนั้นนี่นะ^^! จึงได้แต่อ้างข้อสันนิษฐานของชาวบ้านมาอีกต่อหนึ่งว่า ปิระมิดหลากขนาดหลายไสตล์ที่ระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทุกมุมโลกนั้น วัตถุประสงค์ในการสร้างน่าจะประกอบด้วย เพื่อเป็นจุดชี้พิกัดจากทางอากาศ, หลุมหลบภัย, ลานจอดอากาศยานที่ขึ้นลงแนวดิ่ง, รวมไปถึงเป็นสถานที่ประกอบพิะกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อบวงสรวงพระเจ้าจาก อวกาศ...

    ...และทั้งหมดทั้งเพนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในยุคสมัยอันไกลโพ้นที่มนุษย์และพระเจ้าอาศัยอยู่ร่วมกัน


    earthunseen.blogspot.com: Ancient Astronaut: บทที่ 2 นักบินหรือพระเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  4. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    Ancient Astronaut: บทที่ 3 เทคโนโลยีชีวภาพแห่งเทพ


    Ancient Astronaut: บทที่ 3 เทคโนโลยีชีวภาพแห่งเทพ
    " โลกของเรามีสัตว์ในสปีชี่ส์ลิงและกบี่(Ape)อยู่ 193 สปีชี่ส์ 192 ใน 193 เป็นสัตว์ที่มีขนปกคลุมตัวรุงรัง ดูเหมือนมีอยู่สปีชี่ส์เดียวเท่านั้นที่ดูแตกต่างออกไป นั่นคือลิงเปลือยที่มีชื่อว่า โฮโม เซเปียนส์"

    - Desmond Moriis -


    "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของวันวานคือความหวังในวันนี้ และเป็นไปได้จริงในวันพรุ่งนี้"

    - Robert Goddard -
    คำแนะนำ: โปรดอ่าน The Origin of Human ก่อนเสียหากคุณยังไม่เคยอ่าน จะได้รู้ว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่
    สำหรับ สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศแล้ว ตำนานการ สร้างโลกโดยพระเจ้าหรือที่เรียกกันว่า Divine Creation นั้น มีหลายจุดในตำนานที่ชวนให้ระลึกถึงเทคโนโลโลยีที่กำลังก้าวหน้าอยู่ใน ปัจจุบัน ครับ... เรากำลังพูดถึงเรื่องของเทคโนโลยีชีวภาพหรือ BioTechnology กันอยู่ เชื่อไหมครับว่า จริงๆแล้ว Biotechnology ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งค้นพบในปัจจุบันเลย มันเป็นการ "ค้นพบอีกครั้ง" หลัง จากที่เทคโนโลยีนี้เคยถูกใช้บนโลกของเรามาเมื่อนานแสนนานแล้วต่างหาก เหมือนที่วงการดาราศาสตร์พบว่ามีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะทั้งหมด 9 ดวงในต้นศตวรรษที่แล้ว ทั้งที่ชาวสุเมเรียนหรือชาวอียิปต์รู้ความจริงนี้มาตั้งหลายพันปีแล้วด้วย ซ้ำ เทคโนโลยีชีวภาพก็เช่นเดียวกัน...

    บทนี้จะเป็นการขยายความ เรื่องที่ผมเคยลงไปแล้ว คือไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศ และ Planet X ของชาวสุเมเรียนนะครับ โดยจะยกตัวอย่างของการตีความเล็กๆน้อยๆจากหลักฐานทางโบราณคดี เนื่องจากหลายท่านคงสงสัยแหละว่า เรื่องอัศจรรย์พันลึกเหล่านี้ คนโบราณเค้าบันทึกไว้อย่างไรหรือ แล้วแปลกันออกมาอีท่าไหนไหงได้เรื่องเหลือเชื่อราวกับนิยายวิทยาศาสตร์เสีย อย่างนั้น พร้อมจะดูกันหรือยังล่ะครับ?


    [​IMG]







    :: เทคโนโลยีของพระเจ้า ::

    นักคิดนักเขียนหลายคนเชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำว่า นานมาแล้ว โลกเราเคยถูกเยี่ยมเยือนและพัฒนาโดยนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งจากดวงดาวอันไกล โพ้น พวกเขามาตั้งอาณานิคมอยู่บนโลกด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง ทำการพัฒนาสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และพัฒนามนุษย์เพื่อ วัตถุประสงค์บางประการ นักท่องอวกาศกลุ่มนี้ปกครองโลกอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีมนุษย์คอยเป้นพลเมืองอันจงรักและยกย่องพวกเขาให้เป็นพระเจ้า ครับ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ไม่ผิดนัก เพราะคำจำกัดความในแง่ศาสนาแล้ว มหิทธานุภาพของพระเจ้าซึ่งไม่มีสิ่งใดมาเทียมทานได้ก็คือ ความสามารถในการให้กำเนิดหรือสร้างชีวิตนั่นเอง (ไม่ใช่สร้างชีวิตด้วยการสืบพันธุ์นะครับ อันนั้นคุณหรือผมก็ทำได้ แต่กามเทพคงต้องทำงานหนักหน่อยสำหรับบางคู่น่ะนะ หึหึ..)

    นักท่องอวกาศ กลุ่มนี้ถูกเรียกขานจากคนโบราณว่าพระเจ้า ซึ่งถ้าใครสนใจเรื่องทำนองนี้จะพบว่า หนังสือหลายๆเล่มเรียกนักท่องอวกาศกลุ่มนี้ต่างๆกันไป God from space บ้างล่ะ Ancient Astronauts บ้างล่ะ ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่าเป็นชื่อเรียกของสิ่งเดียวกัน แต่จะเป็นกลุ่มหรือคนเดียวกันนั้นไหมไม่รู้ด้วยนะครับ เนื่องจากคนโบราณที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ต่างก็มีอัตลักษณ์ทาง วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แม้บางส่วนจะคล้ายกันบ้างแต่ก็ยังต่างกันอยู่ ทำให้ชวนเชื่อเหลือเกินว่า พระเจ้าดังกล่าวไม่ได้มาเยือนโลกเพียงแค่กลุ่มเดียวเสียกระมัง


    แล้วพวกเขามาทำอะไรกันบนโลก มาตากอากาศอย่างเดียวเรอะ?

    คงจะไม่หรอกกระมังครับ เพราะหลักฐานที่เราพอจะหาได้ พระเจ้าจากอวกาศมาตั้งรกรากบนโลกของเราด้วยวัตถุประสงค์หลายประการอยู่ ชาวสุเมเรียนบอกว่าพระเจ้าที่พวกเขาเรียกขานกันว่า Anunnaki นั้น มาแสวงหาแหล่งทรัพยากรบนโลกของเราเพื่อส่งกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของพวกเขา อันเป็นดาวเคราะห์ขนาดมหึมาที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 3600 ปี ส่วนชาวมายานั้น บอกว่า พระเจ้าเสด็จลงมายังโลกเพื่อแสวงหาอาณานิคมและสร้างอาณาจักรชั่วคราว ก่อนจะเสด็จกลับไปยังดาวที่เป็นแหล่งพำนัก ส่วนอียิปต์นั้นเล่า ไม่ได้กล่าวขานกันว่าพระเจ้าของพวกเขาลงมาทำอะไรกันบนโลกใบนี้ แต่ก็ระบุเป็นนัยๆถึงถิ่นฐานของพระเจ้าว่าอยู่อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า บริเวณที่เป็นกลุ่มดาว Orion นั่นเป็นบันทึกของชาติที่ยิ่งใหญ่ในอดีตครับ ลองมาดูชนเผ่าเล็กๆด้อยพัฒนาอ่างชาวโดกอนในแอฟริกา พวกเขารู้จักแฝดของดาวซิริอุสมากว่าพันปีทั้งที่ไม่มีกล้องโทรทัศน์ แต่วงการดาราศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งมาส่องพบเอาเมื่อเร็วๆนี้เอง มันหมายความว่าอย่างไรหรือครับ หรือสิ่งที่ชาวโดกอนสั่งสอนกันมาว่า นอมโมส มนุษย์มัจฉาพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆดาวซิริอุส และลงมาสั่งสอนวิชาความรู้ให้บรรพชนชาวโดกอนอยู่พักหนึ่งนั้นมันเป็นความ จริง?

    พระเจ้าจากอวกาศ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ได้ให้อะไรกับโลกนี้มากหลาย ทั้งในเชิงสร้างสรรค์และทำลาย การสร้างกองทัพโคลนเหมือนใน Star Wars Episode II ตลอดจนการใช้อาวุธมหาประลัยประหัตประหารชิงอำนาจกัน ยังคงมีหลักฐานหลงเหลืออยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ชะรอยว่า นิสัยก้าวร้าวก่อสงครามของมนุษย์นั้น พระเจ้าจากอวกาศเป็นผู้ประทานให้เป็นมรดกสืบทอดมากระมังครับ... (เรื่องสงครามนิวเคลียร์สมัยโบราณนี้ จะอยู่ในบทของ"สงครามปิระมิด" กับ "Wars of Gds and Men" ที่ผมกำลังเรียบเรียงอยู่)

    มรดก ที่บ่งถึงความรุ่งเรืองในยุคสมัยแห่งพระเจ้ากระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งก็มีบ้างที่รอการค้นพบ ที่ถูกทำลายไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็แยะ ผมเองก็เล่าเรื่องพวกนี้ไปเยอะแล้วเหมือนกันในเว็บไซต์แห่งนี้ ทั้งถาวรวัตถุและโบราณสถาน, เศษชิ้นส่วนที่เราเรียกกันว่า Artifacts, แผนที่โบราณอายุหลายพันปีที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีถ่ายภาพทางอากาศ, หินไอก้าในเปรู, คอมพิวเตอร์โบราณที่ใต้ก้นทะเลอีเจี้ยน นี่คือสิ่งที่จับต้องได้ครับ ยังไม่รวมถึงทฤษฎี-ความรู้-แนวคิด ของคนโบราณ(ซึ่งอ้างว่าพระเจ้าสอนฉันมานะ)เช่น เรื่องของดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ตลอดจนวิศวกรรมศาสตร์อันเหลือเชื่อ และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเรากำลังแกะรอยกัน เพราะวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเพิ่งก้าวมาถึงขั้นที่พอจะเข้าใจขอบเขตของความรู้ แขนงได้ นั่นคือ Biotechnology ครับ

    ... ตำนานก็คือตำนาน แต่ในบางมุมมองนั้น ตำนานโบราณบางเรื่องชวนให้เราอดนำมาเปรียบเทียบกับศาสตร์สมัยใหม่อย่าง Biotechnology ไม่ได้ โดยเฉพาะตำนานของชาติที่ "เข้าข่ายน่าสงสัย" บางชาติ บทบาทที่แทรกอภินิหารหลายบท มันคืออภินิหารของ Biotechnology ชัดๆ มาดูกันหน่อยไหมล่ะ?



    [​IMG]











    ## ธ็อธ เทพ แห่งความรู้ของอียิปต์โบราณ ได้ช่วยเหลือเทวีไอซิส ในการสกัดและผสมผสานส่วนหนึ่งของร่างกายนางและสวามีคือเทพโอสิริส เพื่อให้กำเนิดเทพเหยี่ยวโฮรัสขึ้นมา จากนั้นสงครามเพื่อล้างแค้นให้โอสิริสผู้เป็นบิดาจึงเกิดขึ้น (ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เซธผู้เป็นอนุชาของโอสิริสได้ปองร้ายโอสิริสจนถึงแก่ความตาย และปกครองอียิปต์แทนโอสิริส จนกระทั่งโฮรัสมาชิงอำนาจคืน สงครามระหว่างทั้งสองส่งผลให้ป่าอันเขียวชะอุ่มกินบริเวณกว้างขวาง กลายเป็นทะเลทรายซาฮาร่าในปัจจุบัน! ) นักเขียนหลายคนสังเกตว่า บทบรรยายการต่อสู้ของเซธกับโฮรัส กล่าวถึงสงครามนิวเคลียร์เอาไว้หลายจุด และ Zecharia Sitchin ก็เรียกสงครามครั้งนี้ในหนังสือของเขาว่าสงครามปิระมิดด้วยครับ

    ## ยังหนีไม่พ้นเรื่องของอียิปต์โบราณ เซธปองร้ายโอสิริส และแยกชิ้นส่วนของพี่ชายกระจัดกระจายไปทั่วอียิปต์ เทวีไอซิสตามไปเก็บชิ้นส่วนดังกล่าวของสวามีมา พันด้วยผ้าแน่นหนา และใช้ศาสตร์ลับของนางทำให้โอสิริสกลายเป็นมัมมี่องค์แรกของอียิปต์ไป เหมือนกับย่อหน้าข้างบนไหมครับ Biotechnology มีบทบาทกับเทพโบราณเหล่านี้เอามากๆเลย แต่นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ในตำนานของอียิปต์เอง ยังมีเรื่องราวที่เป็นแนวคิดทางการแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพอีกมาก เอาไปแค่หอมปากหอมคอก่อนละกันนะ

    ## เควซซัลโคเทิล (Quetzalcoatl) แห่งอเมริกาใต้ เทพองค์นี้รับบทบาทเหมือนพระผู้สร้างในดินแดนอื่นๆ พระองค์สร้างมนุษย์จาก image ของตนเอง เป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาเทพโบราณของอินคานั้น รูปร่างของแต่ละองค์ล้วนเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์หรือไม่ก็พิศดารพันลึกไปเลย มีเพียงเควทซัลโคเทิลองค์เดียวก็สามารถจำแลงแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ อะไรคือความลับในการ morphing แบบนี้ครับ? เทพโบราณของอินคาเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสปีชี่ส์กับมนุษย์โลกหรือเปล่า?

    ## มาดูทางตะวันออกกลางบ้าง ตำนานเรื่องกำเนิดของจอมพลังอย่างแซมซันนั้นก็แฝงไปด้วยปริศนาชวนฉงน มารดาของแซมซันได้รับการมาเยือนจากทูตสวรรค์ของยะโฮวา ทูตสวรรค์ได้ทำนายเอาไว้ว่านางจะมีบุตรในไม่ช้า และเติบโตมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า Nazarite อันหมายถึงผู้รับใช้หรือผู้อุทิศดวงจิตให้แก่พระเจ้านั่นเองครับ ทูตสวรรค์ให้คำแนะนำแก่นางมากมาย จนน่าแปลกใจว่า ทูตสวรรค์ดังกล่าวช่างทำตัวคล้ายแพทย์เหลือเกินแถมรู้เพศของทารกก่อนจะเกิด เสียด้วย (เป็นที่น่าดีใจว่า ความสามารถของทูตสวรรค์ในไบเบิลอันนี้ ปัจจุบันเราก็ทำได้เหมือนกัน)

    ตำนานของอเมริกากลางและอินเดียนแดง ล้วน กล่าวถึงการกำเนิดของเทพเจ้าในร่างของสาวพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เกิดจากการร่วมเพศ การตั้งครรภ์ของหญิงพรหมจรรย์นามชิมัลมา หรือ หญิงม่ายโคอัตลิคูของทอลเท็ค บอกให้เราทราบเป็นนัยๆถึงการผสมเทียมและโคลนนิ่ง ในกรณีของโคอัตลิคูผลแทรกซ้อนทำให้ร่างกายและจิตใจของนางเปลี่ยนแปลงไปอย่าง น่าตกใจที่สุด Biotechnology ทำให้นางมีอายุยืนขึ้นแต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของพลเมืองที่ต้องนำมาเซ่น สังเวยแก่นาง

    สำหรับตำนานของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคืออารยธรรมสุเมเรียนนั้น เล่า มีเรื่องราวของการสร้างงมนุษย์คนแรกของโลก "อาดัม" (ครับ... เรื่องเดียวกับในไบเบิลนั่นแหละ) Zecharia Sitchin ผู้ศึกษาอักษรคิวนิฟอร์มจนแตกฉานสรุปเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้ในงานเขียน ของเขาว่า

    "... เทพผู้สร้าง Enki ดำริที่จะสร้างมนุษย์จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยุ่แล้วบนโลก วัตถุดิบที่พวกเขาหามาทำการทดลองคือลิง ape เพศเมีย มนุษย์ที่พวกเขาสร้างนั้นเรียกกันว่า Lulu Amelu (the mixed worker) โดยการนำเอายีนของพระเจ้าคือ Anunnaki มาผสมเข้ากับเซลของมนุษย์โลก จากนั้นก็ฝังเข้าไปในรังไข่ของ Anunnaki เพศหญิง หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นาน พวกเขาก็ประสบความสำเร็จ มนุษย์โลกที่เป็น Homo Zapiens ในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉนี้..."

    บทแทรก: ตัวอย่างแนวทางการตีความตามตำนาน

    เป็นไงครับ เรื่องราวที่เพิ่งผ่านตามาเมื่อหน้าที่แล้ว อาจสร้างความกระพร่องกระแพร่งมึนงงให้กับหลายๆท่านเอาได้ บางท่านก็อาจสงกาว่า คนโบราณเค้าบันทึกไว้อย่างนี้ตรงๆหรือ นักเขียนบางคนที่อ้างตำนานโบราณเค้ายกเมฆเอาเองไหมนะ... ซึ่งตรงนี้ผมคงต้องเรียนว่า ต้นฉบับที่ผมใช้อ้างอิงนั้นเป็น text ที่ค่อนข้างยาวครับ รายละเอียดครบถ้วนชนิดยกมาวิเคราะห์กับบทต่อบทคำต่อคำ ครั้นจะให้ผมยกมาทั้งดุ้นแล้วแปลทีละบรรทัดน่ะ ผมไม่อุตสาหะทำขนาดนั้นแน่

    แต่ว่าน่ะนะครับ ถ้าไม่มีตัวอย่างแนวทางการตีความสักหน่อย เดี๋ยวท่านจะหาว่านายโซนิคยกเมฆเอาได้ ดังนั้น ผมขอ quote มาซักตัวอย่างนึงเพื่อให้ท่านเห็นว่า งานเขียนของนักเขียนเหล่านี้ค่อนข้างสมบูรณ์และมีรายละเอียดชวนเชื่อ(ไม่ได้ บอกว่าให้เชื่อนา...)อยู่บ้างเหมือนกัน บทที่ยกมาเป็นบทที่เรารู้จักกันดี เพราะกล่าวตรงกันทั้งสองแหล่ง นั่นคือตำนานของชาวสุเมเรียนกับบทเยเนซิสที่ว่าด้วยการสร้างโลกและมนุษย์



    [​IMG]






    นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันผู้ทำงานกับ DNA เรากำลังตามรอยของพระเจ้ายังงั้นรึ?



    บอกว่าจะยกมาทั้งดุ้นผมก็ยกมาจริงๆนะเนี่ย บทที่ว่าด้วยการตัดสินใจของเทพแห่งเมโสโปเตเมียที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา ลองอ่านกันดูครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเอาภาษาอังกฤษมาครับ (ถ้าผมอ่านคิวนิฟอร์มออกก็ดีน่ะสิ)



    "... Mix to a core to Clay
    from the basement of Earth,
    just above the Abzu -
    and shape it into the form of a core.
    I shall provide good, knowing young gods.
    who will bring that caly to the right condition."

    Abzu คือดินแดนของเทพเจ้าครับ บทนี้กล่าวถึงการตัดสินใจของ Enki ในการสร้างมนุษย์และมอบหมายหน้าที่ให้เทพธิดาแห่งความรู้ หาทางสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากวัตถุบนโลก อะไรคือวัตถุดังกล่าวครับ ลองมาดูประโยคที่ว่า "Mix to a core the clay " สิครับ ไปตรงกับ "ปั้นแต่งมนุษย์จากฝุ่นผงแห่งพสุธา" หรือ "from the dust of ground" ใน บทเยเนซิสของไบเบิล โคลนหรือฝุ่นชนิดไหนกันครับที่พระเจ้าเอามาสร้างมนุษย์ เรื่องพวกนี้ถ้าอ่านผ่านๆมันก็ตำนานอภินิหารธรรมดานั่นแหละ แต่ถ้าลองมาวิเคราะห์จริงๆจากมุมอื่นแล้ว เราจะเห็นอะไรซ่อนอยู่มากมาย ลองดูตัวอย่างกันนะครับ

    ไบเบิล ฉบับพันธสัญญาเก่าถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาฮีบรูว์ ฉบับแปลทั้งหลายแหล่ที่เรารู้จักกันนั้น คำแปลก็ผิดเพี้ยนไปตาภาษาและการตีความของคนแปล ดังนั้น การศึกษาเราจึงต้องศึกษาจากต้นฉบับที่เป็น Original ของมัน ซึ่งมันจะ Original จริงๆหรือเปล่าก็ไม่มีใครบอกได้ แต่ที่แน่ๆคือฉบับที่เก่าที่สุดย่อมเพี้ยนน้อยที่สุด บทในการสร้างมนุษย์ในไบเบิลกล่าวถึงฝุ่นผงหรือโคลนที่ใช้ในการสร้างมนุษย์ ภาษาฮีบรูว์โบราณใช้คำว่า 'tit' ซึ่งไปตรงกับภาษาสุเมเรียนว่า 'TI.TI' อันมีความหมายในภาษาอังกฤษได้ทั้งคำว่า clay และ "that which is with life'

    ... นั่นคืออาดัมถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือครับ?

    เพื่อเพิ่มความเวียนหัวอีกตลบ มาต่อกันอีกจึ๋งสองจึ๋งท่าจะดี มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่อาดัมถูกสร้างขึ้นมาแล้ว สรรพสิ่งย่อมมีอยู่เป็นคู่ เมื่อมีมนุษย์ผู้ชายก็จำต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วย ดังนั้นอีฟจึงถูกสรางขึ้นมาโดยอาศัยอาดัมเป็นต้นแบบ ผมจะลองยกบทที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาให้อ่านกัน ขอให้อ่านย่อหน้าด้านล่างนี้กันอย่างระมัดระวังนิดนึงนะครับ

    "So the Lord God caused the man to fall in to a deep sleep; and while he was sleeping, he look one of the man's 'ribs' and closed up to place with flesh. Then the Lord God made a woman from the 'rib' he had taken out of the man..."



    [​IMG]









    พระเจ้าของชาวสุเม เรียนกับการสร้างมนุษย์ สิ่งที่เราเห็นในรูป คือความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ งูสองตัวที่กระหวัดรัดพันกันอยู่ ผมคงไม่ต้องแนะนำท่านกันหรอกนะครับว่า มันดูเหมือนและหมายถึงอะไร

    อ่านแล้วนึกถึงอะไรกันไหมครับ การพิเคราะห์พิจารณาก่อนผ่าตัดของศัลยแพทย์? การวางยาสลบให้ผู้ป่วยหลับลึก? พระเจ้าดึงเอา ribs - - กระดูกซี่โครงของอาดัมออกมาเพื่อสร้างอีฟ ก่อนอื่นเรามาดูคำว่า ribs กันนิดนึง ต้นฉบับของภาษาสุเมเรียนนั้นคำส่า rib คือคำว่า TI อันมีความหมายสองนัยคือ rib(กระดูกซี่โครง) และ life(ชีวิต)

    อืมห์... ถ้ามันคือชีวิตแล้วล่ะก็นะ 'ชีวิต' ชนิดไหนครับที่พระเจ้าดึงออกมาจากตัวของอาดัมเพื่อสร้างอีฟ อิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ของพระเจ้า ทำให้ผมนึกไปถึงการดึงเอาอณูแห่งชีวิต ส่วนประกอบเล็กๆที่เรียกว่า DNA มาผ่านกรรมวิธีก่อนทำโคลนนิ่งยังไงชอบกล หรือนายโซนิคคิดมากไปก็ไม่รู้สินะครับ

    [ป.ล. และนี่คือตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของการถอดความและศึกษาตำนานโบราณ ว่าตีความอย่างไรถึงออกมาได้แบบนี้ แต่ขอบ่นหน่อยนะครับ แค่หัวข้อเล็กๆแค่บทเดียวผมยังต้องยกตัวอย่างออกมายืดยาวขนาดนี้ ถ้าเขียนโดยละเอียดชนิดบทต่อบทล่ะ บรื๋อ... ไม่อยากจะคิด (แต่มันก็ให้รายละเอียดที่ครบถ้วนและเห็นภาพตามใช่ไหมล่ะครับ?) ทีนี้เข้าใจกันหรือยังว่าทำไมนายโซนิคชอบบ่นจังเลยว่าต้องตัดโน่นนิดย่อนี่ หน่อยนัก]

    ฟู่... นอกเรื่องกันมาเสียนาน ตอนนี้เราก็โดดออกจากบทแทรกเข้าเรื่องราวของเราต่อกันเลยดีนะครับ

    สรุปแล้ว... นี่มันตำนานหรือวิทยาศาสตร์?

    เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นตำนานนั้น หลายต่อหลายเรื่องที่ผู้เล่าหรือผู้จัดทำไม่รีรอที่จะสอดแทรกอภินิหารเข้าไป เพื่อหลอกล่อคนฟัง จนกระทั่งประวัติศาสตร์พงศาวดารบางเรื่อง กลายเป็นเทพนิยายไปเลยก็มี ในบรรดาตำนานทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มีอยู่ไม่น้อยที่มีร่องรอยของความเป็นจริงปะปนอยู่ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นก่อให้เกิดประเด็นคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาว่า



    1. ในยุคโบราณ เทพเจ้าใช้วิธีการใดในการผสานยีนของพวกเขาเข้ากับลิง ape เพศเมีย เพราะปัจจุบันเราทราบกันว่า การผสมข้ามสายพันธุ์หรือสปีชี่ส์นั้นมัน"เป็นไปไม่ได้" แต่ถ้าจีนัสเดียวกันยังพอมีสิทธิอยู่ (เอ้าใครเรียนวิชาเอกชีววิทยาหรือทาง Genetic มาช่วยอธิบายทีครับ) แต่ในตำนานโบราณพระเจ้ากลับเลือกใช้วิธีนี้ มันเป็นไปได้หรือ?
    2. ทำไมทูตสวรรค์กับหญิงสาวชาวมนุษย์ ซึ่งมีพันธุกรรมที่แตกต่างกันจึงสามารถแต่งงานอยู่กินกันได้ (เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในไบเบิลครับ)
    3. เรื่องราวในประวัติศาสตร์มากมายที่กล่าวถึงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์และศาสดา พยากรณ์ จุดนี้เกี่ยวกับพระเจ้าจากอวกาศหรือไม่ ถ้าเกี่ยว มันคือปรากฏการณ์ทางวิญญาณหรือว่าเป็น Biotechnology of the Gods ครับ?
    4. เหตุใด"กษัตริย์เทพ" ของอียิปต์และเมโสโปเตเมียโบราณ (รวมทั้งมนุษย์ในยุคแรกๆ) จึงสมรสกันในสายเลือดได้ และมีทายาทที่เติบโตมาอย่างปกติอายุยืนยาว โดยไร้ซึ่งอันตรายจากการสมรสในสายเลือดที่เราเรียกกันว่า "damage of the family gene pool" เลยแม้แต่น้อย​

    คำถามพวกนี้"พระเจ้าจากอวกาศ"เท่านั้นที่จะตอบได้...



    earthunseen.blogspot.com: Ancient Astronaut: บทที่ 3 เทคโนโลยีชีวภาพแห่งเทพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  5. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    Ancient Astronaut: บทที่ 4 ปริศนาจากเทพตำนาน


    Ancient Astronaut: บทที่ 4 ปริศนาจากเทพตำนาน
    กล่าวถึงเทพตำนานของ คนโบราณแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ คงคุ้นเคยกับเทพนิยายกรีกและโรมันกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะแม้แต่ในปัจจุบัน ชื่อเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอย่างไม่ห่างหาย แต่ทว่านะครับ ต้นตอของเรื่องพวกนี้สามารถสืบสวนย้อนหลังนับจากยุคกรีก - โรมันไปนานกว่านั้นมากนัก โดยเฉพาะถ้าจะเจาะกันจริง ๆ แล้ว ต้นกำเนิดของเทพตำนานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมาจากดินแดนเมโสโปเตเมียและอียิปต์ เรื่องของ Anunnaki แห่งสุเมเรียน หรือทวยเทพในแอสตราฮาซิส เชื่อว่าหลายท่านคงฟังผมพล่ามจนเอียนแล้ว ถ้างั้นก็พักอาการเอียนไว้ก่อนดีกว่า เพราะช่วงหลังของซีรีส์นี้ ผมจึงทำให้ท่านเอียนแบบเต็ม ๆ กับ Full defail ของเทพตำนานจากสุเมเรียน ตอนนี้เรามาโฟกัสกันที่อียิปต์ก่อนเป็นไรครับ ?



    [​IMG]






    เป็นที่ทราบกันดีว่า ชาวอียิปต์โบราณไล่ตั้งแต่องค์ฟาโรห์มาจนถึงไพร่ฟ้าตาดำ ๆ ล้วนเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายทั้งสิ้น แรงบันดาลใจของความเชื่อดังกล่าวอาจมาจากเทพของพวกเขา อาทิเช่น ราหรือโฮรัส ซึ่งตามตำนานระบุไว้ว่าเทพเหล่านั้นเป็น "อมตะ" ไม่มีวันตาย เอ… มีด้วยเหรอครับ อมตะไม่มีวันตายเนี่ย ถ้าสมมติ(สมมตินะครับ) ว่าเทพเหล่านั้นเป็นอมตะจริง อะไรคือความลับของความเป็นอมตะนั้น ? แล้วสมมติต่ออีกรอบ เกิดว่าเทพโบราณของอียิปต์ไม่ได้เป็นอมตะจริงหากแต่มีอายุยืนยาวมาก ไพร่ฟ้าหน้าใสของอียิปต์ย่อมอยู่ไม่ถึงวันกรวดน้ำของเทพเหล่านั้นแน่นอน เกิดมากเทพโบราณก็คงอยู่อย่างนั้น ตายไปจนถึงขั้นลูกหลายแก่แล้วเทพเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ น่าคิดไหมครับว่าบันทึกเกี่ยวกับความเป็นอมตะอาจมาจากเหตุผลที่ผมกล่าวก็ เป็นได้ ประมาณว่าอายุยืนจะลิขิตเข้าใกล้อินฟินิตี้ว่างั้นเถอะ

    ฟาโรห์ของอียิปต์โบราณเชื่อถึงการเดินทางสู่สถานที่ที่เรียกว่า "Duat" มันเป็นทริปที่ยาวนานข้ามแม่น้ำที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูก สู่สถานที่ที่อาจจะเรียกได้ว่า ประตูสู่สวรรค์ … Stariway to Heaven (ขอใช้คำนี้เหอะ มันคล้องจองดี) ที่สามารถพาฟาโรห์ไปถึงสวรรค์จริง ๆ ณ ที่นั้น ฟาโรห์จะได้รับความเป็นอมตะดังพระเจ้าของฟาโรห์ทุกประการ แหม …

    อะไร กันนะที่เข้าฝันให้ฟาโรห์คิดอย่างนั้นความรู้ทั้งหลายเกี่ยวกับความเชื่อใน ชีวิตหลังความตายของอียิปต์นั้น นักโบราณคดีได้มาจากจารึกเฮียโรกริฟฟิค ซึ่งในบางครั้งเราเรียนกอักษรภาพเหล่านี้ว่า Pyramid Texts ซึ่งหนึ่งในนั้นมีแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีอยู่ชุดนึง คัมภีร์มรณะหรือ The Book of the Dead ไงครับ ในภาพที่ปรากฏใน Ani Papyrus มีอยู่ภาพหนึ่งที่องค์ฟาโรห์ เตรียมตัวเดินทางสู่โลกแห่งความตาย โดยนั่งอยู่ในพาหนะรูปร่างคล้ายจรวด คำบรรยายยังกล่าวต่อไปว่าด้วยพระจรวดของฟาโรห์ พระองค์ต้องเดินทางผ่านสุสาน - วิหาร ใต้ดินมากมายใน Duat มีอยู่ที่นึงที่พระองค์จะทรงได้ยินเสียง "กึกก้องราวกับเกิดพายุฟ้าคะนองบนสรวงสวรรค์" ต่อมาฟาโรห์ต้องผ่ายเข้าประตูที่ "เปิดปิดได้ด้วยตัวของมันเอง" มีเสียงของบรรดาเทพดังเหมือน"ผึ้งบิน"ขณะ เปิดประตู ในบางครั้งฟาโรห์บางองค์อาจเผชิญกับเทพโบราณในนั้น แต่ทวยเทพทั้งหลายได้แต่ซ่อนหน้าไว้มิให้ฟาโรห์เห็น มีเพียงเหล่าเทพธิดาเท่านั้นที่ยินยอมเผยโฉมหน้า

    ฟาโรห์ต้องขึ้น เรือของเทพราที่แสดงรูปลักษณ์อันเจิดฟ้าด้วยแสงแห่งเพลิงทรงอาภรณ์ แห่งเทพพร้อมโดยสารเรือดังกล่าวมาจนถึงจุดที่เรียกว่า Mountain of Ascender to the sky ณ ที่นั้น ฟาโรห์จะก้าวลงจากนาวาพาหนะซึ่งในจารึกกล่าวว่ายาวถึง 770 คิวบิท (พันฟุต?) ทรงเข้านั่ง ณ บัลลังก์ที่ลักษณะเหมือนเก้าอี้นักบิน รอชั่วครู่เสียงกึกก้องก็จะดังขึ้น ปากภูเขาแห่งเทพก็จะเปิดออกดังครืน ๆ (ยังกะมาชินก้า-Z จะออกโรงเลยแฮะ) และนาวาพาหนะขององค์ฟาโรห์ก็เตรียมจะ...


    The Door to Heaven is open!
    The Door of Earth is open!
    The aperture of the celestial windows is open!
    The Stairway to Heaven is open!
    The Steps of Light are revealed
    The double Doors to Heaven are open ;
    The double Doors of khebhu are open
    For Horus of the east, at daybreak
    The Heaven speaks; the Earth guakes ;
    The Earth trembles ;
    The two districts of the gods shout ;
    The ground is come apart …
    When the king ascends to Heaven,
    When the ferries over the vault (สวรรค์ ?)
    [​IMG]





    แหม … อ่านคำบรรยายแล้วอึ้งดีนะครับ การเดินทางของฟาโรห์เป็นผลผลิตจากจินตนาการของคนโบราณล้วน ๆ หรือ ? ผมอ่านแล้วยังกะอ่านคำบรรยายก่อนการปล่อยจรวดของ NASA เชียว มีประตูอัตโนมัติ ระบบวิดีโอควบคุมที่เห็นหน้าคู่สนทนาผ่านจอ แล้วมี speaker device ที่ทำเสียงพูดเหมือนผึ้งตัวหึ่ง ๆ แถมก่อนปล่อยยานยังมีการเช็ค Launcher

    เปิดประตูหนึ่ง…
    ประตูสอง…
    เตรียมพร้อม…
    ยิง!!!


    ไม่ ใกล้ไม่ไกลจากอียิปต์เท่าไรนัก ที่แถบตะวันออกกลางครับ บันทึกของชาวฮีบูรว์ใน ไบเบิลโบราณก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน พระเจ้าจะเสด็จลงมาแต่ละครั้งเป็นต้องไล่ชาวอิสราเอลไปซ่อนตัวหลังหินใหญ่ หรือไม่ก็เลือกลงตามภูเขา เช่นภูเขาซีนาย เพราะอะไรงั้นหรือครับ ?

    เรื่อง ราวในไบเบิลยังกล่าวถึง อุปกรณ์บางชิ้น ที่เราไม่อาจมองข้ามประสิทธิภาพของมันเช่น หีบ Ark (Ark of the covenant) ที่ยะโฮวาใช้ติดต่อกับโมเสสรวมทั้งชาวอิสราเอลอื่น ๆ ในยุคหลัง หีบศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวประกอบด้วย "cherubim" ที่ทำหน้าที่ยังกะเสาวิทยุ คำสั่งของยะโฮวาที่ถ่ายทอดออกมาต่อผู้ครองหีบก็ยังกับคำแนะนำของเสนาธิการนา โต้ใน Sum of all fears ยังไงยังงั้น

    ทำไมล่ะครับ ???

    ทั้งๆที่นี่มาจากบท Exodus ใน พระคัมภีร์เมื่อกว่า 2,500 ปีก่อนแท้ ๆ แต่ทำไมลักษณะของการสื่อสารระหว่างยะโฮวา และผู้นำชาวอิสราเอลจึงดูเหมือนการสื่อสารผ่านวิทยุระบบไกลยังไงยังงั้น องค์ประกอบของหีบศักดิ์สิทธิ์ตามบทบรรยายนั้นเล่า ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า ตัวหีบทำด้วยไม้ สามารถสื่อสารกันในระยะไกล ๆ ได้ มันเป็นเพียงจิตนาการของคนโบราณกระนั้นหรือครับ?

    ทวนมาดูเรื่องเก่า ๆ ที่ผมเคยทำเอาไว้ "ไบเบิ้ลและพระเจ้าจากอวกาศ" ท่านที่เคยอ่านคงพบอะไร ๆ ที่แปลกประหลาดผิดยุคสมัยมากมายในนั้น และที่แน่ ๆ คงพบว่าผม - นายโซนิคยังเรียบเรียงเรื่องนั้นไม่จบ ผมยังไม่ได้เฉลยกัท่านถึงความเกี่ยวกันที่แท้จริงระหว่างยะโฮวากับพระ คัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะ Ancient Astronaut Revisited คือ หนึ่งในบทสรุปของไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่จึงถึงขั้นเขียนบทความชุดนี้จบ ท่านจะได้พบแน่ ๆ ครับว่าตัวตนของยะโฮวานั้นที่แท้เป็นใครกัน และมักท่องอวกาศผู้รับสมอ้างเป็นพระเจ้าผู้นี้ เกี่ยวพันอย่างไรกับอารยธรรมสุเมเวียนโบราณ รออ่านกันไปเรื่อย ๆ นะครับ …



    เทคโนโลยียุคโบราณ



    [​IMG]









    [The Lord said ' Go aut and stand on the mountain in the presence of the Lord, for the Lord is about to pass by'. Then a great and powerful wind ture the mountains apart and shattered the rocks before the Lord, but the Lord was not in the wind.

    After the wind there was an earthquake, but the Lord was not in an earthquake. After the earthquake came a fire, but the Lord was not in the fire. And after the fire came a gentle whisper. When Elijah heard it the pulled his cloak over his face and went out and stood at the mouth of the cave]


    ครับ ภาษาปะกิตยาวยืดที่คัดมานี้ เป็นการบรรยายเหตุการณ์ที่เอไลจาห์ (Elijah) พบกับพระเจ้าหรือยะโฮวา ที่มีอยู่ในไบเบิล สำหรับคนโบราณหลังยุคไบเบิลนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเราจะมองเนื้อหาเหล่านี้เป็น Myth เทพ ตำนานหรือเทพนิยายอันเต็มไปด้วยกฤษฎาภินิหาร แต่สำหรับพวกเราที่มีชีวิตอยู่หลังยุคศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ในยุคที่สามารพัฒนาจรวดและเครื่องบินเจ็ทได้แล้วเราสามารถรู้ถึงความหมายและ สิ่งที่เอไลจาห์พบเห็น ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร แน่นอนครับ ในคำบรรยายภาพที่เอไลจาห์เห็นนั้นศัพท์แสงอาจฟังดูโบราณพิลึกพิลั่น บางท่านก็ทักท้วงบ้างแหละว่าสิ่งที่ปรากฎในคำบรรยายนั้นไม่มี "อะไร" ที่บอกออกมาชัดเจนว่า สิ่งนั่นสิ่งนี้ที่กล่าวถึงคือเครื่องเจ็ทหรือจรวดตามที่นักลึกลับศาสตร์ หลายคนกล่าวอ้าง

    คิดอย่างนั้นหรือครับ?

    ถ้า คุณเป็นคนโบราณเหล่านั้น (หรือไม่โบราณก็ได้เอ้า) แล้วมาพบเห็นคอมพิวเตอร์ - เครื่องบิน - รถบรรทุกสักลำ(เครื่อง) ทีนี้นายโซนิคลองให้คุณบรรยายถึงสิ่งเหล่านั้น โดยไม่ให้ใช้คำในศตวรรษปัจจุบันของเราแม้สักคำเดียวโดยเฉพาะศัพท์ที่ใช้ เรียกมัน เช่น Computer, AirShip , อะไรทำนองนี้ผมว่าพวกเราก็บรรยายสิ่งที่เห็นได้ไม่ต่างจากคนโบราณหรอกน่า จริงไหม?

    สุดท้ายคำบรรยายถึงเครื่องบินประเภทขึ้นลงแนวดิ่งสไตล์แฮริ เออร์ก็คงออกมาแบบเดียวกับ Elijah's vision ที่ผมยกมาตั้งแต่ต้น และเรื่องราวเหล่านี้

    ภาพแบบนี้มีกระจัดกระจายเต็มไปหมดในตำนานโบราณ ของชนชาติซึ่งเจริญด้วยอารยธรรม แบบผิดยุค ลงอีกแบบนี้การเพิกเผยทฤษฎีที่ว่าด้วย Ancient Astronaut ก็คงเป็นสิ่งไม่ถูกไม่ควรนักหรอก ใช่ไหมล่ะครับ ?

    ถัดจากเรื่องราย ของอากาศยานยุคโบราณ ซึ่งมีปรากฎในตำนานโบราณอยู่เต็มไปหมดตามที่ผมกล่าว คนโบราณหลายเผ่ามีความเชื่ออย่างลึกล้ำเกี่ยวกับตำนานการสร้างมนุษย์โดย เหล่าพระเจ้า (ครับ Gods ไม่ใช่ God) ตำนานพร้อมรายละเอียดเหล่านั้นปัจจุบันคือแหล่งข้อมูลล้ำค่าที่อาจเพิกเฉยไม่ได้เสียแล้ว






    <table cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="t_msgfont" id="postmessage_26">เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง ศาสตร์ในสาขา Genetic engineering คือความเพ้อฝันที่ไม่ต่างอะไรกับมนตร์ดำ ณ ปัจจุบัน ในจุดที่พวกเรายืนอยู่ ความเป็นไปได้ทั้งหลายทั้งปวงที่จะเจริญรอยตามพระเจ้าโบราณนั้นคงอยู่แค่มือ เอื้อมถึง หลายองค์กรเริ่มมองไปข้างหน้ามองออกไปไกลจากโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ มองถึงการขยายอาณานิคมและสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ในห้องอวกาศอันไกลโพ้น

    ครับ ฝันถึงสิ่งที่เคยเกิดกับโลกของเรามาแล้วครั้งหนึ่ง ราวกับว่ามันคือสากลวัฎจักรแห่งห้วงอวกาศเสียกระนั้น …


    [​IMG]










    นอก เรื่องนิด ทุกวันนี้แนวคิดเรื่องสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกเริ่มได้รับการยอมรับ ขึ้นเรื่อย ๆ จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ ชาติใหญ่ ๆ ที่มีองค์กรวิทยาศาสตร์ระดับเบิ้ม ๆ ต่างทุ่มเงินนับร้อยนับพันล้านดอลลาร์ยูเอส เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกอย่างเอาเป็นเอาตาย โครงการที่เป็นที่คุ้นเคยของเรา ๆ ท่าน ๆ (แถมบางคนอาจมีส่วนร่วมในการประมวลผลโปรแกรมของโครงการนี้อยู่ด้วยซ้ำ ใครที่ยังไม่เคยลองอยากลองมีส่วนร่วมกับโครงการระดับโลกนี้ไม่ยากครับ ขอแค่คุณมีคอมพิวเตอร์ที่ออนไลน์ได้ก็พอ) เอ่ยชื่อมาไม่ใครก็ต้องร้องอ๋อ โครงการ SETI ยังไงละครับ

    แล้ว SETI ค้นพบอะไรบ้าง ?
    แทบ จะไม่เลยครับผมว่า ปัจจุบันผลการดำเนินงานของโครงการนี้หาได้เป็นชิ้นเป็นอันแต่ประการใดไม่ เรายังไม่พบวี่แววของสิ่งที่ต้องการพบในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น คลื่นวิทยุเอย อะไรต่อมิอะไรเอยที่เราเฝ้ามองหาร่วมกับโครงการ SETI ไม่ได้เผยโฉมมาให้เราเลยแม้แต่เศษเสี้ยว

    พวกเรามองไกลกันเกินไปหรือว่าหากันผิดที่หรือเปล่าครับ ?
    แล้วพวกเราคาดหวังจะเห็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาประเภทไหนกัน?


    จินตนาการ - ภาพยนตร์ - นิยายวิทยาศาสตร์ สร้างภาพสิ่งมีชีวิตนอกพิภพออกมาอย่างน่าเกลียดน่ากลัว จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นอาจมิใช่เอเลี่ยนฟันแหลม น้ำลายเยิ้มอย่างที่เราวาดภาพกัน อ่างมีไบเบิ้ลและตำนานของเมโสโปเตเมียกล่าวไว้นั่นแหละ เอโลฮิมเอย ILLUเอย เทพโบราณทั้งหลายทั้งปวงล้วนแต่สร้างมนุษย์ให้มีรูปลักษณ์ ประหนึ่ง เหล่าเทพทั้งสิ้น ผมจะไม่แปลกใจเลยหากวันหนึ่งโลกเราก้าวหน้าพอที่จะสานสัมพันธ์กับเครือข่าย อื่นในห้วงเอกภพได้ และประชาคมในเครือข่ายเหล่านั้นเป็นเอเลี่ยนที่มิได้มีหน้าตาพิลึกพิลั่น เหมือนในนิยายตรงข้าม พวกเขาเหมือนเราทุกประการนับแต่เส้นผมจรดปลายเท้า แล้วพวกเราจะรู้สึกกันยังไงนะครับตอนนั้น น่าคิดนะ จะเหมือนเด็กกำพร้าที่ได้พบพ่อแม่ที่พัดพรากกันมาเป็นสิบ ๆ ปีหรือเปล่าหนอ ?

    พระเจ้าล่ะมั้งถึงจะตอบคำถามนี้ได้...
    </td></tr></tbody></table>[​IMG]







    คัมภีร์ พันธสัญญาเก่ากล่าวถึงเรื่องราวของ เอเซเกล (Ezekiel) นักบวชชาวยิวในยุคประมาณ 600 ปีก่อน ค.ศ. กับสิ่งที่เขาได้ประจักษ์ภาพที่เอเซเกลถ่ายทอดออกมา ดูพิลึกพิลั่นทั้งศัพท์แสงและมโนภาพ พระเจ้า กับ เทวฑูตที่ เอเซเกลพบเห็นนั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นหนึ่งในหลายบทที่ทำให้ศาสนาจารย์ผู้เคร่งครัดต้องกระอักกระอ่วน ผมจะไม่ Quote หรือ แปลสิ่งที่เอเซเกล กล่าวถึงออกมาหรอกนะครับ ให้ search เอาเองละกันเพราะหลายไซต์มีข้อมูลละเอียดยิบเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ลองใช้ keyword ว่า Ezekiel space ship ก็ได้

    ที่ ยกเรื่องเอเซเกลขึ้นมาเพราะมันคือตัวอย่างที่ดี ในกรณีของการกล่าวถึงเทคโนโลยีโบราณที่พวกเราไม่มีวันจะตีความออก จนกว่าเทคโนโลยีของพวกเราจะก้าวถึงจุดนั้น จริงแล้วกรณีของเอเซเกลเป็นเคสคลาสสิคที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศมักเอามา กล่าวอ้างถึง เมื่อต้องการยกตัวอย่างสนับสนุนทฤษฎีนี้ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า หลายท่านคงอ่านจนเอียนกันไปแล้วด้วยซ้ำ ผมจึงไม่อยากเอามาขยายให้เอียนหนักกว่าที่เป็นอยู่ไงครับ

    สำหรับ ท่านที่ยังไม่ทราบ ผมขอสรุปสั้น ๆ ให้ละกันว่า มีนักวิทยาศาสตร์หลายคน เอาเรื่องในไบเบิลไปตีความและพยายามดึงเอาเหตุการณ์ "ผิดวิสัย" ในนั้นมาอธิบายในมุมมองของเทคโนโลยีปัจจุบัน กรณีของ Ezekiel ก็เช่นกันครับ

    Josef Blumrich เป็นวิศวกรการบินขององค์การ NASA เขาเป็นหนึ่งในคริสเตียนที่เคร่งครัด และศึกษาไบเบิลอย่างลึกซึ้งมาแทบทุกเวอร์ชั่น Blumrich ประหลาดใจกับภาพของพระเจ้าและทูตสวรรค์ซึ่งปรากณในคำบรรยายของไบเบิลเป็น อย่างมาก เขาเก็บความคลางแคลงใจนี้ไว้เงียบ ๆ จนกระทั่งหนังสือ The Chariots of the God ของ อีริค ฟอนดานิเก้น ตีพิมพ์ออกมานั่นแหละ Blumrich ถึงได้ทราบว่าตัวเองไม่ได้บ้า มีคนที่มีความคิดเหมือนเขาอยู่เช่นกัน ดังนั้น Josef Blumrich จึงเริ่มตีความศึกษาสิ่งที่เขาสงสัยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบทของ Ezekiel ซึ่งก็ได้ภาพที่สร้างจากคำพรรณาออกมาอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ



    [​IMG]











    ไงล่ะครับ … น่าทึ่งไหม?

    ถ้า ภาพที่ท่านเห็นคือความเพ้อเจ้อ มันก็คือความเพ้อเจ้อของ Josef Blumrich วิศวกรการบินผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในโครงการใหญ่ ๆ ของ NASA เช่น Skylab, Saturn และ Apollo นั่นแหละครับ อากาศยานที่ถูกวาดออกมาตามคำบรรยายของเอเซเกลนั้น เชื่อไหมครับว่า ลักษระของมันดันไปคลับคล้ายเหลือเกินกับยานในดีไซน์ของ NASA ซึ่งถูกออกแบบสำหรับบินสำรวจในความสูงระดับไม่เกินชั้นบรรยากาศ และจาก Detail อื่น ๆ ของมัน เจ้ายานลำนี้สามารถขึ้น - ลงได้แทบทุกที่โดยไม่เกี่ยงสภาพภูมิประเทศด้วยซ้ำ



    [​IMG]









    แค่จินตนาการ ? (อย่าบ้าให้มันมากนัก)

    อยาก ซ้ำคำนี้อีกจังว่ามันเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้นหรือ ? ตำนานของคนโบราณเป็นจินตนาการเพียงถ่ายเดียวจริงหรือไม่ รุ่งอรุณแห่งวงการตราศาสตร์ยุคใหม่ เราพบว่าคนโบราณรู้เรื่องของดวงดาวพอ ๆ หรืออาจจะดีกว่าพวกเราโดยที่ไม่อาศัยแม้แต่กล้องดูดาว ในยุคอุตสาหกรรมการบิน เราประจักษ์อย่างอัศจรรย์ใจกับอากาศยานของคนโบราณที่ทำเอานักวิชาการหลายคน กุมขมัม และ ณ ปัจจุบัน ยุคทองของเทคโนโลยีชีวภาพ รอยต่อที่หายไปในทางมานุษยวิทยาที่เราถกเถียงกันมาแสนนานเริ่มจะถูกคลี่คลาย เพราะเรามองเห็นความสามารถอันน่าทึ่งของ Bio technology ยุคโบราณทีละน้อยละน้อยแล้ว น่าลุ้นดีไหมล่ะครับ ว่าอนาคตต่อไปพวกเราจะพบอะไรจากเทคโนโลยีโบราณเหล่านี้อีกบ้าง

    Ancient Astronaut ทฤษฎีที่ไม่ถูกยอมรับ



    เอา ละครับ มาถึงตอนนี้ คงมีคำถามเกิดขึ้นแล้วสินะว่า ถ้านักบินอวกาศยุคโบราณ - พระเจ้าจากอวกาศ ตามแต่เราจะเรียกกันนั้น ถ้ามันมีอยู่จริงดังว่าแล้วล่ะก็ ไฉนวงวิชาการปัจจุบันจึงไม่ยอมรับแนวคิดนี้ ทำไมไม่มีใครทุ่มเทกับมันอย่างจริงจังมากกว่าเท่าที่เห็นอยู่ ณ ปัจจุบันทั้งที่หลักฐานทั้งหลายแหล่ที่มี มันมากเพียงพอที่จะพูดกับตามภาษาชาวบ้านได้ว่า "หลักฐานมีให้เห็นกันจะจะ"

    นายโซนิคอยากจะบอกนิดน่ะนะครับ ว่าความนี้อาจมีสาเหตุหลักอยู่เพียงประการเดียวนั่นคือคำว่า "ทัศนคติ"

    มันทำไมหรือครับ??

    เอา ง่าย ๆ ครับ การศึกษาเรื่องใดเรื่องนึง คุณต้องอาศัยการค้นคว้า , วิจัยกว่าจะมีข้อสรุปออกมาได้ ซึ่งแน่ละว่าข้อสรุปนั้น ๆ ต้องเจืออคติ (หมายถึงความโน้มเอียงครับ โน้มไปตามความคิดเห็นของคนเขียน) อยู่ไม่มากก็น้อย หลายคนไม่ชอบคำว่า "อคติ" เนื่องจากความหมายของคำมันติดลบมากเกินไป พวกเขาชอบใช้คำว่า ทัศนคติ มากกว่าเอาเถอะครับ จะใช้คำไหนก็ไม่เป็นไร เพราะมันคือบ่อเกิดของปัญหาเดียวกันที่พบเจอแทบทุกวงการ ไม่ใช่แค่ Ancient Astonaut



    [​IMG]








    ดัง ที่กล่าวไปแล้วว่า ถ้าคุณสงสัย ศึกษาอะไรซักสาขานึง คุณต้องอิงผลงานการศึกษาจาก expert -ผู้เชี่ยวชาญ ในสาขานั้น ๆ ถูกไหมครับ อันว่าผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวก็มักจะเป็นนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ในแขนงวิชานั้น ๆ และส่วนใหญ่ที่เจอ(อีกแล้ว) คือคำพูดของนักวิชาการหย่ายมักจะกลายเป็นข้อสรุปไม่ได้ พอนักวิชาการหย่ายฟันธงลงไปเท่านั้นแหละ จบครับ … ไม่มีใครสงกากันอีกต่อไป ทั้งที่บางครั้ง นักวิชาการท่านั้นอาศัยแค่ทัศนคติกับสมมติฐานเท่านั้น ไม่ได้ไปศึกษาหรือวิจัยอะไรเลย ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา อย่าลืมว่านักวิชาการเค้า expert ในแขนงวิชาที่ร่ำเรียนมาเท่านั้น รู้ลึกซึ้งแต่รู้แคบว่างั้นเหอะ (หรือใครจะเถียงครับ ยิ่งเรียนสูงเท่าไหร่ เรายิ่งเจาะลึกเฉพาะด้านลงไปเรื่องเดียวเท่านั้น) นักวิชาการส่วนมากมีจิตใจที่เปิดกว้าง สนใจใครศึกษา เสียอย่างที่โอกาศ contact กับนักวิชาการในสาขาอื่นนอกเหนือจากของตนนั้นมีน้อย นักดาราศาสตร์ , พันธุศาสตร์ กับนักมานุษยวิทยา และโบราณคดีในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น แทบไม่มีโอกาสศึกษางานวิจัยของกันและกันเลย ผู้สนใจศาสตร์หลาย ๆ แขนงแม้จะเชี่ยวชาญจนช่ำชองแต่ไม่มีดีกรีมาการันตี เพราะงั้น ทฤษฎีบางอย่างเช่น Ancient Astronaut จึงมักได้รับคำถากถางจาก "expertist" ทั้งหลายเป็นประจำว่ามันคือความฟุ้งซ่านของเหล่ามือสมัครเล่น น่าช้ำอยู่ไหมล่ะ

    ศาสตร์บางสาขาที่เก่าแก่มากๆ เช่น วิทยาศาสตร์ , ชีววิทยา , เคมี , มานุษยวิทยา , ประวัติศาสตร์ , โบราณคดี ได้รับการถ่ายทอดสั่งสมมานับร้อย ๆ ปี นับจากยุคกรีกและโรมัน จนกระทั่งเริ่มมันคงอยู่ใน ในยุคสมัยยุโรปรุ่งเรือง แม้ว่าหลายทฤษฎีถูกค้นคิดใหม่ ถูกยอมรับ ถูกหักล้าง ตามธรรมชาติของการศึกษาค้นคว้า แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือมันตกผลึกจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า กระบวนทัศน์ (paradigm) แนวการคิด วิถีของการคิด อะไรประมาณนั้น อธิบายง่าย ๆ ด้วยคำแทนว่าทัศนคติ ซึ่งนายโซนิคเองก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าใช้คำถูกต้องไหม เอาเป็นว่าถูกผิดอย่างไรทักท้วงด้วยละกัน

    ทัศนคติ - ความเชื่อเหล่านี้ ถูกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนยากจะกลับกลายได้ สิ่งเหล่านี้เองครับที่กลายเป็นความปิดกั้นทางวิชาการ เนื่องจากค้นกับสิ่งที่เชื่อถือและร่ำเรียนมา ตัวอย่างเช่น แนวคิดเกี่ยวกับชีวิตซึ่งเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แหละทุกสรรพสิ่งล้วนวิวัฒน์จากจุดกำเนิดนั้น , โลกเป็นดาวที่มีความพิเศษเฉพาะรวมกับพระเจ้าเนรมิต สภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวยให้เกิดสิ่งมีชีวิตอย่างที่น่าได้ยากในดาวดวงอื่น และนอกจากโลกแล้วเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาใดจะวิวัฒน์ขึ้น เป็นต้น

    เมื่อนักวิชาการหย่ายผู้ ปรากฎตัวต่อหน้าสื่อฟันธงลงไป เราได้แต่ยอมรับอาจเพราะท่านเหล่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่สังคมยอมรับ อาจเป็นเพราะบังเอิญท่านเหล่านั้นเป็นอาจารย์ผู้เคยสอนเราสมัยเรียน มหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะ... ฯลฯ นั่นก็โทษว่ากันไม่ได้ครับ นอกเสียจากโทษกระบวนทัศน์ในการคิด ซึ่งสั่งสมตกผลึกจนกลายเป็นการปิดกั้นไป กลายเป็นเรื่องของการปฏิเสธที่จะเชื่อทั้งที่ยังพิจารณาไม่ถ่วงแท้ด้วยซ้ำ

    แหม... นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ขึ้นมาตะหงิด ๆ เชียวครับ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน อย่าเชื่อเพราะเป็นคำสอนของครูอาจารย์ ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน เรื่องที่อ่าน ๆ กันอยู่เนี่ยก็คิดก็ขบไปด้วยนะคร๊าบ ไม่งั้นถูกนายโซนิคอำเอาได้ง่าย ๆ นา...

    ฟู่... เผลอแป๊บเดียวนอกเรื่องซะหลายหน้า ถือเป็นคำบ่น อันอัดอั้นละกันนะครับอย่างน้อยนี่ก็เป็นแง่หนึ่งสำหรับคำถามที่ว่า ทำไมทฤษฎี Ancient Astronaut ถึงไม่เป็นที่ยอมรับนักในปัจจุบัน

    บท ต่อไปเดี๋ยวผมจะพาทัวร์อารยธรรมโบราณสักหน่อยดีไหมครับ มาดูกันว่า ภายใต้ความรุ่งเรืองเหล่านั้น มีอะไรที่เป็นธรรมชาติและผิดธรรมชาติเกิดขึ้นบ้าง แล้วมันผิดธรรมชาติกันอีท่าไหน เหล่าบุตรชายคุณนายช่างสงสัยทั้งหลาย ถึงได้ฟอร์มความคิดออกมาเป็นทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณไปเสียได้ ตามผมมาเลยครับ ^.^



    earthunseen.blogspot.com: Ancient Astronaut: บทที่ 4 ปริศนาจากเทพตำนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  6. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    Ancient Astronaut: บทที่ 5 จากตำนานสู่ตำนาน


    Ancient Astronaut: บทที่ 5 จากตำนานสู่ตำนาน...
    :: ตอนที่ 1 สุเมเรียน ::

    ...ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขามาจากไหน อะไรที่ทำให้อารยธรรมของพวกเขาก้าวไกลไปขนาดนั้น ทั้งที่ถ้านับตามประวัติศาสตร์แล้ว ช่วงเวลาของพวกเขาคือช่วงที่เราเรียกกันว่า ยุคหิน...



    [​IMG]









    ครับ นี่เป็นคำรำพึงรำพันของใครต่อใครที่ได้เจาะลึกลงไปในเรื่องราวของคนโบราณ ชาติหนึ่ง ชนชาติซึ่งเริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งในบริเวณอ่าวเปอร์เซียเมื่อประมาณ 7-8 พันปีมาแล้ว คนรุ่นหลังทราบเรื่องราวของชนกลุ่มนี้จากจารึกดินเผาที่เรียกกันว่าคิวนิฟอร์ม ไม่มีใครทราบต้นตอความเป็นมา ทราบแต่เพียงว่า พวกเขามีวิทยาการและ เทคโนโลยีที่สูงส่งมาก ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัตถุ ซึ่งได้แพร่หลายไปยังชนเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียงในเวลาต่อมา และกลายเป็นรากฐานทางอารยธรรมของมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเราในที่สุด พวกเขาเรียกตนเองว่า ชาวสุเมเรียน

    ย้อนหลังไปประมาณแปดพันปีก่อน ณ ลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส ดินแดนเหล่านั้นยังร้อนระอุ ไม่มีแร่ธาตุ ไม่มีป่าไม้ ไม่มีอะไรที่พอจะสร้างเป็นวัตถุเพื่อก่อความเป็นอารยธรรมเมืองขึ้นมาได้เลย แต่แปลกไหมครับว่า ดินแดนดังกล่าวนี้ กลับกลายเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมที่ศิวิไลซ์ที่สุดในยุคแรกของประวัติศาสตร์ มนุษย์ หลักฐานที่นักโบราณคดีได้ รับในช่วงหลังๆชี้ให้เห็นว่า ที่นี่แหละ คือบ่อเกิดของอารยธรรมทั้งหลายในโลก ชาวสุเมเรียนเป็นผู้ให้กำเนิดตัวอักษรที่ใช้เขียนเป็นภาษาขึ้น มีเทคนิคในการเกษตร มีสถาปัตยกรรมที่สูงส่งตระหง่านตา ส่วนด้านสังคมนั้นเล่า ประมวลกฏหมายฉบับแรกของโลกในประวัติศาสตร์ก็คือกฏหมายของชาวสุเมเรียน พวกเขามีวรรณคดี มีดนตรีพื้นเมืองที่ฟังแล้วโมเดิร์นเหลือเกินเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน น่าประหลาดใจไหมครับว่า ชนชาติซึ่งไม่มีที่ไปที่มานี้ ไปเอาความรู้ความสามารถเหล่านี้มาจากไหน มันดูเกินยุคสมัยของพวกเขาเหลือเกิน เอาง่ายๆแค่ว่า แม้จะปราศจากป่าไม้แหล่งวัตถุดิบในการสร้างเมือง ชาวสุเมเรียนก็ยังสามารถประยุกต์ใช้หญ้าและต้นอ้อมาทำเป็นอิฐดินเผาเพื่อ สร้างเมืองได้ พวกเขาขุดคลองเพื่อทำการชลประทานจากแหล่งน้ำสำคัญในบริเวณนั้น คือลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส จนทำให้ดินแดนซูเมอร์กลายเป็นเสมือนว่า ที่นั่นคือสวนเอเดนแห่งตะวันออกกลางไป

    อ้อ... แล้วทราบกันไหมครับว่า คำว่า Eden สวนสวรรค์ในพระคัมภีร์ มาจากคำว่า E.Din หรือ Eridu อันเป็นสถานที่ที่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่า พระเจ้าได้เสด็จลงมาตั้งรกรากบนโลกเป็นครั้งแรกอีกด้วย

    Ancient Astronaut ตอนนี้จะนำท่านจมดิ่งสู่ตำนานอันน่าพิศวงของคนโบราณ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาของนักบินอวกาศยุค โบราณ ผู้มีคุณูปการต่อชาวพื้นเมืองจนถูกยกย่องให้เป็น "พระเจ้า" ไปในที่สุด โดยเราจะมาเริ่มกันที่อารยธรรมสุเมเรียนกันก่อนเป็นอันดับแรกครับ



    [​IMG]








    แผนที่แสดงอาณาเขตของอารยธรรมแถบดินแดน Sumer ในอดีต



    ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นนะครับว่า พวกเราในยุคหลังนั้นรับทราบเรื่องราวของชาวสุเมเรียนจากจารึกของพวกเขา ซึ่งบันทึกไว้บนแผ่นดินเหนียว เรื่องราวเหล่านี้กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในดินแดนที่เราเรียกกัน ว่า ดินแดนของชาวซูเมอร์ จะ ว่าไปแล้ววงการประวัติศาสตร์ของเราก็ตลกมากทีเดียวครับ เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของชนกลุ่มนี้มีกล่าวถึงกันน้อยมาก เช่น ถ้าพูดถึงดินแดนแถบเมโสโปเตเมีย เราจะคุ้นเคยกันแต่กับ บาบิโลเนียน หรือ อัสสิเรียน กันมากกว่าชาวสุเมเรียน ทั้งที่อารยธรรมของคนกลุ่มนี้เกิดก่อนตั้งมากมาย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่จากหลักฐานที่ค้นพบในภายหลังรวมทั้งการศึกษาอย่างจริงจังของนักโบราณคดี อีกหลายกลุ่ม ทำให้เราทราบเรื่องราวของกลุ่มชนลึกลับนี้ เพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียวครับ โดยเฉพาะความรุ่งเรืองในด้านต่างๆที่ผมกำลังจะกล่าวถึงเนี่ย มันทำให้นักโบราณคดีพิศวงเหลือเกิน ว่าชาวสุเมเรียนก่อเกิดอารยธรรมขึ้นมาได้อย่างไร และพวกเขาไปเอาความรู้เหล่านั้นมาจากไหน ก็อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นแหละนะครับว่า มันเหมือนอารยธรรมสำเร็จรูปที่จู่ๆก็โผล่มาแบบพรวดพราด ไม่มีวี่แววของการวิวัฒน์หรือพัฒนาเลยแม้แต่น้อย เรามาดูกันดีกว่าว่าความเจริญอันผิดปกติของชาวสุเมเรียนนั้น มีอะไรกันบ้าง

    พูดถึงศาสตร์ของชาวสุเมเรียนแล้วนะครับไล่กันสามวันสามคืนก็ไม่หมด เพราะนอกจากเป็นชนกลุ่มแรกที่ปฏิวัติด้านเกษตรกรรมแล้ว ยังรู้จักการค้าขาย ริเริ่มนำโลหะมาแทนเงินตราเป็นพวกแรกๆ ความเจริญก้าวหน้าของพวกเขาเป็นต้นตอของอารยธรรมในแถบอื่นๆ เช่น แถบเมดิเตอร์เรเนียนและอินเดียในเวลาต่อมาครับ สำหรับด้านศาสตร์แขนงต่างๆนั้น ผมพูดไปแล้วนะครับว่า ชาวสุเมเรียนเค้าแตกฉานในเรื่องของ คณิตศาตร์ อักษรศาสตร์ สถาปัตยกรรม นันทนาการ การเมืองและกฏหมายอย่างลึกซึ้งทีเดียว ที่เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นวิชาดาราศาสตร์แหละ ครับ เพราะแค่หลักฐานเล็กๆน้อยๆที่พอจะหาได้ในปัจจุบัน ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นักวิชาการกุมขมับนั่งคิดนอนคิดว่ามันมาจากไหนและ เป็นไปได้อย่างไร เดี๋ยวผมจะแซมเปิ้ลให้อ่านกันสักสองสามตัวอย่างดีกว่า

    ชาวสุเมเรียนมีความรู้เกี่ยวกับดวงดาวอย่างลึกซึ้ง พวกเขาคำนวณวงโคจรของดวงจันทร์ผิด ไปจากปัจจุบันเพียงแค่ 0.4 วินาที นอกจากนั้นบนเทือกเขาคูยุนค์ยิค นักโบราณคดีได้พบเศษจารึกแสดงผลการคำนวณบางอย่าง ที่ให้คำตอบออกมาเป็นตัวเลขคือ 195,955,200,000,100

    ช่ายครับ... ผมพิมพ์ไม่ผิดหรอก มันคือเลขสิบห้าหลักที่แม้เครื่องคิดเลขที่เราๆใช้กันอยู่ยังคำนวณกันไม่ ค่อยจะได้ มันคือผลการคำนวณของอะไรครับ? ตัวเลขนี้บ่งค่าอะไรทำไมมันถึงได้เป็นจำนวนที่มโหฬารขนาดนั้น? ขนาดชาวกรีกในยุคหลังที่ว่าแน่ด้านพีชคณิตและการคำนวณยังแพ้แบบหลุดลุ่ย... ผมล่ะเชื่อเค้าเล๊ย

    ในยุคสมัยแห่งความมืดมนทางดาราศาสตร์ของโลกยุคใหม่ รอยต่อของช่วงเวลาระหว่างปโตเลมีและคอปเปอร์นิคัส (คงไม่ต้องบอกนะครับว่าใคร มีผลงานอะไร ถ้าบอกว่าไม่รู้จักนี่อายเด็กมัธยมแย่เลยนะ) วงการดาราศาสตร์ยังเชื่อว่าโลกแบนเป็นกล้วยทับ เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เรายังขาดความเข้าใจในเรื่องของจักรวาลและอวกาศอยู่ มาก ทว่าชาวสุเมเรียนเค้ารู้ล่วงหน้าพวกเรามาตั้งไม่รู้กี่พันปี พวกเขามีตำแหน่งของดวงดาวในระบบสุริยะทั้งหมด มีแม้กระทั่งดาวเคราะห์ดวงที่สิบหรือ Planet X ซึ่งปัจจุบันวงการดาราศาสตร์กำลังควานหากันอยู่ คนโบราณเหล่านี้ทราบได้อย่างไรครับ เคยสงสัยกันหรือเปล่า?

    จารึกดินเหนียวโบราณที่พบในนิเนเวห์,นิปเปอร์ รวมทั้งเมืองโบราณอื่นๆของสุเมเรียน ก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางดาราศาสตร์ เนื้อหาของจารึกปะปนไปด้วยศัพท์ทางดาราศาสตร์เป็นร้อยๆคำ ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ แผ่นดินเหนียวบางแผ่น เป็นผลการคำนวณของวงโคจรดาวเคราะห์ ปฏิทินของดาวเคราะห์แต่ละดวง วงโคจรและปฏิทินอย่างละเอียดของดวงจันทร์ ซึ่งเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า พวกเขามีความจำเป็นอะไรถึงต้องคำนวณมันออกมาอย่างละเอียดขนาดนี้ ประการสำคัญนะครับ คนโบราณเหล่านี้ไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือทาง ดาราศาสตร์อะไรเลย (อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่พบแหละน่าว่ามี) แต่ทำไมถึงได้รู้ดีกว่าคนในยุคหลังซึ่งเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ อย่างพร้อมสรรพซะอีก น่าคิดดีไหมล่ะครับ?

    ตอนที่ 1 สุเมเรียน (ต่อ)

    แรกเริ่มเดิมทีเชื่อกันว่า อารยธรรมในแถบเมโสโปเตเมีย รวมทั้งวัฒนธรรมของการจารึกอักษรลงบนแผ่นดินเหนียวนั้นมาจากชาวเซไมต์ครับ พอเอาเข้าจริงๆเมื่อมีการสำรวจอย่างเป็นทางการและทุ่มเทมากขึ้นผลปรากฏออกมา ว่า อักษรรูปลิ่มที่พวกเราคุ้นเคยกันดีในวิชาประวัติศาสตร์นั้นมาจากชนเผ่าที่ ชื่อสุเมเรียน และหลังจากการเปิดไซต์ทางโบราณคดีที่ตะวันออกกลาง มีการขุดกันอย่างเอาเป็นเอาตายมากขึ้น หลักฐานที่น่าพิศวงจึงถูกเปิดเผยออกทีละเล็กละน้อย นั่นก็คือเรื่องราวของชนชาวซูเมอร์

    บทเรียนในวิชาประวัติศาสตร์และข้อสรุปของนักโบรารคดี รุ่นก่อนบอกกับพวกเราว่า ชาวสุเมเรียนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่อยู่ปัจจุบันของพวกเขาเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ไม่ยักกะมีใครบอกได้แฮะว่าพวกเขามาจากไหน ชาวสุเมเรียนทำการบุกเบิกพื้นที่ในแถบนั้นจนกลายเป็นนครอันมั่งคั่ง และเจริญสูงสุดในสมัยของผู้นำอันเกรียงไกรซึ่งชาวสุเมเรียนเรียกว่ายุคของ Etana โชคดีอยู่อย่างครับ ที่ชนชาตินี้เป็นชนชาติที่ชอบบันทึกเรื่องราวเอาไว้มาก หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรของยุคสมัยนั้นจึงหลงเหลืออยู่เยอะ (ไม่เหมือนเกาะอีสเตอร์นิ..) จากเรื่องราวในจารึกดินเหนียว ทำให้นักโบราณคดีทราบว่า ชนชาวสุเมเรียนดำรงชีพอยู่ด้วยการประมงและกสิกรรมเป็นหลัก มีการประดิษฐ์สิ่งที่อาจนับเป็นนวัตกรรมยุคโบราณอีกสองสามชิ้น เช่น การใช้ล้อและเพลา รถลาก เกวียน รวมทั้งเรือเล็กๆสำหรับหาปลา

    แต่เครื่องมือพวกนี้มันเพียงพอหรือครับ ต่อการสนับสนุนความก้าวหน้าทางวิศวกรรม คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์อย่างที่เห็นอยู่ตามหลักฐานในปัจจุบัน?

    :: ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ ::

    มาว่ากันถึงซิกกูรัตของ ชาวสุเมเรียนกันบ้างดีกว่า (Ziggurat) เริ่มกันที่แนวคิดในปัจจุบันนะครับ นักวิชาการส่วนมากเริ่มคล้อยตามกันแล้วว่า ซิกกูรัตมหึมาของชาวสุเมเรียนนั้นนอกจากจะใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในการเป็นหอสังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ด้วย เรื่องที่น่าทึ่งอย่างมากของซิกกูรัตก็คือ หลักการที่ชาวสุเมเรียนนำเอามาสร้างนี่แหละครับ ไม่ทราบใครที่ไหนมาสั่งสอนพวกเค้ากันถึงได้ออกแบบได้อย่างเหมาะเจาะขนาดนี้ จุดสูงสุดที่เรียกกันในภาษาชาวบ้านว่ายอดของซิกกูรัตนั้น สามารถสังเกตท้องฟ้าได้ทั้งซีกตะวันตกและตะวันออก เรียกว่าอยู่กึ่งกลางจุดท้องฟ้าพอดี แถมขอบกั้นยังเป็นจุดสังเกตพระอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งเปลี่ยนผันเวลาไปตามฤดูกาลคือร้อนและหนาวอีกด้วย

    ชาวสุเมเรียนโบราณใช้เกณฑ์ในการสังเกตท้องฟ้าเช่นเดียวกับพวกเราใน ปัจจุบัน (หรืออันนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากพวกเขาผมก็ไม่แน่ใจนะครับ) พวกเขาแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 3 โซน คือด้านเหนือ กึ่งกลาง และด้านใต้ โดยเรียกตามชื่อของพระเจ้าโบราณเป็น way of Enlil, way of Anu และ way of Ea ตาม ลำดับ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือหลักการสมัยใหม่ที่พวกเราเพิ่งเริ่มนำมาใช้กัน เช่น การแบ่งท้องฟ้าเป็น 360 องศา การใช้เส้นขอบฟ้า การรู้จักขั้วโลก การมีจุดอิควิน็อกซ์ หรือแม้แต่คราสต่างๆเช่น สุริยคราส นั้น ชาวสุเมเรียนรู้จักและมีบันทึกกันมานานนม พวกเขาเรียนรู้จากไหนหนอ เพราะความรู้เหล่านี้ต้องอาศัยการสังเกต สั่งสมอย่างนานนม มันค้านกับการก่อตัวอย่างสั้นๆของอารยธรรมสุเมเรียน ซึ่งปุบปับก็รุ่งเรืองขึ้นมาดื้อๆ ท่านว่ากันไหมล่ะครับ?

    มาว่ากันต่อ ชาวสุเมเรียนนำความรู้เกี่ยวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาสร้างเป็นปฏิทิน โดยปฏิทินที่ซับซ้อนที่สุดถูกค้นพบในเมืองนิปเปอร์ (Nippur) ซึ่ง แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่ามันเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ เนื่องจากมีความซับซ้อนมากจนเกินความจำเป็น มีการแบ่งเวลาออกเป็นรอบปี ซึ่งก็มีทั้งปีดวงอาทิตย์ ปีของดวงจันทร์ และช่วงเวลาที่รอบปีทั้งสองมาบรรจบกัน มีการคำนวณทำปฏิทินล่วงหน้านับหมื่นๆปี (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำกันไปทำไม) ชาวสุเมเรียนมีเหตุผลกลใดที่ต้องสร้างปฏิทินอันซับซ้อนขนาดนี้ขึ้นมาใช้ครับ หากไม่เกี่ยวพันกับการสังเกตดวงดาวอย่างมากๆ ซึ่งมันค้านกันเองอยู่ในที เพราะนักประวัติศาสตร์บอกเราว่า สังคมสุเมเรียนเป็นอยู่ด้วยการกสิกรรมและการประมง...


    [​IMG]






    ภาพจักรราศีทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนครับ พอจะดูเข้าใจกันไหมเอ่ย?


    ทีนี้เราลองมาดูความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ของพวกเขาดูบ้าง เป็นเรื่องยากจะจินตนาการสำหรับนักประวัติศาสตร์และโบรารคดีเหลือเกินว่า เหตุใดชาวสุเมเรียนจึงเลือกใช้เลขฐาน 60 ซึ่งแตกต่างไปจากฐานเลขที่ไปที่มนุษย์ใช้กัน เพราะมันผิดหลักธรรมชาติอย่างมาก ปัจจุบันพวกเราคุ้นเคยกับเลขฐาน 10 กัน นั่นเพราะมนุษย์มี 10 นิ้วถูกไหมครับ ส่วนถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ก็ใช้ฐาน 2 หรือดิจิตอลเป็นหลัก เนื่องจากเข้ากันได้ดีกับหลักการทางไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์ปัจจุบันใช้กันอยู่ (อนาคตอาจเปลี่ยนจากไฟฟ้าเป็นควอนตัมหรือ DNA เรื่องนี้เค้ากำลังวิจัยกันอย่างหนักอยู่ครับ)

    ผมไม่อธิบายเรื่องของเลขฐานนะครับ เพราะเรียนกันมาแต่อ้อนแต่ออกอยู่แล้ว รู้แต่เพียงว่า ชาวสุเมเรียนเลือกใช้เลขฐานที่ประกอบด้วย 10 และ 6 เป็นหลัก ลองเทียบกับที่เราใช้อยู่คือ 1, 10, 100, ..., n ชาวสุเมเรียนจะมีเลขหลักใช้กันในลักษณะนี้ คือ 1, 10, 60, 600, 3600, 36000, 216000, ..., n แปลกดีนะฮะ

    จะว่าไปมันก็ประหลาดๆพอๆกับฐานเลขของชาวมายานั่นแหละ เพราะชาวมายาเค้าใช้เลขฐาน 20 ซึ่งพิศดูดีๆแล้ว มันใกล้เคียงกับหลักการดิจิตอลของคอมพิวเตอร์มาก ราวกับว่า คณิตศาสตร์ของชาวมายา พัฒนามาจากฐานเลขเพื่อการคำนวณของคอมพิวเตอร์เสียอย่างนั้น เอาไว้ผมจะยกมาเล่าอีกทีนะครับ ตอนนี้เราว่ากันถึงเรื่องของชาวสุเมเรียนให้จบเสียก่อน

    ในที่นี้หลายๆคนอาจจะคิดนะครับว่า เรื่องของชาวสุเมเรียนเป็นเรื่องไกลตัวพวกเรา แท้ที่จริงมันไม่ใช่เลย เพราะปัจจุบันมรดกตกทอดของพวกเขาหลายๆอย่างนั้น พวกเราใช้กันอยุ่ทุกวันเสียด้วยสิ เป็นต้นว่าเรื่องของมาตรวัด เรื่องของเวลา ที่ 60 ชั่วโมงเป็น 1 นาที, 60 นาทีเป็น 1 ชั่วโมง, 24 ชั่วโมงเป็น 1 วัน, ปีหนึ่งแบ่งออกเป็น 12 เดือน, วงกลมมี 360 องศา รวมทั้งการแบ่ง Zodiac ออกเป็น 12 ราศีเหมือนๆกับยุคปัจจุบัน นั่นล่ะครับมรดกตกทอดของพระเจ้าจากอวกาศ หึ หึ...

    ไคลแม็กซ์ ของเรื่องมาอยู่ตรงคำว่าพระเจ้านี่เองครับ กระผม ชาวสุเมเรียนสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์หลักคือเพื่อพระเจ้า ของพวกเขาครับ เป็นงานจากคำสั่งของพระเจ้า โดยการอำนวยการของพระเจ้า และเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าอย่างแท้จริง อารามอันใหญ่โตโอฬาร เมืองต่างๆของอารยธรรมนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติของพระเจ้าทั้งสิ้น โดยทุกๆเมืองจะมีพระเจ้าประจำเมืองนั้นๆคล้ายกับชาวกรีกโบราณ แต่ละเมืองจะมีฐานะลดหลั่นกันไปตามศักดิ์และฐานะของพระเจ้าประจำเมือง เป็นต้นว่า Nippur คือเมืองแห่ง Enlil ซึ่งถือเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวงครับ

    สัญลักษณ์ แทนตัวพระเจ้าของชาวสุเมเรียนนั้นก็ประหลาดเอาการเช่นกัน เพราะทุกองค์มักมีดวงดาวเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีฉงนฉงายก็คือ ดวงดาวที่หมายถึงสัญลักษณ์ของพระเจ้าเหล่านั้นแทบทุกดวงมีวงกลมขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้างล้อมรอบ ราวกับดาวบริวารกำลังโคจรรอบดาวแม่ นั่นหมายถงึจักรวาลที่พระเจ้าของพวกเขาปกครองหรืออาศัยอยู่หรือเปล่า อันนี้น่าคิดนะครับ

    :: พระเจ้าจากอวกาศ ::

    พระเจ้าองค์สำคัญๆของชาวสุเมเรียนได้แก่ เอนกิ(Enki) เทพแห่งน้ำ, กิ(Ki) เทพแห่งผืนแผ่นดิน, เอนลิล(Enlil) เทพแห่งห้วงอวกาศ หรือบรรพเทพ อัน(An) ผู้ปกครองสรวงสวรรค์เป็นต้น ชาวสุเมเรียนศัรทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และเชื่อกันว่าพระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากท้องฟ้าที่แสนไกล ท้องฟ้าที่หมายถึงท้องฟ้าเบื้องบนนะครับ หาได้หมายถึงสวรรค์แต่ประการใดไม่



    [​IMG]











    อยู่กับนายโซนิคมานาน ขนาดนี้ คงไม่ต้องฉายซ้ำหรอกนะครับ ว่าพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเสด็จมาจากไหน อย่างไร และทำอะไรกับโลกมนุษย์ใบนี้บ้าง สำหรับแฟนใหม่แล้ว ผมอยากจะแนะนำคำๆนึงซึ่งผมจะเอ่ยถึงเสมอๆเวลาอ้างถึงพระเจ้าของชาวสุเมเรียน นั่นคือคำว่า Anunnaki (อ่านว่า AN.UNNA.KI) แปลให้ตรงตัวคือ who from heaven to Earth came ซึ่งในบางครั้งชาวสุเมเรียนบรรยายถึงพระเจ้าเหล่านี้ด้วยอักษรภาพ โดยคำสำคัญที่เป็นส่วนประกอบเสมอคือคำว่า GIR เช่น DIN.GIR และ KA.GIR โดยไอ้เจ้าตัว GIR เป็นอักษรภาพที่มีรูปพรรณสันฐานคล้ายจรวดในปัจจุบันมากครับ โดยรวมแล้วความหมายของ GIR เมื่อประกอบเข้ากับคำอื่นๆแล้วก็อาจแปลความได้ว่า The Righteous one of the blazing rockets ไปเลย วู๊... เท่ห์ไม่ใช่เล่น น่าเสียดายที่สมัยนั้นนักโบราณคดีของเราไม่รู้จักจรวด หรือต่อให้รู้จักเค้าก็อาจคิดว่าเหลวไหลที่คนโบราณจะไปรู้จักหรือจินตนาการ ถึงจรวดไปได้ ความหมายของคำพวกนี้เมื่อถ่ายทอดออกมาในวงการโบราณคดี จึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งดูแล้วเป็นเทพนิยายไปนู่นเลย

    เรื่องการผิดเพี้ยนของศัพท์เมื่อแปลจากตำนานโบราณนั้นหาใช่เรื่องใหม่ แต่อย่างใด เลย บางครั้งคำที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ก็มาจากการแปลที่ผิดความหมาย หรือการตีความอย่างไม่รู้ของผู้แปล เช่นคำว่า Nefilim ในไบเบิล ซึ่งภาคภาษาไทยใช้คำว่ายักษ์ นั้น เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ Anunnaki ของชาวสุเมเรียน และคำว่าเอโลฮิมอันเป็นพระเจ้าของชาวฮีบรูว์โบราณ ปัจจุบัน พวกเรารู้จักความหมายของศัพท์พวกนี้ในคำว่า Giants ไปซะฉิบ อย่างว่าแหละนะ ภาษามันดิ้นได้นี่นายจ๋า...



    [​IMG]














    มา ดูความเชื่อของชาวสุมเรียนที่น่าฉงนกันอีกสักตัวอย่างนะครับ เป็นความเชื่อที่สวนกระแสชาติอื่นเมืองอื่นเค้าน่าดูเลย กล่าวคือพวกเขาเชื่อมั่นในความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติครับ ตำนานของชาวสุเมเรียนมีว่า กาลครั้งหนึ่งมนุษย์เคยอยู่ร่วมกันเป็นชาติเดียว พูดจาภาษาเดียว สรรเสริญเทพองค์เดียวกันทั้งโลก (คล้ายกับเรื่องของหอคอยคนบาป - - บาเบล ในคัมภีร์ไบเบิลไหมครับ?) เป็นสังคมที่ปลอดภัย สงบสุข คล้ายยุคพระศรีอาริย์ในคติพุทธ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ บ้านอื่นเมืองอื่นเค้าเชื่อกันว่า ยุคดังกล่าวจะมาถึงหลังวันสิ้นโลกบ้าง วันหมดกัลป์บ้าง แต่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีวันจะมาถึงหรอกครับในอนาคตน่ะ เพราะในอดีตมันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ภายหลังจบสงครามแห่งทวยเทพแล้วยุคที่ว่าจะไม่มีวันบังเกิดขึ้นอีกเลย ก็คงจริงของเค้านะครับ เพราะอาณาจักรสุเมเรียนก็ล่มสลายไปแล้ว ต่อให้ยุคนั้นมาถึงจริง ชาวสุเมเรียนก็ไม่มีวันได้เห็นหรอก

    ขอยกบทกวีของชนชาติซูเมอร์ที่อ้างอิงถึงยุคแห่งเอกภาพมาสักบทเถอะครับ อ่านกันเล่นๆแล้วอย่าหมั่นไส้ผมล่ะ รายละเอียดนั้นก็มีอยู่ว่า



    Once upon a time...
    there was no snake, there was no scorpion,
    there was no hyena, there was no lion,
    there was no wild dog, no wolf,
    there was no fear, no terror,
    Man had no rival,
    Once upon a time...
    the whole universe, the people in unison,
    to Enlil is one tongue gave praise.
    เป็นไงล่ะครับ ราวกับว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วบนโลกใบนี้ ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่พวกเรารู้จักจะอุบัติขึ้น สังคมมนุษย์ถูกปกครองโดยพระเจ้าผู้เสด็จลงมาจากห้วงอวกาศด้วยยานสีเพลิง นอกจากหลักฐานอันเป็นแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนแล้ว แถบนั้น ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีอีกหลายชิ้น ที่ช่วยสนับสนุนทฤษฎี Ancient Astronauts ของเราเป็นอย่างดีเลยครับ โดยไอ้เจ้าหลักฐานดังกล่าวนั้นได้แก่

    * ภาพวาดรูปก้นหอย อายุ 5 พันปีที่ จีฮอย ทีปิ
    * หินเหล็กไฟโบราณ อายุ 4 หมื่นปีที่ การี โคเบห์ และอายุ 2 หมื่นกว่าปีที่ บาราไดเสตียน
    * รูปภาพหลุมศพและเครื่องใช้ทำด้วยหิน อายุ หมื่นสามพันปี ที่ทีปิ อาฮิบ
    * โครง กระดูกผู้ใหญ่และเด็กซึ่งถูกพบที่ถ้ำชานเดียร์ ทั้งหมดนี้มีอายุประมาณ 450,000 BC ตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอน 14 (ซึ่งคลาดเคลื่อนได้ง่ายมากนะจ๊ะ จะบอกให้)


    นอกจากหลักฐานดังกล่าวแล้ว ยังพบภาพของคนที่มีเครื่องประดับรูปดาวอยู่บนศีรษะ บางรูปเป็นคนยืนอยู่บนรูปกลมที่มีปีก และแน่นอนครับ รูปที่ขาดไม่ได้คือวงกลมเล็กๆที่มี่วงกลมเล็กกว่าโคจรล้อมรอบเป็นชั้นๆอย่าง มีระเบียบ ซึ่งหากเด็กๆของเราได้เห็นเข้าล่ะก็ พวกเขาจะบอกได้ทันที่ว่า นั่นคือรูปของดาวฤกษ์และดาวบริวาร หรือยิ่งกว่านั้นก็เป็นรูปโครงสร้างอะตอมไปนู่นเลยครับ

    เห็นหลักฐานแล้วกลุ้มครับ เนื่องจากทุกอย่างบ่งบอกกับเราว่าเมื่อประมาณ 4-5 หมื่นปีก่อนในแถบเมโสโปเตเมียนั้น เป้นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ถ้ำยุคหินเท่านั้นเอง แล้วจู่ๆชาวสุเมเรียนกลับมาตั้งถิ่นฐานสร้างอารยธรรมขึ้นที่นั่น พร้อมวิทยาการ วัมฯธรรม และความรู้ทางดาราศาสตร์เสียเสร็จสรรพ ไม่มีพัฒนาการ มีไม่มีคำอธิบาย ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีต ทิ้งให้คนยุคใหม่อย่างพวกเราฉงนเล่นซะอย่างนั้นว่า ใครกันหนอคือต้นตอของความเจริญทางอารยธรรมเหล่านี้

    ถ้าท่านอยู่กับเว็บไซต์นี้มานานพอ ก็อาจจะได้คำตอบอยู่ในใจแล้วนะครับว่า ในอดีตอันนานนมนั้น มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งซึ่ง(อาจจะบังเอิญหรือจงใจ)ลงมายังโลกมนุษย์ ได้พบกับคนป่าเถื่อนยุคหินบนโลก พวกเขาถ่ายทอดความรู้ อารยธรรม และความเป็นอยู่แบบสังคมเมืองให้ รวมไปจนกระทั่งถึงการดัดแปลงบางอย่างเกี่ยวกับพันธุกรรมของคนพื้นเมืองเพื่อให้มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่อย่างศิวิไลซ์ได้

    รูปภาพพระเจ้าของชาวสุเมเรียนที่เราเห็นกันในหลายๆที่นั้น มีลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่อย่างคือ สวมแว่นแบบช่างเชื่อมแก๊ส ศีรษะมนเป็นโดม ริมฝีปากบาง จมูกโด่งเป็นสัน ทำไมพระเจ้าของพวกเขาจึงมีลักษณะแบบนั้นครับ? หรือว่านั่นคือรูปร่างที่แท้จริงของพระเจ้า ที่พวกเขาเคยได้พบเห็นมากับตา ในยุคสมัยที่มนุษย์อยู่ร่วมกับพระเจ้าบนโลกใบนี้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว...





    <table cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="t_msgfont" id="postmessage_56">:: ตอนที่ 2 Bible and other Myth ::

    ในการศึกษาคัมภีร์โบราณ เช่น ไบเบิล มหาภารตะ หรือมหากาพย์กิลกาเมชนั้น น่าแปลกที่ว่า มุมในการศึกษาของนักวิชาการส่วนใหญ่มุ่งไปทางวรรณคดีหรือไม่ก็ทางศาสนาเสีย เป็นส่วนใหญ่ ก็อย่างว่าล่ะครับ สาขาในเชิงมนุษยชาติส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้เอง การตีความงานเขียนโบราณเหล่านี้จึงเริ่มพลิกโฉมไป กลายเป็นเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ก็ยังมองแนวคิดเหล่านี้ว่าเพี้ยน หรือเป็นเรื่องของพวกไม่มีอะไรจะทำอยู่ดีแหละครับ ย้อนความกันนิดนึง ว่าคัมภีร์ไบเบิลนั้นเดิมเป็นภาษาฮีบรูว์หรือว่ายิวโบราณ ซึ่งภายหลังได้ถูกถ่ายทอดเป็นเวอร์ชั่นภาษาต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อโลกในยุคหลังนี่ก็เห็นจะเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสโบราณล่ะ ครับ ในยุคสมัยที่ศาสนจักรเป็นใหญ่ในยุโรป ในยุคที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่นใด และในยุคที่คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าโลกแบนกันอยู่ คัมภีร์นี้ถือเป็นสรณะแห่งการยึดเหนี่ยวที่ผู้ใดต้องมิบังอาจมาสงสัย หรือ มีข้อโต้เถียงต่อข้อความในคัมภีร์ซึ่งถือเป็นพระวจนะที่ได้รับการถ่ายทอดมา จากพระเจ้า


    [​IMG]






    หลายต่อหลายตอนในไบเบิลเป็นเรื่องจริงที่เกิด ขึ้นในสมัยโบราณ เมือง ภูเขา แม่น้ำที่กล่าวถึง รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆที่อุบัติขึ้นในประวัติศาสตร์โลก เช่น สงคราม การอพยพ ถูกต้องตรงตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่หลายเหตุการณ์ที่แทรกอยู่ในนั้นกลับมีเรื่องแปลกประหลาดน่าสนใจปะปนอยู่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าจากอวกาศอันไกลโพ้น

    ผมขอชี้ตรงนี้นิดนึงว่า ถ้าข้อความในไบเบิลเป็นส่วนหนึ่งของการจารึกประวัติศาสตร์ (เพราะมีหลายเหตุการ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ) เหตุการณ์แปลกประหลาดที่นักวิชาการมองเป็นอภินิหารหรือความเชื่อทางศาสนา นั้น มันก็น่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้างถูกต้องไหมครับ? น่าเสียดายที่ว่า นับแต่ยุคกลางเป็นต้นมา ไม่มีใครกล้าสงสัยหรือโต้แย้งข้อความในคัมภีร์เล่มนี้ซึ่งถือกันว่าเป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ ใครค้านก็หัวหลุดอย่างเดียว นักวิทยาศาสตร์ที่เสนอทฤษฎีซึ่งแย้งกับไบเบิลถูกจับไปทำเสต็กก็แยะ ดังนั้นความหวั่นเกรงในจุดนี้ แต่ความกลัวในการโดนรุมประนามจากมหาชน จึงฝังรากหยั่งลึกจนไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาสงกาคัมภีร์ไบเบิลอีก ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ นักการศาสนาหลายคนก็ยังงงและอัดอั้นต่อพระเจ้าที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ พระเจ้าที่แท้จริงทำไมต้องใช้ปีกและยานพาหนะในการเดินทาง ทำไมพระเจ้าไม่ยินยอมให้มนุษย์เห็นพระพักตร์ของพระองค์ ทำไม ทำไม และทำไม...

    นักศาสนวิทยาผู้มีศัรทธาแก่กล้ามักให้เหตุผลว่า พระเจ้าทรงมีพระปรีชาญาณและทรงมีเหตุผลในการเหล่านี้ เกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆจะเข้าใจได้ พูดง่ายๆคือ พระองค์มีเหตุผลของพระองค์ที่พวกเอ็งไม่เข้าใจ อะไรประมาณนี้แหละครับ คงเข้าทำนองทางศาสนาพุทธในเรื่องของคำถามที่พระพุทธองค์ไม่ทรงตอบ เนื่องจากทราบไปก็ใช่จะทำให้หลุดพ้นสู่นิพพานขึ้นขึ้นมาได้ รู้ไปก็เท่านั้น



    [​IMG]











    ผม ไม่เคยยืนยันว่าทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะครับ แต่ถ้าเอาทฤษฎีนี้มาอธิบายเรื่องราวดังกล่าว เราก็พอจะมองเห็นความเป็นไปได้อันเลือนรางของคำตอบเหล่านี้ ถูกต้องไหมครับ ลองมาพิศดูสักหน่อยเป็นไรว่า การขุดค้นลงไปในคัมภีร์ทางศาสนาของคนโบราณ ให้อะไรกับพวกเราบ้าง เมื่อถามถึงเรื่องราวของพระเจ้าจากอวกาศ

    สมมุติว่า วันหนึ่งอารยธรรมของโลกเราพินาศลงด้วย สงครามนิวเคลียร์ระหว่างซีกโลกตะวันตก และประเทศกลุ่มอาหรับ แล้วต่อมาอีก 5 หรือ 6 พันปี เมื่อมนุษย์เจริญขึ้นมาอีกครั้ง คณะสำรวจทางโบราณคดีขุดค้นพบชิ้นส่วนของเทพีเสรีภาพเข้า คิดไหมครับว่าคำอธิบายของคณะสำรวจชุดนั้นจะว่าอย่างไร พวกเขาคงกล่าวว่ารูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของเทพีแห่งไฟ (ดูจากคบเพลิง) หรือไม่ก็เป็นธิดาแห่งดวงอาทิตย์ (หล่อนมีริ้วทองที่ศรีษะ) หรือไม่ก็เทพีอะไรซักอย่างซึ่งเป็นตัวแทนของศัทรธาและศาสนา ใครมันจะไปนึกว่า รูปปั้นนี้คือตัวแทนทางศิลปะ เป็นสัญลักษณ์แห่งแรงบันดาลใจในเชิงศิลป์ เทียบกับนักโบราณคดีในสมัยนี้ ที่พอขุดเจออะไรพิลึกๆ พ่อก็โยนให้ศาสนาและพระเจ้าของคนโบราณเอาไว้ก่อน
    </td></tr></tbody></table>





    <table cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="t_msgfont" id="postmessage_57">หน้าที่แล้วผมได้พูดถึงอะไร บางอย่าง ที่ดูแล้วผิดวิสัยในตัวของพระคัมภีร์ไบเบิลใช่ไหมครับ สิ่งผิดวิสัยดังกล่าวนี้มีอยู่มากมายหลายจุด ขอยกตัวอย่างซักสองสามเรื่องก็แล้วกัน

    พระเจ้าทรงดำริ จงสร้างมนุษย์จากรูปของเรา ให้เหมือนเรา : เยเนซิส 1,26

    ต้นฉบับภาษาฮีบรูว์ใช้คำว่า เอโลฮิม ซึ่งเป็นคำพหูพจน์ เมื่อแปลออกมาแล้วต้องใช้คำว่า the gods ถูกไหมครับ? ทำไมพระเจ้าต้องใช้คำพหูพจน์ ในเมื่อความเชื่อทางศาสนายืนยันอยู่ชัดแจ้งแล้วว่า พระเจ้าผู้ทรงเอกานุภาพนั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มันดูขัดๆกันไหมล่ะครับ?

    เมื่อถึงกาลนั้น มนุษย์เริ่มแพร่พันธุ์ของตน เขาให้กำเนิดลูกสาว และเมื่อบุตรของพระเจ้า เห็นลูกสาวของมนุษย์ที่มีความงามก็เลือกไปเป็นภรรยาของตน : เยเนซิส 6,1-2

    ใครคือบุตรของพระเจ้าครับ? ในเมื่อพระเจ้าของอิสราเอลไม่เคยมีบุตร ...


    [​IMG]








    ส่วนเยเนซิส 19, 1-18 ได้กล่าวถึงความพินาศของโซดอมและโกมอร์ราไว้ว่า ทูต สวรรค์สององค์ได้มายังเมืองโซดอมในตอนเย็น ขณะนั้นลอตกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองพอดี การพบกันของทูตสวรรค์กับครอบครัวของลอต ความพินาศของโซดอมและโกมอร์รานั้น ท่านคงอ่านกันมามากแล้วจากแหล่งอื่นๆ ดังนั้นผมไม่ต้องฉายซ้ำนะครับ สรุปแต่เพียงว่า ความพินาศของเมืองเหล่านี้ การตายของภรรยาของลอตซึ่งกลายเป็นเสาเกลือ กลับมาพ้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ระเบิดปรมาณูอย่างเหลือเชื่อ คำถามก็คือ ถ้าพระเจ้าคิดจะทำลายโซดอมจริง ทำไมทูตสวรรค์จะต้องรีบร้อนพาลอตและครอบครัวหนีไป พระเจ้าเลื่อนเวลาทำลายไม่ได้หรือ หรือว่า... เวลาที่เมืองจะถูกทำลายได้ตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ? ระเบิดอาจกำลังนับเวลาถอยหลังอยู่ หรือไม่ก็ขีปนาวุธถูกยิงออกมาแล้ว ดังนั้นลอตจึงต้องรีบหนีออกจากเมืองให้ทัน และขึ้นไปหลบซ่อนอยู่บนภูเขา อันเป็นเกราะป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากอาวุธของพระเจ้า ก็ไม่รู้จะคิดมากไปหรือเปล่าน่ะนะครับ -_-"

    มองอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าในไบเบิล ไม่ได้แตกต่างอะไรจากปุถุชนเลยในแง่ของอารมณ์และความคิด เว้นเสียแต่พระเจ้าทรงมีอภินิหาร(ซึ่งเราไม่อาจแน่ใจว่า นั่นคือสิ่งเหนือธรรมชาติหรืออำนาจของวิทยาศาสตร์)มากกว่าเท่านั้นเอง เหตุการณ์ต่างๆในไบเบิลบอกกับเราว่า พระเจ้าผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์และพึงพอใจ ต่อมาพระองค์ก็ทำลายมนุษย์ ถ้าพระเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง ทำไมพระเจ้าไม่สร้างมนุษย์ให้ดีเลิศเสียตั้งแต่แรก และทำไมพระเจ้าจึงลำเอียงเข้าข้างมนุษย์เพียงบางคนหรือบางกลุ่ม เช่น ชาวอิสราเอล หรือแม้แต่ลอตกับครอบครับของเขา



    [​IMG]









    ผมเคยเล่าเรื่องของเอเซเกลไปแล้วใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าขอทบทวนรายละเอียดอีกทีก็ได้ เผื่อบางท่านลืมๆไปแล้ว เอเซเกลเป็นนักบวชผู้เล่ารายละเอียดของการลงสู่โลกมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้า ครับ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเสด็จของพระเจ้าช่างละม้ายคล้ายกับการร่อนลงของยานอวกาศเสียจริงๆ เพราะมาพร้อมกับเสียงก้องกัมปนาทและหมอกควัน ตามที่กล่าวถึงในบันทึกของเอเซเกล ดังนี้ครับ

    " ขณะนี้ผ่านไปในปีที่สิบสาม เดือนสี่ วันที่ห้าของเดือน เมื่อข้าฯอยู่เชลยริมแม่น้ำซีบาร์ ทันใดนั้นสวรรค์ก็เปิดกว้างออก ข้าฯดู... ข้าฯประจักษ์ พายุอันหมุนเคลื่อนมาจากทางเหนือ เมฆสีดำกลุ่มใหญ่และไฟลุกเอง ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีแสงสว่างคล้ายอำพัน มีเงาซึ่งคล้ายกับมนุษย์สี่ร่างโผล่มา แต่ละคนมีสี่หน้าและสี่ปีก เท้าของพวกเขาแข็งแรงคล้ายกับวัว ร่างของพวกเขาเป็นเงาสะท้อนคล้ายสีทองที่ขัดจนเงาเป็นมัน"

    อ่านแล้วก็ปวดหมองตึ้บ ทำไมพระเจ้าหรือทูตของพระองค์ถึงมีรูปร่างพึลึกแบบนี้ล่ะครับ? แล้วทำไมทรงร่อนลงมาจากทิศเหนือยังกะยานอวกาศ ส่งรังสีและประกายแสง แถมมีลมหอบกระชากเล่นเอาฝุ่นทรายปลิวคลุ้งซะอย่างนั้น ลักษณะรายละเอียดทำให้ชวนนึกถึงการกล่าวถึงพระเจ้าทรงวิมานะของทางอินเดีย โบราณ ที่สำคัญคือ ทำไมพระองค์ไม่เสด็จมาเฉยๆ ทำไมต้องมีเสียงและควันด้วย?

    " ขณะที่ข้าฯมองเห็นสิ่งนั้น มันมีล้อสัมผัสพื้นดิน ลักษณะของล้อคล้ายสีเขียวมรกต ทั้งสี่มีสิ่งที่เหมือนกันคือลักษณะของล้อ และการทำงาน เหมือนมีล้ออยู่กลางเมื่อเคลื่อนที่ไปก็ไปทั้งสี่ด้าน ตอนเลี้ยวไม่เหมือนกับตอนเคลื่อนที่ มีวงซึ่งอยู่สูงและน่ากลัว วงนั้นมีตาอยู่เต็มไปหมดทั้งสี่ด้าน เมื่อสิ่งนั้นไป ล้อก็ไปด้วย เมื่อสิ่งนั้นลอยตัวขึ้น ล้อก็ลอยตัวขึ้นด้วย"

    ครับนักลึกลับศาสตร์ทั้งหลายแหล่ ก็เลยพลอยสันนิษฐานไปว่า เอเซเกลคงเห็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง ซึ่งวิ่งไปวิ่งมาพื้นทรายหรือดินที่มีเลนได้ ลักษณะของล้อเป็นแบบใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ยานลำนี้คงใช้หลักการเดียวกับยานโฮเวอร์คราฟบวกเครื่องเจ็ตแบบแฮริเออร์ เป็นที่แน่นอนทีเดียวครับ เมื่อเอเซเกลเห็นยานชนิดนี้เข้าครั้งแรก สิ่งที่เขานึกถึง ถ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดก็คงเป็นพระเจ้านี่แหละ
    </td></tr></tbody></table>

    ตอนที่ 3 มหากาพย์กิลกาเมช

    เอ่ยถึงกิลกาเมชแล้ว ทุกคนคงซึมซาบกันดีนะครับว่า เป็นมหากาพย์ที่มีความสำคัญยิ่งยวดในหลายๆด้าน ผมไม่ขอเอ่ยถึงมหากาพย์เรื่องนี้ในแง่มุมอื่นนะครับ เพราะหาอ่านที่ไหนก็ได้ เอาเป็นว่า เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับหัวข้อของเรา นั่นก็คือ ความเกี่ยวเนื่องระหว่างมหากาพย์นี้กับนักบินอวกาศยุคโบราณ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเจ้าในสมัยนั้น

    จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่เขาคูยุนต์ยิค ได้พบจารึกดินเหนียวจำนวน 12 แผ่น ซึ่งจารึกมหากาพย์กิลกาเมชเอาไว้เป็นภาษาอัคเคเดียนโบราณ คาดว่าจารึกเหล่านี้มาจากห้องสมุดของพระเจ้าอัสเซอร์บานิปาลอันเป็นกษัตริย์ แห่งอัสซีเรีย แต่จารึกขึ้นในสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี เป็นฉบับที่คัดลอกมาจากฉบับออริจินอลอีกทีนึงครับ มหากาพย์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากยุคสมัยของชาวสุเมเรียน กลุ่มชนลึกลับผู้อ้างตัวเป็นทายาทของพระเจ้าจากอวกาศ ผู้รู้จักการคำนวณเลขสิบห้าหลักและมีความรู้ด้านดาราศาสตร์อย่างน่าพิศวง เรื่องราวโดยย่อของมหากาพย์กิลกาเมชมีดังนี้ครับ



    [​IMG]











    แผ่นแรกกล่าว ถึงวีรบุรุษกิลกาเมชสร้างกำแพงเมืองรอบอูรุค และพระเจ้าผู้ประทับในวังที่มีองครักษ์ศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบ กิลกาเมชเป็นวีรบุรุษเลือดผสมครับ เขามีเชื้อสายของพระเจ้าอยู่สองในสามและที่เหลือเป็นสายเลือดของมนุษย์ (ชวนให้นึกถึง Valkyrie Profiles ที่ว่าด้วยโอดินซึ่งมีสายเลือดครึ่งมนุษย์-ครึ่งเอลฟ์ และเลเนธผู้ย้ายวิญญาณเข้าในร่างของโฮมันคิวลัสยังไงพิกลนะครับ) นอกจากนั้นก็กล่าวถึงความงาม พละกำลังและความสามารถต่างๆของเขา เรื่องราวในแผ่นแรกเต็มไปด้วยการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์

    แผ่นที่สอง กล่าวถึงเอ็นกิดู ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระแม่แห่งสวรรค์ อารุรู ใน มหากาพย์นี้บรรยายเรื่องราวของเอ็นกิดูไว้อย่างละเอียด ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยขน นุ่งผ้าเตี่ยวหนังสัตว์ กินหญ้าและดื่มน้ำบ่อเดียวกับวัวควาย เมื่อกิลกาเมชผู้ครอบครองเมืองอูรุคได้ทราบเรื่องราวของเอ็นกิดู เขาได้ส่งหญิงงามนางหนึ่งเพื่อล่อให้เอ็นกิดูแยกตัวออกจากวัวควาย และก็ได้ผลดังคาด (อืม... อุบายหญิงงามนี่ได้ผลทุกยุคทุกสมัยเลยนะครับ) เอ็นกิดูหลงรักหญิงงามครึ่งมนุษย์ครึ่งพระเจ้านางนั้นมาก หากมองข้าม theme แนวอีโรติคอย่างที่เว็บมาสเตอร์อย่างผมชอบไป จะเห็นได้เลยครับว่า ตำนานโบราณเน้นเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์เป็นพิเศษ นี่เป็นนัยแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งไหมครับว่า การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างครึ่งพระเจ้าและครึ่งสัตว์ เป็นเรื่องที่พิเศษมากในสมัยนั้น

    แผ่นที่สาม กล่าวถึงกลุ่มหมอกควันจากระยะไกล เสียงสวรรค์คำรณ แผ่นดินไหว และเรื่องราวของสุริยเทพกับกิลกาเมช มีรายละเอียดน่าสนใจมากๆในตอนที่สุริยเทพตรงเข้ามาจับเอ็นกิดูด้วยปีกและกรง เล็บอันทรงพลังมหาศาล รายละเอียดกล่าวถึงเอ็นกิดูผู้รู้สึกแทบทนทานไม่ได้ เมื่อสุริยเทพผู้มีน้ำหนักราวกับตะกั่วโถมทับลงบนร่างของเขา ที่ว่าน่าสนใจก็ตรงคำเปรียบเปรยนี่แหละครับ คนโบราณเค้ามีความรู้ในวิชากลศาสตร์ดีจริงๆ เพราะขณะที่วัตถุมีความเร็วสูงเมื่อต้องการหยุดจำต้องใช้แรงมหาศาล การเปรียบเปรยเรื่องของเอ็นกิดู ทำให้มองภาพนี้ชัดเจนขึ้น และเป็นที่พิศวงของคนยุคใหม่อย่างเราๆท่านๆครับ

    ข้ามไปแผ่นที่ห้าครับ เป็นการเล่าถึงการเดินทางเข้าพบพระเจ้าของกิลกาเมชกับเอ็นกิดู เขาเดินทางมาถึงตำหนักของเทวีเออร์นินิส ลูกธนูและอาวุธที่เขายิงใส่ยามกระเด็นกลับออกมา โดยที่ยามผู้อารักษ์ตำหนักมิได้ระคายเคืองแม้แต่น้อย ทันใดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า

    "จงกลับไป ไม่มีผู้ใดที่สามารถขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งที่มีชีวิต ผู้ได้ยลพระพักตร์ของพระเจ้าจะต้องตาย"

    ผู้เห็นโฉมหน้าของพระเจ้าต้องตายงั้นรึ... ทำไมถึงได้บังเอิญไปตรงกับข้อความในไบเบิล ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในเอ็กโซดัสที่กล่าวว่า "เจ้าไม่อาจเห็นหน้าเรา ไม่มีใครเห็นเราแล้วจะยังมีชีวิตอยู่" ล่ะครับ? บังเอิญ จงใจ เจตนา หรือว่าอะไรกันแน่?

    แผ่นที่เจ็ด นี่ เด็ดสุดครับ เพราะกล่าวถึงประจักษ์พยานที่ได้ท่องไปในห้วงอวกาศ เป็นตอนคลาสสิคที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศชอบยกมากล่าวอ้าง นั่นคือเอ็นกิดู ผู้บินอยู่สี่ชั่วโมงในกรงเล็บของอินทรีโลหะ และต่อไปนี้คือเรื่องราวของเขาครับ



    [​IMG]








    ชามข้าวโอ้ตของเอ็นกิดูครับ หึ หึ หึ..​




    พระองค์ตรัสกับข้าว่า
    มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร
    แผ่นดินเหมือนภูเขา และทะเลเหมือนทะเลสาบ
    อีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก
    มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร
    โลกเหมือนสวน และทะเลเหมือนร่องน้ำ
    เมื่อบินขึ้นไปอีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก
    มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร
    แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว
    ... คุณพระคุณเจ้า จากข้อความข้างต้น มีจุดน่าสนใจอยู่ที่จินตนาการของผู้รจนามหากาพย์ ช่างใกล้เคียกับความเป็นจริงเอามากๆเลยครับ ท่อนสุดท้ายที่ว่า แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว แสดงถึงความรู้เกี่ยวกับสัณฐานของโลกว่าเป็นทรงกลมเหมือนเรามองชามข้าวต้ม จากเบื้องบน และการมองโลกจากชั้นบรรยากาศก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆเสียด้วยสิครับ

    จารึกแผ่นอื่นๆผมขอข้ามไปนะครับ คัด มาเล่าเฉพาะจุดที่น่าสนใจจริงๆ ถ้าสนใจหา d/l มาอ่านกันได้ บนเน็ตมีเยอะแยะเลยที่แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ยาวมาก กำลังอ่านสนุก แล้วท่านจะได้พบบางตอนที่น่าสนใจ เช่น ประตูที่พูดได้ลักษณะเหมือนประตูในฐานทัพใต้ดินที่มีอินเตอร์คอม อ้อ ใน แผ่นที่แปด เอ็นกิดูผู้เห็นโลกจากชั้นบรรยากาศตายลงเพราะโรคลึกลับ กิลกาเมชถามพระเจ้าว่า เขาอาจตายเพราะสูดอากาศเป็นพิษบนสวรรค์ไปหรือไม่? ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าที่ไหนคือสวรรค์ หากว่าหมายถึงสถานีอวกาศหรือดาวเคราะห์บริวารสักดวงแล้ว ด้วยบรรยากาศที่มีอัตราส่วนของธาตุที่แตกต่างจากโลกเรา เป็นไปได้ว่าเอ็นกิดูอาจตายเพราะร่างกายปรับสภาพไม่ทันก็เป็นได้

    ตอนที่ 4 มหาภารตะ

    ยิ่งศึกษาลึกลงไปในตำนานของชนชาติต่างๆแล้ว หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณยิ่งเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ นิยายปรำปราของชาวเอสกิโมแห่งดินแดนหิมะกล่าวว่า พวกเขาเมื่อก่อนไม่ได้ตั้งรกรากอยู่แถบนี้ หากแต่เดินทางขึ้นเหนือมาครั้งแรกโดยพระเจ้าเป็นผู้พามา เดินทางบนวิหคโลหะที่มีปีกเป็นทองเหลือง ตำนานของชาวอินเดียนแดงแห่งทวีปอเมริกาเล่าว่า วิหคสายฟ้า(Thunder Bird) เป็นผู้สนวิธีการใช้ไฟและปลูกพืชให้กับพวกเขา ส่วนชนชาวมายานั้นเล่าครับ พวกกล่าวถึงพระเจ้าผู้หยั่งรู้ทุกสิ่ง มีความรู้ครอบคลุมห้วงจักรวาล หลักฐานก็คือ พวกเขารู้จักเข็มทิศและสันฐานของโลกซึ่งเป็นทรงกลม!!

    เรื่องเหล่านี้เป็นความบังเอิญหรือครับ? สมควรมองข้ามหรือครับ?

    ทราบกันดีอยู่แล้วว่าชาวมายาเป็นชนโบราณที่ฉลาด มีอารยธรรมสูงแต่มีความลึกลับที่แม้ปัจจุบันเรายังไม่สามารถคลี่คลายให้ กระจ่าง วัฒนธรรมของชาวมายามีความขัดแย้งในตัวค่อนข้างมาก เป็นต้นว่า เมื่อเราพิศดูปฏิทินของพวกเขา จะเห็นว่าชาวมายามีความรู้ทางดาราศาสตร์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขารู้ว่าปีหนึ่งของดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน และคำนวณระยะเวลาหนึ่งปีของโลกได้เท่ากับ 365.2420 วัน (ตัวเลขปัจจุบัน 365.2422)

    ปีดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน หารด้วย 73 ได้ 8
    ปีของโลกเท่ากับ 365 วัน หารด้วย 73 ได้ 5
    ปีของดวงจันทร์เท่ากับ 260 วัน


    ซึ่งการคำนวณปีในที่นี้คิดจากการโคจรรอบโลกโดยใช้โลกเป็นศูนย์กลาง และปีที่พวกเราใช้กันในปัจจุบันนั้น ชาวมายาเรียกว่าปีของดวงอาทิตย์ ไม่ได้คำนวณแบบลอยๆด้วยครับ ชาวมายามีความสามารถในการถอดตัวเลขที่น่าทึ่งมากทีเดียว

    ดวงจันทร์ 20 x 13 x 2 x 73 = 37,960
    ดวงอาทิตย์ 8 x 13 x5 x 73 = 37,960
    ดาวศุกร์ 5 x 13 x 8 x 73 = 37,960


    เนื่องจากจำนวนปีทั้งสามเป็นชนิดของตัวประกอบของ 37,960 ซึ่งชาวมายาถือว่า พระเจ้าจะเสด็จกลับลงมาเยือนโลก...

    ส่วน ชาวอินคา ลูกหลานของสุริยเทพนั้นเล่าครับ พวกเขาเชื่อว่าดวงดาวทั้งหลายในห้วงจักรวาลนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่ และพระเจ้าของพวกเขาเสด็จมาจากกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งตรงกับความเชื่อของ ชาวสุเมเรียน อัสซีเรียน บาบิโลเนียน หรือแม้กระทั่งชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งล้วนบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากดาวดวงอื่น สร้างอารยธรรมของพวกเขา และเดินทางกลับห้วงฟ้าอันยาวไกลด้วยเรือไฟที่มีอาวุธน่ากลัว พร้อมคำสัญญาที่ว่า สักวันพระเจ้าจะกลับมาพร้อมนำเอาความอมตะกลับมาให้



    [​IMG]














    โอ เคครับ สำหรับผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆบางท่านอาจมองว่านี่เป็นเพียงจินตนาการน่ะนะครับ แต่จินตนาการส่วนหนึ่งนั้น น่าจะมาจากสิ่งที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ ถ้าท่านลองจินตนาการถึงอะไรซักอย่าง ก็แน่นอนว่า ท่านคงอดดึงสิ่งที่คุ้นเคยเข้ามาพัวพันไม่ได้ ตัวอย่างเช่น มหาภารตยุทธ หรือ มหากาพย์มหาภารตะอันเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่มากของอินเดียโบราณ เก่ากว่าไบเบิลเสียอีก ได้บรรยายถึงสิ่งแปลกประหลาดและไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากจินตนาการของมนุษย์ เพียวๆ เป็นต้นว่า อาวุธที่ทำให้ทั้งประเทศแห้งแล้งไปถึง 12 ปี และยังสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในท้องแม่...

    ในรามายณะหรือรามเกียรติ์มีตอนที่กล่าวถึงวิมานะ อันเป็นยานที่บินได้ สามารถบินไปในห้วงอวกาศด้วยปรอทและลมขับดัน (เครื่องแบบไอพ่น?) วิมานะบินได้เป็นระยะทางไกลๆ สามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ข้างบนและข้างล่างได้ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะของยานอวกาศประเภทหนึ่ง ด้านล่างนี้เป็นบทความตัดตอนมาจากหนังสือรามายณะที่แปลโดย เอ็น ดัตต์ ครับ

    "ครั้นพระรามมีบัญชา วิมานะก็เคลื่อนขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมเสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าถล่มดินทะลาย"

    แปลกใจจังครับ ว่าทำไม๊ทำไมรถศึกสมัยโบรารชอบเคลื่อนที่ด้วยเสียงดังกันจัง นี่เป็นอีกตอนในมหาภารตะครับ กล่าวถึงรถศึกของภีมะ

    "ภีมะเหาะขึ้นฟ้าด้วยวิมานะอันมีแสงแรงกล้าประหนึ่งดวงอาทิตย์ และมีเสียงดังราวท้องฟ้าขณะบังเกิดฝนฟ้าคะนอง"

    จินตนาการ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดก็จริงครับ แต่มันก็ควรมีจุดเริ่มต้นหรือแบบอย่าง แล้วสมัยมหาภารตะนั้น เอาแบบอย่างของจรวดที่มีแสงและเสียงมาจากไหน แล้วทำไมเป็นจินตนาการที่ตรงตามหลักวิชาการสมัยใหม่ได้ขนาดนี้ ไม่สงสัยกันบ้างหรือครับ?





    <table cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="t_msgfont" id="postmessage_61">เรื่องของวิมานะ, วฤกษี, อังคหัสฤ์, คัมภีร์วิมานิกะศาสตรา หรือ โทรณะปารวะ ผมและน้องโอเคยเล่าไปแล้วใน อากาศยานแห่งภารตะยุค และ Vimana Revisited สนใจใคร่ทราบก็คลิกอ่านรายละเอียดกันเองนะครับ หรือถ้าต้องการอ่านเรื่องของมหาภารตะยุทธฉบับอ่านสนุก ลองซื้อต่วย'ตูนพิเศษมาอ่านกันเล่นๆ รู้สึกสองสามเดือนนี้มีคอลัมน์ที่ว่าด้วยมหาภารตะยุทธโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับมือใหม่ครับ ส่วนที่จะเอามาเล่าซ้ำก็คือ สภาค้นคว้าทางภาษาสันสกฤตที่ไมซอร์ ประเทศอินเดีย ได้แปลข้อความในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤตที่กล่าวถึง


    - ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก
    - กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว
    - วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู
    - การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม
    - การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู
    - กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน
    - การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ​
    โดย ตำราโบราณเล่มนี้มีทั้งหมด 31 บท อธิบายเรื่องราวและการสร้างยานบินชนิดนี้อย่างละเอียด รวมทั้งกล่าวถึงโลหะที่ใช้ในการสร้างทั้ง 16 ชนิด เป็นโลหะที่เรารู้จักกันเพียงสามชนิด ที่เหลือยังไม่รู้จักหรือแปลกันไม่ได้ครับ


    [​IMG]








    นอกจากนั้นวิมานะในมหาภารตะยังถูกแบ่งออกเป็นประเภทที่บินได้กับบินไม่ได้ ในตอนต้นของมหากาพย์กล่าวถึงนางพรหมจารีย์กุนตี ซึ่ง ได้เสียกับพระอาทิตย์และให้กำเนิดบุตรชายที่เปล่งรัศมีได้เช่นเดียวกับดวง อาทิตย์ นางกุนตีกลัวจึงนำเด็กไปใส่ตะกร้าหน้าเซเว่น.. เอ๊ย..ลอยตามแม่น้ำไป อธิรตา อันเป็นคหบดีแห่งเมืองสุตามาพบเข้าจึงนำมาชุบเลี้ยง

    จะ ว่าไปก็คล้ายกับประวัติของศาสดาพยากรณ์โมเสสนะครับ นอกจากนี้มหากาพย์เรื่องนี้ยังมีครึ่งเทพ-ครึ่งมนุษย์อันเกิดจากการผสมข้าม สายพันธุ์ทำนองเดียวกับมหากาพย์กิลกาเมชเต็มไปหมด เช่น อรชุน ผู้ ต้องเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อพบกับพระเจ้าและขอให้พระเจ้าประทานอาวุธใน การทำศึกให้ ระหว่างการเดินทางอรชุนพบกับพระเจ้ามากหน้าหลายตา นอกจากนั้น อินทราเทพ ยังพาเขาท่องเที่ยวบนท้องฟ้า ในทำนองเดียวกับการเดินทางของเอ็นกิดูในมหากาพย์กิลกาเมชอีกด้วย

    นอกจากนั้น ยังมีข้อความอีกหลายตอนที่กล่าวถึงสงคราม ที่รบกันด้วยเทคโนโลยีใกล้ เคียงกับปัจจุบัน เช่นอาวุธที่คอยติดตามฆ่าผู้ที่มีโลหะติดอยู่กับตัว เป็นอาวุธที่ทำให้ผมร่วงและเล็บหลุด มันจะปนเปื้อนจนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างซีดขาว อ่อนกำลัง อืมห์... ลักษณะเหมือนคนถูกกัมมันตภาพรังสีเลยว่าไหมครับ



    [​IMG]










    ในมหาภารตะบทที่แปดยัง กล่าวถึงการทิ้งระเบิดลงจากวิมานะขนาดใหญ่ โดยกุรคาทำ การบอมบ์เมืองของข้าศึก มีวิมานะที่บรรทุกอาวุธ มีวิมานะคุ้มครอง ลักษระเหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มครอง มหากาพย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างน่ากลัวว่า อาวุธนั้นก่อให้เกิดควันสีขาวที่ร้อนจัด มีแสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับพันเท่า จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเศษขี้เถ้าในพริบตา เมื่อกุรคานำวิมานะลงเคลียร์พื้นที่ วิมานะของเขาร้อนจัดจนมีสีคล้ายแร่พลวง...

    " ราวกับว่าธาตุทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ดวงอาทิตย์ลอยคว้างท่ามกลางแสงแห่งความร้อนของอาวุธนั้น โลกทั้งโลกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง ช้างศึกร้องแปร๋แปร๋นลำตัวลุกเป็นไฟ วิ่งไปมาเพื่อให้พ้นจากความร้อนนั้น น้ำทะเลเดือดพล่าน ทหารฝ่ายข้าศึก ผู้คน สัตว์ต่างๆล้มตายกันเกลื่อนกลาด ซากศพกองพะเนินจนแยกเค้าร่างเดิมไม่ออก เราไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน" : โทรณะปารวะ ฉบับพิมพ์ปี 1889

    อ้อ... สำหรับผู้สนใจวิมานิกกะศาสตรานะครับ ลองๆอ่านรายละเอียดดูได้ ที่นี่ แต่อาจจะปวดหมองหน่อยกับคำอ่านภาษาแขก เพราะพอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว บางทีเราอ่านไปคนละอย่างเลยก็มี ฮึ ฮึ..

    </td></tr></tbody></table>

    earthunseen.blogspot.com: Ancient Astronaut: บทที่ 5 จากตำนานสู่ตำนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  7. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    วันสิ้นโลก.. ทําไมหนังต้องเจาะจงปี 2012


    อย่างที่เพื่อนๆทราบกันว่า [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Hz86TsGx3fc"]ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ของ Roland Emmerich[/ame] จะเข้าฉายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2009 นี้ ทําไมหนังต้องพูดถึงปี 2012 คําทํานายมายันคืออะไร ? ทําไมต้องเจาะจงปี 2012 ? (เหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ผ่านมา ก็มีการพูดถึงปีเดียวกันนี้) ผมได้รวบรวมคําทํานายมาให้อ่านในกระทู้นี้แล้วครับ [​IMG]



    ชาวมายาคือใคร และอยู่ตรงไหน ?

    อาณาจักรมายา ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán) ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มากเพราะมีพื้นที่กินถึง ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส



    ตามประวัติ อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ 2000ปี ตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 อาณาจักรแห่งนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตน่าทึ่งที่สุด ไว้เป็นมรดกโลก และฝากปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิดกันว่าเกิดจากสาเหตุใด



    อาณาจักร มายาเป็นอาณาจักรแสนยิ่งใหญ่ที่ประกอบด้วยเมืองเอกหลายเมืองด้วยกันมีเมือง สำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน เมืองของชาวมายาประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริเวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายแบบ เช่น ปิรามิด วิหาร ปละปราสาทราชวัง ซึ่งสร้างจากศิลาล้วนๆ บ่บอกความเจริญรุ่งเรืองของชาวมายาอย่างดี



    ในระหว่าง ปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิชชา แต่สำหรับชาวมายานั้น ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในระยะเวลาดังกล่าว อารยธรรมมายาได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดมากๆได้สร้างพีระมิดและพระราชวังที่ มโหฬารและวิจิตรอลังการมากมาย
    [​IMG]

    ชาวมายามาจากไหนแน่

    นักโบราณคดีหลายคน ต่างพยายามศึกษาความเป็นมาของเผ่านี้ จากหลักฐานโบราณคดีที่เหลืออยู่ แต่ก็สับสนอยู่ดีว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่



    มี ศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เขียนข้อความอย่างละเอียดเต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ซึ่งแสดงว่าชาวมายามีภาษาเป็นของตนเองและชอบบันทึกประวัติศาสตร์ แต่..น่าเสียดาย ในข้อความศิลาจารึกนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่อ่านออก ตีความได้สักคนเดียว



    สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมายา สันนิษฐานว่า ชาวมายาอาจสืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ไม่ก็กรุงทรอย คาร์เธจ ฮั่น แอตแลนติส ฯลฯปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ ใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง



    นอกจากนี้ ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถวายเทพ(บางครั้งก็เลือก กันเองในเผ่า)

    แน่นอนมีตำนานเกี่ยวกับที่มาของชนเผ่านี้ด้วย จากคำบอกเล่าว่ากันว่า ชาวมายาสืบเชื้อสายจากพระเจ้าผิวสีขาว มีเครายาว และเดินทางมาจากฟากฟ้าโพ้น.. [​IMG]
    [​IMG]
    อาณาจักรมายามีซากสิ่งก่อสร้างหลายแห่งหลายที และแต่ละที่นั้นถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกทั้งสิ้น


    • ติกัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน
    • เปเตน (Peten)
    • ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)
    • ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls




    นัก โบราณคดียุคปัจจุบันต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์มากมายของชาว มายาซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงพีระมิด ราชวังและหอดูดาว เป็นต้น ยอดพีระมิดของชาวมายาจะแบนราบต่างจากพีระมิดของชาวอียิปต์ พีระมิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย และแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพ ราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง และเมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่ มันช่างอลังการเหลือเกินอย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับว่ายากมากๆ

    นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานถึงทฤษฏีพระเจ้าจากอวกาศ

    หลัก ฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลปมายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ
    [​IMG]

    ชาวมายาหายไปไหน

    ทุก วันนี้นักโบราณคดียังคงศึกษาอาณาจักรมายันเพื่อไขปริศนากันต่อไป ทอม เชฟเวอร์ นักโบราณคดีหนึ่งเดียวขององค์การนาซาจากศูนย์การบินอวกาศมาร์แชล ก็เป็นคนหนึ่ง เชฟเวอร์และทีมงานทำการศึกษาซากเมืองเพเตนในประเทศกัวเตมาลาซึ่งติดกับ พรมแดนเม็กซิโก โดยการขุดค้นหาหลักฐานใต้พื้นดินและใช้รีโมตเซนซิ่งหาหลักฐานที่สายตามนุษย์ มองไม่เห็น


    สิ่งที่เชฟเวอร์ค้นพบใต้พื้นดินทั่วทั้งบริเวณของ เมืองร้างแห่งนี้คือเรณูของต้นหญ้าแทนที่จะเป็นเรณูของต้นไม้ใหญ่ หลักฐานนี้แสดงว่าป่าไม้ของเมืองเพเตนลดลงกินบริเวณกว้างเมื่อประมาณ 1,200 ที่ผ่านมา

    ทีมงานบอกว่าเมื่อไม่มีป่าฝนก็จะเกิดการกัดเซาะและการ ระเหยของน้ำ และการกัดเซาะจะรุนแรงจนกวาดเอาปุ๋ยที่หน้าดินไปจนหมดสิ้น หลักฐานการกัดเซาะได้ถูกค้นพบในชั้นดินตะกอนในทะเลสาบ


    ยิ่งไป กว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่าไม้จะทำให้อุณหภูมิสูง ขึ้น บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลหนึ่งทีมงานใช้แบบจำลอง คอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะต่อการเจริญ เติบโตของพืช



    นอกจากนั้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผล กระทบต่อการมีฝนด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตนจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำแต่มันก็คงจะ ระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้



    ขณะที่อาณาจักรมายันมี ประชากรจำนวนมากซึ่งจำเป็นจะต้องใช้อาหารและน้ำเป็นจำนวนมากด้วย การศึกษาพบว่าประมาณคริสต์ศักราช 800 เมืองของชาวมายามีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาก ในพื้นที่ชนบทมีประชากร 500-700 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ และ 1,800-2,600 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ในบริเวณศูนย์กลางของอาณาจักรทางตอนเหนือของประเทศ กัวเตมาลา พอๆ กับนครลอสแองเจลิสในปี 2000 ซึ่งมีประชากร 2,345 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 950 ก็เกิดความหายนะ " บางทีราว 90-95% ของชาวมายาต้องตายไป" เชฟเวอร์กล่าว



    หลัก ฐานที่สนับสนุนความเป็นไปได้ก็คือ การพบว่ากระดูกของชาวมายาซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวสองสามทศวรรษก่อนอาณาจักรมา ยันจะล่มสลายซึ่งแสดงว่าเป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง


    เชฟเวอร์ สรุปการศึกษาในครั้งนี้ว่า นักโบราณคดีเคยโต้เถียงกันมานานว่า สาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะความแห้งแล้ง หรือสงคราม หรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ทีมงานของเขาคิดว่าทั้งหมดล้วนมีบทบาท ทว่าสาเหตุหลักก็คือ การขาดอาหารและน้ำอย่างยาวนาน ซึ่งเกิดจากความแห้งแล้งทางธรรมชาติผสมผสานกับการทำลายป่าไม้ของมนุษย์ และเขาคิดว่าการเรียนรู้ว่าชาวมายาทำอะไรถูกต้องและทำอะไรผิดพลาดจะช่วยให้ ประชาชนพบวิถีทางที่ยั่งยืนในการทำการเกษตร โดยจะหยุดยั้งการทำสิ่งที่เลยเถิดในช่วงเวลาอันสั้นซึ่งเคยทำลายชาวมายามา แล้ว


    ภาพ : สัญลักษณ์ของชาวมายา

    [​IMG]

    ปฏิทินมายา เกี่ยวอะไรกับปี 2012
    (บทความโดยคุณ Sonic)


    ชาว มายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...



    แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตก ต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน



    ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอัน ประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20



    ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี

    จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116

    ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830

    ดัง นั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไร
    และนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ

    1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
    2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
    3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
    4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
    5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
    6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า
    7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
    8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
    9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
    10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
    11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
    12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
    13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่

    ... เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้ว โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทินของมนุษย์ยุคใหม่เรา
    ส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวมายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้

    แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน
    คิน = 1 วัน
    อุยนัล = 20 คิน
    ทัน = 360 คิน
    คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)
    แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)

    จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆ

    แล้ว เอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลก พิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆ

    มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ?

    หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม

    คำ ว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง

    ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู

    ตาม แผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง


    ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
    อาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคการปกครองของเขา
    ปา กาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว

    ...อ่าน แล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชาวมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวาล

    ในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่
    แม้ แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามายา ในภาษา อียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไก่และเป็นน้องคนสุดท้อง ก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส

    ภาพปฏิทินมายา นับถอยหลัง ถึงวันสุดท้าย 21 ธันวาคม 2012 ...อะไรรอเราอยู่
    [​IMG]

    ต่อไปนี้คือคําทํานายของปี2012 ครับ

    เดือน ตุลาคม ค.ศ. 2000 ชาวคอร์กิโนหลายคน เห็นดวงแสงลึกลับ ลอยวูบลงสู่พื้นดิน แล้วพุ่งกลับขึ้นไปในอากาศ ทิ้งรอยไหม้จนหินละลาย ซึ่งต่อมาหินละลายดังกล่าว ได้รับการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ลงความเห็นว่าหินได้รับความร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ

    นอกจากแสงลึกลับ แล้ว ที่นี่ยังมีชายผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มานาน แล้ว ล่าสุดเมื่อปี 2002 เขาก็อ้างว่าเขาถูกลักพาตัวไปยังยางนอกโลกถึง 3 วัน ซึ่งงานนี้เขาไม่ได้อ้างลอยๆ นะ เขามีพยานหลักฐานอันน่าทึ่ง และยังไม่อาจพิสูจน์ค้านได้ว่าเป็นการทำปลอม หรือกุเรื่องขึ้นเสียด้วย

    ชาย ผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า เขาอ้างว่าเขาเคยติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของ โอลิเวียร่า ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาวร่างสูง ผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีทีโอลิเวียล่า บอกเราว่ามนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่าแสงพลาสม่า เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต

    เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้น

    โอ ลิเวียร่า หายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอนบนผู้ปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมมจู่ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้นเขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว
    [​IMG]
    [​IMG]
    โอ ลิเวียร่า บอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับการติดต่อ ทางโทรจิตผ่านแสงพลาสม่า ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไปในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝนก้อนหินตกลงมา

    ค่ำ วันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียงของ โอลิเวียร่า ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคนช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วย

    เขาเล่า ว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่ยนเตียงสักครู่ก็มีแสงสีม่วงสว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน รู้สึกเหมือนกระดูถูกยืดออก แต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้งลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว ( ซึ่งเขาไมได้บอกว่ามันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศ ใบใหญ่ ซึ่งมีผิวบางใส คล้ายๆ ว่าข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลย์อะไรทำนองนั้น จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบลอนด์ร่างสูง ก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพ อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็คซี่ของเรา มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 ( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็คซี่ จะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วน ด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น

    คำ ทำนายของมนุษย์ต่างดาว ที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ น่าแปลกที่ว่า วันที่ 22 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวมายาอีกด้วย

    อีกไม่กี่สิบปีเราคงจะได้เห็นปรากฎการณ์นั้น ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบาง

    ทั้งหมดนี้ ที่ฟังมานี้ ต่างต้องล้วนใช้วิจารณญาณ แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ .......
    [​IMG]
    บทความจากสํานักข่าวIndiadaily

    ใน ปี คศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้ สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี คศ. 2012 การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์ หน่วยเกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมกับการสลับขั้วของดวงอาทิตย์ ที่จะมีขึ้นในทุกๆ 11 ปี ในปี คศ. 2012 แล้ว ปัญหาอันใหญ่ยิ่งจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสมัยใหม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นนี้ยังไม่เคยได้มีการการบันทึกไว้ จะมีก็แต่เพียงแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่จะสามารถทำนายผลลัพธ์ที่ เคยเกิดขึ้นั้นได้




    เมื่อ เร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับ ของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของ Hyderabad กลับพบว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์นั้น สามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างรุนแรงที่มากไปกว่าแค่การทำงานผิดพลาด ของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่านั้น พวกนกที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทาง และอื่นๆ ตามมาอีก เช่น - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์จะอ่อนแอลง - โลกจะประสบกับการเพิ่มความถี่ของการเกิดภูเขาไฟระเบิด, การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก, แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม ที่จะมีมีสูงขึ้นกว่าปรกติ - สภาวะความเป็นแม่เหล็ก (Magnetosphere) ของโลกจะอ่อนตัวลง และการแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายจากการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น มะเร็งและอื่นๆ อีก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ -กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่จะถูกดึงดูดเข้ามายังโลกอย่างมากมาย - แรงดึงดูดของโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยน แปลงไปอย่างไร ถ้าคุณรวมเอาเหตุการณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดการทำลายล้างเหล่านี้ทั้งหมดมา ผนวกรวมกันแล้ว คุณก็จะสามารถอธิบายสิ่งที่คุณจะมองเห็นด้วยคำง่ายๆ ว่า โลกอาจจะไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษยชาติในปี คศ. 2012 และผู้คนทั้งหลายผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกหรือใกล้กับพื้นผิวโลก สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ผิวโลกที่ลึกลงไปเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด โดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ คงเป็นเวลาอีกหลายล้านปีถัดจากนี้ เราจึงจะได้เห็นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่หรือมีความชาญฉลาด ที่จะกลับมาครอบครองบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเหมือนดังเช่นที่ได้เคยเกิดขึ้นในห้วงที่เกิดคลื่น สึนามิ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกงงงวย และเฝ้าจ้องมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แล้วในที่สุดมันก็พัดพาเราออกไปสู่ท้องทะเล ถ้าแบบจำลองนี้ถูกต้องแม่นยำ นั่นหมายถึงว่าหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับพวกเราที่จะอยู่รอดเพื่อที่จะรักษา อารยธรรมของเราเอาไว้ต่อไป นั่นก็คือการลงไปอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลกหรือไม่ก็อพยพเคลื่อนย้ายไปอาศัยยัง ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับดาวอังคารเมื่อย้อนหลังไปหลาย ล้านปีทีผ่านมา ความเคลื่อนไหวที่ไม่ปรกติของผู้มาเยือนจากนอกโลกหมายถึง UFO ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าอาจมีใครบางคนจากนอกโลกรู้ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้น กับโลกใบนี้ อาจบางทีพวกเขาอาจจะกำลังจะพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบๆ ด้วยการจำลองภาพเหตุการณ์เพื่อเป็นการบอกเตือน หรือแม้แต่ย้ายพวกเราไปยังจุดหมายปลายทางที่ไหนสักแห่งที่เราไม่อาจรู้ได้.
    [​IMG]

    บทความจาก นสพ.ไทยรัฐ

    ทฤษฎี ที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า...ด้วยชุดเลขสวย 212012

    ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามา ยัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี

    การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง ช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาท ิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกคร ั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง

    สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลก ข้างต้นตามจินตนาการข อง อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์หรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเคร ื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิ ศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน

    ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้ คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสัก ขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน

    น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะ เกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผื อกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)

    สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์

    นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเว ณที่เคยเกิดสึนามิมา ก่อน

    และเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโ ลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว
    [​IMG]

    แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012

    จาก การทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

    ในการค้นคว้า วิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

    การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

    ในประ วัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็ก ของโลกอ่อน
    แอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

    ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจั
    งดังต่อไปนี้

    - ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

    - การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

    - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

    - ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

    - สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับ อันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

    - กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

    -แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

    ถ้า คุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..

    จาก การทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

    ในการค้นคว้า วิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

    การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

    ในประ วัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็ก ของโลกอ่อน
    แอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

    ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจั
    งดังต่อไปนี้

    - ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

    - การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

    - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

    - ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

    - สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับ อันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

    - กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

    -แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

    ถ้า คุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..


    ภาพ แผนที่โลกในอนาคต ที่นาย Gordon-Michael Scallion นักพยากรณ์ชื่อดังชาวสหรัฐฯเขียนขึ้น โดยระบุว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012 โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อนตัว
    [​IMG]



    เอาเฉพาะส่วนสําคัญมาให้ดูครับ

    สหรัฐอเมริกา
    (ภาพจากWorld-Mysteries.com)
    [​IMG]

    เอเชีย
    [​IMG]


    นำมาจาก : http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/11/A7230718/A7230718.html

    <a class="timestamp-link" href="http://earthunseen.blogspot.com/2010/09/2012_19.html" rel="bookmark" title="permanent link"><abbr class="published" title="2010-09-19T10:11:00-07:00"></abbr>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  8. Be Cool

    Be Cool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +185
    ขอบคุณมากนะคะที่คลี่คลายความข้องใจให้ทุกครั้ง และจะรอคอยซับไทยจากในคลิปด้วยความตั้งใจค่ะ

    ปล.ไม่ต้องรีบค่ะรอได้เสมอ^-^
     
  9. Soul Collector

    Soul Collector เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +610
    สรุปแล้วจากคลิปสั้นๆไม่ถึงนาทีนั้นฟ้องชัดเจนว่าเจ้าคอมเม็ทเอลีนินมันไม่ใช่ดาวหางแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์นอกจากเป็นยานอวกาศที่ไม่ใช่แบบที่ใช้อยู่ในโลกเราแน่นอน เล่นเปิดลำแสงชิลล์หุ้มเกราะออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายๆในหนังสตาร์วอร์ โอเคโคม่าที่ถูกห่อหุ้มปริมาณมหาศาลได้ถูกทำลายลงไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์โดยยานอวกาศยักษ์ของมนตดเผ่าพันธุ์ครูแลนโดยการยิงลำแสงเผาทำลายไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำลายเรดคาชิน่าหรือไนบิรูลงไปด้วยเพราะจะผิดกฏต่อสมาพันธ์อวกาศกาแล็คติก้านั่นเอง เพราะฉะนั้น (ความเห็นส่วนตัว) เรายังไม่สามารถประมาทเจ้าคอมเม็ทเอลีนินอีก มันอาจจะเป็นตัวล่อเพื่อลวงให้เราตายใจแต่พี่ยักษ์ที่โคจรตามหลังมานะซิของจริงครับท่าน
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ในยูทู้ปอันนั้น ฟังแล้วได้ความรู้มากจริงๆ เค้าบอกว่า อิลินิน อาจจะเป็นแคปซูลเวลา ที่บรรพบุรุษของเราส่งมาให้ เพื่อ
    1) ยกระดับพลังงานจากระกับ 4 เป็นระดับ 5 (ถ้าจำไม่ผิด)
    2) ป้องกันภัยหรือลดขนาดภัยพิบัติที่จะเกิดกับโลกเรา

    เค้าส่งมาด้วยเทคโนโลยี ล้ำหน้ามาก และจะโหลดข้อมูลมาให้เรา (Richard พูดไว้เมื่อเดือน July บอกว่า อีกหน่อยจะมีเสียงส่งออกมาจากอิลินิน) ซึ่งก็มีแล้ว และหลังจากนั้นจะมีเลเซอร์ออกมามองเห็นด้วยตาเปล่า อาจเป็นที่บนท้องฟ้า

    ตอนนี้พวกรัฐบาลโลกเบนความสนใจเราให้ไปเป็นลบ เลยจะไม่ไปสนใจข้อมูลที่บรรพบุรุษเราจะส่งมาให้ 911 เป็นวันดี (แต่ถูกสร้างให้เป็นสัญญลักษณ์ทางลบ) รอดูกัน 9 กันยานี้ อาจมีการโหลดข้อมูลบางอย่างให้พวกเรา

    แต่ยังไม่ได้พูดถึงนิบิรูเลย............

    ฟังแล้วสนุกมาก อยากให้คนอื่นมาฟังด้วย แต่เดี๋ยวจะค่อยๆ เอาลง เพราะเยอะเลย พูดไป 1 ชั่วโมงเต็ม :cool:
     
  11. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=cd0dr1NyEPk&feature=player_detailpage"]Red Ice Radio - Richard C. Hoagland - Comet Elenin, Norway Attack & The Messengers of Horus - YouTube[/ame]

    Red Ice Radio จากสแกนดิเนเวียร์

    สัมภาษณ์ Richard C. Hoagland.
    Richard C. Hoagland is a former museum space science Curator; a former NASA Consultant; and, during the historic Apollo Missions to the Moon, was science advisor to Walter
    Cronkite and CBS News. In the mid-1960's, at the age of 19 (possibly "the youngest museum curator in the country at the time"), Hoagland created his first elaborate commemorative event -- around NASA's first historic unmanned fly-by of the planet Mars, Mariner 4. A simultaneous all-night, transcontinental radio program the evening of the Encounter (linking the museum in Springfield, Mass., and NASA's JPL control center, in Pasadena, Ca.), co-produced by Hoagland and WTIC-Radio, in Hartford, Ct., was subsequently nominated for a Peabody Award, one of journalism's most prestigious.

    อ่านประวัติต่อ The Enterprise Mission - Richard C. Hoagland

    วันนี้ริชาร์ดจะมาเล่าเรื่องดาวหางอิลินิน และ มีการเกี่ยวเนื่องกับ 911 อย่างไร


    ตอนนี้พวกเราจริงๆ เช่า กล้องดูดาวดีๆ มาได้ เป็นวันๆ หรือ ดูจากคอม ไปรีโมทคอนโทรลกล้องได้จากคอมที่ไหนก็ได้ในโลก เหมือนลิโอนิด อิลินินทำเมื่อ 10 ธันวาคม 2010 ที่มองไปที่กลุ่มดาวลีโอและเค้าสังเกตจุดเล็กๆ ได้ และเค้าเรียกดาวหางอิลินิน

    แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจคือว่า เค้าชื่ออีโลนิด และ ดาวหางนี้ก็พบที่กลุ่มดาวลีโอ และตอนพบแม็กนิจูด (หรือความสว่างของดาวหาง) พบเมื่อ 10 ธันวาคม 2009 คือ 19.5


    และอีกอย่างหนึ่งคือ 10 ธันวาคม คือ ครบรอบสองปีของ วันที่มีรูปคล้ายๆ สปริงอยู่บนท้องฟ้าของทางเหนือของนอร์เวย์ และฟินแลนด์ ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโอบาม่า ไปรับรางวัลสันติภาพ ในออสโล


    เราจะต้องมาพูดถึงวันที่ 11 กันยายน 911 ที่ดาวหางอิลินินจะมาใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 10 กันยา

    หรือ 11 กันยา ผมรู้สึกว่าหลังจากที่มีรูปดาวหางนี้โพสต์ในเน็ต ก็มีข้อมูลต่างๆ ออกมามากมาย มียู
    ทู้ปเป็นพันๆ คิดว่าดาวหางอิลินินจะทำให้โลกแตก และคิดว่าอิลินินคือ นิบิรู บราวน์ดวอฟ มีหางยาว
    มาก และหางมีหินต่างๆ มากมาก จะเข้ามาในโลก ฯลฯ มีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น

    และที่แปลกใจคือ ที่ค้นพบแล้วบอกว่ามีความสว่าง 19.5 มันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยิ่ง

    ตอนที่มันจะผ่านดวงอาทิตย์ จริงๆ ไม่น่าจะไปสนใจเลย เพราะว่ามันมีเป็นร้อยแบบนี้ผ่านระบบสุริยะ
    ในแต่ละปี

    แล้วผมก็ลองดูในเบไซท์ของนาซ่า jpl และผมเห็นว่าเค้าคำนวนวงโคจรได้ละเอียดจนกระทั่งแค่ 0.5 นาที แต่ที่ผมเอะใจสิ่งแรก คือ จะมาใกล้โลกในวันที่ 9 กันยายน
    และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 911 เลย แต่พวกเค้า (พวกรัฐบาลที่คุมโลกอยู่) โกหกว่ามันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 911 และไม่อยากให้เรารู้ว่าจริงๆ ว่าอิลินินใกล้โลกในวันที่ 9 กันยา ที่ผมพูดนี่หมายความว่าไง ไม่ได้หมายถึงใกล้ 911 ในเวลาอเมริกา หรือ ไม่ใช่ 911 ในกรินิชมีนไทม์ (GMT) แต่มันใกล้สุด 11 กันยาในเวลาของ Far East แล้วที่บอกอย่างนี้มันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร


    ยังมีต่อยังไม่จบ................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  12. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    HUMANPAST.NET
    <table bgcolor="#FFFFFF" border="3" cellpadding="3" cellspacing="3" width="750"><tbody><tr> <td>
    Zecharia Sitchin's SumerianTale (146, 137) ​
    </td> </tr> <tr> <td>
    There were, the Sumerians believed, gods that were "of the heavens." Texts dealing with the time "before things were created" talk of such heavenly gods as Apsu, Tiamat, Anshar, Kishar. No claim is ever made that the gods of this category ever appeared upon Earth. As we look closer at these "gods," who existed before Earth was created, we shall realize that they were the celestial bodies that make up our solar system...​
    There were also lesser gods who were "of Earth." Their cult centers were mostly provincial towns; they were no more than local deities. At best, they were given charge of some limited operation--as, for example, the goddess NIN.KASHI ('lady-beer"), who supervised the preparation of beverages. Of them, no heroic tales were told. They possessed no awesome weapons, and the other gods did not shudder at their command.
    Between the two groups there were the Gods of Heaven and Earth, the ones called "the ancient gods." They were the "olden gods" of the epic tales, and, in the Sumerian belief, they had come down to Earth from the heavens.
    What, then, does the term Nefilim mean? Stemming from the Semitic root NFL ("to be cast down"), it means exactly what it says: It means those who were cast down upon Earth!
    These were no mere local deities. They were national gods--indeed, international gods. Some of them were present and active upon Earth even before there were Men upon Earth. Indeed, the very existence of Man was deemed to have been the result of a deliberate creative enterprise on the part of these gods. They were powerful, capable of feats beyond mortal ability or comprehension. Yet these gods not only looked like humans but ate and drank like them and displayed virtually every human emotion of love and hate, loyalty and infidelity.
    The head of this family of Gods of Heaven and Earth was AN (or Anu in the Babylonian/Assyrian texts). He was the Great Father of the Gods, the King of the Gods. His realm was the expanse of the heavens, and his symbol was a star. In the Sumerian pictographic writing, the sign of a star also stood for An, for "heavens," and for "divine being," or "god" (descended of An). This fourfold meaning of the symbol remained through the ages, as the script moved from the Sumerian pictographic to the cuneiform Akkadian, to the stylized Babylonian and Assyrian:[​IMG]
    From the very earliest times until the cuneiform script faded away--from the fourth millennium BC almost to the time of Christ--this symbol preceded the names of the gods, indicating that the name written in the text was not of a mortal, but of a deity of heavenly origin.
    While Enlil, Enki, and Ninhursag went to Earth and made their home upon it, their father Anu remained in the Heavenly Abode as its ruler. Not only occasional references in various texts but also detailed "god lists" actually named twenty-one divine couples of the dynasty that preceded Anu on the throne of the "pure place."
    Anu himself reigned over a court of great splendor and extent. As Gilgamesh reported (and the Book of Ezekiel confirmed), it was a place with an artificial garden sculpted wholly of semiprecious stones. There Anu resided with his official consort Antu and six concubines, eighty offspring (of which fourten were by Antu), one Prime Minister, three Commanders in charge of the Mu's (rocket ships), two Commanders of the Weapons, two Great Masters of Written Knowledge, one Minister of the Purse, two Chief Justices, two "who with sound impress," and two Chief Scribes, with five Assistant Scribes.
    Though Anu lived in a Heavenly Abode, the Sumerian texts reported instances when he came down to Earth­-either at times of great crisis, or on ceremonial visits (when he was accompanied by his spouse ANTU), or (at least once) to make his great-granddaughter IN.ANNA his consort on Earth.
    Two-way travel was not only possible but actually contemplated to begin with, for we are told that, having decided to establish in Sumer the Gateway of the Gods (Babili), the leader of the gods explained:
    When to the Primeval Source
    for assembly you shall ascend,
    There shall be a restplace for the night
    to receive you all.
    When from the Heavens
    for assembly you shall descend,
    There shall be a restplace for the night
    to receive you all.
    [​IMG]An Assyrian depiction of the Gateway of Anu in the Heavenly Abode (left) confirms ancient familiarity with a celestial system such as our Sun and its planets. The gateway is flanked by two Eagles - indicating that their services are needed to reach the Heavenly Abode. The Winged Globe - the supreme divine emblem - marks the gateway. It is flanked by the celestial symbols of the number seven and the crescent, representing (we believe) Anu flanked by Enlil and Enki.
    Where are the celestial bodies represented by these symbols? Where is the Heavenly Abode? The ancient artist answers with yet another depiction, that of a large celestial deity extending its rays to eleven smaller celestial bodies encircling it. It is a representation of a Sun, orbited by eleven planets.
    Since he did not permanently reside on Earth, there was apparently no need to grant him exclusivity over his own city or cult center; and the abode, or "high house," erected for him was located at Uruk (the biblical Erech), the domain of the goddess Inanna. The ruins of Uruk include to this day a huge man-made mound, where archaeologists have found evidence of the construction and reconstruction of a high temple--the temple of Anu; no less than eighteen strata or distinct phases were discovered there, indicating the existence of compelling reasons to maintain the temple at that sacred site.
    The temple of Anu was called E.ANNA ("house of An"). But this simple name applied to a structure that, at least at some of its phases, was quite a sight to behold. It was, according to Sumerian texts, "the hallowed E-Anna, the pure sanctuary." Traditions maintained that the Great Gods themselves "had fashioned its parts." "Its cornice was like copper," "its great wall touching the clouds--a lofty dwelling place"; "it was the House whose charm was irresistible, whose allure was unending." And the texts also made clear the temple's purpose, for they called it "the House for descending from Heaven."
    Among the thousands upon thousands of depictions of the ancient gods that have been uncovered, none seems to depict Anu. Yet he peers at us from every statue and every portrait of every king that ever was, from antiquity to our very own days. For Anu was not only the Great King, King of the Gods, but also the one by whose grace others could be crowned as kings. By Sumerian tradition, rulership flowed from Anu, and the very term for "Kingship" was Anutu ("Anu-ship"). The insignia of Anu were the tiara (the divine headdress), the scepter (symbol of power), and the staff (symbolizing the guidance provided by the shepherd).
    When the Nefilim first landed on Earth some 450,000 years ago, about a third of Earth's land area was covered with ice sheets and glaciers.
    Interestingly, the Sumerians had names for all bituminous substances - petroleum, crude oils, native asphalts, rock asphalts, tars, pyrogenic asphalts, mastics, waxes, and pitches. They had nine different names for the various bitumens. By comparison, the ancient Egyptian language had only two, and Sanskrit, only three.
    The biblical name Eden is of Mesopotamian origin, stemming from the Akkadian edinu, meaning "plain." We recall that the "divine" title of the ancient gods was DIN.GIR ("the righteous/just ones of the rockets"). A Sumerian name for the gods' abode, E.DIN, would have meant "home of the righteous ones" - a fitting description.
    Coming down in the Arabian Sea, the first intelligent beings on Earth then made their way toward Mesopotamia. The marshlands extended deeper inland than today's coastline. There, at the edge of the marshes, they established their very first settlement on our planet.
    At Eridu, in southern Mesopotamia, the Nefilim established Earth Station I, a lonely outpost on a half-frozen planet.
    A Sumerian text, believed to have been the original of the Akkadian "Deluge Tablets," relates the following regarding five of the first seven cities:
    After kingship had been lowered from heaven,
    after the exalted crown, the throne of kingship
    had been lowered from heaven,
    he...perfected the procedures,
    the divine ordinances...
    Founded five cities in pure places,
    called their names,
    laid them out as centers.
    The first of these cities, ERIDU,
    he gave to Nudimmud, the leader,
    The second, BAD-TIBIRA,
    he gave to Nugig.
    The third, LARAK,
    he gave to Pabilsag.
    The fourth, SIPPAR,
    he gave to the hero Utu.
    The fifth, SHURUPPAK,
    he gave to Sud.
    The name of the god who lowered Kingship from Heaven, planned the establishment of Eridu and four other cities, and appointed their governors or commanders, is unfortunately obliterated. All the texts agree, however, that the god who waded ashore to the edge of the marshlands and said "Here we settle" was Enki, nicknamed "Nudimmud" ("he who made things") in the text.
    This god's two names - EN.KI ("lord of firm ground") and E.A ("whose house is water") - were most appropriate. Eridu, which remained Enki's seat of power and center of worship throughout Mesopotamian history, was built on ground artificially raised above the waters of the marshlands. The evidence is contained in a text named (by S. N. Kramer) the "Myth of Enki and Eridu":
    The lord of the watery-deep, the king Enki...
    built his house...
    In Eridu he built the House of the Water Bank...
    The king Enki...has built a house:
    Eridu, like a mountain,
    he raised up from the earth;
    in a good place he had built it.
    A text named by scholars the "myth" of "Enki and the Land's Order" is one of the longest and best preserved of Sumerian narrative poems so far uncovered. It consists of some 470 lines of which 375 are perfectly legible.
    "When I approached Earth,
    there was much flooding.
    When I approached its green meadows,
    heaps and mounds were piled up
    at my command.
    I built my house in a pure place...
    My house -
    Its shade steretches over the Snake Marsh...
    The carp fish wave their tails in it
    among the samall gizi reeds."
    He marked the marshland,
    placed in it carp and...--fish;
    He marked the cane thicket,
    placed in it...--reeds and green-reeds.
    Enbilulu, the Inspector of Canals,
    he placed in charge of the marshlands.
    Him who set net so no fish escapes,
    whose trap no...escapes,
    whose snare no bird escapes,
    ...the son of...a god who loves fish
    Enki placed in charge of fish and birds.
    Enkimdu, the one of the ditch and dike,
    Enki placed in charge of ditch and dike.
    Him whose...mold directs,
    Kulla, the brick-maker of the Land,
    Enki placed in charge of mold and brick.
    The poem lists other achievements of Enki, including the purification of the waters of the Tigris River and the joining (by canal) of the Tigris and Euphrates. His house by the watery bank adjoined a wharf at which reed rafts and boats could anchor, and from which they could sail off. Appropriately, the house was named E.ABZU ("house of 'the Deep"). Enki's sacred precinct in Eridu was known by this name for millennia thereafter.
    [​IMG]
    The marshland, he said in one of the texts, "is my favorite spot; it stretches out its arms to me." In other texts Enki described sailing in the marshlands in his boat, named MA.GUR (literally, "boat to turn about in"), namely, a touring boat. He tells how his crewmen "drew on the oars in unison" how they used to "sing sweet songs, causing the river to rejoice." At such times, he confided, "sacred songs and spells filled my Watery Deep."
    The Sumerian king lists indicate that Enki and his first group of Ne£ilim remained alone on Earth for quite a while: Eight shar's (28,800 years) passed before the second commander or "settlement chief' was named.
    But while Enki was enduring the hardships of a pioneer on Earth, Anu and his other son Enlil were watching the developments from the Twelfth Planet. The Mesopotamian texts make it clear that the one who was really in charge of the Earth mission was Enlil; and as soon as the decision was made to proceed with the mission, Enlil himself descended to Earth. For him a special settlement or base named Larsa was built by EN.KI.DU.NU ("Enki digs deep"). When Enlil took personal charge of the place, he was nicknamed ALIM ("ram"), coinciding with the "age" of the zodiacal constellation Aries.
    At that juncture, Enlil came to Earth and proceeded from Larsa to establish a "Mission Control Center" - a sophisticated command post from which the Nefilim on Earth could coordinate space journeys to and from their home planet, guide in landing shuttle-craft, and perfect their takeoffs and dockings with the spaceship orbiting Earth.
    The site Enlil selected for this purpose, known for millennia as Nippur, was named by him NIBRU.KI ("Earth's crossing"). There Enlil established the DUR.AN.K1, the "bond Heaven-Earth."
    Enlil,
    When you marked off divine settlements on Earth,
    Nippur you set up as your very own city.
    The City of Earth, the lofty,
    Your pure place whose water is sweet.
    You founded the Dur-An-Ki
    In the center of the four corners of the world.
    Enlil stayed in Larsa for 6 shar's (21,600 years) while Nippur was under construction. The Nippurian undertaking was also lengthy, as evidenced by the zodiacal nicknames of Enlil. Having paralleled the Ram (Aries) while in Larsa, he was subsequently associated with the Bull (Taurus). Nippur was established in the "age" of Taurus.
    A devotional poem composed as a "Hymn to Enlil, the All-Beneficent" and glorifying Enlil, his consort Ninlil, his city Nippur, and its "lofty house," the E.KUR, tells us much about Nippur. For one thing, Enlil had at his disposal there some highly sophisticated instruments: a "lifted 'eye' which scans the land," and a "lifted beam which searches the heart of all the land." Nippur, the poem tells us, was protected by awesome weapons: "Its sight is awesome fear, dread"; from "its outside, no mighty god can approach." Its "arm" was a "vast net," and in its midst there crouched a "fast-stepping bird," a "bird" whose "hand" the wicked and the evil could not escape.
    In the center of Nippur, atop an artificially raised platform, stood Enlil's headquarters, the KI.UR ("place of Earth's root") - the place where the "bond between Heaven and Earth" rose. This was the communications center of Mission Control, the place from which the Anunnaki on Earth communicated with their comrades, the IGI.GI ("they who turn and see") in the orbiting spacecraft.
    At this center, the ancient text goes on to say, stood a "heavenward tall pillar reaching to the sky." This extremely tall "pillar," firmly planted on the ground "as a platform that cannot be overturned," was used by Enlil to "pronounce his word" heavenward. Once the "word of Enlil" - his command - "approached heaven, abundance would pour down on Earth."
    This Control Center on a raised platform, Enlil's "lofty house," contained a mysterious chamber, named the DIR.GA:
    As mysterious as the distant Waters,
    as the Heavenly Zenith.
    Among its...emblems,
    the emblems of the stars.
    The ME it carries to perfection.
    Its words are for utterance...
    Its words are gracious oracles.
    What was this dirga? Breaks in the ancient tablet have robbed us of more data; but the name speaks for itself, for it means "the dark, crownlike chamber," a place where star charts were kept, where predictions were made, where the me (the astronaut's communications) were received and transmitted.
    In the "Epic of Creation," the "destinies" of the planetary gods were their orbits. It is reasonable to assume that the Tablet of Destinies, which was so vital to the functions of Enlil's "Mission Control Center," also controlled the orbits and flight paths of the spaceships that maintained the "bond" between Heaven and Earth.
    In Bad-Tibira, established as an industrial center, Enlil installed his son Nannar/Sin in command; the texts speak of him in the list of cities as NU.GIG ("he of the night sky"). There, we believe, the twins Inanna/Ishtar and Utu/Shamash were born - an event marked by associating their father Nannar with the next zodiacal constellation, Gemini (the Twins). As the god trained in rocketry, Shamash was assigned the constellation GIR (meaning both "rocket" and "the crab's claw," or Cancer), followed by Ishtar and the Lion (Leo), upon whose back she was traditionally depicted.
    The sister of Enlil and Enki, "the nurse" Ninhursag (SUD), was not neglected: In her charge Enlil put Shuruppak, the medical center of the Nefilim - an event marked by naming her constellation "The Maid" (Virgo).
    While these centers were being established, the completion of Nippur was followed by the construction of the spaceport of the Nefilim on Earth. The texts made clear that Nippur was the place where the "words" - commands - were uttered: There, when "Enlil commanded: 'Towards heaven!'...that which shines forth rose like a sky rocket." But the action itself took place "where Shamash rises," and that place - the "Cape Kennedy" of the Nefilim - was Sippar, the city in the charge of the Chief of the Eagles, where multistage rockets were raised within its special enclave, the "sacred precinct."
    As Shamash matured to take command of the Fiery Rockets, and in time also to become the God of Justice, he was assigned the constellations Scorpio and Libra (the Scales) .
    Completing the list of the first seven Cities of the Gods and the correspondence with the twelve zodiac constellations was Larak, where Enlil put his son Ninurta in command. The city lists call him PA.BIL.sAG ("great protector"); it is the same name by which the constellation Sagittarius was called.
    No one has previously attempted to see a master plan in the scattered Sumerian settlements. But if we look at the first seven cities ever established, we find that Bad-Tibira, Shuruppak, and Nippur lay on a line running precisely at a 45-degree angle to the Ararat meridian, and that line crossed the meridian exactly at Sippar! The other two cities whose sites are known, Eridu and Larsa, also lay on another straight line that crossed the first line and the Ararat meridian, also at Sippar.
    Taking our cue From the ancient sketch, which made Nippur the center of a circle, and drawing concentric circles from Nippur through the various cities, we find that another ancient Sumerian town, Lagash, was located exactly on one of these circles - on a line equidistant from the 45-degree line, like the Eridu-Larsa-Sippar line. The location of Lagash mirrors that of Larsa.
    [​IMG]
    The two outside lines, flanking the central line running through Nippur, lay 6 degrees on each side of it, acting as southwest and northeast outlines of the central flight path. Appropriately, the name LA.AR.SA meant "seeing the red light"; and LA.AG.ASH meant "seeing the halo at six." The cities along each line were indeed six beru (approximately sixty kilometers, or thirty-seven miles) from each other.
    This, we believe, was the master plan of the Nefilim. Having selected the best location for their spaceport (Sippar, they laid out the other settlements in a pattern outlining tbe vital flight path to it. In the center they placed Nippur, where the "bond Heaven-Earth" was located.
    Neither the original Cities of the Gods nor their remains can ever be seen by man again - they were all destroyed by the Deluge that later swept over Earth. But we can learn much about them because it was the sacred duty of Mesopotamian kings continuously to rebuild the sacred precincts in exactly the same spot and according to the original plans. The rebuilders stressed their scrupulous adherence to the original plans in their dedication inscriptions, as this one (uncovered by Layard) stated:
    The everlasting ground plan,
    that which for the future
    the construction determined
    [I have followed].
    It is the one which bears
    the drawings from the Olden Times
    and the writing of the Upper Heaven.
    If Lagash, as we suggest, was one of the cities that served as a landing beacon, then much of the information provided by Gudea in the third millennium BC makes sense. He wrote that when Ninurta instructed him to rebuild the sacred precinct, an accompanying god gave him the architectural plans (drawn on a stone tablet), and a goddess (who had "travelled between Heaven and Earth" in her "chamber") showed him a celestial map and instructed him on the astronomical alignments of the structure.
    In addition to the "divine black bird," the god's "terrible eye" ("the great beam that subdues the world to its power") and the "world controller" (whose sound could "reverberate all over") were installed in the sacred precinct. Finally, when the structure was complete, the "emblem of Utu" was raised upon it, facing "toward the rising place of Utu"`-`toward the spaceport at Sippar.
    [​IMG]Early Sumerian depictions frequently show massive structures, built in earliest times of reeds and wood, standing in fields among grazing cattle. The current assumption that these were stables for cattle is contradicted by the pillars that are invariably shown protruding from the roofs of such structures. (right)
    The pillars' purpose, as one can see, was to support one or more pairs of "rings," whose function is unstated. But although these structures were erected in the fields, one must question whether they were built to shelter cattle.
    The Sumerian pictographs [​IMG] depict the word DUR, or TUR (meaning "abode," "gathering place"), by drawings that undoubtedly represent the same structures shown on the cylinder seals; but they make clear that the main feature of the structure was not the "huts" but the antenna tower.
    [​IMG]A ziggurat depicted on a cylinder seal not only shows the customary stage-upon-stage construction, it also has two "ring antennas" whose height appears to have equaled three stages. (left)
    ...the seven-stage ziggurat was a perfect square, with the first stage or base having sides of 15 gar each. Each successive stage was smaller in area and in height, except the last stage (the god's residence), which was of a greater height. The total height, however, was again equal to 15 gar, so that the complete structure was not only a perfect square but a perfect cube as well.
    The gar employed in these measurements was equivalent to 12 short cubits - approximately 6 meters, or 20 feet. Two scholars, H. G. Wood and L. C. Stecchini, have shown that the Sumerian sexagesimal base, the number 60, determined all the primary measurements of Mesopotamian ziggurats. Thus each side measured 3 by 60 cubits at its base, and the total was 60 gar.
    After Enlil arrived on Earth in person, "Earth Command" was transferred out of Enki's hands. It was probably at this point that Enki's epithet or name was changed to E.A ("lord waters") rather than "lord earth."
    The Sumerian texts explain that at that early stage in the arrival of the gods on Earth, a separation of powers was agreed upon: Anu was to stay in the heavens and rule over the Twelfth Planet; Enlil was to command the lands; and Enki was put in charge of the AB.ZU (apsu in Akkadian). Guided by the "watery" meaning of the name E.A, scholars have translated AB.ZU as "watery deep," assuming that, as in Greek mythology, Enlil represented the thundering Zeus, and Ea was the prototype of Poseidon, God of the Oceans.
    The texts indicate that Arali was situated west and south of Sumer. A ship traveling two to three thousand miles in a southwesterly direction from the Persian Gulf could have only one destination: the shores of southern Africa.
    Only such a conclusion can explain the terms Lower World, as meaning the southern hemisphere, where the Land of Arali was, as contrasted with the Upper World, or northern hemisphere, where Sumer was.
    Many cylinder seals, depicting animals peculiar to the area (such as the zebra or ostrich), jungle scenes, or rulers wearing leopard skins in the African tradition, attest to an "African connection."
    According to Sumerian grammatical rules, either of two syllables of any term could precede the other without changing the word's meaning, with the result that AB.ZU and ZU.AB meant the same thing. The latter spelling of the Sumerian term enables identification of its parallel in the Semitic languages, for za-ab has always meant and still means "precious metal," specifically "gold," in Hebrew and its sister languages.
    The Sumerian pictograph for AB.ZU [​IMG]was that of an excavation deep into Earth, mounted by a shaft. Thus, Ea was not the lord of an indefinite "watery deep," but the god in charge of the exploitation of Earth's minerals!
    [​IMG]As Lord of the Abzu, Ea was assisted by another son, the god GI.BIL ('he who burns the soil"), who was in charge of fire and smelting. Earth's Smith, he was usually depicted as a young god whose shoulders emit red-hot rays or sparks of fire, emerging from the ground or about to descend into it (right). The texts state that Gibil was steeped by Ea in "wisdom," meaning that Ea had taught him mining techniques.
    The metal ores mined in southeastern Africa by the Nefilim were carried back to Mesopotamia by specially designed cargo ships called MA.GUR UR.NU AB.ZU ("ship for ores of the Lower World"). There, the ores were taken to Bad-Tibira, whose name literally meant "the foundation of metalworking." Smelted and refined, the ores were cast into ingots whose shape remained unchanged throughout the ancient world for millennia. Such ingots were actually found [​IMG]at various Near Eastern excavations, confirming the reliability of the Sumerian pictographs as true depictions of the objects they "wrote" out; the Sumerian sign for the term ZAG ("purified precious") was the picture of such an ingot. In earlier times it apparently had a hole running through its length, through which a carrying rod was inserted.
    [​IMG]
    Several depictions of a God of the Flowing Waters show him flanked by bearers of such precious metal ingots, indicating that he was also the Lord of Mining.
    The various names and epithets for Ea's African Land of Mines are replete with clues to its location and nature. It was known as A.RA.LI ("place of the shiny lodes"), the land from which the metal ores come. Inanna, planning her descent to the southern hemisphere, referred to the place as the land where "the precious metal is covered with soil" - where it is found underground.
    [​IMG]The pictographic signs employed as Sumer's first writing reveal great familiarity not only with diverse metallurgical processes but also with the fact that the sources of the metals were mines dug down into the earth. The terms for copper and bronze ("handsome-bright stone"), gold ("the supreme mined metal"), or "refined" ("bright-purified") were all pictorial variants of a mine shaft ("opening/mouth for dark-red" metal).
    [​IMG]...the possibility should not be ruled out that they came to Earth for sources of radioactive minerals, such as uranium or cobalt - the Lower World's "blue stones that cause ill," which some texts mention. Many depictions show Ea - as the God of Mining - emitting such powerful rays as he exits from a mine that the gods attending him have to use screening shields; in all these depictions, Ea is shown holding a miner's rock saw. (left)
    A Sumerian text describes the construction of Enlil's center in Nippur. "The Annuna, gods of heaven and earth, are working. The axe and the carrying-basket, with which they laid foundation of the cities, in their hands they held."
    The ancient texts described the Anunnaki as the rank­and-file gods who had been involved in the settlement of Earth - the gods "who performed the tasks." The Babylonian "Epic of Creation" credited Marduk with giving the Anunnaki their assignments. (The Sumerian original, we can safely assume, named Enlil as the god who commanded these astronauts.)
    Assigned to Anu, to heed his instructions,
    Three hundred in the heavens he stationed as a guard;
    the ways of Earth to define from the Heaven;
    And on Earth,
    Six hundred he made reside.
    After he all their instructions had ordered,
    to the Anunnaki of Heaven and of Earth
    he allotted their assignments.
    The texts reveal that three hundred of them - the "Anunnaki of Heaven," or Igigi - were true astronauts who stayed aboard the spacecraft without actually landing on Earth. Orbiting Earth, these spacecraft launched and received the shuttlecraft to and from Earth.
    As chief of the "Eagles," Shamash was a welcome and heroic guest aboard the "mighty-great chamber in heaven" of the Igigi. A "Hymn to Shamash" describes how the Igigi observed Shamash approaching in his shuttlecraft:
    At thy appearances, all the princes are glad;
    All the Igigi rejoice over thee...
    In the brilliance of thy light, their path...
    They constantly look for thy radiance...
    Opened wide is the doorway, entirely...
    The bread offerings of all the Igigi [await thee].
    Staying aloft, the Igigi were apparently never encountered by Mankind. Several texts say that they were "too high up for Mankind," as a consequence of which "they were not concerned with the people." The Anunnaki, on the other hand, who landed and stayed on Earth, were known and revered by Mankind. The texts that state that "the Anunnaki of Heaven...are 300" also state that "the Anunnaki of Earth...are 600."
    Still, many texts persist in referring to the Anunnaki as the "fifty great princes." A common spelling of their name in Akkadian, An-nun-na-ki, readily yields the meaning "the fifty who went from Heaven to Earth." Is there a way to bridge the seeming contradiction?
    We recall the text relating how Marduk rushed to his father Ea to report the loss of a spacecraft carrying "the Anunnaki who are fifty" as it passed near Saturn. An exorcism text from the time of the third dynasty of Ur speaks of the anunna eridu ninnubi ("the fifty Anunnaki of the city Eridu"). This strongly suggests that the group of Nefilim who founded Eridu under the command of Enki numbered fifty. Could it be that fifty was the number of Nefilim in each landing party?
    The ancient texts refer repeatedly to a type of ship used by the gods called elippu tebiti ("sunken ship" - what we now call a submarine). We have seen the "fish-men" that were assigned to Ea. Is this evidence of efforts to dive to the depths of the oceans and retrieve their mineral riches?
    Depictions that have been found on cylinder seals show gods at what appear to be mine entrances or mine shafts; one shows Ea in a land where Gibil is aboveground and another god toils underground, on his hands and knees. (Fig. 148)
    In later times, Babylonian and Assyrian texts disclose, men - young and old - were sentenced to hard labor in the mines of the Lower World. Working in darkness and eating dust as food, they were doomed never to return to their homeland. This is why the Sumerian epithet for the land - KUR.NU.GI.A - acquired the interpretation "land of no return"; its literal meaning was "land where gods-who­work, in deep tunnels pile up [the ores]." For the time when the Nefilim settled Earth, all the ancient sources attest, was a time when Man was not yet on Earth; and in the absence of Mankind, the few Anunnaki had to toil in the mines. Ishtar, on her descent to the Lower World, described the toiling Anunnaki as eating food mixed with clay and drinking water fouled with dust.
    In those early days, when gods alone inhabited Nippur and Man had not yet been created, Enlil met the goddess who was to become his wife. According to one version, Enlil saw his future' bride while she was bathing in Nippur's stream--naked. It was love at first sight, but not necessarily with marriage in mind:
    The shepherd Enlil, who decrees the fates,
    The Bright-Eyed One, saw her.
    The lord speaks to her of intercourse;
    she is unwilling.
    Enlil speaks to her of intercourse;
    she is unwilling:
    "My vagina is too small [she said},
    It knows no copulation;
    My lips are too little,
    they know not kissing."
    But Enlil did not take no for an answer. He disclosed to his chamberlain Nushku his burning desire for "the young maid," who was called SUD ("the nurse"), and who lived with her mother at E.RESH ("scented house"). Nushku suggested a boat ride and brought up a boat. Enlil persuaded Sud to go sailing with him. Once they were in the boat, he raped her.
    The ancient tale then relates that though Enlil was chief of the gods they were so enraged that they seized him and banished him to the Lower World. "Enlil, immoral one!" they shouted at him. "Get thyself out of the city!" This version has it that Sud, pregnant with Enlil's child, followed him, and he married her. Another version has the repentant Enlil searching for the girl and sending his chamberlain to her mother to ask for the girl's hand. One way or another, Sud did become the wife of Enlil, and he bestowed on her the title NIN.LIL ("lady of the airspace" ) .
    But little did he and the gods who banished him know that it was not Enlil who had seduced Ninlil, but the other way around. The truth of the matter was that Ninlil bathed naked in the stream on her mother's instructions, with the hope that Enlil--who customarily took his walks by the stream--would notice Ninlil and wish to "forthwith embrace you, kiss you."
    </td></tr></tbody></table>
     
  13. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ข่าวจากพระอาจารย์รัตน์

    พระอาจารย์ยังยืนยันว่าอิลินิน คือ ดาวถ่วงดุลย์ในปฏิทินมายัน เป็นดาวที่ให้คุณ ตอนนี้เค้าโดนความว่างของดวงอาทิตย์กลืนอยู่ (จากการโคจรเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์และธาตุลบของอิลินินปะทะกับธาตุลบของดวง อาทิตย์จนกลายเป็นความว่าง) แต่จะกลับมาให้เห็นอีกในกาลหน้า ส่วนนิบิรูพระอาจารย์ยังไม่ให้ความสำคัญในตอนนี้

    ส่วนวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ช่วงนั้นจะยังไม่มีอะไรหนักๆ ให้เห็น แต่พระอาจารย์ ให้ช่วงเวลานั้นปลายปี 2012 ถึง กุมภาพันธ์ 2013 ซึ่งตอนนั้นจะมีทั้งแกนโลกพลิก ภัยธรรมชาติใหญ่ๆ มากมาย และผู้คนจะล้มตายกันมาก

    ตอนนี้พลังงานที่อยู่กาแลคซี่ของเราถูกบีบอัด ดาวต่างๆ ในระบบสุริยะเปรียบเสมือนพายเรือในอ่าง ข้ามขอบไปไม่ได้ เพราะพลังจากกาแลคซี่ใหญ่อันโดรเมดร้าเบียดอยู่ จะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนในที่สุดกาแลคซี่เราจะถูกเบียดจนไปอยู่ในกาแลคซี่ไตรแองกูลั่ม (ซึ่งวงโคจรของระบบสุริยะเราคือ 26,000 ปี เราจะไปอยู่ไตรแองกูลั่ม 13,000 ปี และกลับมาอยู่ทางช้างเผือก 13,000 ปี) ซึ่งพวกเราจะอยู่ในระดับพลังงานที่ดี และจะมีความเจริญทางจิตมาก ปฏิบัติธรรมก็จะได้ผลเร็ว เป็นต้น ในช่วงปลายปี 2012-กุมภา 2013 ทางกายภาพของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะแรงอัด อีกพร้อมทั้งทางด้านพลังงาน พลังงานที่ไม่ดีจะเข้ามามาก คนไหนที่จิตใจมีพลังงานเป็นสีดำพลังงานก็จะเข้ามารวมและทำให้เสียชีวิตในที่สุด ส่วนจิตใจของคนที่เป็นสีขาวพลังงานลบอาจทำอะไรไม่ได้หรือทำได้ก็เล็กน้อย อาจมีการบอบช้ำบ้างแต่ก็จะมีโอกาสรอดได้มาก

    วงโคจรของดวงจันทร์ผิดเพี้ยนไป ตรงนี้มีผลโดยตรงกับน้ำที่มีต่อโลก

    ส่วนดวงอาทิตย์ พวกเราอาจจะมีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์ใหญ่ (การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพครั้งใหญ่) ให้สังเกตดีๆ ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะขึ้นทางทิศตะวันตก

    จำได้แค่นี้เดี๋ยวมาต่อ หรือ แก้ไข :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  14. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    Comet Elenin – the final prospect

    [​IMG] September 3rd, 2011 | [​IMG] Author: Leonid Elenin

    [​IMG]

    L. Elenin

    As many readers already know, Comet Elenin has begun the irreversible process of breaking up. We spoke earlier about the probablility of such an outcome, but I considered it less than 50%. On the graph at left you can see a selection of ten comets that approach the Sun closer than 0.5 a.u. The red line shows the boundary, to the left of which, derived from J. Bortle’s formula, is the safe zone, but to the right is the zone of disintegration.

    The yellow color shows Comet Elenin, with absolute magnitude obtained by visual observations, and the blue is from JPL-NASA data. As we see, Bortle’s formula, all-in-all, doesn’t work too badly. Although there is a bright exception – the green triangle belongs to the unique comet 96P/Machholtz, about which I will speak next time.

    Now it is absolutely clear that the comet’s drop in brightness, first noted by Michael Mattiazzo on Aug. 20th, was not coincidental – the decay process had already begun, and over the course of the next several days the comet changed greatly. Its pseudo-nucleus became diffuse and extended, and later vanished completely. On images from Sept. 1st in the comet’s coma there was no condensation visible, and that meant the comet had already broken up into fairly small pieces, with a maximum size of not more than a hundred meters.

    Such a breakup of small comets passing near the Sun is not rare, and in that is nothing surprising. I note that this is a breakup, not an explosion. All the pieces continue to move on the comet’s trajectory. The large fragments are likely to continue to disintegrate into smaller ones. It is possible that in October when the comet moves into the morning sky, we will no longer be able to see what once was Comet Elenin. It is possible that something will be visible to large earth-based telescopes. The breakup of a long-period comet fairly close to the Earth (on a Solar System scale) is a rather rare event. During such a breakup we can see the interior of the comet to better understand its construction and composition.

    Overall, the most scientifically interesting thing is the breakup scenario, but unfortunately right now the comet is not visible to the largest telescopes or even the Hubble Space Telescope because of its close angular distance from the Sun (small elongation). On the other hand, amateur astronomers, awaiting this comet which might have been visible to the unaided eye, will now not see it, at least visually in their telescopes and binoculars.

    We will wait for Sept. 23rd when the comet is due to appear in the field of view of the SOHO space coronagraph. Any result will tell us what we can expect at the beginning of October when the comet once again should appear in the pre-dawn sky. We will wait. The end of this story is near…

    ในเวบไซท์นี้บอกไว้ว่าอาจเป็นวาระสุดท้ายของดาวหางอิลินิน

    Comet Elenin – the final prospect | SpaceObs
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  15. Soul Collector

    Soul Collector เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +610
    ยังครับ ยังไม่ใช่วาระสุดท้ายของเอลีนินแน่นอน เพียงแต่มันจะถูกทำให้เลือนไป (ข่าวคราว) เพราะของจริงกำลังมาครับ ไม่เกินต้นปีหน้าเป็นอย่างช้ามาก (สังเกตภัยพิบัติรอบโลกเพราะเอลีนินเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบของไนบิรูหรือDwarf Star Systemนั่นเอง)
     
  16. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="720"><tbody><tr><td align="center">
    ENKI SPEAKS
    Messages From Enki: Humanity's Father
    </td> </tr> <tr> <td align="center"> <hr color="#FF9933"> </td> </tr> <tr> <td align="center"> Nibiru: The Solution
    by Andy Lloyd
    </td> </tr> <tr> <td align="center">
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td id="WSCBody" height="285" valign="top" width="50%"> <center> [​IMG] Nibiru: La Solución</center> [​IMG]For years I have puzzled over the many anomalous and often intractable problems presented by Zecharia Sitchin's Nibiru. A planet that behaves like a comet did not seem to me likely to support life forms similar, if not identical, to us. In 1999 I proposed that the only way that sufficient warmth could be generated among the comets would be if such life existed on a planet orbiting a Dark Star that was itself orbiting the Sun.
    For various reasons I suggested that the Dark Star was itself Nibiru, passing directly through the planetary solar system during perihelion with its own retinue of planets. This was a bold claim, given the size of the brown dwarf required.
    But I now realise that I was wrong, for a number of technical reasons.
    I remain absolutely convinced that the Dark Star exists, and that it is a binary 'star' orbiting the Sun that approaches the planetary zone of the Sun every several thousand years. But I now believe that this Dark Star is not itself Nibiru. It is simply Nibiru's own parent 'star'.
    [​IMG]The solution I am proposing on this page brings me back towards Zecharia Sitchin's own previous work. I still add the Dark Star system to his paradigm, and I still require life to exist on a planet/moon closely orbiting that brown dwarf which I have written so much about. But neither the Dark Star nor the Homeworld are ever seen from Earth.
    Their closest approach is way beyond Pluto, through the so-called Kuiper Gap, in the Edgeworth-Kuiper Belt beyond Neptune. The planet that is seen is Nibiru; the OUTERMOST planet of the Dark Star system. And apart from it being unable to maintain life, Nibiru is essentially how Sitchin describes it; a reddish terrestrial planet that brightens with a cometary aura when moving amongst our Sun's family of familiar planets.
    However, Nibiru is also inextricably linked to the Dark Star and, furthermore, DOES NOT APPEAR TO ORBIT THE SUN when viewed from Earth!
    This is a remarkably bizarre claim, I know. But it is part of the problem posed by Sitchin's Nibiru. Indeed, it was the primary objection levelled at me by Dr John Murray, the English astronomer who wrote a paper providing indirect evidence of a brown dwarf orbiting the Sun. He looked at the set of constellations that Nibiru passed through at perihelion and stated frankly that the body was simply not orbiting the Sun, therefore Sitchin's theory was wrong. At the time I put this down to possible misinterpretation of ancient texts. Now I realise that this anomaly was actually part of the puzzle...Sitchin's whacky orbit was right all along!
    The 3-Body Solution
    The solution I am proposing neatly answers a number of other problems. In fact, everything seem to fall in to place beautifully. To help me explain the rather complex issues underlying this solution, I have created some detailed diagrams, the first of which shows how Nibiru is seen to enter the planetary solar system moving backwards through the sky (the so-called 'retrograde motion of Nibiru):
    [​IMG]
    This diagram needs a little explanation. Bottom left is the planetary solar system out as far as Neptune and Pluto. In the centre of the diagram is the binary Dark Star system which moves around the Sun in a large ellipse taking thousands of years. It has reached 'perihelion' in the diagram, being at its closest point to the Sun. Nevertheless, it is still over twice the distance from the Sun as Neptune.
    This distance corresponds to the Kuiper Gap, an area in the comet belt beyond Neptune that is clear of bodies. So, the Dark Star is about 70-80 Astronomical Units away from the Sun at perihelion. It is too distant to be seen from Earth.
    The Dark Star orbits the Sun in a similar way to the other planets; pro-grade. I now believe that it has always orbited the Sun, having emerged from the Sun's birth cluster as a binary.
    This removes the difficulty posed by a 'capture' scenario, which is statistically unlikely, although not impossible. The pro-grade orbit is also in keeping with the discovery of Sedna, which also has a pro-grade orbit. I strongly suspect that there is a relationship between the orbits of Sedna and the Dark Star; probably taking the form of a resonant orbit. Indeed, the movement of a brown dwarf through the Edgeworth-Kuiper Belt at perihelion would explain many the apparent anomalies of the bodies found in its scattered disc. It makes sense of the science.
    There are seven planets in the binary Dark Star system according to the myth. I suggest that one of the inner planets is a habitable world similar to Earth. It is warmed by its proximity to the brown dwarf, and is bathed in its very dim, reddish light. The planets orbit the dark star in a pro-grade movement, in keeping with the initial formation of the binary star system 4.6 billion years ago. They also orbit the Dark Star in much less time than it takes for it to transit perihelion around the Sun. Even the outermost planet shown, which is seen cutting through the outer planetary solar system, is moving faster than the Dark Star. The result is that, although the Dark Star and its outermost planet are actually moving pro-grade, from the point of view of an observer on Earth the outermost planet is seen to move retrograde across the sky. This explains a long-standing anomaly.
    [​IMG]That outermost planet is Nibiru. It is seen from Earth as a planetary comet. I think it unlikely that it comes as close to us as the inner solar system; it would be perturbed by the Sun's gravity. But it would be visible even beyond Jupiter because of the shedding of some of its volatile surface ices; it would act as a massive comet even at a tremendous distance from the Sun.
    Its perihelion distance will vary over different passages as its own orbit around the Dark Star coincides with the perihelion passage of the system as a whole (so my view here is necessarily 'ball-park'). On occasion there will be an exact juxtaposition between its own perihelion and that of the Dark Star, along a line of sight from the Sun. Other times it will be on the other side of the Dark Star during the binary perihelion. So the timing of Nibiru will necessarily vary, as will its sky position and relative brilliance. Perhaps this is why there are so many unknowns about the transitory appearance of this body.
    Another important detail is the fact that Nibiru is not seen to swing around the Sun. It seems to come towards the Sun and then quickly recedes without traversing a large portion of the sky. This explains the weird set of constellations moved through (which probably vary between different transits anyway), and also the short period of time that Nibiru can be seen.
    Even though the Dark Star may take literally hundreds of years to traverse perihelion, the time that Nibiru is observable from Earth is likely to be short; perhaps a matter of weeks or months. I suppose it's possible that there may even be more than one visible transit during a total binary perihelion. Either way, this scenario opens up a number of new possibilities.
    [​IMG]The idea that one of the Dark Star's planets is our 'Planet X' has been suggested to me by a couple of people before, most notably Rajasun. At the time I was mildly sceptical because it seemed unlikely to me that a small brown dwarf would be able to maintain a planetary system at such a distance; I am suggesting here that Nibiru may be orbiting at about 60AU from the Dark Star (and this may vary as well if its own orbit is elliptical around the binary parent). But a recent precedent was discovered in the form of a large planet imaged at a similar distance from a free-floating brown dwarf known to astronomers as '1207'. The Hubble image here shows the planet (in pink) near to the parent 'star' (centre). So it's not difficult to extrapolate a similar situation for our binary Dark Star, with Nibiru as the accompanying planet.
    The '12th' Planet
    This finding has turned my thinking around. It presents us with the potential for a 3-body solution to the orbital configuration. Also, instead of one Planet X body we now essentially have 3 notables; the Dark Star and two major planets orbiting it (the other 5 appear to be minor bodies). Those two notables are Nibiru at ~60AU distance and the Homeworld much closer to the Dark Star itself. Add these bodies to the 9 known planets to the solar system brings us to 12 planets, which seems closer to the Sumerian 12th Planet scenario than Sitchin himself!
    [​IMG]
    This image shows the solar system according to my binary Dark Star scenario: (from left to right) The Sun, Mercury, Venus, Earth, Mars, Jupiter, Saturn, Uranus, Neptune, Pluto, the binary Dark Star, the Homeworld, and Nibiru.
    The 'Ferry'
    Other aspects of the myth surrounding Nibiru become more understandable with this hypothesis. In their classic book ‘Hamlet’s Mill’, Giorgio de Santillana and Hertha von Dechen explored the mysterious nature of ‘Nibiru’ in 1969, and showed that, at that time, no scholarly theory adequately explained its celestial nature. Not much has changed since then, except Sitchin's books of course. Here's what Santillana and von Dechen had to say about what the name Nibiru actually means:
    “The plain meaning of “nibiru” is “ferry, ferryman, ford” – “mikis nibiri” is the toll one has to pay for crossing the river – from eberu “to cross”."
    [​IMG]The 'Planet of the Crossing' is thus a ferry of sorts. This has made little sense up until now because the implication is that Nibiru takes travellers onto another place. That place was never defined by Sitchin who insisted that Nibiru was the homeworld of the Anunnaki itself. Yet, with our new insight the meaning behind the name 'ferry' becomes crystal clear.
    The transit of the Dark Star around the Sun at perihelion is still a very remote event. At its closest the Dark Star is still twice as far away as Pluto. To rendezvous with the Dark Star would take many years of space travel with the risk of missing an object too remote to observe.
    Yet Nibiru acts as an intermediary. It swoops into the planetary Solar System and then returns to the comet clouds. It would provide space travellers with the ideal stepping stone to the Dark Star. It literally acts as a ferry.
    There may be other symbolic overtones to this. If the Anunnaki are physical gods, then their Homeworld is mythological Heaven. It is very similar to Earth ('as in Heaven, so on Earth', 'As Above, so Below' etc). The myth of the Ferryman coming to collect the dead to take them to the Underworld could have new meaning in the light of this new hypothesis.
    Angle to the Ecliptic
    Another vexing issue with Sitchin's model is the fact that Nibiru is said to move through the heavens at a 30 degree angle to the ecliptic, nearly twice that of Pluto. Yet, a sizeable planet moving through the planetary Solar System at such an extreme angle to the plane of the other planets would cause chaos over time to their orbits. This is called the Kozai effect, which has become a huge headache for me in recent years. Again, this new hypothesis allows us to circumvent this problem in that the Dark Star does not actually move through the planetary solar system at all. However, Nibiru, its outlying planet, does, and Sitchin seems reasonably clear about its angle of inclination from the texts he has studied. How do we explain this?
    [​IMG]
    It seems likely that the inner planets of each of the binary stars (the Sun and Dark Star) should be as they were created; relatively flat to the plane of the initial proto-planetary disc. Billions of years of interaction between the peripheries of these estranged systems, however, will have lead to chaos and perturbation among some of their outer planets. In the Sun's case Pluto is clearly perturbed, as are many of the bodies recently discovered beyond it. So it seems likely that Nibiru is similarly affected, along with any of the Dark Star's own retinue of comets in its locale.
    This means that Nibiru's visible arc across the sky could very well be seen to transit a relatively steep inclination, reflecting this angle to the ecliptic. Yet, the binary Dark Star may still move along a path more in keeping with the Sun's other planets. The upshot of this is that we can predict little about the Dark Star's location from the reported transit of Nibiru. This has always been my gut-feeling anyway. I tend to think that the Dark Star lies close to the ecliptic, and still favour the area around Sagittarius as its current location (near to aphelion). This is because the actual 'line-of-sight' perihelion is the Duat region, around Sirius and Orion. Sagittarius is opposite this region on the ecliptic.
    But this is only my opinion. Others differ. If my hypothesis here is correct then detailed efforts to deduce the whereabouts of the Sun's binary companion and its own system of planets are almost bound to fail. There are simply too many complicating factors at play.
    This new hypothesis is exciting and elegant. It means a complete re-write for me, of course, but that's the nature of progress. This is an evolving study, rather like science itself one might say.

    © Andy Lloyd 18th January 2005
    This article<tt> will appear in Vol.</tt>[FONT=Verdana,Arial,Helvetica,sans-serif]<tt>9 No.1 of the Australian 'Ufologist Magazine', due out in May 2005</tt>

    References
    Z. Sitchin "The 12th Planet" Avon 1976
    Z. Sitchin "Genesis Revisited" Avon 1990
    A. Lloyd "Winged Disc: The Dark Star Theory" 2001
    J.B.Murray Mon. Not. R. Astron. Soc., 309, 31-34 (1999)
    M. McKee "First direct sighting of an extrasolar planet" New Scientist 11th Jan 2005, with thanks to David Pearson and Rick
    G. de Santillana & H. von Dechend “Hamlet’s Mill” App. 39, pp430-451, http://www.apollonius.net/trees.html

    <center> [​IMG] </center>

    <table border="4"> <tbody><tr> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> ​
    Powered by counter.bloke.com

    Since 18th January 2005 ​
    <center> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" width="108%">
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" height="261" width="596"> <tbody><tr> <td class="style1" style="background-color: #FFFFFF" align="center" height="18" valign="top" width="83%"> <table bgcolor="#000055" border="0" cellspacing="5" width="100%"><tbody><tr><td>
    ARTICLES BY SASHA LESSIN, PH.D.
    </td></tr><tr><td> Abraham Abandons Wife and Son to Die; Would Kill Second Son as Enlil Ordered</td></tr><tr><td> Alalu's Face at Cyndonia, Mars Before NASA Defaced It</td></tr><tr><td> Anunnaki Astronauts from Nibiru Bred Us to Slave: The Story Behind 2012</td></tr><tr><td> Our Ancestor-gods on Nibiru: Succession to Rule Won by Lot or Wrestling Rather than War </td></tr><tr><td> Babel Gets Babble When Enlilites Bomb Marduk's Bablylon Launch Tower</td></tr><tr><td> Enki Speaks: A Quote Galzu</td></tr><tr><td> Gods, We Claim Partnership: World History Revised </td></tr><tr><td> Homo Sapiens: Half Ape/Half E.T.</td></tr><tr><td> Inanna In Ancient Literature</td></tr><tr><td> Moonwalkers: Humans Trod the Moon Long Before Apollo Astronauts</td></tr><tr><td> Our Ancestor-gods on Nibiru</td></tr><tr><td> Stop Slavishly Playing Yahweh's Servant</td></tr><tr><td> 10th Planet Astronauts Mine Earth's Gold</td></tr><tr><td> Ninurta and Nergal Nuke Sinai and Canaan</td></tr><tr><td> Ancient Anthropology & The Godspell</td></tr><tr><td> Celestial Epic Nibiru meets Solaris and Tiamat</td></tr><tr><td> The Deluge's Coming Again</td></tr><tr><td> Sitchin on The Children of Israel in Egypt</td></tr><tr><td> Why Nibirans Denied Our Ancestors Immortality</td></tr><tr><td> Why They Started Mutilating Our Phalluses</td></tr><tr><td> Wild & City Humans Were Contemporaneous</td></tr><tr><td>
    ARTICLES BY GUEST AUTHORS
    </td></tr><tr><td> Nibiru The Solution by Andy Lloyd</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>​
    </td></tr></tbody></table></center>
    [/FONT]</td></tr></tbody></table>​
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  17. AUTO11

    AUTO11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +105
    มีแต่ภาษาต่างประเทศ
    ลูกชาวบ้านอย่างผมคงหมดหวังจะได้รู้บ้าง
    ก็ได้แต่ดูรูปและเดาเอา รู้บ้างไม่รู้บ้าง
    วอนท่านที่มีความรู้
    หากไม่เป็นภาระมากเกินไป
    เมตตาแปลให้อ่านบ้างก็คงดี
     
  18. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649


    ครับ....หากเป็นเรื่องสำคัญหรือเร่งด่วนก็จะแปลให้ครับ

    ส่วนที่เป็นภาษาต่างประเทศนั้น เพื่อเป็น.... เอกสารอ้างอิง....จะได้ทราบว่า ค้นคว้าต้นฉบับมาจากที่ใด แปลถูกผิดอย่างไร (ช่วยกันพิจารณา) เพราะผู้ค้นคว้าอาจแปลผิด หรือเข้าใจผิดก็ได้ครับ

    อีกแง่หนึ่ง คือ ทำให้ทราบว่า แง่มุมที่เราสนใจนั้น ไม่ได้ยกเมฆกันขึ้นมาลอยๆแต่อย่างใด แต่มีผู้สนใจกันทั่วโลก จากหลายๆประเทศ

    บุคคลภายนอกนั้น มักเข้าใจว่า เวบนี้สนใจแต่เรื่องเหลือเชื่อ คือ เป็นเรื่องนอกเหนือจากสิ่งที่เขาได้รับรู้หรือถูกสอนมา เรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่รับรอง

    แต่ความจริงแล้ว ความรู้ของเรานั้น....น้อยๆมากๆ และเรามักดูแคลนความรู้ของคนโบราณ

    เออ....นอกประเด็นไปมาก...เอาเป็นว่า...ขอเรียนเป็นเบื้องต้นเท่านี้ก่อนครับ



    ปล. ช่วงนี้คุณ Falkman แกสนใจเรื่องการแตกสลายของ ELENIN (น่าจะมีอะไรแหม่งๆ)
    ส่วนผมกำลังสนใจว่า ELENIN มันไม่ใช่ดาวหาง และที่มาที่ไปของดาวเคระห์ดวงที่ 12 (ตัวจริง)ครับ

    ปล2. ลองอ่านเรื่อง ดาวเคระห์ดวงที่ 12 ที่หน้า 32-33 ครับ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  19. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    กำลังแปลให้อยู่เหมือนกันนะ ลองตามดูข้อความเก่าๆ ดูจ้า
    ตอนนี้กำลังแกะไฟล์ที่เป็นยูทู้ปอยู่ ทำทีก็เสียเวลานานมั๊กๆ
    แต่เข้าใจว่าบางคนต้องการให้แปล เลยลองๆ แปลไว้ ลองตามอ่านดูจ้า

    :cool:
     
  20. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    [​IMG]

    ดูดีๆ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...