โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    เป็นอย่างที่คุณจิ-โปพูดไว้ถูกหมดเลยครับ เมื่อกี้นี้ผมนึกถึงหลวงปู่ทวดครับ
    และเคารพหลวงปู่โตด้วยครับ พอดีรู้สึกว่ามีพลังงานเข้ามา(คงเป็นคุณจิ-โป)
    ผมเลยนึกถึงรูปหลวงปู่ทวดนะครับ (สร้างพลังงานบวกให้กับตัวเองครับ)
     
  2. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    อ้อที่แท้หลวงปู่ทวดนี่เองเล่นนั่งรอบนปลายจักขุวิญญาณแล้วแกล้งหลอกเราเข้าไปดู

    มีนิทานเล่าให้ฟังก่อนนอน ได้ยินเสียงฝนตกพรำๆเลยมาเล่า

    นานมาแล้ว มีนางพญางูขาวเผือกตัวหนึ่ง อาศัยอยู่บนต้นใม้ริมหน้าผา
    ต้นใม้นั้นมีกิ่งเป็นง่าม นางชอบมาพันกายใว้บนกิ่งนั้นเพื่อรับแสงอาทิตย์
    ยามเช้า เยื้องลงมาข้างล่างชะง่อนผานั้นเป็นถ้ำที่นางอาศัยพำนักพักนอน

    วันหนึ่งขณะที่นางพันกายอยู่บนต้นใม้นั้น นางเห็นมังกรขาวตัวหนึ่งสำแดงร่าง
    จากใต้ก้นเหว โผบินขึ้นสู่ฟ้า เหมือนดังว่าจะบินไปให้ถึงสวรรค์กระนั้น

    ทันใดนั้นเองความรักต่อมังกรขาวตัวนั้นก็เกิดกับนางผู้บำเพ็ญเพียร ทำให้นางคอย
    ติดตามมังกรขาวตัวนั้นไปทุกหนแห่ง แต่มังกรขาวไหนเลยจะรับรู้ว่านางงูขาวนี้
    หลงรักตน ด้วยขณะที่มังกรขาวสำเร็จเซียนแล้วโผบินขึ้นฟ้านั้น ความปิติบังเกิดจน
    ไม่อาจสนใจสิ่งรอบข้าง

    มังกรขาวเองได้รับโองการไปอัญเชิญพระไตรปิฏกกับพระถังซำจั๋ง นางงูขาวก็เฝ้า
    ดักจะทำร้ายพระด้วยหวังจะเห็นหน้ามังกรขาวนั้น

    โชคชะตาอาภัพนัก มังกรไหนเลยเหลือบแลงูขาวเล็กๆที่ต่างเชื้อชาติและชนชั้น
    หลายภพหลายชาติจึงมีความสัมพันกันได้เพียงสายใยแห่งจิตในเวลาหลับเท่านั้น
    เมื่อใดที่นางงูขาวเกิดความอาลัยในรัก เมื่อนั้นมังกรขาวจะมาหานางตามสัญญา
    แม้ว่ารักนั้นไม่ได้เกิดกับมังกรขาวเอง หากนับเป็นความอาลัยแล้วมังกรขาวย่อม
    มาเพื่อปกป้องนาง

    แม้จะบำเพ็ญเพียรมาหลายภพชาติ ผ่านมาทั้งชายชาติทหาร และอิสสตรีอันสวย
    งาม ก็มิอาจลบคำสัญญานี้ไปได้ อนิจจาสายใยแห่งสัญญานี้ช่างลึกล้ำ ตัดยากกว่า
    สิ่งใดๆ เพราะเป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด โจมตีหัวใจยามที่เราอ่อนแอที่สุด

    พระพุทธองค์ท่านตรัสใว้ว่า สิ่งใดๆล้วนอนิจจัง แต่สัญญานั้นแม้แต่ตรีเทพยังละจาก
    มหาเทวีทั้งสามมิได้ มนุษย์ไหนเลยเห็นอนิจจังตามพุทธองค์ตรัสใว้ ยามที่ใจเจ้าอ่อนแอ
    ยากนักที่จะตัดขาดจากสัญญา หากแต่ยามที่เจ้าเข้มแข็งสัญญานี้เล่าอยู่หนใดในจิตใจ

    มาถึงตรงนี้ เมื่อเจ้าถอนหายใจออกมาด้วยความสลดสังเวสต่อสัญญาหลายภพชาติดังนี้
    เจ้านั้นจักเสพอยู่ในวิมุติ สุขุมอยู่ในความเป็นตัวเจ้าเอง นี่คืออาการของอนิจจังบริสุทธิ์
    จำอาการแลอารมณ์นี้ใว้ เพื่อจักเห็นสัญญาด้วยอารมณ์นี้ เพื่อละสัญญาให้สะบั้นด้วย
    อารมณ์นี้

    ..คงจะจบ..ไม่มีภาคต่อนะ (หวังว่า).
     
  3. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    วันนี้ฟังการเดินจงกลมของหลวงปู่มั่นท่านห้ามหันหน้าไปทางทิศใต้กับเหนือเพราะเหตุใดครับ
     
  4. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    บังเอิญว่าผมเกิดปีมะโรง อ่านนิทานเรื่องนี้แล้วรู้สึกขนลุกครับ
    สงสารงูขาวนะ คิดว่ามังกรขาวได้ดิบได้ดีแล้ว น่าจะชักจูง
    งูขาวให้เดินไปในทางธรรมด้วยกัน
    ว่าแต่ทำอย่างไรถึงจะให้งูขาวมีปัญญาเห็นธรรมละครับ?

    มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจครับ
    "หากแต่ยามที่เจ้าเข้มแข็งสัญญานี้เล่าอยู่หนใดในจิตใจ"
     
  5. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ขอคุณครับ คุณจิโป สงสัยว่าทำไมเค้าเหล่านั้น
    ถึงต้องพาเราๆปด้วยครับหรือว่าเป็นเพราะกรรม
    หรือคำมั่นสัญญา

    คุณทีโอไม่ต้องน้อยใจหรอกครับ ยังมีคนอีกเยอะที่
    ยังไม่มีอะไรหรือยังไม่ได้อะไรเลย
     
  6. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230

    ถ้าอย่างนั้น อารมณ์เดียวกันนี้ แต่บังเกิดในเหตุการณ์อื่น แต่อารมณ์เดียวกันก็ให้นางงูขาวรู้ไว้ว่า มันเป็นความรักที่เกิดขึ้นจากตรงนี้ จะทำให้สัญญาเกิดขึ้น
    เมื่อถอนหายใจจะรู้สึกวาบ และความสลดสังเวชใจเกิดขึ้น อารมณ์รักนั้นก็หายไป และอยู่ในอารมณ์ที่ได้เกิดจากการสลดสังเวชแทน นั่นคืออาการของอนิจจัง
    เป็นขั้นตอนในการรู้สึก เมื่อเราอ่อนแอ เรื่องความรักจะบังเกิดสัญญาตัวนี้ขึ้นมา
    และเมื่อใดที่สัญญานี้ขึ้นมา ให้ปลงมันออกไปแล้ว อารมณ์อนิจจังจะมาแทน

    แบบนี้มังกรขาวก็จะหายไปจากสัญญาเอง
     
  7. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    การเดินนั้นนอกจากจะพิจารณาทั่วๆไปแล้ว ต้องมีใจหนึ่งแยกออกมาเพื่อความ
    เฉลียวใจ เพื่อดึงเวลาเราเข้าภวังค์ไม่ให้เข้าลึกมาก จึงต้องเดินตามแสงตะวัน
    และย้อนแสงตะวัน คือทิศทางตามการเคลื่อนของดวงตะวัน ใจคนฝึกจึงต้อง
    กำหนดข้างบนว่าขณะนี้เราอยู่ทิศใดโดยนึกถึงจากดวงอาทิตย์ ทำให้ฝึกการเกิด
    จิตเล็กๆขึ้นมาอีกข้างบนเพื่อประโยชน์เวลาเข้าสมาธิครับ
     
  8. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ธรรมน่ะเห็นอยู่แล้วแต่ตัดกิเลสไม่ขาด
    คำว่า"หากแต่ยามที่เจ้าเข้มแข็งสัญญานี้เล่าอยู่หนใดในจิตใจ"

    ท่านว่า ยังกินจิสัมทะยะธัมมัง สัพพันตังนิโรธธัมมัง(สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิด
    เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา. หากรู้การเกิดแต่
    ไม่รู้การสลาย หรือรู้การสลายแต่ไม่รู้การเกิดย่อมกระวนกระวาย

    เปรียบเช่นคนที่อยู่ในห้องมืดที่มีแสงสว่างส่องเข้ามาเป็นช่องๆ ก็จะเห็นในตรง
    ส่วนที่แสงส่องลงมา(นี่คือการเกิด) แต่ไม่เห็นในส่วนที่มืด(นี่คือการสลาย)
    สัญญาเหล่านั้นคืออวิชชา ยามใดที่เข้มแข็งก็เหมือนไม่มีอวิชชาเพราะแสง
    แห่งปัญญาส่องไปไม่ถึง ยามที่อ่อนแอ อวิชชาจึงปรากฏ

    ความไม่รู้นี้ยามที่เราเข้มแข็งเราก็เหมือนจะรู้ แต่ยามที่เราอ่อนแอเหมือนจะโง่
    งมงายดุจเส้นผมบังภูเขา ท่านจึงสอนการดูตรงนี้ว่า ให้ดูอวิชชาด้วยอนิจจัง
    บริสุทธิ์ถึงเห็นมันได้ ทั้งการเกิดและการสลายพร้อมๆกัน

    อนิจจาบริสุทธิ์นั้นเป็นฉันท์ใด อนิจจามีบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ด้วยหรือ?
    ในธาตุวิภังคสูตร ท่านอธิบายอุเบกขาบริสุทธิ์ใว้ อนิจจังบริสุทธิ์ก็ดุจเดียวกัน
    ท่านว่าใว้ว่า
    1.วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้)บริสุทธิ์เพราะธาตุ 5
    2.อุเบกขาบริสุทธิ์เพราะรู้เวทนาด้วยธาตุรู้นั้น
    3.ปรินิพพาน(ดับกิเลสหมด)เพราะไม่ปรุงแต่งด้วยอุเบกขานั้น


    ประโยคเดียวที่หน่วงให้เราเกิดอารมณ์อธิบายออกมาเป็นอักษรช่างยากยิ่งนัก
    ค่อยๆทำความเข้าใจนะครับ
     
  9. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    hello4

    คุยกันไปก่อนนะคะ....ยังตามอ่านอยู่นะ ไม่ได้หายไปไหน ..
     
  10. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    พาไปเพราะใช้หนี้ครับ ในคติที่ว่าเราทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด จึงทำให้ใน
    หลายภพชาตินั้นๆเรามีหนี้เกิดขึ้นทั้งหนี้ทางใจและหนี้ทางกาย ยามเกิดมา
    เป็นคนในชาตินี้ จิตใต้สำนึกว่าที่บันทึกใว้ถึงกรรมเราจึงปรากฏออกมาในเวลา
    เราใร้การควบคุมเช่นหลับ หรือเข้าสมาธิ จึงเรียกว่าฝันและนิมิตตามลำดับ

    เมื่อเราไปเห็นเหตุการณ์นั้นๆ พบคนที่เราไม่รู้จักแต่เหมือนผูกพันรู้จักมานาน
    เราจึงเกิดการใช้หนี้ในรูปของการสลายอารมณ์ เมื่อใช้หนี้หมด จิตใต้สำนึกก็จะ
    ลบความทรงจำ(กรรม)ที่ไม่ดีเหล่านี้ออกไป ในคนธรรมดาคือฝันเช่นฝันว่าตัว
    เองฆ่าคนตายแล้ววิ่งหนี เมื่อตื่นขึ้นมาสำหรับนักปฏิบัติอย่างเราๆท่านๆก็จะปลง
    ว่าการฆ่าเป็นบาป ปลงไปตามปัญญาที่มีอยู่ทำให้หมดกรรมนั้นไป หรืออาจทำ
    บุญใส่บาตรพระอุทิศให้คนๆนั้นที่เราฆ่าไปด้วย

    ส่วนสำหรับการเข้าสมาธิเราอาจเห็นเป็นนิมิตว่าเราฆ่าคน อันนี้จะวิเศษกว่าฝัน
    เพราะเราจะสืบรู้ได้ว่าคนที่ฆ่าคือใคร เหตุใดต้องฆ่า เราขณะนั้นมีฐานะเช่นไร
    จึงฆ่า ก็จะปลงในสมาธิได้กว้างขวางกว่านอกจากจะปลงสำหรับคนที่เราฆ่า
    ยังปลงไปถึงญาติมิตรของเขาคนๆนั้นไปด้วย ทำให้กรรมเบาบางกว่าปกติ.
     
  11. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    การพิจารณาไตรลักษณ์คือไล่ไปตั้งแต่ความไม่เที่ยง มีทุกข์ จนถึงความไม่มีตัวตนเลยใช่ไหมครับ คือต้องไล่ให้ครบ :cool:
     
  12. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    เราเห็นทางสลายต้องเห็นการเกิดของสัญญาด้วย เราถือดาบคืออนิจจังใว้ใน
    มือแล้ว ยามเข้าสนามรบทั้งสหายแลศัตรูย่อมไม่อาจเห็นเราดุจเบี้ยพลทหาร
    ย่อมเห็นดาบในมือเราแล้วเกรงขามสมกับที่เราเป็นขุนพลผู้กรำศึกมานาน

    ดาบในมือคืออารมณ์แบบนี้ อารมณ์สัญญาที่แทรกเข้ามาคือข้าศึก สหายร่วม
    รบคือสังขารนี้เอง แต่ว่า นับตั้งแต่สังขารคือสหายเรานี้ก็อาจกบฏแข้งข้อต่อ
    แม่ทัพได้ ศัตรูเรายามเจริญสัมพันธ์ไมตรีอาจเป็นมหามิตรที่ร่วมรบกับประเทศ
    อื่น ตรงกลางของทั้งสองอยู่ตรงไหนมองให้เห็น

    การมีตัวตนของเรา รักษาตัวตนของเราก็ต้องไม่มี
    การปลงออกไปซึ่งสัญญาก็ต้องไม่มีเพราะไม่มีอะไรให้รักษา
    สุดท้ายเหลือเพียงอนิจจังคือดาบเล่มหนึ่งแม้ตายไปก็เอาไปไม่ได้
    อนิจจังนี้ย่อมเป็นภาระในการถือ

    (แต่ตัดมาทีละอย่างก่อนนะ ไม่ใช่มาตัดเอาตอนอนิจจังไม่ต้องถือล่ะหมดกัน)
     
  13. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    .

    เราต้องเห็นทั้ง 2 ข้างในเวลาเดียวกันใช่มั้ย มองเห็นการเกิดของสัญญานี้ แล้วมองเห็น การสลายไปของสัญญานี้ งั้นก็อยู่ตรงกลางระหว่างการเกิดและการดับน่ะสิคะ แล้วตัวตนมันก็ไม่มีน่ะสิ
     
  14. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    ถ้าตามหลักของสายกรรมฐานไม่ต้องจบครับเอาแค่อารมณ์ฌาณเกิดก็พอได้
    แล้ว ค่อยเข้าไปในสมาธิแล้วดูอย่างอื่นต่อ เช่นกิเลสเกิดจากราคะเห็นรูปผู้หญิง
    สวยๆแล้วติดตามาปรุงเรื่องราวให้เกิดอารมณ์ราคะ ก็ปลงตามหลัก
    เกิดขึ้น.มาจากธาตุสี่ ข้างหลังผิวหนังลงไปเป็นเลือด เป็นก้อนเนื้อ เป็นอาหาร
    เก่าอาหารใหม่ มีผู้ครองร่างคือวิญญาณเราชอบวิญญาณหรือชอบร่างก้อนเนื้อ

    ตรงนี้เองถ้าอารมณ์ราคะหายไปแล้วก็พอ หยุด รักษาอารมณ์ปลงนี้ใว้แล้วทำ
    อย่างอื่นต่อเช่นกำหนดกสิณ หรือเข้าสมาธิเพราะการฆ่าศัตรูคือข้าศึกในการ
    เข้าสมาธิก็ทำเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เกิดอารมณ์สมาธิเท่านั้น

    ส่วนในสายวิปัสสนาธุระ ต้องทำจนจบครับ เหตุการณ์เดียวกันต้องปลงให้ถึง
    อนัตตา ในสายวิปัสสนาจึงไม่เกิดคุณวิเศษตรงที่ไม่เสพซึ่งอารมณ์ปลง ไม่ดื่ม
    นมที่ตัวเองรีดออกมา เมื่อไม่เสพก็ไม่รู้รส ไม่อาจกว้างขวางได้ในฌาณ
    แต่เมื่อปลงจนจบอนัตตาย่อมละกิเลสได้หมดเหมือนกัน บางทีเราก็จะเห็นนัก
    วิปัสสนาธุระออกมาเต้นงิ้ว แสดงท่าทางที่เป็นอัตตา ที่เขาเห็นว่าถูกต้องคนอื่น
    ผิดหมด นี่ก็เป็นธรรมชาติของสายนี้เพราะการฝึกพิจารณาจนจบถึงอนัตตาย่อม
    เอาการเปรียบเทียบมาจากตัวตนเดิมของเขา ตามปัญญาเดิมของเขานั่นเอง
    เช่นเขาพิจารณารูปภายในมีเลือดน้ำหนอง ก้อนเนื้อ อาหารเก่าใหม่แต่เกิดจาก
    ความรู้จากตำรา ที่อ่านมาเห็นรูป นึกเอา แต่สายสมถะย่อมเห็นจริงๆด้วยใจจึง
    เกิดอารมณ์เร็วกว่า ก็เลยหยุด พอตรงนั้นเลยครับ
     
  15. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    อ้อ! นึกออกแล้ว เมื่อเกิดสัญญาเก่าตัวนี้ ให้รู้เสมอว่าอวิชชาเกิดด้วย
     
  16. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ก็ไม่มีสิจ๊ะ (ขอหยอกหน่อย พิมพ์จนมึนไปหมด พิมพ์ตอบมาชั่วโมงกว่าละ)

    ท่านให้ละตัวตน ละตัวตนได้เรียกว่าอริยะขั้นโสดาบัน แต่การไปตรงนั้นได้ก็
    ต้องละมาทีละอย่างดังนี้แล ท่านจึงสั่งทีโอดูที่สังขารไง เพราะว่าก่อนสังขาร
    ท่านเรียกว่า "เพราะมีอวิชชาจึงมีสังขาร" มันจะย้อนขึ้นไป เมื่อเรามอง
    สังขารชัดเจนแล้ว อวิชชาจึงมา เรียกว่าจึงเห็นอวิชชา ละอวิชชาได้ก็ละตัวตน
    ได้ก็อารมณ์นี้ล่ะทำให้เข้มเข้าก็โสดาบันบุคคล ง่ายดีนะอนุโมทนา
     
  17. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    เข้าใจแล้ว สาธุค่ะพี่จิ-โป วันนี้ระวังนะจะมีแขกไปเยือนบ้าน อิอิ
    ขอไปอบรมต่อ มีรายละเอียดอะไรจะเพิ่มเติมช่วยพิมพ์ไว้ด้วยค่ะ ไปทำงานแล้วค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  18. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    1.วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้)บริสุทธิ์เพราะธาตุ 5
    วิญญาณธาตุนี้คือธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกัน จึงเป็น อากาศธาตุ เป็นธาตุที่5ใช้ไหมครับ เมื่อธาตุทั้ง5บริสุทธิ์จิตจึงเป็นอุเบกขาใช้ไหมครับ
     
  19. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ในอภิธรรมท่านแยกใว้เป็นธาตุ18แต่เราไม่เน้นวิปัสสนาไม่ต้องดูตรงนั้นก็ได้
    เราดูตรงนี้คือธาตุ 5
    คือ 1.ปฐวีธาตุดิน คือผู้ทรงความเป็นดินใว้ (ความแข็ง)
    2.อาโปธาตุน้ำ คือทรงความเป็นน้ำใว้ (ความหยุ่น)
    3.เตโชธาตุไฟ คือทรงความเป็นไฟใว้ (ความร้อน)
    4.วาโยธาตุลม คือทรงความเป็นลมพัดไปพัดมาใว้ (การเคลื่อนไหว)
    5. อันนี้ละเอียดหน่อย อากาสธาตุ ทรงความว่าง ช่องว่างใว้

    กล่าวคือในธาตุ 4 นี้จะมีธาตุที่แทรกอยู่ระหว่างกันคือช่องว่าง กล่าวต่อว่า
    เหตุใดจึงต้องพิจารณา ก็ยกมาจากการเจริญกสิณจบดินน้ำลมไฟมาต่อ
    อากาศกสิณ มาจบที่วิญญาณนัญจา นั่นคืออากาศคือช่องว่างที่แทรกอยู่ใน
    ธาตุทั้งหลาย และในช่องนั้นคือวิญญาณที่ก่อเป็นรูปร่าง ตรงนี้คือวิญญาณ
    บริสุทธิ์ทรงธาตุรู้

    ท่านก็เลยนับเอาวิญญาณธาตุที่ทรงธาตุรู้นี้ใว้เป็นธาตุที่ 6 ก็มีในอภิธรรม
    ตรงกสิณวิญญาณนัญขานี้เอง ท่านให้กำหนดวิญญาณทั้งหลายเป็นอนัตตา
    คืออุเบกขาด้วยธาตุรู้ และเมื่ออุเบกขาได้แล้ว จบกสิณก็ต่อที่วิปัสสนาว่า
    อุเบกขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ก็ดับกิเลสด้วยว่าไม่ปรุงด้วยอุเบกขาตัวนี้

    คุณ ainteerati มาจ้องถามเอาตอนสำคัญเลยนะ คำถามตามระดับปัญญา
    จริงๆ
     
  20. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    เมื่อวานนั่งสมาธิ แล้วเห็นภาพมัวเหมือนฝันจะเรียกว่าไรดีฟุ้งไปเรื่อยดีกว่าแล้วมันมีเรื่องราว ขำ ๆ แล้วเผลอยิ้มตามมันนี่ถือว่าใช้ไม่ได้หรือเปล่าครับ นึกแล้วก็เหมือนคนบ้านั่งยิ้มอยู่คนเดียว:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...