โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275

    ส่วนใหญ่เป็นของคนอื่นเอามาให้ครับ
     
  2. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    ฟ้าร้องดังมากที่อุดรธานีแสงยังกะเฟล๊ซกล้องถ่ายรูป :cool: ตอนแรกนึว่าใครมาแอบถ่ายรูปเรา ฮี่ ๆ
     
  3. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ประวัติของหลวงปู่เสถียร มานะทัดสี หรือหลวงปู่ใหญ่ นั้น เป็นชาว จ.อุบลราชธานี โดยกำเนิด เกิดที่บ้านหนองกุงใหญ่ ต.สำโรง อ.พิบูลมังสาหาร เป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้อง 3 คน ของ นายทา ทัดสี และนางเพ็ง ทัดสี หลวงปู่ใหญ่ เกิดเมื่อปี 2479 แต่เป็นกำพร้ามาตั้งแต่เด็กจึงอาศัยกินข้าววัด นอนวัด และเรียนจบชั้น ป. 4 ที่บ้านหนองกุงใหญ่ บวชเณรที่วัดสระปทุมมาลัย และเรียนต่อที่วัดวรรณวารี อ.วารินชำราบ จ.อุบลฯ จบนักธรรมตรี จึงลาสิกขาบทมาช่วยญาติทำนา
    <table width="20%" align="right" border="0"><tbody><tr><td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14px; color: rgb(0, 102, 0); ">[​IMG]</td></tr></tbody></table> ระหว่างที่ลาสิขาบทออกมานี้มีอยู่วันหนึ่งช่วงเวลาประมาณ 1-2 ทุ่ม ได้ปรากฎการณ์ที่เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นที่หลังบ้านหลวงปู่โดยจู่ๆ มีผ้าขาวปลิวลงมาจากท้องฟ้าบริเวณป่าหลังบ้าน ท่านได้ไปดูพบมีกลิ่นหอมฟุ้งเหมือนดอกไม้ป่ากระจายทั่วบริเวณ จากนั้นมีชายนุ่งชุดขาวได้ออกมา หลวงปู่รู้สึกกลัวแต่ก้มกราบชายชุดขาว ๆ สั่งกับท่านว่าให้ตั้งอยู่ในศีลและปฏิบัติธรรม สวดมนต์ภาวนาเป็นประจำอย่าได้ขาด จากนั้นก็ลอยกลับขึ้นท้องฟ้าจนลับตาไป และหลังจากนั้นชายนุ่งขาวคนเดิมก็มักจะมาหาหลวงปู่อีกเกือบทุกคืน ซึ่งทราบต่อมาว่าชายชุดขาวก็ คือ ‘ท้าวมหาพรมชินะปัญจะ’ ซึ่งหลวงปู่เรียกว่า ‘พ่อ’ และท้าวมหาพรหมให้นึกถึงท่านในเวลาที่ต้องการซึ่งท่านจะมาช่วยเหลือทุกครั้งไป

    ช่วงวัยหนุ่ม หลวงปู่ได้ไปสมัครเป็นทหารรับจ้างที่ประเทศลาว ได้รับการฝึกความอดทนทุกรูปแบบ ทั้งต่อสภาพดินฟ้าอากาศ การโดนรอบยิง ลอบวางระเบิด โดนจับติดคุกดอน คุกน้ำ ทรมานกลางแสงแดดจนแทบทนไม่ได้ แต่ก็ไม่ตาย เนื่องจากมักจะมีคนมาช่วยเหลือไว้ทุกที ภายหลังทราบว่าท้าวมหาพรหมต้องการให้ฝึกร่างกายและจิตใจ ก่อนที่จะเข้าสู่การปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ซึ่งระหว่างที่เป็นทหารรับจ้างอยู่นี้หลวงปู่ก็ยังคงฝึกสมาธิภาวนาในใจอยู่ตลอดเวลา กระทั่งลาออกจากทหารรับจ้างในหลายปีต่อมา และมาอาศัยอยู่กับญาติที่ อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี

    ระหว่างนี้ท่านได้หมั่นทำบุญ นุ่งขาวห่มขาว ทุกวันพระปฏิบัติธรรมเข้าวัดฟังธรรมเป็นนิจ และมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับปู่ฤาษี และนิทานโบราณ พระคัมภีร์โบราณ พร้อมกับสั่งสอนลูกหลานให้หมั่นฝึกจิตและยึดมั่นในธรรมโดยการให้ภาวนาหายใจเข้า บริกรรม “พุทธ” หลายใจออกบริกรรม “โธ” และว่าต่อไปบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เกิดความวุ่นวาย ผู้คนจะไม่ค่อยรู้จักบาป บุญ คุณโทษ ต่างๆ กระทั่งท่านอายุได้ 45 ปี เกิดความเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้ออกบวชตามพระประสงค์ของท้าวมหาพรหมฯ โดยบวชที่วัดเกษตรรัตนสิงห์ ปฏิบัติธรรมเคร่งครัดไม่ฉันท์เนื้อสัตว์ เป็นเวลา 3 ปี กว่าจึงได้ออกธุดงค์ไปตามป่าตามเขาโดยมีเพียงกลดและบาตรติดตัว
    <table width="20%" align="left" border="0"><tbody><tr><td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14px; color: rgb(0, 102, 0); ">[​IMG]</td></tr></tbody></table> ช่วงแรกจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านค้อแขม ต.เมืองศรีไค อ.วารินชำราบ ระหว่างนั้นได้พบพระน้องชายในอดีตชาติ จึงได้ร่วมกันปฏิบัติธรรมในสำนักสงฆ์โดยไม่ฉันท์เนื้อสัตว์ จำพรรษาเป็นเวลา 1 ปี จึงออกธุดงค์ต่อตามเสียงที่ได้ยินก้องในหูท่านเพียงผู้เดียว
    หลวงปู่ใหญ่ออกธุดงค์ไปตามผาแต้ม ถ้ำมรกต ผาเย็น เขาหลวงไกรราช แดนอาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์ และเขตชัยบาดาล เขาสระบุรี เป็นต้น นอกจากนี้ยังไปภาคเหนือ ภาคตะวันออก ยกเว้นกลางกลางและภาคใต้ที่หลวงปู่บอกว่าไม่ใช่ดินแดนที่จะธุดงค์ โดยเมื่อไปที่ต่างๆ ก็จะทำสัญลักษณ์เป็นพระพุทธรูปไว้ให้ลูกหลานได้ขอพร กราบไว้บูชา จนกระทั่งครบกำหนดตามความตั้งใจจึงได้กลับมาที่บ้านหนองกุงใหญ่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งอยู่ได้ระยะหนึ่งก็ต้องไปที่วัดดอนไร่ จ.อำนาจเจริญเพื่อบูรณะวัดดังกล่าว
    อย่างไรก็ตามมีช่วงหนึ่งที่หลวงปู่ได้ไปที่บ้านโกลขี้หนู อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อพบกับ ‘ตาสี’ โยมผู้ใกล้ชิด โดยไปในช่วงพลบค่ำ ‘ตาสี’ เห็นพระธุดงค์อยู่หน้าบ้านก็ไม่ได้สนใจ ต่อมาหลวงปู่ได้เดินออกจากหน้าบ้าน เพราะไม่มีผู้สนใจ ไม่นานเมียตาสีชักตาตั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตาสีรีบวิ่งออกไปหาพระธุดงค์รูปเดิมแต่ไม่พบ ต้องวิ่งตามหาจนเจอหลวงปู่พบและบอกกับตาสีว่า “บักสีมึงจำกูบ่ได้” ตาสีได้ยินถึงกับนั่งคุกเข่ากราบเท้าและกอดขาหลวงปู่ไว้ร้องไห้ แล้วบอกว่าหลวงปู่มาในแบบของพระจึงทำให้จำกันไม่ได้
    จากนั้นจึงได้นิมนต์ให้เข้าไปในบ้านและหลวงปู่ได้ให้เมียของตาสีดื่มน้ำมนต์สักพักก็หายเป็นปกติ ระหว่างนี้หลวงปู่ได้ถามหาพระคัมภีร์ ตาสีจึงนำมาถวาย จากนั้นท่านจึงเดินทางกลับวัดดอนไร่ แล้วไปวัดสว่าง ต.คึมใหญ่ อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ เพื่อพบพระอาจารย์เสือ พอพบหน้าพระอาจารย์เสือไม่ได้พูดอะไรแต่ไปนำใบลาน 2 ผูกมาถวายหลวงปู่ พร้อมกับบอกว่าขอถวายคืนให้หลวงปู่ หลังจากที่รักษามานานและหมดหน้าที่รักษาใบลานนี้เสียที

    พ.ศ. 2537 ท่านธุดงค์ไปที่ภูนกหงส์ ท่านได้ปักกรฎที่ ‘ถ้ำโลกุตตะระ’ แรกๆ ไม่มีแม้กระทั่งน้ำฉันท์ทำให้ท่านต้องกลับวัดดอนไร่ จากนั้นประมาณปี 2538 ท่านได้กลับมาที่ภูนกหงส์อีกครั้ง อันเนื่องจากปริศนาธรรมที่ท้าวมหาพรหมได้ตรัสว่า “ปลูกข้าวบนพะลานหิน ให้เอาศีลรดต้นข้าว” ซึ่งหมายถึงหากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะมีพุทธศาสนิกชนเลื่อมใสศรัทธาไม่แร้นแค้น และด้วยความยึดมั่นในคำสอนอย่างเคร่งครัด จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านต่างเคารพศรัทธาท่านมากเป็นลำดับ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านฝันว่าได้รับนิมนต์ไปวัดพระเชตุพน ที่ประเทศศรีลังกา โดยเข้าไปในพระอุโบสถและพบว่าถูกตีตราธรรมจักรที่ฝ่าเท้าขวา ส่วนฝ่าเท้าซ้ายถูกตีรูปใบโพธิ์ พอตื่นมาจึงรู้ว่าฝันไป แต่ที่มากกว่านั้นคือ เมื่อดูที่เท้าปรากฏว่ามีตราสัญลักษณ์ทั้งสองอยู่บนฝ่าเท้าจริงๆ อย่างเหลือเชื่อ นอกจากนี้ ท่านยังเคยได้รับนิมนต์ในนิมิตให้ไปวัดพระเชตุพนอีกครั้งในเวลาต่อมา โดยภายในห้องประชุม

    ขนาดใหญ่มีพระสงฆ์นั่งอย่างเป็นระเบียบอยู่เต็มห้อง ด้านหน้าห้องประชุมมีธรรมาสต์เพชรตั้งอยู่ ไม่นานมีเสียงบอกให้ท่านไปนั่งที่ธรรมาสต์ หลังนั่งบนธรรมาสต์พระสงฆ์ในที่นั้นได้สาธุพร้อมกันดังกึกก้อง ก่อนจะมีจานผลไม้ทิพย์ปรากฏเบื้องหน้าให้พระสงฆ์ทุกรูปฉันท์มังสวิรัติ พอฉันท์เสร็จก็หายวับไปกับตา จากนั้นหลังประชุมเสร็จท่านพบว่ามีชายชุดขาวนำม้าสีแดงมาถวายให้ท่านแต่ท่านไม่รับบอกว่ามีม้าสีหมอกแก่อยู่แล้ว แต่ชายชุดขาวไม่ยอมและให้ท่านขึ้นบนหลังม้า ๆ ตัวดังกล่าวได้เหาะขึ้นบนฟ้า ต่อมาทราบว่าม้าดังกล่าวชื่อ‘ม้ามณีกาบ’ และกลายเป็นม้าประจำตัวของหลวงปู่ในที่สุด
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14px; color: rgb(0, 102, 0); ">[​IMG]</td><td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14px; color: rgb(0, 102, 0); ">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    <table width="20%" align="left" border="0"><tbody><tr><td style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: 14px; color: rgb(0, 102, 0); ">[​IMG]</td></tr></tbody></table> โดยทั่วไปแล้วหลวงปู่ใหญ่จะไม่ค่อยปลงผมจะปลงผมเพียงปีละ 2 ครั้งคือ วันวิสาขบูชา และวันลอยกระทง และท่านได้ปลงผมครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2542 จากนั้นก็ไม่ปลงอีก ขณะที่ความเป็นมาอีกส่วนหนึ่งของวิหารดอกบัวคู่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ดอกบัวเงิน-ดอกบัวทอง ในช่วงที่หลวงปู่มียังไม่ละสังขารญาติโยมที่ศรัทธาร่วมกันทำการก่อสร้างขึ้น หลวงปู่ได้ทำพิธีบวงสรวงเทพยาดา ปรากฏว่าฟ้าเปิดแต่มีฝนตกลงมาเฉพาะบริเวณที่จะทำการก่อสร้างเป็นอัศจรรย์
    อย่างไรก็ตามตลอดเวลาหลวงปู่ไม่รับกฐิน หรือทำซองผ้าป่าใด แต่เน้นให้พุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสอย่างแท้จริงได้เข้ามาทำการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเองโดยสมัครใจ ทำให้ภูนกหงส์มีสิ่งปลูกสร้างขึ้นมาพอสมควรในขณะนี้ และยังมีไฟฟ้าให้แสงสว่างกับพระสงฆ์ นอกจากนี้ในบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนี้ยังมีหินที่คล้ายรูปหงส์ 2 ตัว อยู่บริเวณ

    ด้านทิศตะวันตก หรือหน้าผาทางเข้าวัด เหมือนหงส์ 2 ตัว หันหน้าเข้าหากัน แต่มีคนไปทำลายทำให้ช่วงหัวนกทั้งสองหักลง ซึ่งชาวบ้านเล่าว่าผู้ที่ทำลายหินรูปนกดังกล่าว หลังทำลายก็กลับไม่ถึงบ้านเกิดการตายระหว่างทางกลับบ้านนั่นเอง ระยะหลังหลวงปู่ได้สั่งให้มีการบูรณะส่วนหัวและคอนกหงส์ที่หักไปขึ้นมาใหม่ ให้พุทธศาสนิกชนเคารพบูชาพร้อมกับให้สร้างศาลาครอบไว้เป็นอนุสรณ์ ซึ่งช่วงที่พุทธศาสนิกชนได้ขึ้นมาที่ภูนกหงส์กันมากคือช่วงปี 2544

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  4. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="2%">[​IMG]</td><td valign="bottom" width="98%" align="center" background="http://guideubon.com/images007/gu_07.jpg">
    ชวนนมัสการ ‘หลวงปู่เสถียร นามะทัดสี’ อริยะสงฆ์แห่งวัดภูนกหงส์ ละสังขาร 7 ปี ร่างกายไม่เน่าเปื่อย
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table><table width="98%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table width="100%"><tbody><tr><td>
    ส่วนอดีตชาติของหลวงปู่ใหญ่นั้น ในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นได้เปิดเผยว่า อดีตชาติท่านคือ หลวงปู่โพนเสม็ดแห่ง สปป.ลาว , หลวงปู่สมเด็จลุน, หลวงปู่เทพโลกอุดร และมาหลวงปู่เสถียรหรือหลวงปู่ใหญ่ และในอดีตชาติเคยเป็นผู้บูรณะพระธาตุพนมที่ จ.นครพนม ในสมัยที่เป็นหลวงปู่โพนเสม็ด หลวงปู่ใหญ่ยังพูดได้ 12 ภาษา แม้ไม่ได้ร่ำเรียนมาก็ตาม โดยเฉพาะรูปภาพและสถานที่ที่ท่านอยู่บำเพ็ญเพียรมักจะมีตัวอักษรจีนปรากฎอยู่เสมอ
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td>
    [​IMG]
    </td><td>
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
    ในปี 2543 ท่านได้เทศน์ว่า สิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นในภูนกหงส์แห่งนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นการเสี่ยงทายผู้ใดจะได้ร่วมสร้าง โดยบอกว่าเบื้องบนกำลังคัดเลือกคนดีคนชั่ว เนื่องจากโลกถึงเวลาและจะมีแต่ความวุ่นวาย ภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นเป็นลำดับ สำหรับพระธาตุดอกบัวทอง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท และสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงปู่นั้น ท่านได้ให้สร้างขึ้นในช่วงปี 2544 โดยมีฐานสูงจากพื้น 50 เซนติเมตร กว้าง 30 เมตร มณฑป 30X30 เมตร มี 3 ฐานเป็นลำดับ ตลอดระยะเวลาการก่อสร้างท่านไม่สามารถไปไหนได้กระทั่งสร้างเสร็จสิ้นเป็นส่วนๆ จึงไปไหนมาไหนได้ ดังหนึ่งว่าเป็นคำสั่งของเบื้องบน อย่างไรก็ตามหลวงปู่ใหญ่เป็นผู้มีเมตตาดังโดยท่านได้พูดเสมอว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ให้มีเมตตาต่อกันรักกัน ช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกัน”
    ประมาณปี 2544 ท่านจึงเริ่มอาพาธ ช่วงแรกอาพาธโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการหนาวสั่นตลอดเวลา หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ รักษากว่า 1 เดือนจึงเริ่มดีขึ้น พอหายแล้วท่านบอกว่า ได้ไปรับแต่งตั้งให้เป็นยอดขุนพลอัจฉริยะเทพยุวกษัตริย์มา และระหว่างที่ขึ้นไปสมเด็จย่าได้ประทับอยู่บนชั้นดาวดึงและได้ประทานจีวรทองคำให้หลวงปู่ (ซึ่งท่านเคยสวมเพียงครั้งเดียว คนที่เห็นคือตาสี ปัจจุบันมีรูปปั้นหลวงปู่ห่มจีวรทองคำอยู่ในพระอุโบสถวัดภูนกหงส์) จนกระทั่งปี 2546 ท่านได้สั่งให้สร้างพระศรีอารยะเมตไตรถือดอกบัว นั่งบนสิงห์ หน้าตักกว้าง 1 นิ้ว ทำด้วยทอง เงิน นาค ทองคำขาว ตะกั่วนม ชิน ทองแดง ทองเหลือง และสำริด จำนวน 999 องค์ มีระยะเวลาทำ 1 เดือนกว่า เพื่อเก็บไว้ให้ลูกหลานที่มาร่วมสร้างทำนุบำรุงศาสนา
    [​IMG]
    จากนั้นในราวเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน ท่านได้อาพาธหนัก ไม่ยอมฉันท์เนื้อสัตว์ ยกเว้นผลไม้เป็นเวลา 3 เดือน และได้สั่งให้สร้างพระเจดีย์ทองให้เสร็จในเดือนมกราคมปี 2547 พอถึงเดือนสิงหาคมปี 2546 ท่านเริ่มอาการดีขึ้น ต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม 2546 อาการได้ทรุดหนักอีกครั้งต้องเข้า รพ.ประจำจังหวัดอุบลราชธานี พอถึงวันที่ 17 ส.ค. 2546 ท่านได้สั่งให้เขียนประวัติท่านไว้ และสั่งให้ทำพระเจดีย์ให้เสร็จใน 3 ปี จากนั้นจึงได้ละสังขารโดยสงบ ในวันอาทิตย์ที่ 17 ส.ค. 2546 แรม 5 ค่ำ เดือน 9 ปีมะแม รวมศิริอายุได้ 67 พรรษา
    นายพงษ์ บุญเลิศ อายุ 67 ปี มัคทายกวัดภูนกหงส์ ชาวบ้านแก้งอะฮวน ซึ่งเป็นผู้หนึ่งซึ่งรับใช้วัดภูนกหงส์และหลวงปู่ใหญ่อยู่เสมอ กล่าวว่า ในช่วงที่หลวงปู่ใหญ่มาธุดงค์และตั้งวัดแห่งนี้ตั้งแต่เริ่มแรก ตนได้ช่วยเหลือท่านในการปรับปรุงถ้ำโลกุตตะระที่ใช้สำหรับนั่งวิปัสสนากัมมฐาน จนเป็นที่เหมาะต่อการเจริญภาวนา และได้เป็นส่วนหนึ่งร่วมกับญาติโยมในการสร้างและบูรณะวัดภูนกหงส์
    ซึ่งในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ มีญาติโยมที่ศรัทธาส่วนใหญ่มาจากในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ขณะที่ชาวบ้านในระแวกนี้ต่างก็รู้กิตติศัพท์ของหลวงปู่ดี และมาร่วมทำบุญกันต่อเนื่อง ส่วนที่น่าอัศจรรย์ใจสำหรับชาวบ้านในแถบนี้ มีครั้งหนึ่งที่หลวงปู่รับกิจนิมนต์จากญาติโยมที่มานิมนต์พร้อมกันหลายเจ้าในเวลาเดียวกัน 5 เจ้า ครั้นจะปฏิเสธก็จะเสียน้ำใจญาติโยม ท่านจึงได้รับนิมนต์ทั้ง 5 เจ้า แต่พอถึงเวลาจริง ชาวบ้านที่ไปร่วมงานต่างพบว่าหลวงปู่ไปร่วมงานที่ได้รับนิมนต์ทุกที่พร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน จึงทำให้ชาวบ้านต่างอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ล่ำลือกันว่าท่านสามารถแยกร่างได้ ส่วนบารมีของท่านเชื่อว่ามาพร้อมกับการปฏิบัติธรรมที่เป็นไปอย่างเคร่งครัดและไม่ขาด จึงทำให้ญาติโยมศรัทธามาก
    และต่อเมื่อท่านได้ละสังขารแล้ว ร่างกายก็แห้งไปโดยธรรมชาติไม่มีการเน่าเปื่อย แม้ไม่แช่เย็นหรือฉีดสารใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลวงปู่ได้กล่าวไว้ก่อนจะละสังขารว่า หลังจากมรณภาพแล้วห้ามไม่ให้ญาติโยมประชุมเพลิงศพของท่านโดยเด็ดขาด เพราะร่างกายท่านจะไม่เน่าเปื่อย โดยเป็นการรู้ล่วงหน้าก่อนที่ท่านจะละสังขารไป นายพงษ์ กล่าว
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  5. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    เห็นรูปครั้งแรกยังไม่ทันได้อ่านจ้อความด้วยซ้ำ ก็รู้สึกว่าที่กลางฝ่ามือกลายเป็นโพรงสีขาวนวลตา คล้ายมีแสงพุ่งออกมา ไม่สิ! รู้สึกเหมือนการหมุนวนเหมือนเราจะถูกดูดเข้าไปที่กลางฝ่ามือนั้น เป็นกระแสที่ทั้งอ่อนโยนและทรงพลัง เหมือนกับว่าจะช่วยดูดกระแสลบที่มีอยู่ในร่างกายและปล่อยพลังแห่งการรักษาออกมาอย่างไงอย่างนั้นเลยค่ะ
     
  6. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    ขอบคุณ คุณainteeratiสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
     
  7. chaiyawat

    chaiyawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +148

    ขอรับรูปไว้เช่นกันครับ
     
  8. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    หลวงปู่เสถียร นามะทัดสี’ อริยะสงฆ์แห่งวัดภูนกหงษ์
    เจอท่านครั้งแรกที่วัดสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตรวันนั้นเป็นวันงาน พอผมเดินออกจากห้องน้ำมาตาหันมองไปเห็นคนๆหนึ่งชึ่งตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นพระหรือฤษีเพราะผมท่านยาวห่มจีวรสีักักมองท่านจนท่านเดินเข้าห้องน้ำทั้งๆที่ความสังสัยยังวน

    เวียนอยู่ในหัวตลอดเวลาพอท่านเดินออกจากห้องน้ำเสร็จท่านก็เข้าไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์ รัตนโคตรชึ่งตอนนั้นหลวงปู่ทองทิพย์นั่งอยู่ข้างนอกบนธรรมมาตรหลังจากนั้นได้ยินหลวงปู่ทองทิพย์บอกพระในวัดว่าหาที่พักให้หลวงพ่อเสถียร หน่อยพระในวัดรีบกุรีกุจอหาได้ที่ไกล้ๆเมนที่เก็บศพแม่สอง(แม่สองอดีตชาติท่านมีส่วนเกียวพันกัน

    หลวงปู่ทองทิพย์และก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน)ได้ที่พักแล้วท่านก็มานั่งใต้ต้นโพธิ์ชึ่งก็อยู่ไกลๆที่พักนั้นเอง พอดีเห็นความแปลกผมเลยคว้ากล้องจากมือเพือนหวังว่าจะเก็บภาพท่านไว้สักหน่อยพอจะถ่ายโยมแม่ตุ๋ยชึ่งอยู่ค่อยปฎิบัติหลวงปู่ทองทิพย์มายาวนานท่านเลยทักว่า ให้ขออนุญาติหลวงปู่ก่อนเพราะท่านเคยมากรบหลวงปู่ทองทิพย์

    ครั้งก่อนมีคนไปถ่ายรูปท่านแล้วกดชัตเตอร์ไม่ลง ผมเลยเข้าไปขออนุญาติท่านแต่ท่านไม่ให้ถ่ายเพราะเป็นช่วงท่านอยู่กรรมอยู่(ผมก็ไม่เข้าใจความหมายเหมือนกันนะคำว่าอยู่กรรม)พอเย็นๆหน่อยเลยชวนเพือนเข้าไปกราบหลวงพ่อเสถียรช่วงหัวค่ำท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายเท่าไรแต่พอตกดึกมาคนเขาไปดูบังไฟพญานาคกันหมดเหลือ

    ผมกับเพือนอีกคน(ตอนนี้บวชเป็นพระไปหลายปีแล้ว)ผมนวดที่ตัวท่านแต่ก็แปลกนะตามร่างกายท่านเย็นเหมือนศิลาจับส่วนไหนก็เย็นไปหมดช่วงดึกมาท่านได้เล่าเรืองความลึกลับของป่าให้ฟังทั้งเรืองคนรูเรื่องทีี่อยู่ของท่านที่แปลกและไม่น่าเชื่อบางครั้งดึกๆมีคนเดินเขามาวัดเขาบอกว่าเห็นบังไฟพยานาคขึ้นที่ข้างวัดด้วยหลวงปู่เสถียร

    เล่าให้ฟังว่าที่ท่านอยู่มีแสงส่วางทั้งกลางวันกลางคืนมีอาหารพร้อม ทีขับถ่ายก็มีท่านอยู่ข้างล่างคนเดินผ่านมาผ่านไปท่านรู้แต่คนไม่รู้ไม่เห็นท่านท่านคนที่ไปที่นั้นได้ต้องมีใบผ่านทางพูดไปพร้อมกับท่านยกใบผ่านทางให้ดูตอนแรกที่ผ่าเท้าแต่ผมคงบุญน้อยนะครับเพราะมองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากลายเท้าก็บอกท่านไปตามตรงว่าไม่

    เห็นแต่เพือนดันบอกว่าเห็นนี้ชิที่นี้ท่านเลยเปลียนยกมือแบขึ้นมาพร้อมกับอีกมือข้างข้างหนึ่งชี้ให้ดูแต่ผมก็ยังไม่เห็นอยู่ดีท่านเลยเอาน้ำลายมาแตทีมือแล้วลูบๆบอกว่าเห็นยังแต่ผมก็เห็นแค่ลายมืออยู่ดีเพือนกับเห็นนี้ชิแปลกพอท่านให้ดูกงจักร์ที่ฝ่ามือฝ่าเท้าที่ท่านบอกว่าเป็นใบผ่านทางเพราะปากถ้ำนั้นจะมีพญานาคค่อยเฝ้ารักษาอยู่คนจึง

    ไม่สามารถเข้าไปได้แล้วท่านกำชับว่าเรื่องนี้อย่าพูดบอกใครนะหากพูดเมื่อไรจะไม่เห็นท่านอีก(หากท่านมีชีวิตก็คงไม่บอกเหมือนกันละ)นี้เป็นครั้งแรกที่พูดแล้วพูดแบบดังดวยละอิอิอิ แล้วถามท่านเกียวกับหลวงปู่ทองทิพย์ท่านกับรู้ว่าหลวงปู่ทองทิพย์เป็นใครบ้านอยู่ที่ไหน แถมยังรู้จกผมอีกว่าอยู่ที่ไหนทั้งๆที่ได้ได้คุยกันเลยเห็นเข้าไปกราบ

    แล้วออกมา แล้วเพือนเลยขอไปกับท่านได้ไหมท่านว่าไปไม่ได้ ผมเลยพูดบ้างท่านดันบอกว่ายังมีภาระอยู่เลยอดวันนั้นคุยกับท่านจนดึก



    [​IMG]

    [​IMG]

    นี้คือรูปหลวงปู่ทองทิพย์ที่หลวงพ่อเสถียรท่านถ่ายจากใบสุทธิ์บัตรพระของหลวงปู่ทองทิพย์แล้วท่านนำมาถวายหลวงปู่ทองทิพย์ ชึ่งหลวงปู่ทองทิพย์เองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นรูปใครตอนแรก พอท่านจำได้ท่านเลยเล่าให้ฟัง ข้างหลังรูปหลวงปู่ทองทิพย์ลงอักขระไว้ด้วยและท่านเขียนชื่อท่านไว้ด้วย ท่านเขียนว่าพระคำสี รัตนโคตรรูปนี้ตอนอยู่วัดท่านจะเก็บไว้ที่สูงไม่ให้เอาลงต่ำพอดีท่่านให้เอามาทำใหม่ให้ท่านบอกว่าแต่งตาให้ท่านดีๆนะเลยขอท่านไว้...แล้วก็ทำอันใหม่ไปให้ท่านที่จริงท่านต้องการจะให้นั้นละ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  9. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1439273/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ขออนุญาติ เก็บรูปที่ คุณ ainteerati โพสไว้นะครับ
     
  11. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275

    รูปไหนเหรอครับใช้โทรศัพถ่ายเลยไม่ค่อยชัดเท่าไรนะ
     
  12. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    [​IMG]
    รูปนี้ครับผม
     
  13. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ครับ...........................
     
  14. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    สาธุครับได้อสุภะกำลังดีเลย :cool:
     
  15. chaiyawat

    chaiyawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +148

    ขอรับรูปไว้เช่นกันครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. chaiyawat

    chaiyawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +148
    การพิจารณาอาการ 32 นั้นเขาทำกันอย่างไรหรือครับ
     
  17. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    อารุณซาหวัดครับ ทุกท่าน
     
  18. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    อยากได้อ่ะ..........................
     
  19. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275

    <table class="contentpaneopen" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; width: 709px; "><tbody><tr><td valign="top">
    บทพิจารณาอาการ ๓๒ ของวัดหนองป่าพง
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    บทปลงสังขารตัวเอง (พิจารณาอาการ ๓๒) อีกแบบหนึ่ง ของวัดอื่น
    [​IMG]
    อิมัสมิง กาเย

    1. เกศา คือผม อย่าได้ชื่นชม ว่าผมโสภา ทั้งเก้าล้านเส้น ย่อมเป็นอนัตตา ครั้นแก่ชรา...กลับขาวน่าชัง


    2. โลมา คือขน งอกทั่วตัวตน ก็เป็นอนิจจัง ได้เก้าโกฏิเส้น ล้วนเป็นอสุภัง น่าเกลียดน่าชัง...อย่าชมว่าดี


    3. นะขา คือเล็บ ถอดหักมักเจ็บ ว่าเล็บกระสี ทั้งยี่สิบทัศ วิบัติอัปรีย์ แก่นสารไม่มี...วิปริตสาธารณ์


    4. ทันตา คือฟัน สามสิบสองอัน ใช่แก่นใช่สาร คลอนขลุกหงุกหงัก หลุดหักสาธารณ์ ไม่ตั้งอยู่นาน... ควรคิดอนิจจา


    5. ตะโจ คือหนัง เปื่อยเน่าพองพัง ทั่วทั้งกายา ถ้าจะม้วนเข้า เท่าลูกพุทรา คนอันธพาลา...นับถือว่าดี


    6. มังสัง คือเนื้อ เปื่อยเน่าบ่มีเหลือ เท่าเส้นเกศี ทั้งเก้าร้อยชิ้น ในกายอินทรีย์ ตายแล้วเป็นผี...รังเกียจเกลียดอาย


    7. นะหารู คือเอ็น เก้าร้อยทำเข็ญ เมื่อยขบสารพางค์ ลุกโอยนั่งโอย รัญจวนครวญคราง ให้โทษทุกอย่าง...อย่าถือว่าดี


    8. อัฐิ กระดูก เส้นรัดมัดผูก สามร้อยท่อนมี ล้วนเป็นอนัตตา อย่าชมว่าดี แก่นสารไม่มี...เครื่องถมแผ่นดิน หาปัญญาไม่ รักใคร่อาจิณ จะเพิ่มพูนดิน...บ่ได้คิดถึง อวิชชาหุ้มห่อ ผูกรัดมัดรึง หลงรักตะบึง...บ่คล้อยถอยหลัง


    9. อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก เพลิงร้อนต้องถูก ละลายไหลหลั่ง เหม็นขื่นเหม็นเขียว น่าเกลียดน่าชัง ควรคิดอนิจจัง...ทุกขังอนัตตา


    10. วังกัง คือม้าม แต่ล้วนไม่งาม โสโครกหนักหนา เครื่องเปื่อยเครื่องเน่า ถมแผ่นพสุธา ครั้นสิ้นชีวา...แร้งกาแย่งกิน


    11. หะทะยัง หัวใจ ม้ามปกคลุมไว้ ในอกอาจิณสิ้นลมระบาย สุนัขกากิน เครื่องเน่าทั้งสิ้น...ไม่เหลือสักอัน


    12. ยะกะนัง คือตับ เป็นชิ้นประทับ กับหว่างนมนั้นกำหนดโดยสี สีแดงแสงฉัน เครื่องเน่าทั้งนั้น...ในกายอินทรีย์


    13. กิโลมะกัง พังผืดนั้นเล่า พระสรรเพชญ์เจ้า กำหนดโดยสีเหมือนทุกุลพัสตร์ ที่ผ้าพอดี เก่า ๆ เศร้าสี...มิสู้งามตาเป็นเครื่องสาธารณ์ อาหารแร้งกา ควรคิดอนิจจา...อย่าได้ละวาง


    14. ปิหะกัง คือพุง จงตั้งจิตมุ่ง อย่าเหินอย่าห่างเอาเป็นกัมมัฏฐาน อย่าได้ละวาง พุงมีสีอย่าง...ดอกคนทิสอสัณฐานพุงนั้น เหมือนสีโคมอ อาศัยอยู่ต่อ...ที่ท้ายดวงใจ


    15. ปัปผาสัง คือปอด เอาปัญญาสอด ส่องลงภายในให้เห็นอนิจจัง ประจักษ์แจ่มใส สีปอดนั้นไซร้...แดง ๆ สำราญสามสิบสองชิ้น ติดกันสัณฐาน เหมือนขนมหวาน...ตัดชิ้นเสี้ยว ๆ


    16. อันตัง ไส้ใหญ่ เป็นสายยาวเรียว เป็นขดลดเลี้ยว...ยี่สิบแปดขดไส้ชายกำหนด สามสิบสองศอก ว่ายืดยาวออก...กว่าไส้สตรีไส้หญิงสั้นกว่า สี่ศอกโดยมี กำหนดโดยสี...เหมือนฉาบปูนขาวเบื้องบนนั้นยาว ตลอดลำคอ เบื้องต่ำนั้นต่อ...ทวารเบื้องใต้


    17. อันตะคุณัง ไส้น้อยกำหนด รัดขดไส้ใหญ่ บางทีรัดไว้...บางทีโยนยาน


    18. อุทะริยัง คืออาหารใหม่ เข้าอยู่ในไส้ เหมือนไถ้ข้าวสาร


    19. กะรีสัง คืออาหารเก่า ลงเข้าทวาร เหม็นพ้นประมาณ...รังเกียจเกลียดชัง


    20. ปิตตัง คือดี เขียว ๆ โดยสี ดีมีสองอย่างอย่างหนึ่งดีฝัก ซับซาบสารพางค์ ดีทั้งสองอย่าง...อสุจิอสุภัง


    21. เสมหัง เสลดข้น เป็นไขไหลล้น น่าเกลียดน่าชังท่านผู้บัณฑิต ควรคิดอนิจจัง เสลดนี้ปิดบัง...อยู่บนอาหาร


    22. ปุปโป คือหนอง เกิดแต่พุพอง เปื่อยเน่าทุกประการ


    23. โลหิตัง คือเลือด เหลวไหลซาบซ่าน ทั่วกายทวาร...สีแดงดังชาดเลือดข้นนั้นไซร้ พอได้เต็มบาตร เป็นอาโปธาตุ...ชังอยู่ในท้องทับท่วมหัวใจ ตับไตทั้งผอง พึงระลึกตรึกตรอง...ให้เห็นอนัตตา


    24. เสโท คือเหงื่อ ซาบอยู่ในเนื้อ ทั่วทั้งสรีราต้องร้อนไหลหลั่ง เทพังออกมา โซมทั่วกายา...น่าเกลียดน่าอาย


    25. เมโท คือมันข้น ซาบอยู่ในตน ทั่วทั้งสารพางค์ สีเหมือนขมิ้น เหลืองอ่อนจาง ๆ เหม็นสาบเหม็นสาง...โสโครกหนักหนา

    26. อัสสุ น้ำเนตร โทมนัสเป็นเหตุ ไหลหลั่งออกมา จากคลองจักษุ ทั้งสองซ้ายขวา เป็นท่อธารา...หยาดย้อยฟูมฟอง
    27. วะสา มันเหลว ต้องร้อนไหลนอง ปลงสติติตรอง...ให้เห็นอนัตตา
    28. เขโฬ น้ำลาย ที่เหลวอยู่ปลาย ประเทศชิวหาข้นอยู่ปลายลิ้น ไหลออกอัตรา เร่งคิดอนิจจา...อย่าหลงว่าดี
    29. สิงฆานิกา น้ำมูก ออกช่องจมูก เห็นน่าบัดสีบ้างขังบ้างไหล มิใช่พอดี โสโครกเต็มที...น่าเกลียดน่าอาย
    30. ละสิกา ไขข้อ อยู่ที่ข้อต่อ กระดูกร่างกาย เหมือนไขทาเพลา แห่งเกวียนทั้งหลาย อย่าได้มั่นหมาย...ว่าเป็นของดีเร่งคิดสังเวช จิตตั้งสังเกต ถึงกายอินทรีย์ปัญญาส่องมอง ตามคลองวิถี โดยพระบาลี... ว่าไว้ในสูตร
    31. มุตตัง มูตรเน่า คืออาหารเก่า แบ่งออกเป็นมูตรยิ่งเก่ายิ่งเหม็น ยิ่งเน่ายิ่งบูด รู้ว่าเป็นมูตร...แสยงขนพอง
    32. มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในศีรษะ...คือแป้งสามปั้นอยู่ในสมองต้องร้อนเมื่อไร เหลวไหลออกนอง อย่าได้คิดปอง...ว่าเป็นแก่นสารเลยฯ
    [​IMG]


    </td></tr><tr><td class="modifydate" style="height: 20px; vertical-align: bottom; font-size: 0.9em; color: rgb(153, 153, 153); font-weight: normal; text-align: left; ">
    </td></tr></tbody></table>
     
  20. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    ขอบคุณครับ กำลังสนใจเรื่องพิจารณาร่างกายเหมือนกัน
    เมื่อคืนเปิดโทรศัพท์นอนฟังเสียงพระเทศน์เรื่องพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    จนหลับไปแล้วฝันว่าเจอผู้หญิงสาวสวย ก็ได้โอกาศพิจารณาในความฝันซะเลย
    ว่าร่างกายนี้มันไม่งาม วันนี้มาเจอเรื่องพิจารณาอาการ32พอดี
    มีรูปประกอบด้วยดูแล้วสบายตา ขอบคุณ คุณainteeratiมากเลยครับ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...