โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    คุณจิ-โป ทั้งหล่อ ทั้งใจดี :cool:

    ก.ค. นี้จะย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ด่านช้างแล้วครับ จะกลับไปทำตามที่คุณจิ-โป บอกไว้
    แล้วจะให้ พ่อ เกษียร ด้วย เลิกขายหมู ขายไก่ ไปทำอย่างอื่นแทน ไม่รู้ ท่านจะยอม เกษียร หรือเปล่า
     
  2. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    เห็นรูปงูตอนแรกยังสยองเลย มองไม่ชัดว่าเป็นงูหรืออะไร

    พี่จิ-โป คะ เมื่อคืนนี้แม่บ่นปวดหัวมาก ตอนแรกหนูก็ไม่เป็นไร ไปนั่งใกล้ ๆ แก ซักพัก หนูปวดหัวข้างขวามากเลย หนูก็เลยแผ่ออก เอาอารมณ์ของตัวเองแผ่ ซักพักหายปวดหัว แต่มันรู้สึก โล่งวาบ ตรงช่วงที่เราหายใจ เหมือนมันมีการดับตรงนั้น ว่าง ๆ โล่งๆ เบา ๆ เย็น ๆ ซักพัก เลยมองไปที่แม่ ในใจก็รู้สึกว่า เดี๋ยวแม่ก็หาย เพราะที่มันปกคลุมไปด้วยความหนาแน่นของอะไรไม่รู้มาบดบัง พอเราแผ่ออก มันหายไปเลยน่ะค่ะพี่จิ-โป ตอนนี้แม่นอนบอกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว แต่เบาปวดหัวแล้ว

    แต่วันนี้ตาพร่ามากเลย ค่ะ แต่ก็สบาย ๆ นะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2011
  3. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ปกติถ้ามึนข้างซ้ายเรามักจะเป็นสภาวะของเทพ แต่ถ้ามึนข้างขวาเราจะเป็น
    ปัญหามาจากพวกอาคมของขลัง คือบอกมายังงี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาดูเลยครับ
    แต่อาคมแบบนี้คือมนต์ดำ เรากำหนดแสงคลุมใว้ก็หายไปเอง เมื่อส่วนหัวหาย
    เราก็ต้องเอาของในตัวเขาออกก่อน เช่นอะไรที่ห้อยใว้ก็ถอดออกมาล้างหรือ
    ประพรมน้ำมนต์ใหม่ กำหนดแสงใส่ในแก้วน้ำให้แม่กินด้วยก็จะหายขาด
    ไม่ปวดเมื่อครับ นี่ทำไม่ครบมันเลยปวดเมื่อยตัว
     
  4. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ช่วงนี้บรรยากาศแบบนี้ก็นั่งสมาธิไม่ดีไปทุกคนล่ะครับ แต่ว่านับจากขั้นการ
    ฝึกสมาธิขั้นที่สองจากเตวิชโชขึ้นมาจะไม่มีปัญหานี้เลยครับ สุขวิโกปัญหา
    มันเยอะแดดออกก็ไม่ดี หนาวไปก็ไม่ดี อากาศขมุกขมัวก็ไม่ดี เพราะฉะนั้น
    แล้วเวลาเราทำสมาธิได้อย่างใดอย่างหนึ่งให้เร่งเลย ทำแบบเข้มข้นไปเลย
    จนเกิดความชำนาญ อย่างหลวงปู่มั่น ท่านเดินข้ามถนนจะไปวัดปทุมท่านมอง
    เห็นเหตุการณ์ที่ทำให้ใจท่านเข้าสมาธิ มีอารมณ์ดื่มด่ำอย่างที่สุด ท่านก็นั่งลง
    ตรงข้างทางนั่นเลย ขัดสมาธิลงไปเลยกำหนดอารมณ์นั้นให้เข้มข้นจะได้จำได้


    ส่วนเรื่องจะยกเลิกการฆ่าที่ด่านช้างของคุณnoinid0209 ก็อนุโมทนาครับ
    หาทุนลงตู้แช่เอาของซีพีมาลงซักหลายๆตู้เป็นการขายส่งจะดีกว่าครับรวยง่าย
    และไม่ได้ฆ่าเอง เพราะที่ตรงนั้นต้องทำบาปหน่อยๆถึงจะรวยทำดีไม่ค่อยรวย
     
  5. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    เป็นยังงั้นไป หุหุ ที่คิดไว้ก็เหมือนที่คุณจิ-โป บอกครับ ผมคิดว่าจะรับของ CP
    มาขาย แต่พ่อผมบอกว่า กำไรมันน้อย แต่ผมยอมได้กำไรน้อย ดีก่าไปเบียดเบียนเค้า
    อายุจะถึงเลข 3 แล้วก็ ไม่อยากไปทำร้ายชีวิตของใครเค้า แต่ผมเองยังทำงาน
    บริษัทเหมือนเดิมครับ เปงลูกจ้างเค้าเหมือนเดิม แต่เงินเดือนน่าจะพอให้ท่าน
    เกษียร ได้ครับ ถ้าไม่ก็ ขายของ CP ไป
     
  6. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ก็เคยมีมาทวงเหมือนกันนะแต่เป็นเจ้ากรรมเขาบอกว่าตอนนั้นผมเป็นทหารคล้ายมหาดเล็กแล้วมารบเมืองเขา เขาเป็นเจ้าเมืองไม่รู้จะใช้ตรงนี้หรือเปล่าถ้าใช้ก็คงเป็นกรรมที่ต้องมาชดใช้ จึงต้องมาโปรดพวกเขาเพราะนี้ก็ช่วยขนไปมากแล้วเหมือนกันที่โดนขังไว้ด้วยอาคมก็ปล่อยไปหมดแล้วเหลือแต่ที่ยังไม่เจอและมีบางพวกที่ไม่ต้องการไปไหน
    มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนกลางวัน วันนั้นนอนทำสมาธิอยู่พอจิตสงบได้ที่เลยออกจากร่างมาพอลุกขึ้นจากร่างมองเห็นวิญญาณที่เขากำลังขุดดินอยู่ไกล้ๆเขาใส่เสื้อผ้าคล้ายชาวบ้านทั่วไปเลยถามเขาว่าทำอะไรกัน เขาบอกว่าขุดหาสมบัติ เลยถามต่อไปว่าที่นี้มีสมบัติด้วยหรือพอถามแค่นั้นตัวเองกลับเข้าไปในอีกมิติหนึ่งตรงนั้นคล้ายเป็นเขาเป็นเมืองยักเมื่องหนึ่งวันนั้นคล้ายจะมีงานที่เขาจัดงานกันในนั้นมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งคล้ายจะเป็นเมียของลูกชายเจ้าเมืองแต่โดนจับได้ว่าปลอมตัวมาจากนั้นเห็นผู้หญิงคนนั้นกลายร่างทำตัวให้ใหญ่ขึ้นแล้วภูเขาทั้งลูกนั้นก็เกิดถล่มลงมาแล้วมีพวกทหารออกตามหากันแต่แปลก
    กลับเห็นตัวเองไปยืนดูเขาด้วยจากนั้นจิตก็กลับเข้าร่างมาก่อน

    เดี๋ยวเรืองต้นไม้จะเอาโทรศัพไปถ่ายมาให้คุณจิ-โปดูก่อนว่าเป็นต้นไหนเพราะติดหลังบ้านนี้เอง
     
  7. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    อ้อ! จับนัยสำคัญได้และ ลืมพี่จิ-โป จริง ๆ อย่างว่า ถ้าเราได้อารมณ์สบาย ๆ ก็นั่งลงกำหนดให้เข้มได้เลย ไม่ต้องรอ ข้างขึ้นใช่มั้ยคะ ถึงว่าเมื่อคืนรออยู่นั่นแหล่ะ นี่เองรอ เฮ้อ!

    นึกถึงแม่แล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ เค้าเป็นแบบนั้นเค้าเองจะรู้มั้ยว่า มันเกิดจากสิ่งที่เค้าไปทำมาเอง พุดลำบาก หนูก็บอกไม่ถูก
     
  8. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ขอสอบถามเรื่องยักษ์ครับ ว่าเหมือนใน ละครตอนเช้า วันเสาร์-อาทิตย์หรือเปล่าครับ
    ที่มีความสุงตามปกติทั่วไป แต่สามารถขยายร่างได้ แล้วพวกเค้าเหล่านั้นกินเนื้อสัตว์
    เป็นอาหารด้วยหรือเปล่า

    อีกเรื่องแล้วกันครับ ยักษ์วัดแจ้ง กับ วัดโพธิ์ มีที่มาที่ไปอย่างไรครับ
     
  9. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [​IMG]




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 29032011(001).jpg
      29032011(001).jpg
      ขนาดไฟล์:
      68 KB
      เปิดดู:
      267
    • 29032011.jpg
      29032011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.2 KB
      เปิดดู:
      247
  10. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    บ้านแม่ยายผมมีภาพท่านด้วย :cool:
     
  11. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    แม่ยายผมเล่าให้ฟังว่าท่านทรงอภิณญามาก คุณ ainteerati พอจะทราบประวัติท่านไหมครับ
     
  12. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    เรื่องยักษ์วัดแจ้งกับวัดโพธิ์ผมไม่รู้ครับ
    แต่การกำเนิดของยักษ์นั้นพอจะรู้ คือท่านว่าตัวอย่างเช่น
    ในครั้งหนึ่งองค์อัมรินทร์ผู้เป็นใหญ่สมัยหนึ่ง ท่านผู้นั้นขณะนั่งสมาคมกับ
    เหล่าเทวดาบังเกิดโทสะขึ้น คิ้วของพระอินทร์ขมวดเข้าหากัน ภาษาบ้าน
    เราก็เรียกว่าคิ้วยุ่งนั่นล่ะครับ ด้วยรอยขวมดคิ้วที่เกิดจากโทสะนี่เองก็ปรากฏ
    จุติเป็นยักษ์ขึ้นมาตนหนึ่ง โดดออกมาจากกลางคิ้วพระอินทร์ ทีนี้ก็บรรเทิง
    กันทั้งสวรรค์เลยครับไล่จับไล่ฆ่ากันยกใหญ่เป็นเรื่องราวใหญ่โต

    ในญี่ปุ่นก็มีเรื่องทำนองนี้คือ ความโกรธของซามูไรที่ถูกฆ่าโดยการเสีย
    ศักดิ์ศรี(ปกติจะฮาราคีรีถึงจะมีสี) จะทำให้ซามูไรคนนั้นกลายเป็นจิตภูตยักษ์
    มาทำลายร้างคนในหมู่บ้าน

    กล่าวโดยรวมแล้วความโกรธนั้นเองทำให้เกิดยักษ์ แต่บางตนท่านก็โกรธ
    แล้วกลายเป็นยักษ์แต่คิดได้ภายหลังจึงกลายเป็นยักษ์ที่ดีก็มีมาก ฉะนั้นแล้ว
    คนเราอย่าขมวดคิ้ว เพราะอาจจะทำให้เกิดยักษ์ขึ้นมาอย่างพระอินทร์ก็เป็นได้
    ให้กลางคิ้วเราผ่องใสใร้ราคีและรอยตีนกาจะดีที่สุดครับ
     
  13. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    มีแฝงคำสอนไว้ด้วยอนุโมทนาครับ :cool:
     
  14. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ขอบคุณครับ คุณจิ-โป
     
  15. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275

    เรื่องขลังและพิสดารของหลวงพ่อพิบูลย์
    ตอนที่ 4
    -----------~@~-----------

    [​IMG]

    ตลอด เวลา 15 ปีที่หลวงพ่อพิบูลย์ถูกคุมตัวโดยคณะสงฆ์ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีศิษย์ของท่านรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อโชติ ได้เดินทางไปมาหาสู่ระหว่างวัดพระแท่นกับวัดโพธิสมภรณ์มิได้ขาด จึงเป็นประหนึ่งสายป่านเชื่อมโยงหลวงพ่อพิบูลย์กับวัดพระแท่น และชาวบ้านแดงไว้ไม่ให้ขาดจากกัน

    ปัจจัยทั้งปวงที่หลวงพ่อพิบูลย์ส่งไปช่วยวัดพระแท่นและชาวบ้าน ก็ได้อาศัยหลวงพ่อโชติเป็นผู้นำไปทุกระยะตลอดทั้ง 15 ปี

    ใน ภายหลังหลวงพ่อโชติได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระแท่นสืบต่อจากหลวงพ่อ พิบูลย์ และมีสมณศักดิ์เป็น พระครูวิบูลย์สุนทร มีอายุยาวถึง 100 ปีจึงมรณภาพ

    ถ้าจะไม่กล่าวถึงหลวงพ่อโชติบ้างเรื่องนี้ก็จะขาดความสมบูรณ์ไป

    หลวง พ่อโชติเรียกว่าเป็นศิษย์กตัญญู รู้คุณครูบาอาจารย์อย่างแท้จริง ไม่เคยทอดทิ้งหลวงพ่อพิบูลย์ผู้เป็นอาจารย์ แม้ว่าจะตกระกำลำบากแค่ไหน มีความเสมอต้นเสมอปลายในการอุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์อย่างน่ายกย่อง

    หลวง พ่อโชติเดิมชื่อ โชติ ภูเวียงแก้ว เกิดที่บ้านเลิงแฝก อ.บรบือ จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 14 ปี ที่วัดบ้านหนองสิมใหญ่ อ.บรบือ อยู่ศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดบ้านเลิงแฝกจนอายุ 20 ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดบ้านเลิงแฝก โดยมีพระอาจารย์ป้องเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่วัดเลิงแฝกอีก 3 ปี จึงย้ายมาอยู่วัดพระแท่นกับหลวงพ่อพิบูลย์

    ที่วัดพระแท่นนั้น หลวงพ่อโชติได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อพิบูลย์เป็นที่สุด ถือเป็นศิษย์ใกล้ชิดตัวหลวงพ่อพิบูลย์มากกว่าคนอื่น และเอาจริงเอาจังกับการประพฤติปฏิบัติ จนหลวงพ่อพิบูลย์ถ่ายทอดวิชาอาคมให้อย่างไม่ปิดบังอำพราง

    วันหนึ่ง หลวงพ่อโชติได้เข้าไปกราบลาหลวงพ่อพิบูลย์จะออกธุดงค์ ซึ่งหลวงพ่อพิบูลย์ก็ไม่ขัดข้อง อนุญาตให้ไปได้ หลวงพ่อโชติจึงออกเดินทางไปถ้ำเขากวางในประเทศลาว ไปอยู่ศึกษาปฏิบัติกับ ญาคูสายบัว ไม่ทราบว่าอยู่นานแค่ไหน เข้าใจว่าน่าจะนานพอสมควร จึงออกธุดงค์ต่อไป

    หลวงพ่อโชติได้เล่าว่า ในระหว่างธุดงค์นั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าหลับตาลงเมื่อใด มักนิมิตเห็นหลวงพ่อพิบูลย์มาสอนธรรมให้ จนครั้งหนึ่งระหว่างเดินทางออกจากถ้ำเขากวางไปผากาดกูด มีชาวบ้านบอกว่าเห็นพระเดินทางมา 2 รูป ทั้งๆที่หลวงพ่อโชติเดินทางแค่รูปเดียว

    ชาวบ้านยืนยันว่า เห็นพระอีกรูปเดินทางร่วมกับหลวงพ่อโชติจริงๆ

    พระ อีกรูปนั้นเป็นพระผู้เฒ่า มีไม้เท้าในมือ พร้อมทั้งอธิบายรูปลักษณ์ จนหลวงพ่อโชติเกิดสำนึกว่า พระผู้เฒ่านั้นน่าจะเป็นหลวงพ่อพิบูลย์

    ระหว่าง นั้นหลวงพ่อโชติได้ข่าวว่า ญาคูสายบัวได้เดินทางไปบ้านแดงเพื่อนมัสการหลวงพ่อพิบูลย์ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางกลับวัดพระแท่น และได้พบกับญาคูสายบัวพำนักอยู่วัดพระแท่นกับหลวงพ่อพิบูลย์แล้ว จึงเลิกกิจธุดงค์ในครานั้นทันที

    เกี่ยวกับเรื่องธุดงค์ของหลวงพ่อโชตินั้น นึกดูแล้วก็จะเห็นแปลก และน่าคิดอยู่ไม่น้อย

    ไม่ต้องพูดถึงเรื่องธุดงค์เลย เพราะว่ายังไงก็ควรอยู่ เพราะเป็นการฝึกจิตฝึกกาย ที่พระควรทำอย่างน้อยครั้งหนึ่ง

    เรื่องน่าคิดคือ หลวงพ่อโชติมีหลวงพ่อพิบูลย์ที่ถือว่าเป็นยอดครูบาอาจารย์อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาอาจารย์เพิ่มเติมอีก

    การเดินทางไปหาญาคูสายบัว อาจเป็นได้ทั้ง 2 อย่าง คือไปแสวงหาครูบาอาจารย์ หรืออาจเพียงถือเป็นที่หมายสุดท้ายปลายทางธุดงค์

    แต่ ในที่สุดหลวงพ่อโชติก็กลับเป็นเหมือนสะพานเชื่อมโยงให้ญาคูสายบัวเดิน ทางออกจากถ้ำเขากวางมาอยู่กับหลวงพ่อพิบูลย์ที่วัดพระแท่น และกลายเป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหลวงพ่อพิบูลย์จนตลอดชีวิต

    ร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างไร จะกล่าวถึงต่อไปในภายหน้า

    ขอ ให้เข้าใจด้วยว่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ เป็นช่วงก่อนที่หลวงพ่อพิบูลย์จะถูกจับครั้งแรกแล้วต้องโทษประหาร คือเป็นช่วงแรกของการสร้างวัดพระแท่น และบุกเบิกพัฒนาบ้านแดง จนเกิดเป็นบ้านใหญ่ ที่ต่อมากลายเป็นเมือง สมดังที่หลวงพ่อพิบูลย์พยากรณ์ไว้

    ระหว่างนี้มีลูกศิษย์ลูกหามาอยู่ ร่วมกันที่วัดพระแท่นหลายคน เช่น อาจารย์คุ้ม, อาจารย์โชติ( หลวงพ่อโชติ), อาจารย์สายบัว(ญาคูสายบัว), อาจารย์เขียน, อาจารย์ทายกสีสุพันธ์, สามเณรอ่อนสี, ตาปะขาวพรหมา, และพ่อผมยาว

    หลวงพ่อโชติเล่าว่า การเป็นอยู่ของพระเณรในวัดพระแท่นสมัยนั้นลำบากมาก ทั้งยุ่งยากใจอย่างที่สุด เนื่องจากทางราชการไม่เข้าใจแนวทางการปฏิบัติและพัฒนาของหลวงพ่อพิบูลย์ จึงเป็นเหตุให้หลวงพ่อพิบูลย์ต้องถูกจับถึง 2 ครั้ง ตัวหลวงพ่อโชติเองก็ต้องหลบไปจำพรรษาที่อื่นบ้างเพื่อให้พ้นภัย

    ในบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อพิบูลย์นั้น “พ่อผมยาว” ออกจะพิสดารที่สุด

    ถ้าไม่เล่าเรื่องพ่อผมยาว เรื่องนี้ก็จะขาดความสมบูรณ์เหมือนกัน

    พ่อผมยาวท่านนี้เป็นผู้ทึ่มีบุคลิกพิสดาร ไม่ใช่พระภิกษุ ไม่ใช่คนปกติอย่างเราท่าน จะเรียกว่าเป็นคนที่อยู่ในจำพวกฤาษี ก็ดูจะพอเป็นไปได้มาก

    พ่อ ผมยาวมาอยู่กับหลวงพ่อพิบูลย์ในสมัยที่หลวงพ่อพิบูลย์ยังไม่ถูกคุมตัวไป พิจารณาสอบสวนเอาโทษ จะเข้ามาก่อนหรือหลังคนอื่นไม่ทราบ แต่ถือว่าเข้ามาอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกัน

    พ่อผมยาวมีพฤติกรรมแปลกๆน่า สนใจหลายอย่าง รวมทั้งมีอภินิหารจนชาวบ้านออกจะเกรงใจไม่น้อย การมาอยู่วัดพระแท่นนั้น ปรากฏในหนังสือประวัติว่า หลวงพ่อพิบูลย์ให้คนไปตามตัวมาอยู่ด้วย ดูๆไปคล้ายกับว่าวัดพระแท่นจะเป็นสถานที่อีกแห่งที่รวบรวมเอายอดวิทยายุทธ์ มาอยู่ด้วยกัน

    เป็นเสี้ยวลิ้มยี่ในยุคนั้นว่างั้นเถิด

    พ่อ ผมยาวมีนามเดิมว่า ติ่ง อยู่บ้านหนองลี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี บิดาชื่อแถว มารดาชื่อ คำภา ไม่ทราบนามสกุล ครอบครัวพ่อผมยาวอพยพมาอยู่บ้านตาลศาลจอด ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครราวๆปี 2450 อยู่ที่นี่ปีเดียวก็ย้ายมาอยู่บ้านเพียปู่ ตำบลไชยวาน อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี

    บ้านเพียปู่ ปี 2462

    พ่อผมยาวอายุ 20 ถ้วน

    ระหว่างงานบุญฉลองหมู่บ้าน ทุกคนกำลังมีความสุขสนุกสนานเบิกบานกันเต็มที่

    มิคาด, ไฟเกิดลุกไหม้เรือนราษฎรในหมู่บ้านหลังหนึ่ง

    ความสุขสนุกสนานของผู้คนมลายพลัน ทุกคนหันหน้าเข้าหาเรือนไฟ และประสานมือกันดับไฟก่อนจะลามไหม้ไปทั้งหมู่บ้าน

    ไฟดับแล้ว

    ความรื่นเริงย่อมดับไปด้วย

    ไฟเกิดขึ้นเองได้หรือไม่

    ย่อมไม่

    ไฟย่อมมีผู้จุด

    ผู้ใดจุดเล่า

    บุรุษผู้กำลังเมามายผู้นี้เป็นผู้จุด

    บุรุษผู้นี้เป็นผู้ใด

    เป็นพ่อผมยาว

    “หา ! ไอ้บ้านี่อีกเองแล้วหรือ”

    นั่นแหละครับ พ่อผมยาวที่เริ่มแผลงฤทธิ์ ด้วยการจุดไฟเผาบ้านเรือนชาวบ้านเพียปู่ โชคดีที่ดับได้ทัน ก่อนจะลามไปบ้านเรือนข้างเคียง

    พ่อผมยาวถูกจับทำโทษ โดยมัดไว้กับเสารั้วจนงานบุญเสร็จจึงได้ปล่อยตัว

    ต่อมาก็หนีเกณฑ์ทหาร โดยหนีย้อนกลับไปทางบ้านเกิดที่ปราจีนบุรีแล้วหายตัวไป ไม่มีใครทราบข่าวคราว

    ระหว่าง ที่หายไปนี้ พ่อผมยาวกับพวกพ้องอีก 7 คน ชวนกันไปเรียนวิชากับฤษีองค์หนึ่ง อยู่เขตกบินจันทคาม เมืองสมังกันผี วิชาที่เรียนเรียกว่า “ธรรมใหญ่ ห้าร้อยชาติ” เรียนอยู่ 7 วัน ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ในที่สุดก็หายสูญจากกันทั้งหมด

    เมืองสมังกันผี อยู่ที่ไหนไม่ทราบ แต่ฟังชื่อแล้วออกจะเป็นเขมรยังไงชอบกล

    นานพอสมควรพ่อผมยาวมาโผล่ที่วัดนอก หรือวัดสามัคคีบำเพ็ญบุญในปัจจุบัน วัดนี้อยู่ในเขตบ้านหนองหาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

    อยู่วัดนอกสมัยแรกๆไม่พูดไม่จา ใครคุยด้วยไม่คุย ผมเผ้ายาวรุงรังเลยเป็นที่กำเนิดชื่อ พ่อผมยาวอยู่ที่นี่เอง

    เพราะ ไม่พูดคนก็นึกว่าบ้า เด็กๆพากันล้อเล่นเห็นสนุก บางทีก็ขว้างปาด้วยก้อนหินมั่ง ท่อนไม้มั่ง ได้รับความลำบากมาก กระทั่งมีคนๆหนึ่งชื่อ ธรรมสุข ทนสมเพชสงสารไม่ไหว จึงเอาตัวพ่อผมยาวออกจากที่นั่น มาอยู่ที่ริมหนองเจ้าฟ้าหวังจะให้พ้นทุกข์จากคนกลั่นแกล้ง

    แต่ไม่พ้น

    คนกลับตามากลั่นแกล้งถนัดขึ้น เพราะพ่อผมยาวออกมาอยู่ไกลตาผู้คน ยิ่งกลั่นแกล้งได้ถนัดกว่าเก่า

    นึกว่าจะดี กลับแย่กว่าเดิม

    กลายเป็นคนบ้าที่ใครอยากจะแกล้งก็เอา เพราะว่าพ่อผมยาวไม่เคยสู้

    ต่อ มามีคนจากบ้านไชยวานผ่านมาทำธุระแถวนี้ ได้ยินเรื่องพ่อผมยาวก็สนใจมาดู พอเห็นหน้าเกิดจำได้ว่าเป็นนายติ่ง คนบ้านเพียปู่ที่หลบหนีเกณฑ์ทหารคราวนั้น

    คนบ้านไชยวานเข้าไปสนทนาซักถามในฐานที่เคยรู้จักกัน พ่อผมยาวก็ไม่พูดด้วย ครั้นโดนซักถามหนักๆเข้าก็หันหลังให้เลย

    ทีนี้คนหวังดีจะพากลับบ้าน ก็เลยกลายเป็นหวังร้าย คว้าก้อนหินไล่ขว้างผสมโรงกับเด็กๆที่จ้องจะแกล้งไปด้วยกัน

    ได้รังมดแดงมา ก็เอามาเคาะใส่หัว ให้มดแดงรุมกัด

     
  16. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    พ่อผมยาวก็ไม่สู้เหมือนเดิม

    เรื่อง คนรังแกพ่อผมยาวนี้ร้อนไปถึงหลวงพ่อพิบูลย์ ท่านได้บัญชาให้นายจันดีไปเอาตัวพ่อผมยาวมาอยู่วัดพระแท่น และยกกุฏิให้อยู่ต่างหากหลังหนึ่ง

    พ่อผมยาวจึงพ้นเคราะห์

    ต่อ มาหลวงพ่อพิบูลย์ถูกคณะสงฆ์ และทางราชการจับตัวไป ลูกศิษย์ทุกคนก็แตกฉานส่านกระเซ็นไปคนละทิศละทาง แต่ว่ามีพ่อผมยาวผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่หนีไปไหน ยังคงพำนักอยู่วัดพระแท่นตามลำพัง

    ในการถูกจับกุมครั้งแรกนี้ ญาคูสายบัวได้ถูกจับกุมด้วย โดยถูกทำโทษคุมตัวอยู่วัดกู่บ้านจีต ส่วนหลวงพ่อพิบูลย์อยู่เกาะสีชัง 3 ปี

    ครั้น เหตุการณ์ร้ายคลี่คลายลง หลวงพ่อพิบูลย์กลับมาอยู่วัดพระแท่น ลูกศิษย์ลูกหาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งญาคูสายบัวซึ่งพ้นโทษแล้วก็กลับมาด้วย แต่ไม่ได้เป็นพระภิกษุเหมือนเดิม กลายเป็นฆราวาสที่ยังไม่ทิ้งสายรัดปะคดเอว คือใช้รัดปะคดแทนเข็มขัดนั่นเอง

    ใน ที่สุดการจับกุมตัวหลวงพ่อพิบูลย์ครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น ลูกศิษย์ลูกหาแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางอีกครั้งหนึ่ง คงมีแต่พ่อผมยาวผู้เดียวที่อยู่วัดพระแท่นเหมือนเก่า

    การจับกุมตัวครั้งที่ 2 ยาวนาน
    กว่าครั้งแรกคือ 15 ปี ระหว่างนี้พ่อผมยาวจะเริ่มพูดเริ่มจาบ้างแล้วครับ

    ถึงบทพ่อผมยาวพูด คนที่ได้ยินก็แตกหนีหมด เพราะเหตุว่าทุกคำพูดที่เริ่มออกจากปากพ่อผมยาว ล้วนเป็นคำด่าทั้งสิ้น

    “ห่ากินผี ผีกินห่า”

    นี่เป็นคำพูดประจำปากพ่อผมยาว

    ใครเข้ามาใกล้ เป็นอันว่าได้รับแจกคำด่าแบบไม่จำกัดจำนวน

    วัด พระแท่นตอนนั้นเหมือนบ้านแตกสาแหรกขาด แต่ก็ยังมีพ่อผมยาวอยู่โยงเฝ้าวัด ในที่สุดก็แทบจะกลายเป็นวัดร้าง เพราะว่ามีแต่เสียงด่าของพ่อผมยาว คนก็เผ่นหนีกันหมด

    ร้อนถึงสามเณรอ่อนสี
    ซึ่งหนีภัยไปอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งในเขตบ้านคำเก่า ต.ไชยวาน ได้ย้อนกลับมาเอาตัวพ่อผมยาวไปอยู่ด้วย ปรากฏว่าเดี๋ยวเดียวก็ทนเสียงด่าของพ่อผมยาวไม่ไหว จึงพามาอยู่ศาลาที่พักคนเดินทางที่บ้านคำหล่ม ซึ่งเป็นศาลาโดดเดี่ยวระหว่างบ้านท่ากบิน อ.สว่างแดนดิน กับบ้านปะยาว อ.กุมภวาปี ปัจจุบันคืออำเภอวังสามหมอ ศาลานี้เป็นศาลาที่อาจารย์คุ้มสร้างไว้เป็นที่พักคนเดินทาง

    ต้องเข้าใจนะครับว่าสมัยนั้นเป็นป่าดงดิบ เส้นทางที่มีนั้นไม่ใช่ซุปเปอร์ไฮเวย์อย่างทุกวันนี้

    อยู่ศาลาบ้านคำหล่มอีกเดี๋ยวเดียว สามเณรอ่อนสีก็เผ่นออกมา ปล่อยพ่อผมยาวอยู่คนเดียวที่ศาลานั้นเป็นเวลา 3 ปี

    ต่อ มาสามเณรอ่อนสีก็สึกออกมาเป็นฆราวาส ภายหลังได้เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านคำ ก็เลยไปรับพ่อผมยาวมาอยู่วัดเก่า(วัดร้างเดิม)บ.คำเก่า เป็นครั้งที่ 2 อยู่ได้เพียง 1 ปีก็ส่งไปอยู่บ้านดอนหัน ตำบลบงเหนือ อำเภอสว่างแดนดินอยู่ได้แค่ปีเดียว ชาวบ้านที่นั่นก็เฉดหัวพ่อผมยาวกลับมาอยู่วัดเก่าอีกเป็นคำรบ 3 คราวนี้ก็เลยได้อยู่ประจำไม่ไปไหน ชะรอยชาวบ้านคำเก่า จะเริ่มชินกับพฤติกรรมพ่อผมยาว และคงเห็นว่าคนบ้าคนนี้ไม่มีอันตรายอะไรแค่ด่าเก่งไฟแล่บเท่านั้น

    พ่อผมยาวอยู่ที่นี่นานเน จนกระทั่งคนแถวนั้นเริ่มรู้จักเล่นหวยเล่นเบอร์

    พ่อผมยาวจึงเริ่มแผลงฤทธิ์

    ให้เลขเด็ดชาวบ้านจนเจ้ามือระเนระนาดกันไป

    กิตติศัพท์เลื่องลือจนบังเกิดลาภสักการะ มีผู้คนนำข้าวปลาอาหาร ของใช้ไม้สอยมาถวายแทบทุกวันมิได้ขาด

    พลิกสถานภาพคนบ้าผู้อดอยากปากแห้ง มาเป็นคนบ้าที่อยู่ดีกินดี แถมมีสมบัติมั่งคั่งอย่างที่ใครก็ไม่อยากจะเชื่อ

    ต่อจากนั้นก็เริ่มมีอภินิหารแปลกๆปรากฏขึ้น จนในที่สุดคนเริ่มไม่เห็นว่าพ่อผมยาวเป็นคนบ้าอีกต่อไป

    ผู้เล่าเรื่องอภินิหารพ่อผมยาวคือ นายอ่อนสี ผันผ่อน อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านคำ หรืออดีตสามเณรอ่อนสีนั่นเอง

    คราว หนึ่งพ่อผมยาวสมัยยังพำนักอยู่วัดเก่าบ้านคำเก่า เกิดฝนตกหนัก น้ำหลากแรงจนแทบล้นห้วยสงคราม พ่อผมยาวชวนนายอ่อนสีไปใส่โต่งในลำห้วยห่างที่พักราว 3 เส้น

    “โต่ง”
    เป็นเครื่องมือดักปลาชนิดหนึ่งของชาวอีสาน บางทีก็เรียกว่า “ต่ง” ใช้ปอหรือป่านสานเป็นตาข่ายเหมือนแห ตากว้าง 5 นิ้วลงมาเรียกว่า”โต่ง”แต่ถ้าตากว้าง 5 นิ้วขึ้นไปเรียกว่า “นาม”

    ถ้าใครรู้จัก “มอง”
    ซึ่งก็คือเครื่องมือหาปลาชนิดใกล้เคียงกับโต่งก็จะเข้าใจ แต่มองนั้นไม่ปล่อยลงน้ำลึก ส่วนโต่งปล่อยลงจนถึงพื้นดินก้นน้ำ

    วิธีปล่อยก็ใช้เรือลำเดียวก็พอ คน 2 คนนั่งหัวเรือและท้ายเรือหย่อนโต่งลงน้ำแล้วเอาเรือทวนกระแสน้ำขึ้นไป

    เรียกอย่างคุ้นปากคนอีสานก็จะว่า “ล่องโต่ง ล่องนาม”

    “ มอง” กับ “โต่ง” คล้ายกัน, มอง ดักปลาเล็ก แต่โต่งดักปลาใหญ่

    หลัง จากปล่อยโต่งแล้ว พอถึงตอนจะกู้โต่งเอาปลา ปรากฏว่าก้นโต่งติดอะไรไม่ทราบ ดึงอย่างไรไม่ขึ้น พ่อผมยาวจึงกระโดลงไปในน้ำ มุดลงไปปลดโต่ง ผมที่ยาวของท่านเกิดไปพันกับโต่ง ทั้งยังสวะขุยไผ่ หนักหนาสาหัสขนาดดิ้นไม่หลุดอยู่ใต้น้ำ

    นายอ่อนสีจะลงไปช่วยก็ไม่ได้ คะเนความสามารถของตนแล้วว่ามีไม่พอ เพราะว่าน้ำเชี่ยวมาก จึงเอาเรือเข้าฝั่งวิ่งไปตามชาวบ้านมาช่วย ได้นายมาก โภคสมบูรณ์ซึ่งเป็นคนเฝ้าวัดมาเพียงคนเดียว ตกลงก็ทำอะไรไม่ได้ นายอ่อนสีจึงตัดใจลงน้ำมุดไปช่วยพ่อผมยาว โดยให้นายมากคอยสังเกตการณ์อยู่บนฝั่ง

    นาย อ่อนสีเล่าว่า พอดำน้ำลงไปคลำเจอขาพ่อผมยาว ก็คืบเข้าไปจนพบว่าผมของท่านติดอยู่กับโต่งและสวะขุยไผ่ แต่ไม่สามารถจะปลดได้ จึงกลับขึ้นบนผิวน้ำ ขึ้นฝั่งหามีดได้เล่มหนึ่งแล้วกลับลงไปใหม่ ค่อยตัดสวะขุยไผ่ได้ และปลดเอาตัวพ่อผมยาวออกมา แต่ความที่น้ำแรงกราก จึงซัดเอาทั้งคู่ไหลไปตามลำห้วยอีก 2 – 3 เส้น นายอ่อนสีขึ้นฝั่งตะวันออก พ่อผมยาวขึ้นฝั่งตะวันตก แล้วก็เป็นลมล้มพับอยู่ริมฝั่งนั้น จนนายอ่อนสีและนายมากไปช่วยพยาบาลจึงฟื้นขึ้นมาในสภาพอิดโรยมาก ถามอะไรก็ไม่ตอบ เอาแต่สั่นหัว

    เรื่องแปลกก็คือพ่อผมยาวจมอยู่ในน้ำราวๆ 1 ชั่วโมงน่าจะตายไปแล้วกลับไม่ตาย

    ที่ ปล่อยให้พ่อผมยาวจมน้ำอยู่เป็นชั่วโมงนั้นก็คิดว่าพ่อผมยาวตายไปแล้ว ตั้งแต่ลงน้ำไปปลดโต่งทีแรก และที่ลงไปช่วยก็ไม่ได้หมายว่าจะช่วยให้รอดชีวิต แต่คิดว่าลงไปช่วยกู้เอาศพพ่อผมยาวขึ้นมาเท่านั้น แต่ท่านกลับรอfมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

    อีกครั้งหนึ่งพ่อผมยาวชวนนาย อ่อนสีไปดักจับเหยี่ยว ได้ทั้งเหยี่ยวแม่ลูกอย่างละตัว ลูกเหยี่ยวได้เลี้ยงไว้จนโต พ่อผมยาวได้เขียนคาถาพันขาเหยี่ยวไว้ แล้วปล่อยให้หากินโดยอิสระ

    เหยี่ยวตัวนั้นคนดักยิงด้วยปืน หรือหน้าไม้ไม่ถูกจนเป็นที่เลื่องลือ

    จน ในที่สุดนายวิชัย ธานันโทดักจับเหยี่ยวได้ทั้งเป็น จึงเห็นว่าที่ขาเหยี่ยวมีแผ่นคาถาพันไว้ นายวิชัยจึงเก็บรักษาแผ่นคาถานั้นไว้กับตัว ได้นำไปทดลองยิงจนเห็นผลหลายครั้ง ภายหลังฮึกเหิมนำเอาแผ่นคาถาไปใช้ในทางมิจฉาชีพ เที่ยวปล้นวัวควายชาวบ้านจนที่สุดถูกตำรวจยิงตาย

    ช่วงปลายชีวิตพ่อผม ยาว กลับมาพำนักอยู่ที่บ้านแดง จนตลอดอายุขัยไม่ยอมย้ายไปไหนอีก แม้คนบ้านคำจะรวมตัวกันมารับพ่อผมยาวกลับ ก็ยอมแค่ขึ้นรถไปด้วยจนถึงบ้านคำแต่ไม่ยอมลงจากรถ ต้องนำท่านกลับไปส่งบ้านแดงเหมือนเดิม

    ตลอดเวลาที่อยู่บ้านแดงมีผู้ เลื่อมใสนับถือเดินทางมาทั้งจากบ้านใกล้บ้านไกล มาหาท่านมิได้ขาด ท่านมักจะทำด้ายผูกแขนให้ทุกคน แล้วก็เขียนตะกรุดให้คนละดอก

    คนบ้าน แดงเล่าว่า ถ้าเห็นพ่อผมยาวเอะอะด่าทอสารพัดทั้งวันทั้งคืน ประดุจว่าโกรธใครถึงขั้นจะฆ่าใครสักคนให้ระวังตัวให้ดี เพราะว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีในหมู่บ้านเสมอ

    ร่ำลือกันว่า ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไรในหมู่บ้านแดง ท่านรู้หมด

    พ่อ ผมยาวมีชีวิตยืนยาวมาจนปี 2522 ได้ป่วยเป็นโรคเท้าบวมทั้ง 2 ข้าง(สงสัยว่าจะเป็นโรคเท้าช้างหรือโรคไตไม่ทราบ)ไม่ยอมไปหาหมอ ไม่ยอมรับยา โดยบอกว่าถึงเวลาที่จะต้องคายแล้ว ในที่สุดพ่อผมยาวก็ถึงแก่กรรมหลังจากป่วยได้ 1 เดือนมีอายุ 82 ปี

    ลูก ศิษย์ลูกหาที่นับถือท่าน เก็บศพเอาไว้จนปี 2524 จึงฌาปนกิจศพและพระครูมัญจาภิรักษ์ ได้เก็บกระดูกพ่อผมยาวไว้จนปี 2531 จึงมีนายหล่อ มัสยานนท์พร้อมด้วยเพื่อนฝูงเดินทางมาหา โดยเล่าว่าฝันเห็นพ่อผมยาวจึงเดินทางมาตามความฝัน และพบว่าที่ตนฝันเห็นพ่อผมยาวนั้น กลับเป็นฝันที่มีตัวตนจริง ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักพ่อผมยาวมาก่อน

    ครั้นสอบถามเกี่ยวกับพ่อผมยาว ว่าท่านเป็นอย่างไรก็เกิดความเลื่อมใส และได้รับเป็นเจ้าภาพสร้างวิหารเพื่อเป็นที่เก็บกระดูกพ่อผมยาว และสร้างรูปเหมือนพ่อผมยาวไว้ด้วย

    กระดูกพ่อผมยาวก็อยู่ในรูปเหมือนเท่าตัวจริงนั่นแหละครับ

    ในโอกาสเดียวกันนายหล่อได้สร้างเหรียญรูปพระพุทธคู่บารมีไว้อีกรุ่นหนึ่งด้วย เสียดายที่ผมไม่ทราบว่าเป็นเหรียญรูปลักษณ์อย่างใด

    เกี่ยวกับอภินิหารของพ่อผมยาวนั้น พระครูมัญจาภิรักษ์ได้สรุปเอาไว้อย่างน่าฟังดังต่อไปนี้
     
  17. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    อนุโมทนาครับคุณ ainteerati มีต่ออีกไหมครับ :cool:
     
  18. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    รออ่านตอนต่อไปครับ :cool:
     
  19. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    สถูปหลวงพ่อพิบูลย์ยังอยู่ในวัดโพธิสมภรณ์อยู่เลยครับ อยู่ใกล้ๆกับกุฎิสมัยที่ตาผมบวชเป็นพระที่วัดโพธิ์
     
  20. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    คุณจิ-โปครับ การสวดภาณยักษ์นี่คืออะไรหรือครับ ทำไมคนที่อยู่ในพิธีต้องมีอาการแปลกๆด้วยละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...