เพื่อการกุศล :::(เปิดจอง)ล็อกเกตพระแก้วมรกต"ภูริทัตตเถรานุสรณ์-สมเด็จองค์ปฐมอมฤตศุภมงคลญาณสังวร":::

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 พฤศจิกายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    ข้อมูลการสร้างล็อคเก็ตรุ่นนี้ คงได้ลงไว้ในหนังสือประวัติการสร้างล็อกเก็ตแล้วนะครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  2. wee3250

    wee3250 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,319
    ค่าพลัง:
    +5,564
    รบกวนขอประชาสัมพันธ์ค่ะ !!! ตอนนี้ทาง TRUE , DTAC และ AIS ร่วมกับครอบครัวข่าวนะคะ เปิดให้ส่ง SMS ช่วยเหลือผู้ประสบภัย (เหมือนตอนเฮติ)
    โดยพิมพ์ "น้ำใจไทย" หรือ "NAMJAITHAI" ไปที่เบอร์ 4567899 ย้ำ!!! 4567899
    ข้อความละ 10 บาทนะคะ ช่วยกันๆๆๆๆๆๆๆๆ


    เมื่อส่งเสร็จแล้ว จะได้รับข้อความว่า ขอบคุณน้ำใจจากท่านที่ร่วมบริจาคช่วยผู้ประสบภัยค่ะ

    ตอนเฮติ น้อดเห็นน้ำใจคนไทยหลั่งไหล ตอนนี้พี่น้อง ร่วมประเทศเรากันเอง อย่าให้น้อยหน้าคราวเฮตินะคะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 17 ผงหัวเชื้อของสมเด็จปัจเจกธรรม พุทธคุณสูงเยี่ยม

    ไหนๆ ลงควบสองกระทู้กันเลยเนอะครับ

    [​IMG]


    อิทธิพุทธาคม
    ของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก
    หลวงปู่ชุ่ม หรือ ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก เป็นพระผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ท่านปฏิบัติตามแนวทางกรรมฐาน 40 ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างอุกฤษฏ์ ชนิดยอมเอาชีวิตเข้าแลก จึงปรากฏว่าท่านเป็นที่เคารพบูชาของชาวล้านนา และบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมื่อ 30 ปีก่อน นามของท่านยิ่งขจรขจายฟุ้งไปอีก กับเรื่องราวที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ
    หลวงปู่ชุ่มเป็นพระทีรอบรู้และเคร่งครัดในพระธรรมวินัย บำเพ็ญบารมี 10 ประการ อันประเสริฐตลอดชีวิตสมณเพศ และมีความวิริยะอุตสาหะปฏิบัติเพื่อมรรคผลสูงสุดในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
    ด้วยพลังแห่งฌานสมาบัติที่แก่กล้า และพลังแห่งเมตตาจิต รวมทั้งสรรพวิชาที่ท่านได้เพียรศึกษาและสั่งสมมาตามคติครูบาอาจารย์ ทำให้กิตติศัพท์ความเก่งกล้าทางด้านวิชาพุทธาคมของหลวงปู่ชุ่ม เป็นที่เชื่อมั่นในหมู่ประชาชนยิ่งนัก โดยเฉพาะด้านคงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาด
    หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร วัดป่าดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ผู้เป็นสหธรรมมิกอาวุโสสูงกว่า เคยนิมนต์หลวงปู่ชุ่มไปเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง เพื่อหาทุนสร้างโรงเรียนและศาลาวัดป่าดอนมูล กล่าวว่า
    หลวงปู่ชุ่มท่านเป็นพระภิกษุที่มีความชำนาญด้านการผูกอักขระเลขยันต์ต่างๆ รวมทั้งมีอำนาจฌาณสมบัติที่แกกล้าและขลังมาก
    หลวงปู่ชุ่มได้รับนิมนต์ให้ไปเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกหลายงาน ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง ได้แก่ พิธีพุทธาภิเษกอัฐิท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง จ.ลำพูน หลวงปู่ชุ่มเป็นองค์ประธานในพิธี มีพระอริยะเจ้าทั่วภาคเหนือเข้าร่วมในพิธีนี้ ซึ่งนับเป็นประวัติการณ์อันมิได้ปรากฏขึ้นโดยง่าย
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาซึ่งเป็นพระอาจารย์ของครูบาเจ้าชุ่ม ท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ.2481 วัดบ้านปางเก็บรักษาสังขารของท่านไว้ระยะหนึ่ง จากนั้นได้เคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่ วัดจามเทวี จ.ลำพูน อีก 8 ปีต่อมา คือ พ.ศ. 2489 จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้น จึงได้มีพิธีพุทธาภิเษก และจัดแบ่งอัฐิของนักบุญแห่งล้านนาไปบรรจุไว้ที่ต่างๆ
    แล้วในวันที่ 27 ตุลาคม ปี พ.ศ.2517 หลวงปู่ชุ่มยังได้ไปเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกเหรียญครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งจัดสร้างขึ้นใหม่ ณ วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน อีกด้วย นับว่าหลวงปู่ชุ่มท่านได้แสดงมุทิตาจิต่อพระอาจารย์ของตนเป็นอย่างดียิ่ง​
    [​IMG]



    [​IMG]


    ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่ชุ่มยิ่งขจรไกล ความเลื่องลืเกี่ยวกับวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย บางครั้งเหล่าผู้มีจิตศรัทธาสร้างขึ้น และนำมาให้ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องทั้งประเภทเนื้อโลหะ และประเภทเนื้อผง เมื่อผู้เลื่อมใสศรัทธานำไปพกพาติดตัว เพื่อความเป็นสิริมลคลแก่ตนเองและครอบครัว ต่างประสบเหตุการณ์ มีอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งด้านเมตตามหานิยม มหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน ส่งผลให้ชาวจังหวัดลำพูน และชาวจังหวัดใกล้เคียงในยุคนั้น ต่างแวะเวียนมากราบนมัสการท่าน เพื่อขอของดีกันไม่ขาดสาย ท่านจึงมักเมตตาทำวัตถุมงคลแต่ละชนิดให้แต่ละคนตามวาสนาที่แตกต่างกัน โดยที่หลวงปู่ชุ่มไม่เคยตั้งราคาวัตถุมงคลที่ท่านแจกเลย ทั้งนี้ผู้มีจิตศรัทธาจะทำบุญกับท่านตามกำลังทรัพย์ที่พึงมี ปัจจัยทั้งหลายที่มีผู้ทำบุญถวายแด่ท่าน ล้วนถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ และการศาสนาทั้งสิ้นวัตถุมงคลของท่านในยุคเริ่มแรกจะเป็น ผ้ายันต์ ตะกรุด ล็อกเกตรูปถ่ายของท่าน และพระผงที่จัดสร้างเพื่อนำไปบรรจุตามพระเจดีย์ต่างๆ ที่ท่านไปนั่งหนักเป็นประธานสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์ไว้นั่นเอง​
    [​IMG]


    ตำนานลือลั่นของ ยันต์ตะกรุดเสื้อ รุ่นกองพลเสือดำ
    หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ได้เกิดสงครามเวียดนามคุกรุ่นขึ้น โดยในราวปี พ.ศ.2507 รัฐบาลเวียดนามใต้ ได้ส่งหนังสือขอความช่วยเหลือทางการทหาร และทางเศรษฐกิจจากประเทศฝ่ายโลกเสรี
    รัฐบาลไทยได้ลงมติรับหลักการให้ความช่วยเหลือแก่เวียดนามใต้ ต่อสู้กับเวียดนามเหนือ ซึ่งมีการปกครองระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 โดยพิจารณาจัดส่งกำลังพลไปเป็นระยะๆ ตลอดเวลาหลายปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ได้ส่งกำลังเพิ่มเติมในรูปของกองพลทหารเข้าทำการรบทั้งสิ้นจำนวน 3 ผลัด ผลัดละ 1 ปี
    เหล่าทหารอาสาสมัครในกองพลเสือดำรุ่นที่ 1 และ 2 จำนวนหลายสิบนาย ได้มากราบนมัสการหลวงปู่ชุ่ม เพื่อขอวัตถุมงคลไว้เป็นสิริมงคล และปกป้องคุ้มภัย ก่อนเดินทางเข้าร่วมรบในสงคราม ซึ่งหลวงปู่ได้มอบ ยันต์ตะกรุดเสื้อ ให้กับทหารทุกนาย ปรากฏว่า ทหารหน่วยพลเสือดำที่มียันต์ตะกรุดเสื้อ ต่างรอดพ้นจากภยันตรายกลับสู่ภูมิลำเนา พร้อมกันทุกนาย ต่อมายังได้รับเหรียญกล้าหาญมาประดับอกเชิดชูความเสียสละ กล้าหาญ อีกด้วย หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เหล่าทหารหาญรุ่นต่อไปจะออกเดินทางเข้าสู่สมรภูมิรบ หลวงปู่ชุ่มจะได้รับนิมนต์ให้เป็นประธานประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่บริเวณชานชาลาสถานีรพไฟเชียงใหม่ทุกครั้ง ทหารบางนายมาขอให้หลวงปู่ชุ่มอาบน้ำพระพุทธมนต์ถึงวัดวังมุยเลยก็มี
    มูลเหตุของการสร้าง ยันต์ตะกรุดเสื้อ นั้น เนื่องมาจากสามเณรองค์หนึ่งซื่อสามเณรบุก เป็นชาวบ้านศรีสุพรรณ จ.ลำพูน สามเณรผู้นี้มีความสนใจทางด้านคาถาอาคมมาก ได้ยินกิตติศัพท์ในเรื่องการลงอักขระเลขยันต์ การผูกยันต์และความเก่งกล้าทางวิทยาคมของครูบาเจ้าชุ่ม จึงได้เพียรพยายามมาขอให้ท่านทำตะกรุดไปใช้ ท่านจึงได้ผัดผ่อนเรื่อยมา สามเณรก็เพียรพยายามขอหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่ย่อท้อ จนหลวงปู่ชุ่มทนการรบเร้าอ้อนวอนจากสามเณรไม่ได้ จึงได้จัดสร้างตะกรุดเสื้อให้ไปหนึ่งชุด
    เมื่อสามเณรได้ตระกรุดเสื้อจากหลวงปู่ชุ่มไปแล้ว นายวงค์ผู้เป็นน้าชายของสามเณรนั้น ได้ขอยืมตะกรุดเสื้อต่อจากสามเณรไปอีกที ปรากฏว่าหลังจากนั้น นายวงค์ผู้นี้ไปเป็นมิจฉาชีพ ทำการจี้ ปล้นสดมภ์ ชาวบ้านทั่วภาคเหนือจนได้รับขนานนามว่า เสือวงค์ ข่าวการจี้และปล้นสดมภ์ของเสือวงค์ในยุคนั้น ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามที่ต้องวางแผนหาทางสกัดจับเสือวงค์ให้ได้โดยเร็ว แต่ในการเข้าปะทะจับกุม เสือวงค์ผู้นี้ก็สามารถฝ่าวงล้อมและห่ากระสุนหลบหนีไปได้ทุกครั้ง โดยมิได้รับอันตรายเลย
    การปล้นสดมภ์ของเสือวงค์ได้แผ่ขยายพื้นที่มากขึ้น สร้างความหวากกลัวให้แก่ชาวบ้าน แล้วยังสร้างความลำบากใจให้เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้วย สามเณรบุกจึงได้สารภาพกับหลวงปู่ชุ่ม ถึงเรื่องที่เสือวงค์ขอยืมเอาตะกรุดเสื้อจากตนแล้วหนีหายกลายไปเป็นเสือร้าย ยังความสลดใจให้กับหลวงปู่ชุ่มอย่างยิ่ง
    อย่างไรก็ตาม เรื่องของยันต์ตะกรุดเสื้อ เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ชีวิตเป็นอนุสสติให้ระลึกว่า ของดีขอวงศักดิ์สิทธิ์นั้น หากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็ย่อมถูกโมหะเข้าครอบงำก่อให้เกิดโทษ ในทางกลับกันของสิ่งเดียวกันนั้นทากถูกใช้อย่างพินิจพิจารณาด้วยจิตอันเป็นกุศล ย่อมยังคุณประโยชน์อย่างมหาศาล​
    [​IMG]
    ตะกรุดยันต์หนังลูกควายตายพราย
    เป็นตะกรุดพิเศษดอดเดียวที่มีชื่อเสียงทั่วภาคเหน่อในสมัยเมื่อ 35 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสำหรับผู้ต้องการแสวงหาวัตถุมงคลไว้ป้องกันตัว หลวงปู่ชุ่มได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาจาก ท่านมหาเมธังกร จังหวัดแพร่ ซึ่งได้ถ่ายทอดวิชาทำตะกรุดหนังให้จนหมดสิ้น โดยท่านใช้เวลาศึกษาอยู่สองพรรษาเมื่อผู้คนได้ทราบว่าหลวงปู่ชุ่มท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำตะกรุดยันต์หนังลูกควายตายพรายนี้มา ต่างก็พากันมาขอจากท่าน ต่อมาจึงได้มีประสบการณ์เลื่องลือ ยืนยันถึงพุทธคุณในด้านคงกระพัน มหาอุด และยังมีด้านเมตตามหานิยมอีกด้วย
    หลวงปู่ชุ่มท่านได้เมตตาสร้างตะกรุดออกมาสงเคราะห์แก่ญาติโยม ลูกศิษย์ และผู้ศรัทธาทั้วไป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2485 โดยในช่วงหลัง ราวๆ ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา พ่อหนานปัน จินา ลูกศิษย์ที่หลวงปู่ชุ่มได้ทำการครอบครูให้ เป็นศิษย์สืบทอดศาสตร์การสร้างตะกรุดหนังลูกควายตายพรายนี้แต่ผู้เดียว โดยจะเป็นผู้ทำการลงเลยยันต์ม้วนหนังความเป็นรูปตะกรุด หลังจากนั้นจึงปั้น (พอก) ครั่งอีกที
    เคร็ดวิชานี้ ตามตำราระบุว่าต้องใช้หนังลูกควายเผือกที่ตายอยู่ในท้องแม่ควายเผือกซึ่งตายทั้งกลม ที่สำคัญเขาลูกควายที่อยู่ในท้องต้องไม่ทะลุท้องแม่ควาย และวิธีพิสูจน์ว่าเป็นหนังควายเผือกแท้หรือไม่ ขณะทำการจารอักขระบนหนังควายนั้น หนังควายจะหมุน
    หนังลูกควายตามลักษณะดังกล่าว สามารถนำมาทำตะกรุดได้เพียงประมาณ 200-300 ศอก​
    [​IMG]
    ยันต์หนีบ
    ในภาษาถิ่นล้านนา บางครั้งคำว่า ยันต์ ก็หมายถึง ตะกรุด ด้วยเช่น เสื้อยันต์ หมายถึง ตะกรุดที่ถักร้อยเป็นลักษณะเสื้อยันต์ ฉะนั้น เวลาพูดถึง ยันต์ และ ตะกรุด ของภาคเหนือ จึงต้องมีคำขยายลักษณะให้ชัดเจนจึงจะสามารถเข้าใจตรงกันได้ เช่น ยันต์หนีบ เป็นต้น
    ยันต์หนีบนี้มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะลงอักขระ 2 ด้านประกบกัน กล่าวกันว่า ผู้ที่ถูก ทำ ด้วยยันต์หนีบ คือถูกเขียนชื่อสอดไว้ในยันต์หนีบนี้ จะตกอยู่ในอาการลุ่มหลง สิเน่หา รักใคร่ผู้เป็นเจ้าของยันต์หนีบยิ่งนัก ถือว่าเป็นศาสตร์แห่งวิชาทางไสยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และนิยมกันมากในหมู่ชายหนุ่มแห่งดินแดนล้านนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    ตะกรุดปรอท
    ตะกรุดปรอท เป็นวัตถุมงคลที่หลวงปู่ชุ่มนำออกมาแจกญาติโยมซึ่งแวะเวียนไปกราบนมัสการท่านเสมอๆ ท่านทำตะกรุดไว้หลายรุ่น หลายขนาด ทั้งแบบเป็นตะกั่ว ลงอักขระ ม้วนเป็นตะกรุดแล้วร้อยด้วยเชือก ทั้งแบบมีหนังความหุ้มตะกรุดอีกที และแบบปรอทมีรูตรงกลาง ใช้รัดท่อนแขน ห้อยคอ และคาดเอว
    ปรอทเป็นโลหะที่พิเศษพิสดาร คือเป็นของเหลวไหลไปมาไม่อยู่นิ่ง พระที่ท่านซัดปรอทให้แข็งตัวได้ ย่อมต้องอาศัยกำลังจิตที่แกร่งกล้านัก​



    ผ้ายันต์
    หลวงปู่ชุ่มเมตตาสร้างผ้ายันต์ที่มีแบบ ขนาด และสีต่างกันไป ตามพุทธคุณที่แตกต่างกัน ท่านได้ผูกอักขระลงพระเวทย์ครบถ้วนตามตำราโบราณ ซึ่งท่านทรงภูมิยิ่ง ผ้ายันต์มีพุทธคุณในด้านคงกระพันชาตรี มหาอุด อีกทั้งเมตตามหานิยมสูงมาก ป้องกันด้านคุณไสยฯ ได้เป็นอย่างดี
    พระผงที่หลวงปู่ชุ่มจัดสร้างเพื่อบรรจุเจดีย์
    มีพ่ออุ๊ยตุ่น หน่อใจ เป็นผู้ช่วยหลวงปู่ชุ่มดำเนินการสร้างพระผงพิมพ์ต่างๆ โดยหลังจากฝากตัวเป็นศิษย์ ก็ได้เป็นผู้ทำหน้าที่ปลงเกศาให้หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ด้วย
    ตำนานพระรอดเณรจิ๋ว
    พันตำรวจเอกพิเศษ อรรณพ กอวัฒนา (ปัจจุบันเกษียณราชการแล้ว) ผู้ที่หลวงปู่ชุ่มให้ความเมตตามากท่านหนึ่ง ได้เคยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพระรอดนอกตำนานไว้ว่า
    พระรอดเณรจิ๋วนี้ เมื่อท่านครูบาบุญทึมสร้างเสร็จแล้ว ก็ได้มอบให้ท่านครูบาชุ่ม โพธิโก ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับท่านครูบาศรีวิชัยปลุกเสกให้เสร็จสิ้น แล้วก็แจก จ่ายกันเรื่อยไป ปริมาณการสร้างก็ไม่ได้นับไว้แต่มีจำนวนประมาณ 1 บาตรพระที่เหลือจากแจกจ่ายตั้งแต่สร้างเสร็จ จนก่อน พ.ศ. 2518 เหลือพระอยู่ประมาณ 1/3 บาตร และในปีนี้นี่เอง (2518) ก็แจกจ่ายกันไปจนหมดสิ้น ผมเองเคยคัดสวยๆ เอาไว้จำนวนหนึ่ง
    ชื่อพระเครื่องเหล่านี้ (พระรอดน้ำต้น พระรอดแขนติ่ง พระรอดครูบากองแก้ว พระรอดเณรจิ๋ว) ท่านผู้สร้างไม่ได้ตั้งชื่อเอาไว้แต่ประการใด เป็นพวกเรานี่เองที่ไปตั้งชื่อให้ท่านเพื่อความสะดวกในการเล่นหานั่นเอง
    ข้อมูลนี้ได้มาจากการบอกเล่าของหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก กับหลวงปู่ครูบาบุญทึม พรหมเสโน เองโดยตรงเมื่อประมาณปี พ.ศ.2518 แต่ก็เป็นความไม่ใส่ใจของผมเองแหละครับที่ไม่ได้สอบถามว่าพระรอดเณรจิ๋วนี้มีกี่พิมพ์ที่แตกต่างไปจากพิมพ์ที่ท่านมอบให้ผมมา จำได้ว่าพระเครื่องส่วนนี้หลวงปู่ครูบาชุ่มฯ นำออกมาจากที่ท่านก็เก็บและผมเห็นมีเหลือบรรจุอยู่ในบาตรอีกประมาณ 1/3 ของบาตร แล้วท่านก็ยังได้เทน้ำลงไปล้างพระและเขย่าๆ บาตรเพื่อให้พระสะอาดก่อนที่จะนำมาแจกจ่ายญาติโยม ผมเองเมื่อเห็นดังนั้นยังค้านเสียงหลงเลยครับว่าไม่ต้องล้างหรอกครับหลวงปู่ฯ (ผมกลัวพระจะเสียหาย) ท่านก็ว่าไม่เป็นไรพระแข็งแรงดีมีผงเก่าอยู่มาก
    มูลเหตุการสร้างเหรียญรุ่นแรก ปี พ.ศ. 2517
    วัตถุมงคลที่หลวงปู่ชุ่มจัดสร้างขึ้น ล้วนมาจากความเมตตาของท่านในความปรารถนาที่จะสงเคราะห์ประชาชน บูชาพระรัตนตรัย และสืบทอดพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น สำหรับมูลเหตุของการจัดสร้างเหรียญรุ่นแรกของท่านมีดังนี้
    สืบเนื่องจาก ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มได้ขจรขจายออกไป ทำให้ประชาชนจากทุกสารทิศได้สดับฟัง หาโอกาสเดินทางมากราบนมัสการท่าน แล้วมักแจ้งความประสงค์อยากได้เหรียญรูปเหมือนของท่านกลับไปสักการะบูชา แต่หลวงปู่ชุ่มท่านไม่เคยจัดสร้างเลย และไม่อนุญาตให้ใครจัดสร้างด้วย ท่านยังกล่าวอีกว่าต้องการให้ผู้มีความเคารพเลื่อมใส มีมานะพยายามไปหาท่านด้วยตัวเองมากกว่า ซึ่งท่านก็จะมีวัตถุมงคลชนิดอื่นๆ เมตตาแจกญาติโยมให้ตรงตามจริตวาสนาของแต่ละคนด้วย แต่ทั้งนี้ท่านก็ยังทิ้งท้ายให้ความหวังไว้ว่า เมื่อถึงเวลาอันสมควรนั่นแหละจึงจะทำ เวลาล่วงเลยมานับสิบปี จนถึงปี พ.ศ. 2517 หลวงปู่ชุ่มมีวัย 76 ปี ในที่สุดท่านก็อนุญาตให้ศิษย์ของท่านที่ชื่อ ครูบาท่องใบ จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนของท่านขึ้นเป็นวาระแรก
    ครูบาทองใบ สายพรหมา ตอนนั้นเป็นรองผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษา เชียงใหม่ หรือในปัจจุบัน ก็คือหลวงพ่อทองใบ โชติปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดพรหมวนาราม อ.สารภี จ.เชียงใหม่ (เขตติดต่อกับลำพูน) ท่านเมตตาย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 30 กว่าปีก่อนว่า
    ในวันนั้นเป็นงานบำเพ็ญกุศลศพพ่อตาของครูทองใบ โดยทางบ้านของอดีตภรรยาได้นิมนต์หลวงปู่ชุ่มมาเป็นพระประธานสงฆ์ ครูทองใบจึงมีโอกาสพูดคุยและกราบเรียนการสร้างเหรียญกับท่าน
    หลวงปู่ชุ่มท่านรักและเมตตาครูทองใบเป็นพิเศษ เพราะครูเป็นคนว่านอนสอนง่าย แล้วยังเป็นผู้มีใจใฝ่ในกุศล โดยมักจะนำรถไปช่วยงานวัด และ รับ-ส่งหลวงปู่ชุ่มไปประกอบศาสนกิจอยู่เสมอ
    ครูทองใบจึงพูดขึ้นมาว่า เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็รู้จักหลวงพ่อหมด โดยเฉพาะทางภาคเหนือ เพราะหลวงพ่อเป็นพระเกจิ ผมว่ามันถึงเวลาแล้ว หลวงพ่อน่าจะทำเหรียญออกมาสักรุ่น เพื่อจะได้ให้คนนำไปบูชาและนำปัจจัยมาสร้างวัด
    หลวงปู่ชุ่มท่านนิ่งพิจารณาอยู่นานพอสมควร ในที่สุดจึงกล่าวว่า หลวงพ่ออนุญาต ถ้าเกิดครูคิดว่าดี และครูสามารถทำได้
    แม้ครูทองใบจะเปรยเรื่องการสร้างเหรียญเอง แต่ก็ทราบดีว่า มีลูกศิษย์รุ่นก่อนๆ และคนทั่วไปหลายคนมาขออนุญาตท่านทำเหรียญหลายครั้งหลายหนนับสิบปีแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยอนุญาต
    พอท่านอนุญาตในคราวนี้ จึงทำให้ครูทองใบทั้งแปลกใจ และภูมิใจ
    นับแต่บัดนั้น ครูทองใบก็ตั้งใจที่จะทำเหรียญของครูบาอาจารย์อย่างดีที่สุด วันหนึ่งได้พบกับครูยุทธ เดชคำรณ ซึ่งเป็นนักสะสมพระ และเป็นนักเขียนสมัครเล่นในหนังสือ ของดีเมืองเหนือ ครูยุทธแสดงความแปลกใจที่ได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่ชุ่มมานาน แต่ไม่เคยเห็นวัตถุมงคลของท่านวางจำหน่ายตามแผงพระเลย โดยเฉพาะเหรียญ เมื่อคุยไปคุยมา ครูยุทธก็ถามครูทองใบว่าพอจะรู้จักหลวงปู่ชุ่ม เมืองลำพูนบ้างไหม
    ครูทองใบตอบยิ้มๆ ว่า
    ผมรู้จักดี เพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ของผม ท่านรักผมเหมือนลูก ถ้าพี่นะไป ผมยินดีที่จะอาสาพาไปกราบ
    นับจากนั้น ครูทองใบจึงได้ครูยุทธเป็นแนวร่วมอีกคน แล้วยังมีคุณอิศรา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งเปิดกิจการโรงพิมพ์อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ มาช่วยด้วย
    คุณอิศราได้ให้ช่างทำบล็อก พระแบบต่างๆ ขึ้นมา เพื่อนำไปให้หลวงปู่ชุ่มพิจารณาเลือกแบบ
    นับว่าเป็นเหรียญรุ่นแรกที่ต้องรอคอยมาอย่างยาวนาน หลวงปู่ครูบาชุ่มท่านได้ผูกยันต์ ลงอักขระตามพระสูตรให้อย่างครบถ้วน ดังที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเหรียญรุ่นนี้ และท่านก็ได้แผ่อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวตลอด 7 วัน 7 คืน ในพระวิหาร วัดชัยมงคล (วังมุย) เริ่มทำพิธีเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517
    การตรวจรับนัยของที่หลวงปู่อนุญาตให้จัดสร้างครั้งนี้ ได้กระทำกันต่อหน้าหลวงปู่และคณะกรรมการที่หลวงปู่ได้อนุมัติให้แต่งตั้งขึ้น คืออาจารย์ยุทธ เดชดำรณ ศึกษานิเทศก์ เขตศึกษา 8 อาจารย์ทองใบ สายพรหมา รองผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษา เชียงใหม่ และ ม.ร.ว.เอี่ยมศักดิ์ จรูญโรจน์วันที่ 5 ธันวาคม 2517 จัดทำพิธีฉลองสมโภช เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด และพระเถระชั่นผู้ใหญ่ในจังหวัดลำพูน สวดเจริญพระพุทธมนต์ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ฯลฯ หลวงปู่ชุ่มนั่งปรกบริกรรมแผ่พลังเมตตาจิตตลอดคืนสุดท้าย เช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2517 สวดเบิดพระเนตรและมงคลสูตรต่างๆ เสร็จพิธีทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหาร พระสงฆ์อนุโมทนา เสร็จพิธี
    วัตถุมงคลโดยพระราชดำริ
    ในปัจฉิมวัยของหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก ท่านเปิดเผยเกียรติภูมิเต็มองค์ โดยร่วมเส้นทางธรรมสัญจรไปพร้อมกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และเผ่าพงศ์พระสุปฏิบันโน ผู้ล้วนเป็นสหธรรมิกที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น
    เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก พร้อมด้วยหลวงพ่อฤาษีลิวดำ หลวงปู่ครูบาวงค์ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และพระเถระอีกหลายรูป ได้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราว และพระเถระอีกหลายรูป ได้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม ที่พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร อารามหลวงชั้นเอก ตามพระราชโองการอาราธนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ จากนั้นได้นำออกไปแจกเหล้าทหารหาญทั่วประเทศ ปรากฏว่าพุทธคุณเป็นเลิศเลื่องลือยิ่ง​



    พระสมเด็จปรกโพธิ์ปัจเจกธรรม
    ด้วยความโชคดีที่ว่าไว้ข้างต้นนั่นแหละที่ได้พบ “พระปัจเจกธรรม” พระเนื้อผงอีกพิมพ์หนึ่งจากหลายๆ พิมพ์ องค์ที่จะกล่าวถึงนี้เป็นพระสมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ ด้านหลังจะมีเศษพัดหางนกยูง จึงนิยมเรียกกันว่า “สมเด็จหางนกยูง” เนื้อมวลสารและแบบพิมพ์จะคล้ายกับพระสมเด็จของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค และพระสมเด็จครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง ซึ่งคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก ได้สร้างถวายครูบาชุ่ม โพธิโก นอกจากนี้มีมวลสารบางส่วนครั้งเมื่อสร้างพระสมเด็จของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ผสมอยู่ด้วย สำหรับหางนกยูงที่นำมาโรยไว้ที่ด้านหลังของพระปัจเจกธรรมนั้น ได้มาจากพัดหางนกยูงของครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ที่ชำรุดบางส่วน ซึ่งพัดหางนกยูงนี้ ครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ได้มอบให้ไว้แก่ครูบาชุ่ม โพธิโก ในฐานะเป็นศิษย์ที่ใกล้ชิด พระปัจเจกธรรมนี้ ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ จำนวนเพียงไม่กี่ร้อยองค์เท่านั้น จากนั้นครูบาชุ่ม โพธิโก ได้อธิษฐานจิตปลุกเสก เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๑๙ ก่อนที่ครูบาชุ่ม โพธิโก จะมรณภาพในอีก ๕ เดือนถัดมา​
    [​IMG]
    [​IMG]



    ผู้อุดมด้วยวิชชาและวิมุตติ
    เมื่อหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก ละสังขารไปในปี พ.ศ. 2519 คณะศิษย์เก็บรักษาสังขารของท่านไว้ ณ วัดชัยมงคล (วังมุย) เพื่อรอกำหนดการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ครุบาวงค์ สหธรรมิกรุ่นน้องและศิษย์ร่วมพระอาจารย์เดียวกัน คือครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้จัดสร้างพระรูปเหมือนของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม ขนาดเท่าองค์จริง ทั้งท่ายืน และท่านั่งสมาธิ เนื้อสัมฤทธิ์ ชนิดงามพรั่งพร้อม ในเชิงศิลปกรรมและบริบูรณ์ด้วยสังฆคุณ โดยพระรูปเหมือนท่านั่งสมาธิปัจจุบันได้รับกาปิดทองแล้ว ประดิษฐานไว้ในพระวิหาร วัดชัยมงคล (วังมุย) มีคำจาตึกนามของท่าน พระครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก ผู้อุดมด้วยวิชชาและวิมุตติ
    และพระรูปเหมือนขนาดเท่าองค์จริง ท่ายืน ประดิษฐานไว้ ณ อนุสรณ์ กู่หลวงปู่ชุ่ม โดยมีพระคาถาบูชาองท่านจารึกไว้ด้วย
    ในครั้งนั้น ได้มีการจัดสร้างรูปเหมือน ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก ขนาดบูชา หน้าตัก 5 นิ้ว และ 1 นิ้ว เพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกในวาระเดียวกันด้วย โดยพระรูปเหมือนทั้งหมด เข้าพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่โดยพระมหาเถระหลายรูป เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 หลวงปู่ครูบาวงค์ เป็นผู้ทำพิธีเบิกพระเนตร​
    ศิษย์เอกครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย
    หลังจากที่ติดตามเสาะหาข้อมูลต่างๆ ของศิษย์สายครูบาเจ้าศรีวิชัย ในคราวก่อนเป็นเรื่องของครูบาคำอ้าย วัดศรีบุญเรือง อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา ก็ยังหาวัตถุมงคลของท่านมาให้ชมได้ยังไม่ครบถ้วน ก็ต้องพยายามหาต่อไปเรื่อยๆ แล้วในระหว่างหาวัตถุมงคลของครูบาคำอ้าย ก็ไม่อยากที่จะพลาดโอกาสในการหาวัตถุมงคลของศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยองค์อื่นๆ ด้วย และที่พลาดไม่ได้เลยต้องเป็นศิษย์เอกที่ใกล้ชิดที่สุดโดยเฉพาะ “ครูบาชุ่ม โพธิโก” วัดชัยมงคล (วัดวังมุย) ก็พบเจอพอสมควร ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๗ มีทั้งเหรียญปละพระเนื้อผง จนถึงช่วงสุดท้ายในปี พ.ศ.๒๕๑๙
    ด้วยความโชคดีก็ว่าได้ ที่ได้พบวัตถุมงคลของท่านหลายรายการอยู่ ไม่วาจะเป็นเหรียญแบบต่างๆ พระเนื้อผงหลายพิมพ์ พร้อมทั้งยันต์ตะกรุดเสื้อ ดังตำนานอันลือลั่นของกองพลเสือดำในสงครามเวียดนาม ช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๗ กองพลเสือดำนี้รู้ถึงบารมีอิทธิพุทธาคมของหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก กันเป็นอย่างดี ด้วยพลังแห่งฌานสมบัติที่แก่กล้า และพลังแห่งเมตตาจิต รวมทั้งสรรพวิชาที่ท่านได้เพียรศึกษาสั่งสมตามคติครูบาอาจารย์ ทำให้กิตติศัพท์ความเก่งกล้าทางด้านพุทธาคมของหลวงปู่ชุ่ม เป็นที่เชื่อมั่นในหมู่ประชาชนยิ่งนักในด้านคงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาด
    ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่ชุ่มยิ่งขจรไกล ความเลื่องลือถึงวัตถุมงคลของท่านก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย บางครั้งผู้มีจิตศรัทธาสร้างขึ้นและนำมาให้ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องเนื้อโลหะและเนื้อผง เมื่อผู้เลื่อมใสศรัทธานำไปพกพาติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว ต่างประสพเหตุการณ์ มีอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งในด้านเมตตามหานิยม มหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน ส่งผลให้ชาวจังหวัดลำพูนและจังหวัดใกล้เคียงในยุคนั้น ต่างก็แวะเวียนมากราบนมัสการท่าน เพื่อขอของดีกันไม่ขายสาย วัตถุมงคลของท่านในยุคเริ่มแรกจะเป็น ผ้ายันต์ ตะกรุด ล็อกเกตรูปถ่ายของท่าน และพระผงที่จัดสร้างเพื่อนำไปบรรจุตามพระเจดีย์ต่างๆ ที่ท่านไปนั่งหนักเป็นประธานในการสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์ไว้นั่นเอง​


    [​IMG] [​IMG]
    สมเด็จรุ่นนี้สร้างโดย คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก ​


    ตามที่สอบถามหมอสมสุข ไว้ว่าแต่ละองค์สอนการปฎิบัติให้แค่ไหน ท่านกล่าวว่า ​


    หลวงพ่อพรหม สอนถึงรูปฌาน 4 ก็มรณภาพ โดยครั้งแรก พ.ศ.2514 ที่ท่านรับอาหมอสมสุข

    เป็นศิษย์ ท่านบอกว่า ”สมบัติอยู่ในท้องเอ็งไปหาเอา เอ็งไปถีบลมให้ขาด” ซึ่งการถ่ายทอด

    ทั้งหลักธรรม และบอกเล่าประวัติของท่านนั้น เวลากลางวันห้ามถาม พูดคุยเรื่องนี้ตอนกลางคืน

    เวลาเที่ยงคืนท่านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดบนหัวนอน เป็นสัญญาณให้เข้าไปถามเรื่องราวต่างๆ

    ได้ทั้งประวัติท่านและหลักการปฎิบัติอานาปาฯ(หลวงพ่อพรหม เรียกพุทธคุณ)

    ครูบาชุ่ม สอนถึงอรูปฌาน3 ก็มรณภาพ เพราะอาหมอสมสุข ได้เจอท่านตั้งแต่

    ปี 2518 จนถึง 2519 เดือนกันยายน ท่านก็มรณภาพ เป็นระยะเวลา 11 เดือนเท่านั้น แต่

    การเป็นศิษย์ระหว่างครูบาชุ่มและอาหมอ นับว่าแปลกมาก กล่าวคือ ตั้งแต่หลวงพ่อพรหม

    มรณภาพ อาหมอสมสุขก็ตระเวนไปหาครูบาอาจารย์ตามที่ต่างๆซึ่งในขณะนั้น พ.ศ.2518

    มีมากมาย ทั้งอีสาน,ตะวันออก,ตะวันตก ไปหมดแต่ไม่มีองค์ไหนที่อาหมอสมสุขถามหลัก

    ปฎิบัติตามที่ หลวงพ่อพรหมสั้งสอนแล้วตอบอธิบายได้เลย เป็นเวลา 6 เดือนจึงมีลูกศิษย์

    ในคณะมาบอกว่า หลวงพ่อพรหมมาเข้าฝันบอกให้ไปบอกอาหมอสมสุขไม่ต้องไปหาพระ

    องค์ไหนแล้ว ให้เอาเหรียญพระเครื่องที่สะสมไว้มาดูหลังเหรียญ เหรียญไหนมียันต์อิติปิโส

    แปดทิศ ให้ไปหาองค์นั้น ดังนั้น ในเดือนสิงหาคม 2518 อาหมอสมสุขจึงขึ้นไปพบครูบาชุ่ม

    ที่ วัดวังมุย เนื่องจากเหรียญวัตถุมงคลของท่านด้านหลังเป็นยันต์อิติปิโสแปดทิศ เมื่อเข้า

    ไปหาท่าน ท่านถามว่ามีธุระอะไรที่มาหา อาหมอสมสุขตอบว่าพระอาจารย์ผมที่สอนสมาธิ

    ให้ท่านมรณภาพ ผมกำลังหาคนสอนต่อ แต่หาไม่ได้ ไม่มีใครรู้แนวปฎิบัตินี้เลย ครูบาชุ่ม

    ท่านจึงพูดว่า อ๋อโยมนี่เองหรือ เมื่อคืนนี้มีพระรูปหนึ่ง แล้วท่านก์บอกลักษณะของหลวงพ่อ

    พรหมถูกทุกอย่างออกมา มาหาอาตมาบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีลูกศิษย์ผมมาหาให้ท่านช่วยรับ

    เป็นลูกศิษย์ถ่ายทอด หลักปฎิบัติอานาปานสติฯให้ด้วย ซึ่งอาตมาก็รับปาก ดังนั้น เมื่อเป็น
    โยมหมออาตมาก็ยินดีรับโยมหมอเป็นลูกศิษย์

    ...............................................................................

    สมเด็จนี้แค่ผงอย่างเดียวก็คุ้มค่าแล้ว เพราะ เป็นผงแก้วสามดวงของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค (คำว่าแก้วสามดวงหมายถึง การปฏิบัติอานาปนสติของหลวงพ่อพรหม เมื่อสำเร็จจะได้แก้วสองดวง ผงนี้เป็นผงอิทธิเจ ปถมังเขียนจนถึงพุทธคุณ ธรรมดานี่เอง แต่อาหมอได้นำไปให้พระเกจิอาจารย์อธิษฐานทั่วประเทศ จนมาถึงพ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ว่าให้ปูอาสนะให้หลวงปู่ทวด ด้วย ท่านจะมาเสกผงนี้ด้วยตนเอง หลังจากนั้นอาหมอก็หยุดเสกผงนี้อีก จึงเอาเคล็ดแก้วกายสิทธิ์หลวงปู่ทวดอีกหนึ่งดวงเป็นแก้วสามดวง)
    รวมกับผงว่านของครูบาชุ่ม โพธิโก อธิษฐานขณะเข้านิโรธสมาบัติ ครูบาชุ่มอธิษฐานพระชุดนี้เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2519 ก่อนมรณภาพ 5 เดือน
    ความพิเศษที่ยิ่งกว่านั้น ที่ไม่เคยมีในพระชุดใดมาก่อน คือ ด้านหลังโรยพัดหางนกยูง ของครูบาศรีวิชัย สิริวิชโช ที่ท่านถือขณะไปนั่งหนัก ประกอบพิธีกรรม หรือพุทธาภิเษกใดๆ


    ผงหัวเชื้อนี้ เป็นผงที่ทางวัดวังมุยเก็บรักษาไว้ ได้มอบส่วนหนึ่งเพื่อจัดสร้างล็อกเกตพระแก้วมรกตภูริทัตเถรานุสรณ์ โดยท่านเจ้าอาวาสได้เขียนวันเวลาที่หลวงปู่เข้านิโรธสมาบัติเสกด้วย แถมหมึกเริ่มเลือนๆไปแล้วครับ

    ภาพอีกรูปเป็นการเทผงลงไปเต็มๆเลยครับ ในรู้ไปเลยว่าผงนี้มีผงแก้วสามดวงที่ครูบาอาจารย์ท่านรับรองว่า หลวงปู่ทวดมาเสกด้วยองค์เอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0243.JPG
      IMG_0243.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      151
    • IMG_0244.JPG
      IMG_0244.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      137
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 18 อริยสงฆ์ 115 ปี หลวงปู่สุภา กันตสีโล

    [​IMG]
    มีผู้กล่าวว่า กว่าจะมีพระอรหันต์ปรากฏในโลกย่อมนานแสนนาน ทั้งเมื่อพระอรหันต์ปรากฏแล้วก็จะมีเพียงผู้คนไม่กี่ร้อยกี่พันคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจในความเป็นพระอรหันต์ และได้รับการโปรดด้วยธรรมะอันลุ่มลึก และพิสดารจนสามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งชีวิตและความเป็นอนิจจัง ด้วยว่าพระอรหันต์ย่อมแสดงกิริยาอาการหรือสื่อความเป็นพระอรหันต์มิได้แต่เพียงน้อยนิด ด้วยสมเด็จพระทศพลญาณทรงปรับโทษสูงถึงอาบัติปาราชิก แม้จะมีภูมิธรรมอันเป็นพระอรหันต์ก็ตามที ดังนั้น แม้จะไม่พบอาจพบพระอรหันต์ได้ในชีวิตนี้ ก็ยังมีพระสุปฏิปันโน อันเป็นเนื้อนาบุญของสัตว์โลก ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนให้ได้บูชาสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก สมเด็จพระญาณไตรโบกนาถบรมศาสดาทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า พระสุปฏิปันโน เปรียบเสมือนนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอินทรีย์สารอันมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ให้รวงข้าวอันเต่งทุกเม็ด ให้ผลแก่ร่างกายมนุษย์และสัตว์เมื่อบริโภค ข้าวเปลือกเปรียบเสมือนทานบารมีที่พุทธศาสนิกชนได้หว่าลงในเนื้อนาบุญของสัตว์โลก คือพระสุปฏิปันโน ย่อมให้ต้นข้าวและรวงข้าวอันมีโภคผลในกรหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้ล่วงลับดับไปจากโลกนี้แล้ว และให้ความอยู่ดีมีสุขแก่ผู้ที่ยังต้องดำรงชีวิตอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยกิเลสและตัณหาอันเชี่ยวกรากเสมือนเรืออันแข็งแรงพาผู้โดยสารข้ามวังวนแห่งกิเลสไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ตามกำลังแห่งศรัทธาปสาทะและความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคล ดังนั้นจะขอนำท่านไปพบกับหลวงพ่อสุภา กันตะสีโล ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี พระสุปฏิปันโนผู้เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาลของโลกอีกองค์หนึ่ง ซึ่งชีวิตท่านอุทิศแล้วแก่พระพุทธศาสนา และอุทิศแก่การโปรดสัตว์ผู้ยาก พ้นแก่วังวนของกิเลสและตัณหา แผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนห้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ สงเคราะห์แก่ทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองดูสัตว์โลกด้วยความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ประเสริฐ มองลึกเข้าไปจากเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับและยศถาบรรดาศักดิ์จอมปลอม ทุกคนจึงได้รับการปฏิบัติจากหลวงพ่อสุภา กันตะสีโลโดยเท่าเทียมทุกวันวาร
    [​IMG]
    ปฐมบทของหลวงปู่สุภา กันตสีโล
    ครอบครัวของท่านขุนภักดี หรือผู้ใหญ่บ้านพล วงศ์ภาคำ และนางสอ วงศ์ภาคำ เป็นที่เคารพของชาวบ้านคำบ่อ อ.วารินชำราบ จ.สกลนคร ทั้งนี้เพราะท่านผู้ใหญ่พลสร้างแต่ความดี มีน้ำใจและบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรในปกครองอย่างเสมอหน้า ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความเมตตา เมื่อพบผู้กระทำผิดอันพอจะอภัยได้ และกระทำการจับกุมอย่างเด็ดขาดในกรณีที่กฎหมายไม่อาจจะละเว้นหรือตักเตือนได้ ทุกคนจึงพร้อมที่จะร่วมมือกันท่านผู้ใหญ่พลในทุก ๆ ด้าน บ้านคำบ่อจึงอยู่กันอย่างสงบสุขตลอดมา
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๙ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก คุณแม่สอก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่ ๘ ในสกุลวงศ์ภาคำ เป็นเด็กที่มีความอ้วนท้วนสมบูรณ์ หน่วยก้านบอกว่า ต่อไปจะเป็นคนดีของบ้านเมือง และคนดีศรีวงศ์ตระกูล ท่านผู้ใหญ่พล จึงให้นามบุตรชายคนนี้ว่า “สุภา” อันประกอบด้วย “สุ” แปลว่า “ดี” และ “ภา” มาจากส่วนหนึ่งของสกุลว่า “วงศ์ภาคำ” ซึ่งมีความหมายว่า คนดีของตระกูลวงศ์ภาคำ นั่นเอง
    หลวงปู่สุภามีพี่น้องทั้งหมด 8 คน
    หลวงปู่สุภารำลึกความหลังให้กับสานุศิษย์ได้รับรู้ว่า เมื่อท่านยังเป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วนท้วน เจ้าเนื้อ ผิวขาว ซุกซนตามประสาเด็กทั่วไป แต่ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อยู่ในครอบครัว และผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เมื่อวัยของท่านเจริญเติบโตเพียงพอจะเล่าเรียนได้แล้ว ผู้เป็นบิดาของท่านได้พาไปฝากไว้ในวัด ให้ได้เล่าเรียนเขียนอ่านตามสมควรแก่วัย และเวลาหลวงปู่เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มักชอบเล่าเรียนมากว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน
    หลวงปู่สุภายังจำได้แม่นยำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ถึงสิ่งที่ท่านได้ประสบกับสิ่งที่เรียกว่า “การพยากรณ์” จากปากของพระธุดงค์ที่มาปักกลดใต้ต้นตะแบกใหญ่ท้ายหมู่บ้านคำบ่อ เด็กน้อยชื่อสุภา วัยเพียง ๗ ขวบ คลานเข้าไปกราบแทบตักพระธุดงค์ มือของพระธุดงค์ลูบศีรษะของเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู บอกให้ลุกขึ้นนั่งทอดสายตา มองดูรูปร่างของเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นครู่ใหญ่ จึงกล่าวกับเด็กน้อยหรือหลวงปู่สุภาเมื่อตอนอายุได้ ๗ ขวบ ว่า
    “เด็กน้อยเอ๊ย ต่อไปเจ้าจักได้บวชเรียน ถวายตัวในพุทธศาสนา บวชเมื่อใดแล้วจงอย่างลืมไปเสาะหาหลวงพ่อให้จงได้ อย่าลืมนะ พบกันในวาระที่เจ้าได้ครองผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อนี้แหละ”
    หลวงปู่สุภาเมื่อยังเป็นเด็ก ไม่เข้าใจว่านั่นคือคำพยากรณ์ จึงไม่ใส่ใจ แต่ได้จ้องดูหน้าของพระธุดงค์จนจดจำองคาพยพไว้ได้ทั้งหมด ก่อนจะกราบลาออกไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กซุกซนตามปกติ
    วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปอีกสองปีเต็ม หลวงปู่สุภามีอายุได้ ๙ ขวบ จึงขอผู้เป็นบิดาออกบรรพชาเป็นสามเณร ท่านผู้ใหญ่พลไม่ขัดข้อง เพราะเห็นแล้วว่า หลวงปู่สุภาเป็นผู้เอาใจใส่ในการเล่าเรียน แม้จะไม่ได้เรียนทางโลก หากแต่เรียนทางธรรม ย่อมมีความเจริญดุจเดียวกัน จึงนำไปให้พระอาจารย์สวนทำการบรรพชาเป็นสามเณรและสั่งสอนอบรมอยู่หนึ่งปีเต็ม
    วันหนึ่ง พระอาจารย์สวนได้บอกกับหลวงปู่สุภา
    “อย่างเณรมันต้องก้าวหน้ากว่านี้ ฉันจะพาเข้าเมืองอุบลฯ ไปเล่าเรียนต่อให้แตกฉาน อยู่กับฉันมันก็แค่นี้แหละเณร”
    พบพระผู้ให้การพยากรณ์
    พุทธศักราช ๒๔๔๙ หลวงปู่สุภา ได้รับการนำตัวลงมาจากบ้านคำบ่อ มาฝากไว้ในสำนักเรียนของพระมหาหล้า แห่งวัดไพรใหญ่ จ. อุบลราชธานี โดยพระมหาหล้าได้ทดสอบความรู้เบื้องต้น พบว่า หลวงปู่สุภาเมื่อเป็นสมาเณรมีความรู้เบื้องต้นดีมาก เรียนต่อก็ไม่ลำบากยากแก่การอบรม จึงร่วมกับอาจารย์ลุยผู้เป็นฆราวาสเปรียญธรรม อบรมสั่งสอนให้เล่าเรียน “มูลกัจจายน์” ห้าเล่มอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย หลวงปู่เล่าเรียนด้วยความมานะพยายาม จนจบมูลกัจจายน์ในขณะอายุได้ ๑๖ ปีพอดี หลวงปู่สุภาได้กราบเรียนถามพระมหาหล้าผู้เป็นอาจารย์สอนมูลกัจจายน์ว่า หากจะเล่าเรียนต่อไป จะไปทางไหนดี คำตอบของพระมหาหล้าคือ
    “มีอยู่สองทางคือ ไปเรียนบาลี เป็นมหาเปรียญ หรือไปเรียนวิปัสสนากรรมฐาน เป็นพระวิปัสสนาจารย์ เธอใคร่ครวญให้รอบคอบ แล้วจึงตัดสินใจ”
    ระหว่างสองทางเลือกนี้ สามเณรสุภาตัดสินใจระหว่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ ทางเป็นมหาเปรียญ กับการเป็นวิปัสสนาจารย์ผู้คร่ำเคร่งกับการปฏิบัติทางจิตและการแสวงหาความวิเวก ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอันรกเรื้อ ห่างไกลจากความเจริญ ไม่มีพัดเปรียญธรรม ไม่อาจจะสละทางสงฆ์ เทียบวุฒิเข้าทำงานแบบฆราวาสได้เหมือนมหาเปรียญ มโนนึกต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่สุด ฝ่ายวิปัสสนาจารย์ก็ได้รับชัยชนะ
    ในระหว่างที่หลวงปู่สุภาจะก้าวออกนอกวัดไพรใหญ่ เพื่อเข้าสู่เส้นทางของวิปัสสนาจารย์ ก็ให้บังเอิญมีญาติโยมจากท่าอุเทนมาที่วัดไพรใหญ่ ได้มาทำบุญเบี้ยพระที่วัด และได้รู้จักกับสามเณรสุภา ได้เล่าความให้สามเณรฟังถึงพระภิกษุผู้เป็นพระสายวิปัสสนาที่ขณะนี้กำลังสร้างพระธาตุอุเทนว่า เป็นพระผู้มีเมตตาธรรมและมีบารมีธรรมอันน่าเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ นั่นคือสิ่งที่กระตุ้นให้สมเณรสุภา กราบลาพระมหาหล้า ออกเดินทางสู่ท่าอุเทนในทันที เพื่อไปนมัสการพระวิปัสสนาจารย์ ที่ได้รับการบอกเล่าจากญาติโยมชาวท่าอุเทน เมื่อไปถึงท่าอุเทนแล้ว ได้สอบถามเส้นทางไปพระธาตุท่าอุเทน
    [​IMG]
    ขณะเมื่อไปถึงพระธาตุท่าอุเทน เป็นเวลาที่พระวิปัสสนาจารย์กำลังเทศนาและสอนกรรมฐานแก่ญาติโยมพุทธศาสนิกชน จึงหยุดรออยู่นอกสถานที่สอนกรรมฐาน ครั้นเมื่อผู้คนแยกย้ายกันกลับไปหมด จึงเดินเข้าไปกราบนมัสการตรงหน้าพระวิปัสสนาจารย์ สายตาของพระวิปัสสนาจารย์ประสานกับสายตาของสามเณรน้อยผู้มาใหม่ แล้วเกิดกระแสแห่งความคุ้นเคย เสียงของพระวิปัสสนาจารย์พูดกับสามเณรน้อยขึ้นว่า
    “บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะได้พบกัน เด็กน้อยจำเราได้หรือไม่ เราไม่เคยลืมแววตาคู่นี้เลย”
    [​IMG]
    หลวงปู่ศรีทัต สุวรรณมาโจ อาจารย์ของหลวงพ่อสนธิ์ วัดท่าดอกแก้ว ต้นตำหรับของผงโสฬสมหาพรหม (ของจริง) และอาจารย์ของหลวงพ่อสนธิ์ วัดอรัญวาโพธิ์,หลวงปุ่สุภา กันตสีโล
    ภาพเด็กตัวเล็ก ๆ คลานเข้าไปกราบพระธุดงค์ที่ปักกลดอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ กลับมาปรากฏชัดในมโนภาพของสามเณรน้อย แม้องคาพยพของใบหน้าพระผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า จะผิดไปจากใบหน้าของพระธุดงค์ด้วยความชรา แต่น้ำเสียงและแววตามิเคยเปลี่ยนไปเลย สามเณรน้องจึงเปล่งเสียงออกมาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้นว่า
    “ท่านอาจารย์นั่นเอง ที่ใต้ต้นตะแบก จริง ๆ ด้วยขอรับ เป็นท่านอาจารย์จริง ๆ”
    เมื่อหลวงปู่ได้พบกับพระธุดงค์ที่มาปักกลดใต้ต้นตะแบกท้ายหมู่บ้านอีกครั้งตามพยากรณ์แล้ว หลวงปู่เกิดความปีติและยอมรับว่า พระธุดงค์ที่พบตอนอายุ ๗ ขวบนั้น ช่างเป็นพระผู้พยากรณ์เหตุการณ์ได้แม่นยำ ก้มลงกราบอีกครั้ง ท่านพระวิปัสสนาจารย์จึงกล่าวว่า
    “เราชื่อ สีทัตต์ เณรมีนามใดกัน มาจากที่ใด ต้องการอะไรจากเราก็ขอให้บอกมาเถิด”
    หลวงปู่สุภาได้กล่าวตอบด้วยความปีติเป็นล้นพ้นว่า
    “กระผมดั้นด้นมานมัสการพระคุณอาจารย์ก็ด้วยความปรารถนาจะได้รับการอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐานจากพระคุณอาจารย์ตามแบบที่พระคุณอาจารย์ได้รับการถ่ายทอดมา กระผมเรียนมูลกัจจายน์ห้าเล่มสำเร็จแล้วครับ”
    “เณรน้อยเรียนมูลกัจจายน์มาแล้ว ใยไม่เรียนปริยัติธรรมต่อไป ไม่รู้หรือว่า การเรียนพระปริยัติธรรมนั้น เจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม คือ เป็นมหาเปรียญ นักเทศน์ เป็นครูสอนพระปริยัติ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ก้าวหน้าในตำแหน่งการปกครอง ส่วนประโยชน์ทางโลกคือ เมื่อสึกออกไปแล้ว เทียบวุฒิการทำงาน หรือรับราชการได้ตำแหน่งดี เณรน้อยเอาดีทางธรรม ทางปฏิบัติอย่างเดียวไม่เสียดายเวลาที่หมดไปหรือ ถ้าสึกออกไปเป็นฆราวาส ก็ไม่ต้องมาอยู่ในกฎระเบียบ ๒๒๗ ข้อนี้อีกต่อไป คิดให้ดีนะเณร”
    พระอาจารย์สีทัตต์หยั่งเชิงสามเณรน้อยเพื่อค้นหาความตั้งใจ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าดูคนไม่ผิด แต่สามเณรน้อยตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
    “กระผมต้องการเพียงทางเดียว คือปฏิบัติทางจิต หรือ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์มีความหมายมากขึ้น หากกระผมต้องการเป็นมหาเปรียญละก็ ไม่ลงทุนมาเสาะแสวงหาพระคุณอาจารย์ถึงท่าอุเทนนี่หรอกขอรับ ขออย่างเดียว รับกระผมเป็นศิษย์ กระผมจะอยู่ในโอวาทของพระคุณอาจารย์ทุกประการ”
    พระอาจารย์สีทัตต์ทดสอบความอดทนของสมาเณร ตั้งแต่การขบฉัน การทำงานหนักในการก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทน และการทดสอบด้านจิตใจ จนแน่ใจว่า จะทนรับการสอนที่หนักหนาสาหัสในการที่จะเรียนวิปัสสนากรรมาน จึงอบรมกรรมฐานให้แก่สามเณรสุภา เริ่มโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่า “พุทโธ” ตั้งแต่แรก จนไม่ต้องภาวนา จากสมาธิเพียงชั่วแล่น ก็ค่อย ๆ กลายเป็นสมาธิที่ยาวนานและสามารถดำรงสติได้อย่างมั่นคง จึงให้ขึ้นธุดงควัตร ๑๓ ประการจนคล่อง จึงบอกกับสามเณรสุภาว่า
    “ต่อจากนี้ไป เป็นการปฏิบัติจริงในป่าเขาลำเนาไพร อันอุดมไปด้วยสิงสาราสัตว์และภูตพรายทั้งปวง อมนุษย์และพวกหมอผี นักล่าชีวิตมนุษย์ด้วยคุณไสย มนต์ดำ สิ่งที่เรากล่าวมา อบรมมา พึงนำมาใช้ให้ยิ่งยวด เพราะเธอจะต้องพึ่งตนเองมากกว่าพึ่งเราในการเดินทาง”
    ข้ามโขงจากนครพนม ไปสู่พระราชอาณาจักรลาว ผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผจญความยากลำบากมากมาย ทั้งสัตว์ร้าย งูพิษ ต้นไม้พิษ ตลอดจนหมอผีและภูตไพรต่าง ๆ หลายหนที่ต้องฉันใบไม้อ่อน เพราะไม่มีสัปปายะจะให้บิณฑบาต แต่ก็ผ่านมาได้ จนพระอาจารย์สีทัตต์ยอมรับในความอดทนของสามเณรน้อยสุภา
    ถึงจุดที่พระอาจารย์สีทัตต์พามาฝึก คือ “ถ้ำภูควาย” อันเป็นถ้ำเร้นลับ อยู่บนภูเขาที่มีลักษณะปลายยอดสองข้างโค้งเข้าหากัน มองคล้ายกับเขาควาย มีพระภิกษุมาจากสถานที่ต่าง ๆ มาชุมนุมกันเล่าเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์สีทัตต์หลายรูป
    เข้าสู่การเป็นพระภิกษุ
    ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ สามเณรสุภามีอายุครบอุปสมบท พระอาจารย์สีทัตต์ขึงได้จัดเตรียมหารเครื่องบริขารจนครบ และนำสามเณรสุภาข้ามไปยังฝั่งลาว รอนแรมไปจนถึงภูความ ซึ่งพระอาจารย์สีทัตต์ได้อธิษฐานเป็นวิสุงคามสีมา พร้อมด้วยพระวิปัสสนาจารย์ ทำการอุปสมบทสามเณรสุภาในถ้ำนั้น โดยมีพระอาจารย์สีทัตต์เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระวิปัสสนาจารย์ร่วมเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ ศิษย์ในพระวิปัสสนาจารย์ติดตามมาเป็นพระอันดับ ได้รับฉายาว่า “กันตสีโล” นับแต่นั้นมา
    พระอาจารย์สีทัตต์ได้ขอให้พระวิปัสสนาจารย์ที่มาร่วมปฏิบัติสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติทั้งในทางธุดงค์ ไปจนถึงคาถาอาคมป้องกันตัวจากสัตว์ร้าย อสรพิษ ภูตไพรทั้งปวง และเดินทางกลับท่าอุเทนเพื่อเข้าพรรษากาลเป็นปีแรกแห่งการเป็นสมมติสงฆ์ การออกเดินธุดงค์ภายใต้การดูแลของพระอาจารย์สีทัตต์ จึงทำให้หลวงปู่สุภามีความก้าวหน้าในการกำหนดอารมณ์และสติในการเผชิญภัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
    ในการเดินธุดงค์ผจญความยากลำบาก หลวงปู่สุภาทำได้เป็นอย่างดี พระอาจารย์สีทัตต์ผู้เป็นอาจารย์รู้สึกนิยมในความก้าวหน้าของศิษย์เอกผู้นี้เป็นอย่างมาก สี่พรรษาเต็มแห่งการออกธุดงค์ เมื่อจำพรรษา พระอาจารย์สีทัตต์ให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมด้วยคัมภีร์ปริยัติห้าหมวด ปละเร่งทดสอบอารมณ์กรรมฐานอย่างละเอียด พอขึ้นพรรษาที่ห้า พระอาจารย์สีทัตต์จึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า
    “สมควรแก่เวลาที่เณรน้อยจะต้องออกธุดงค์ด้วยตนเองแล้ว แต่สำหรับก้าวแรกในการธุดงค์ลำพังนี้ เราจะให้พระสองรูป เณรหนึ่งรูป ธุดงค์ไปกับเณรน้อย เณรน้อยจงคุ้มครองป้องกันภัยให้เขา คอยอบรมให้อยู่ในธุดงควัตร เหมือนที่เราเคยได้ทำกับเณรน้อยเมื่อสี่ปีมาแล้ว”
    หลวงปู่สุภาได้ทำหน้าที่ควบคุมพระและเณร ธุดงค์ไปจนถึงภูควายและกลับมาท่าอุเทนอย่างปลอดภัย เป็นการสอบผ่านธุดงควัตรอย่างแท้จริง หลวงปู่สุภาเล่าต่อไปว่า
    “พระอาจารย์สีทัตต์มิได้เป็นพระวิปัสสนาจารย์อย่างเดียว แต่ท่านมีวิชาอาคมหลายแขนง สามารถถอดกายทิพย์ท่องไปในภูมิต่าง ๆ ได้ ซึ่งภาษานกและภาษาสัตว์ในป่า ท่านก็ฟังออก และเคยแสดงให้หลวงปู่สุภาดู และยังได้สอนให้ทำจนถึงแก่นอีกด้วย เรียกว่าสอนแบบไม่ปิดบัง แต่สำหรับภาษาสัตว์ ท่านไม่ขอเรียน”
    คำสั่งพระอาจารย์สีทัตต์
    พุทธศักราช ๒๔๖๓ หลวงปู่สุภาได้ตัดสินใจธุดงค์เดี่ยว จึงมากราบลาพระอาจารย์สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์ พระอาจารย์สีทัตต์ได้สั่งสอนว่า
    “ไปให้ดีเถอะเณรน้อย เดินให้สม่ำเสมอ จิตรู้อารมณ์ อย่าเร็วนัก อย่าช้านัก ให้อยู่ในกลาง ๆ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษย์เป็นคติสอนใจว่า อยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง รู้ไหม หมายความว่าอย่างไร อยากถึงเร็วให้คลาน คือไปแบบไม่รีบร้อนด่วนได้ จะถึงจุดหมายแบบปลอดภัย ให้ลุกลี้ลุกลนเกินไป ก็จะเหมือนคนวิ่งไปด้วยความคะนอง สะดุดล้ม แข้งขาหัก เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องช้าไปอีกนานทีเดียว”
    เมื่อหลวงปู่สุภาพร้อมที่จะเดินทาง พระอาจารย์สีทัตต์ได้กล่าวคล้ายคำสั่งเสียด้วยความห่วงใยว่า
    “เณรน้อยจงไปภูเขาควาย ออกจากภูควายแล้ว ให้ไปท่าเดื่อ จากท่าเดื่อไปหนองคาย ที่นั่นเธอจงสละธุดงควัตร แล้วเร่งเดินทางไปทางเหนือ ที่นั่นเธอจะได้พบพระอาจารย์องค์หนึ่ง มีความเชี่ยวชาญด้านกสิณและวิชชาแปดประการ มีอภิญญาสูงมาก เธอจะได้รับความรู้จากท่านเป็นอันมาก ที่ต้องให้สละธุดงควัตร เพราะท่านเหลือเวลาไม่มากแล้วในการสั่งสอนเณรน้อย หากเดินธุดงค์แบบธรรมดาน่าจะสายเกินไป”
    จากภูควาย หลวงปู่สุภาข้ามมาท่าเดื่อ แล้วอธิษฐานจิตออกจากธุดงควัตรที่ตัวจังหวัดหนองคาย ฝากบริขารธุดงค์ไว้กับพระที่คุ้นเคยในระหว่างธุดงค์ภูควาย และจับรถไฟเข้ามากรุงเทพฯ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการไปสู่ภาคเหนือเพื่อแสวงหาพระอาจารย์ตามคำสั่งของพระอาจารย์สีทัตต์ เหมือนโชคชะตาเป็นใจให้หลวงปู่สุภา เพราะในขณะที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านก็ได้ข่าวพระอาจารย์รูปหนึ่งที่แถววังนางเลิ้ง เขาบอกกันว่า
    “ท่านพระครูวิมลคุณากร หรือหลวงปู่ศุข เกสโร แห่งวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ซึ่งเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเลื่อมใส ถวายตัวเป็นศิษย์ถึงที่วัดทีเดียว”
    หลวงปู่สุภา จึงเดินทางไปวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ด้วยการเดินทางสมัยนั้นยังลำบากและเหน็ดเหนื่อย แต่พอเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง เมื่อพอเข้าเขตวัด หลวงปู่รู้สึกว่าเยือกเย็นและมีอะไรบางอย่างที่บอกว่า ที่นี่แหละคือที่ ๆ พระอาจารย์สีทัตต์กำหนดให้มา
    [​IMG]
    เบื้องหน้าผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ
    เมื่อหลวงปู่สุภาเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง จึงเดินทางไปกุฏิ พอเห็นกุฏิหลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ขณะล้างเท้า เสียงของหลวงปู่ศุขก็ดังมาจากชั้นบนของกุฏิ
    “มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตากันหน่อย”
    มีแต่เสียงทักทาย แต่ไม่ปรากฏหลวงปู่ศุขที่นอกชาน เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า ... นี่คือพลังปราณของผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดัง ค่อย หรือไกล ใกล้แค่ไหนก็ได้ ขึ้นไปชั้นบนของกุฏิแล้ว ก็เห็นพระภิกษุรูปร่างสันทัด ผอมเกร็ง แต่ผิวพรรณวรรณะผุดผ่อง คล้ายกับทาด้วยขมิ้น ทว่า เมื่อคลานเข้าไปกราบต่อหน้าท่านและลุกขึ้นนั่งพนมมือ ได้สังเกตใกล้ ๆ พบว่า ไม่ใช่ขมิ้น แต่เป็นแสงอะไรบางอย่างที่เรื่อเรืองอยู่บนผิวพรรณของหลวงปู่ศุข ที่ทำให้เกิดความสง่าคล้ายทาขมิ้น หลวงปู่ศุขได้มองมาที่หลวงปู่สุภาและเอ่ยขึ้นว่า
    “นี่เอง เณรที่ท่านสีทัตต์ได้บอกไว้ในฌาน เป็นคุณนี่เอง เณรน้อยต้องการอะไร จะเรียนอะไรก็บอกมาได้ไม่ขัดข้อง ท่านสีทัตต์ฝากมาแล้วนี่”
    คำว่า “ฌาน” คำว่า “ฝากมาแล้วนี่” ทำให้หลวงปู่สุภาประจักษ์ว่า อภิญญาจิต การถอดกายทิพย์ การใช้โทรจิต มีจริง ก่อนที่ท่านจะมานมัสการหลวงปู่ศุข ทางพระอาจารย์สีทัตต์ได้ถอดกายทิพย์มาฝากฝังหลวงปู่สุภากับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง หลวงปู่สุภาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยว่า จะมาเรียนอะไร นอกจากจะกล่าว
    “กระผมขอให้เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์จะเมตตาอบรมสั่งสอนก็แล้วกันขอรับ เห็นว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ก็สั่งสอนให้กระผมก็แล้วกัน”
    เมื่อหลวงปู่ศุขได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะ หึ หึ ด้วยความพอใจ แล้วกล่าวกับหลวงปู่สุภาว่า
    “สมแล้วที่เป็นศิษย์ท่านสีทัตต์ มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัวใช้ได้ หลายรูป มาถึงไม่ดูวาสนาบารมีตนเองว่าจะสามารถรองรับได้หรือไม่ จะเรียนโน่น จะเรียนนี่ สุดท้ายก็กลับไปมือเปล่า เพราะขาดวาสนาบารมี เพราะเมื่อขาดวาสนาบารมีและการเจียมตัวแล้ว อะไรก็ไม่สำเร็จ เอาละ ไปพักผ่อนก่อน ถึงเวลา จะเรียกมาสอบฐานความรู้และประสิทธิประสาทวิชาต่อไป”
    เมื่อถึงเวลา หลวงปู่ศุขก็ได้สอบอารมณ์กรรมฐานและดูพื้นฐานการศึกษาวิชาอาคมของท่าน ที่ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์สีทัตต์ เมื่อทดสอบแล้วเห็นว่าบกพร่องตรงไหน ก็ช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง ปรับระดับการเข้าฌาน การทำกสิณและการเพ่งด้วยกสิณเป็นประการต่าง ๆ หลวงปู่ศุขสอนว่า
    “มีวิชาหลายอย่างที่ปู่สำเร็จ แต่บารมีเณรน้อยนั้นเรียนไม่ได้ โดยเฉพาะวิชชาแปดประการที่เณรน้อยต้องการจะเรียน วาสนาบารมีของเณรน้อยไปไม่ได้ จะให้วิชาสำคัญ คือ การลงนะหน้าทอง และการเสกให้ทองเข้าไปแทรกในอณูภายในร่างกาย เขาเรียกว่า เป่าทองเข้าตัว”
    วิชาเป่าทองเข้าตัว / อภิญญจิตตัวสำคัญ
    หลวงปู่ศุขได้เมตตาอธิบายให้เข้าใจถึงหลักของการเป่าทองเข้าตัวอย่างละเอียด ซึ่งหลวงปู่สุภาได้บันทึกไว้ว่า
    “วิชาเป่าทองเข้าตัว มิใช่เพื่อมหานิยม แต่ยังสามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ทั้งจกคมหอก คมดาบ ปละปืนไฟ ไปจนถึงมีมหาอำนาจแล้วแต่จะประสิทธิ์ประสาทในด้านใด ต้องพิจารณาบุคคลแต่ละบุคคลที่จะลงแผ่นทองหรือเป่าทองให้ ว่าเป็นอย่างไร บารมีพอที่จะรับทองได้กี่แผ่น แต่ละคนล้วนมีข้อปลีกย่อยผิดแผกออกไปแล้วแต่กรณีต้องดูว่าจะลงให้ทางไหน ตามที่กำหนดไว้ในตำรับของครูบาอาจารย์เท่านั้น จะนอกเหนือหรือขาดตกบกพร่องไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว การที่ทองจะแทรกเข้าไปในสู่ทุกอณูไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ต้องมีหัวใจสองอย่างคือ น้ำมันว่าน และเกสร ๑๐๘ ชนิด เคี่ยว ผสมด้วยพระเวทย์อาคมที่ต้องแก่กล้าด้วยพลังอภิญญาเท่านั้น หากทำไม่ถูกต้อง จะไม่สามารถเปิดรูขุมขนของผู้ที่จะเป่าทองเข้าตัวได้ การเป่าก็จะไม่ได้ผลทั้งสิ้น ไม่เกิดพลังใด ๆ เป็นสูญเท่านั้น การจุดเหล็กจาร ที่จุ่มน้ำมันว่านและเกสร ๑๐๘ ชนิด และการเป่าภาวนาเพื่อดันทองเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่จะลง และให้กำหนดให้ผู้รับการลง หรือเป่าทอง กำหนดจิตอธิษฐานเอาเอง การเรียนการสอนทำได้เฉพาะตอนกลางคืนที่เป็นเวลาสงัด เพราะตอนกลางวันไม่สามารถจะเรียนได้ ด้วยมีคนมานมัสการหลวงปู่ศุข ขอโน่นขอนี่ จนท่านไม่มีเวลาจำวัด เรียกว่า หัวบันไดไม่แห้ง แต่หลวงปู่ศุขก็ไม่เคยท้อถอย หรือแสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด
    หมากหินยอดของขลัง
    หลวงปู่สุภามีหน้าที่คอยอุปัฏฐากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าด้วยการตำหมากถวาย ที่หลวงปู่ศุขเคี้ยวหมากติดต่อกัน ไม่ใช่ว่าท่านเคี้ยวหมากจนติด แต่ที่ท่านต้องเคี้ยวติดต่อกัน ก็เพราะ ญาติโยมที่มานั้น จะจ้องขอชานหมากของหลวงปู่ศุขที่เคี้ยวแล้ว เพื่อติดตัว นำไปป้องกันอันตราย เมื่อหลวงปู่ศุขพูดคุยกับญาติโยมไป ท่านก็เคี้ยวหมากไปเรื่อย ๆ พอเขาจะลากลับ ก็จะขอชานหมากของท่าน ท่านก็จะคายชานหมากออกมาที่ฝ่ามือ จัดให้เป็นก้อนกลม ๆ ด้วยการปั้น ชานหมากที่ปั้นแล้วท่านจะเอามาไว้ในฝ่ามือที่พนม หลับตาภาวนาคาถาของท่านครู่ใหญ่ จึงเป่าลมปราณลงไปในฝ่ามือที่แบออกดัง “เพี้ยง” จากนั้นก็ยื่นให้กับญาติโยมที่ขอคนละเม็ด ตอนแรกหลวงปู่สุภาก็คิดว่าเป็นชานหมากเสกธรรมดา แต่มีหลายคนที่รับมาแล้ว ไม่ได้ระวัง เลยหลุดจากมือ ตกลงกระทบพื้นเสียงดัง “แป๊ก” คล้ายกับลูกหิน หรือลูกกระสุนยิงนกที่ปั้นด้วยดินเหนียวตากแห้งตกกระทบพื้น ก็ชานหมากธรรมดาน่ะ นุ่ม แม้ตากแห้งก็ร่วนกรอบ แต่นี่หลวงปู่ศุขเสกแล้วหล่นลงพื้นดัง แป๊ก จึงรู้สึกแปลกใจ เมื่อมีเวลา เลยแอบขอญาติโยมดูด้วย แล้วพิจารณา หลวงปู่สุภาท่านบอกว่า
    “ลูกอมชานหมากที่หลวงปู่ศุขปั้นแล้วเสกเพี้ยง แทนที่จะมีสภาพเป็นชานหมากนุ่ม ๆ กลับเปลี่ยนสภาพเป็นชานหมากที่แข็งมาก บีบดูเหมือนบีบลูกหิน หากไม่ได้ลูบ ก็ต้องบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปแล้ว หลวงปู่ศุขเปลี่ยนสภาพจากชานหมากนุ่ม ๆ ให้เป็นชานหมากหินไปได้ในเวลาเพียงหนึ่งอึดใจเท่านั้น”
    เมื่ออยู่กันสองต่อสอง เวลาเรียน หลวงปู่ศุขก็พูดกับหลวงปู่สุภาว่า เณรน้อยสนใจไม่ใช่หรือ หมากหินน่ะ เห็นไปแอบขอญาติโยมดู พลังจิตของเณรสามารถทำได้นะ แต่ต้องได้รับคำแนะนำอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำได้แล้ว หลักไม่มีอะไรมากหรอก เป็นการใช้อำนาจปฐวีกสิณ เปลี่ยนชานหมากที่เป็นของเหลว หยุ่น ธาตุน้ำ ให้แข็งเป็นหิน เป็นดิน เขาเรียกว่า “เคลื่อนย้ายถ่ายเปลี่ยนธาตุ” โดยหลวงปู่สุภาก็ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงปู่ศุขจนสามารถเสกชานหมากได้ในที่สุด โดยการเจริญสมาธิ เข้าฌานและเข้ากสิณ จนถึงการภาวนา และเปลี่ยนจนชานหมากแปรสภาพไปในที่สุด จนเสกให้หยุ่นเหมือนกับลูกยางก่อน แล้วจึงเร่งพลังขึ้นไปจนถึงที่สุด หลวงปู่สุภาเล่าตอนนี้ว่า
    “เสกได้จริง แต่ไม่เหมือนกับหลวงปู่เสก คือของหลวงปู่ศุขเป็นหินจริง ๆ แต่ของท่านเสกให้แข็งได้แต่ภายนอก แต่ภายในยังไม่แข็ง เรียกว่า บีบแรง ๆ กระแทก ๆ ก็จะแตกเห็นเป็นชานหมากธรรมดาที่แห้ง ไม่แข็งเป็นหินทั้งหมด ด้ยบารมีท่านไม่อาจสู้หลวงปู่ศุขได้ เหมือนคำโบราณ ศิษย์ไม่อาจคิดสู้ครูได้
    หลวงปู่สุภาทำหน้าที่คอยอุปัฏฐากหลวงปู่ศุขจนได้เวลาอันสมควร หลวงปู่ศุขจึงได้เรียกให้หลวงปู่สุภามาพบ และได้บอกว่า เณรน้อยได้เรียนมาพอสมควรแล้ว วิชาที่เรียนไปก็พอจะช่วยเหลือคนได้ เณรน้อยทิ้งธุดงควัตรมานานแล้ว เณรเหมาะกับธุดงค์ เณรชอบของเณรอย่างนั้น ปู่เองก็เคยเป็นนักธุดงค์ แต่เมื่อโยมแม่ขอให้อยู่ใกล้ชิด ก็เลยแขวนกลดแต่นั้นมา เณรน้อยเตรียมตัวให้พร้อม ปู่จะสอนวิชาที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เล่าเรียนมาก่อน และวาสนาบารมีของเณรน้อยเรียนวิชานี้ได้
    สุดยอดเคล็ดวิชา สำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า
    หลังจากที่หลวงปู่ศุขปรารภ ให้หลวงปู่สุภากลับสู่เส้นทางธุดงค์ โดยได้กำหนดวันเดินทางไว้แล้ว แต่ก่อนการเดินทางเพียงสองวัน หลวงปู่ศุขได้ให้หลวงปู่สุภาเตรียมตัวเรียนวิชาที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาที่ท่านบอกว่า หลวงปู่สุภาจะเป็นคนแรกและคนสุดท้าย ด้วยหาผู้มีวาสนาบารมีจะเรียนได้ยากเต็มที ดอกไม้ธูปเทียน หมากพลูบุหรี่ ถูกลูกศิษย์หลวงปู่ศุขเตรียมไว้ให้หลวงปู่สุภาเรียบร้อย เพื่อเป็นเครื่องบูชาครูกับหลวงปู่ศุข หลวงปู่ได้นำไปไว้บนที่บูชาพระ และบอกกับหลวงปู่สุภาให้รอเวลาตอนสงัดคน จะสอนเคล็ดวิชาให้จนหมด พร้อมกับมอบตำราให้ไปติดตัว วิชานี้เรียกว่า “แมงมุมมหาลาภ” ต่อไปเณรน้อยจะต้องสงเคราะห์ผู้คนอีกมาก ความจน ความขัดข้อง การทำมาหากินฝืดเคือง เป็นทุกข์อย่างยิ่งสำหรับฆราวาส นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ทางโลก
    ทำไมจึงต้องเป็นแมงมุม มีเรื่องราวที่เณรน้อยควรจะรู้ไว้เป็นเครื่องประเทืองปัญญา เณรน้อยเคยเห็นแมงมุมตัวไหนอดอยากปากแห้ง ตายคาใยที่มันขึงไว้ดักอาหารหรือไม่ แมงมุมเป็นสัตว์ขยันและสะอาด แมงมุมไม่ออกล่าเหยื่อในที่ต่าง ๆ เหมือนสัตว์ทั่วไป แต่แมงมุมจะชักใยสร้างเป็นอาณาเขตเอาไว้เพื่อดักแมลง ใยแมงมุมของแมงมุม กว่าจะได้ต้องมีความมานะพยายามอย่างยิ่ง ที่ว่าแมงมุมเป็นสัตว์สะอาดก็คือ มันจะไม่ออกไล่ล่าเหยื่อนอกเขตใยของมัน มันจะไม่ไล่แมลงตกใจบินหรือคลานมาติดที่ใยของมัน แต่มันจะรออยู่กับที่ รอให้เหยื่อเข้ามาติดใยของมัน มันจึงออกมาพันซ้ำด้วยใย และจับกิน พูดให้ฟังง่าย ๆ ก็คือ แมงมุมจะกินสัตว์ที่ถึงฆาต หรือถึงแก่วาระหมดชีวิต ถือว่าหลงเข้ามาในใยที่ดักไว้ คือแมลงที่หมดเวลาอยู่บนโลกนี้ ถือว่าหมดเวลา ถึงที่ตายแล้ว จึงมาติดใย ไม่ต้องออกล่าเหยื่อ ก็มีแมลงหลงเข้ามาให้กิน จนเจ้าแมงมุมหมดบุญคือตายจากโลกตามเวลาสมควร
    การเปิดร้านค้าขาย เปิดบริษัทขายสินค้าเช่นกัน เหมือนกับแมงมุม คือดักใยล่อเอาไว้ หากไม่มีลูกค้า หรือแมลงมาติด ก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ คือกิจการต้องล้มไปในที่สุด การทำแมงมุมชักใย คือการใช้คาถาอาคมสร้างแมงมุมและใยอาคม เพื่อให้บริษัทห้างร้านที่มีแมงมุมชักใยอาคมนี้มีลูกค้ามาติดต่อ มาซื้อ มาขาย มาเปลี่ยนอย่างคึกคัก มีกำรี้กำไรสมดังที่คิดไว้ นี่แหละคือหัวใจสำคัญของแมงมุมอาคมที่แจะสอนเจ้าให้เอาไว้ช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ที่เป็นพ่อค้า แม่ค้า ให้ร่ำรวยมีฐานะดีต่อไปในภายภาคหน้า ปู่มอบให้เณรน้อยเป็นวิชาสุดท้ายก่อนจากกัน และเป็นศิษย์คนแรกและคนสุดท้าย ด้วยว่าชีวิตของฉันไม่ยืนยาวพอที่จะหาศิษย์มาสืบทอดวิชาแมงมุมนี้ได้อีก
    หัวใจสำคัญของวิชาแมงมุมนั้น แบ่งออกเป็นสองขั้นตอนของการสร้าง
    ๑. ตัวแมงมุม ต้องสร้างให้มีลักษณะคล้ายกับแมงมุม ทั้งสัดส่วน ลำตัว และส่วนที่เป็นขา ใส่นัยน์ตาและเขี้ยวให้พร้อม เรียกว่า ต้องให้ดูออกว่า เหมือนแมงมุมจริง ๆ เรียกธาตุทั้ง ๔ ลงอักขระปลุกเสกจนแมงมุมขยับตัวในอุคหนิมิต ถึงจะสำเร็จตามที่ต้องการ
    ๒. ส่วนที่เป็นใย ต้องเอาสายสิญจน์ หรือด้ายที่เตรียมไว้มาเสกให้ได้ที่เสียก่อน จึงเริ่มชักใยแมงมุม หำหรับนำแมงมุมไปเกาะไว้บนใย
    ๓. ลงอักขระเรียกสูตร เรียกนามจนครบตามตำรับที่ฉันสอนให้ทุกอย่าง เมื่อประกอบเรียบร้อยแล้ว ปลุกเสกให้เห็นแมงมุมเคลื่อนไหวไปมาบนใยในอุคหนิมิต จึงเป็นเสร็จตามขั้นตอน เอาไปติดไว้ในร้านที่ผู้คนมองเห็นได้ถนัด นั่นแหละคือมนต์เรียกคนเข้าร้าน จะว่าเป็นมนต์จินดามณีก็คงจะได้กระมัง
    เมื่อถึงเวลาที่จะออกเดินทาง หลวงปู่สุภาก็มากราบนมัสการลาหลวงปู่ศุข ซึ่งอวยชัยให้พรและประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล แล้วหลวงปู่ศุขก็กล่าวว่า
    “ไม่ไปส่งเณรน้อยละนะ ไปตามทางที่เณรน้อยมา ต่อไปเราจะไม่ได้พบกันอีก นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่แจะได้พบกับเณรน้อย อายุของปู่ใกล้จะแตกดับแล้ว รู้สึกยินดีที่ได้รับเณรน้อยไว้เป็นศิษย์ในภายภาคหน้า เณรน้อยคือผู้สืบทอดตำราของปู่ในด้านแมงมุมคนแรกและคนเดียว หากเณรน้อยไม่ประสิทธิ์ประสาทต่อไปก็จะสิ้นสุดลงในมือของเณรน้อยนั่นเอง”
    เมื่อถึงตอนนี้ หลวงปูสุภาต้องหยุดเล่าเรื่อง เหมือนกับว่า ท่านจะระลึกถึงหลวงปู่ศุข พระอาจารย์ของท่าน แล้วรู้สึกตื้นตันใจ จนต้องหยุดรำลึกถึงความปีติ ท่านได้เล่าต่อไปว่า
    เกือบลืมไป ยังมีวิชาอีกอย่างหนึ่งที่ใช้คู่กับแมงมุม คือ การลงอักขระบนผืนผ้า ท่านเรียกว่า ยันต์รับทรัพย์ ผ้ายันต์รับทรัพย์ที่ลงอักขระแล้วปลุกเสก จะเหมือนการปูผ้าไว้รอรับเงินที่จะมีผู้มากองให้ บูชาติดตัวเป็นมหานิยม อยู่ในร้านค้าก็เรียกลูกค้า ใช้ติดกับคันธง ปักไว้ให้ชายปลิวไปตามลม ปลายธงสะยัดไปทางไหน ก็มีผู้คนแห่ไปทางนั้น ทำมาค้าขายก็รับทรัพย์เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี
    การที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้พูดว่าจะพบกันเป็นครั้งสุดท้าย ก็เป็นจริง เพราะหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ หลวงปู่สุภา อยู่ระหว่างการออกธุดงค์ และมารู้ข่าวก็เมื่อมีการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ศุขไปแล้ว
    เส้นทางสู่โลกที่สาม
    เมื่อกลับมาจากเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข หลวงปู่สุภาได้กลับเข้าสู่การออกธุดงค์อีกครั้งโดยรับบริขารธุดงค์ที่เคยฝากไว้ เพื่อกลับสู่เส้นทางของการแสวงหาความวิเวก ท่านได้เดินทางไปทางภาคเหนือ และข้ามชายแดนสู่ประเทศพม่า ว่าจะไปนมัสการเจดีย์ชะเวดากองและพระมุเตาในหงสาวดี แต่ท่านก็มิได้ไปด้วย ท่านตัดทางเข้าสู่ป่าทึบ และได้พบกับพระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าที่ปลีกวิเวกไปแสวงหาความสงบบนถ้ำ เทือกเขาลึก
    หลวงปู่สุภาดั้นด้นไปจนพบที่จำศีลภาวนาของพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระชาวพม่า ได้พบว่าเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติอันสมควรแก่การบูชา ทว่าการสอนวิปัสสนาผิดแผกแตกต่างไปจากของทางฝ่ายไทย ซึ่งสอนเป็นแบบที่เรียกว่า กำหนดหนอ คือจิตอยู่ อิริยาบถ ๔ หรือที่ไทยเรียกว่า สติปัฏฐาน ๔ คือ นั่ง ยืน เดิน นอน ซ้ายหนอ ขวาหนอ เข้าหนอ ออกหนอ ซึ่งเมื่อหลวงปู่สุภาเข้าเรียนตามแบบที่พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าสอนก็รู้สึกได้ว่า “ไม่ถูกกับอัธยาศัย” เรียกว่าไม่สามารถเล่าเรียนได้ เพราะขัดกับรากฐานทางกรรมฐานที่ได้เล่าเรียนมาจากพระวิปัสสนาจารย์ทางฝั่งไทย จึงได้กราบนมัสการลาพระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่า แล้วออกแสวงหาความวิเวกไปตามลำพัง ตามป่าเขาลำเนาไพรในพม่า ได้ผจญภัยนานัปการ จนท่านพูดได้ว่า เป็นธุดงค์ที่ตื่นเต้นและเสี่ยงที่สุดตั้งแต่เดินทางธุดงค์เดี่ยวมาเป็นเวลาพอสมควร
    ระหว่างที่ธุดงค์อยู่ในพม่า ได้พบกับพระธุดงค์ไทยหลายรูป บางรูปบอกว่าท่านจะธุดงค์ออกจากพม่าไปอินเดีย เพื่อไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง จึงจะกลับ ท่านจึงครุ่นคิดว่า การธุดงค์มาประเทศพม่า ถือเป็นประเทศที่ ๒ หากเดินทางต่อไปยังอินเดีย ก็เป็นโลกที่ ๓ และเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาเสียด้วย อย่ากระนั้นเลย หาวัดจำพรรษาเสียก่อน พอออกพรรษาแล้วค่อยแบกกลดธุดงค์สู่โลกที่ ๓ ต่อไป เพราะท่านชอบการเดินธุดงค์เป็นชีวิตจิตใจ จนกล่าวได้ว่า เข้าไปในสายเลือดเลยทีเดียว เส้นทางสู่โลกที่สามยาวไกล แจะสิ้นสุดตรงไหนก็แล้วแต่ว่า หลวงปู่สุภาจะหยุดลงด้วยตัวของท่านเอง
    ออกพรรษา เวลาแห่งการจาริกสู่โลกที่สาม เริ่มขึ้นแล้ว ณ บัดนี้
    ท่องไปในโลกกว้าง
    ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สุภาเตรียมบริขารธุดงค์ออกจากป่ามายังเมืองท่าในพม่า ซื้อตั๋วเรือเดินทะเลเพื่อออกจากพม่าไปยังดินแดนอันเป็นพุทธภูมิ คือ ประเทศอินเดีย ท่านต้องรอนแรมอยู่ในทะเล ผจญคลื่นทะเลอยู่ ๑ เดือน ๒๕ วัน เรือจึงจอดเทียบท่าที่ประเทศอินเดีย เมื่อลงจากเรือ ก็ธุดงค์ต่อไปเรื่อย ๆ ผจญความยากลำบากแสนเข็ญ เพราะคนอินเดียส่วนใหญ่เป็นฮินดู ที่เป็นพุทธอยู่น้อย ก็ต้องแสวงหาสัปปายะด้วยความยากลำบาก ได้ฉันบ้าง อดบ้างไปตามแกน แต่ดีที่ท่านไม่เจ็บป่วยถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ จึงทำให้ท่านสามารถผ่านเส้นทางอันทุรกันดารไปได้จนตลอดรอดฝั่งในที่สุด
    จากดินแดนอันแผดเผาด้วยเปลวแดด สู่ดินแดนอันเหน็บหนาวของหิมพานต์ที่ชาวอินดูเชื่อว่า เป็นที่สถิตของจอมเทพ ผู้มีพระนามว่า “องค์ศิวะมหาเทพ” ซึ่งในประเทศไทยเรียกว่า “พระอิศวร” ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของมหาเทพของฮินดู ภูเขาหิมาลัยสูงเสียดฟ้า ยอดปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี ตลอดชาติ เป็นแหล่งรวมของฤๅษีจากทั่วสารทิศ จะมาชุมนุมกันที่นี้ เรียกกันว่า “เมืองฤๅษีเกษ” อยู่ชานภูเขาหิมาลัย เมืองนี้เป็นเมืองของฤๅษีที่ล้วนมีฤทธิ์อย่างถึงที่สุดของอำนาจต่าง ๆ เป็นนานาประการ ความหนาวเหน็บ ทำให้หลวงปู่สุภาได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาศัยเตโชกสิณในการช่วยสร้างความอบอุ่น เวลาออกบิณฑบาต ก็ต้องเดินทางระยะไกล กว่าจะเจอบ้านที่มีอัธยาศัยในการทำทาน ก็ต้องเดินกันกว่า ๘ กิโลเมตร ฝ่าความหนาวไปบิณฑบาตเพียง ๓ วันครั้ง บางครั้งถึง ๗ วัน แต่ท่านก็อดทน
    สามปีในแดนพุทธภูมิ ท่านได้แวะนมัสการสังเวชนียสถาน จนพบกับอาจารย์วงศ์ ได้พูดคุยกันในเรื่องธรรมะและวิชาอาคม ในที่สุดท่านก็บอกว่า ท่านอยู่ในอัฟกานิสถาน (ตอนยังไม่มีสงครามกลางเมือง) อยู่กับพวกศาสนิกชนที่นั่น ให้ตามไปแลกเปลี่ยนความรู้กันที่นั่น ท่านจึงเดินทางผ่านช่องแคบไคเบอร์ เข้าสู่อัฟกานิสถาน จนพบพระอาจารย์วงศ์ และได้แลกเปลี่ยนความรู้กันพอสมควร จึงเดินทางผ่านช่องแคบไคเบอร์กลับอินเดีย และเดินทางต่อไปที่ประเทศจีน ตามเส้นทางสำคัญจากอินเดียด้วย ท่านได้รู้จากพุทธศาสนิกชนชาวจีนท่านหนึ่งที่มีรกรากเดิมอยู่ปักกิ่ง เขาบอกกับท่านว่า
    “ที่ซิมซัวเป็นภูเขาสูง เป็นที่อยู่ของอาจารย์ตัน ฮกเหลียง พระอาจารย์รูปนี้เชี่ยวชาญในการเดินลมปราณรักษาโรค เพื่อกำหนดจิตใจ การเข้าฌานชั้นสูง หากต้องการศึกษาต้องไปที่นั่น”
    เหมือนถูกท้าทาย หลวงปู่สุภาจึงได้ธุดงค์ข้ามจีน ไปจนถึงปักกิ่ง ได้ค้นหาซิมซัวจนพบ และขึ้นไปหาอาจารย์ตัน ฮกเหลียง เพื่อขอเรียนวิชาลมปราณ ท่านอาจารย์ตัน ฮกเหลียง ได้เมตตาสอนให้ทั้งที่สังขารของท่านไม่สมบูรณ์นัก พอจบหลักสูตรท่านอาจารย์ตัน ฮกเหลียงก็ถึงแก่กรรม รวมเวลาการเรียนได้ ๓ เดือนเต็ม จากปักกิ่ง ท่านได้เดินทางรอนแรมไปจนถึงยุโรป ได้ไปอยู่ที่มหานครปารีสระยะหนึ่ง และเดินทางข้างไปฝั่งยุโรปตะวันออกหลายประเทศ เป็นการหาประสบการณ์ในโลกใบใหม่ที่สมณะอย่างท่านต้องการจะเรียนรู้ ท่านย้ำว่า
    “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ธุดงควัตรของท่านไม่เคยบกพร่อง บิณฑบาตทานสัปปายะจนได้ ไม่เคยละเว้นแม้แต่ครั้งเดียว เพราะถือว่านั่นคือกฎระเบียบและหัวใจของพระธุดงค์”
    จากยุโรปตะวันออก ท่านกลับทางเส้นทางเดิม ผ่านจีน ผ่านอินเดีย ผ่านพม่า เข้าไทยทางภาคเหนือ แล้วตัดเข้าสู่อีสาน โดยข้ามจากเขตประเทศลาวเข้าสู่ดินแดนไทยทางด้าน อ.เดชอุดม จ. อุบลราชธานี ต่อมา ท่านได้ยินว่า ในประเทศเวียดนามมีผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรของเอเซีย เป็นหมอยาที่มีชื่อเสียงมาก หลวงปู่สุภาจึงธุดงค์เข้าไปเวียดนาม ไปเล่าเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณจนสำเร็จ
    พบพระอาจารย์ชื่อดังยุคอินโดจีน
    หลวงปู่สุภาท่านเป็นผู้ชอบเล่าเรียนศึกษา ได้ยินว่าที่ใดมีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมและวัตรปฏิบัติดี ท่านก็มักจะไปขอเล่าเรียนวิชาการ รายนามพระอาจารย์เท่าที่หลวงปู่สุภาจำได้ก็มี
    หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
    หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา
    หลวงพ่อทบ วัดชนแดน
    หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และอีกหลายรูป
    หลวงปู่สุภาได้วิชาของแต่ละสำนักมาเพิ่มเติมจนมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เป็นศิษย์ที่มีครูบาอาจารย์และมีวิชาอาคมสาขาต่าง ๆ เป็นอันมาก แม้แต่เคยดั้นด้นไปขอเรียนวิชาปรอทสำเร็จจาก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่มีเหตุให้ไม่ได้เรียน โดยหลวงพ่อปานได้ออกจากที่นัดหมาย และเขียนบอกไว้ว่า อย่าตามไป เพรากันดารและวาสนาที่เรียนนั้นไม่มี แม้แต่หลวงพ่อโอภาสี หลวงปู่สุภาก็เคยพบปะสนทนาธรรมและแลกเปลี่ยนวิชาความรู้มาแล้วอย่างโชกโชน
    ไม่ว่าจะธุดงค์ไปที่ใดในประเทศไทย หลวงปู่จะสร้างความเจริญไว้เสมอ เช่นสร้างวัด สร้างศาลาการเปรียญ สร้างสำนักสงฆ์ สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ในถิ่นทุรกันดาร ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสาธุชน หลายครั้งหลายหนที่มีผู้คนศรัทธาเหนี่ยวรั้งให้ท่านหยุดธุดงค์มาปักหลักเป็นเจ้าอาวาสวัด ให้พวกเขา เป็นที่พึ่งทางใจ แต่หลวงปู่เปรียบเสมือนโคถึกที่เคยเที่ยวอยู่ในเถื่อนถ้ำเขาลำเนาไพร ย่อมไม่ยินดีในการที่จะถูกกักขังไว้ในล้อมคอกอันคับแคบและอึดอัด ท่านแบกกลดธุดงค์จากมา ท่ามกลางน้ำตาอาลัย ชีวิตของท่านคุ้นเคยกับเปลวแดด การจำวัดกลางดิน ฉันกลางทราย แสวงหาความวิเวกในป่า เจริญภาวนาหลีกเร้นจากผู้คน การที่จะต้องมานั่งจำเจ มาคลุกคลีกับผู้คน ย่อมไม่ถูกกับอัธยาศัยของท่าน จึงไม่มีผู้ใดสามารถทัดทานให้ท่านได้หยุดการออกธุดงค์แล้วแขวนกลด ท่านเคยบอกว่า หากว่าสังขารของท่านยังอำนวยให้การเดินธุดงค์แล้ว ท่านจะไม่หยุดธุดงค์เป็นเด็ดขาด
    หลวงปู่สุภาจากบ้านเกิดไปตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ และเป็นพุทธบุตรที่เดินธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรมาตลอด เมื่อมีโอกาสจึงระลึกถึงบ้านเกิดที่ อ.วาริชภูมิ โดยปรารภว่า บัดนี้ญาติของเราทั้งฝ่ายบิดาและมารดาไม่เคยได้พบเห็นเราในสภาพของพระภิกษุ เพราะตั้งแต่บวชแล้วก็ออกธุดงค์มาโดยตลอด หากไม่กลับไปโปรดญาติโยมและเคารพอัฐิของโยมบิดามารดาแล้ว ก็จะผิดวิสัยบุตรอันมีกตัญญูกตเวที ท่านจึงยุติการธุดงค์ลงชั่วคราว เพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดที่ อ. วาริชภูมิ เพื่อโปรดญาติโยมของท่าน
    หลวงปู่สุภาอริยสงฆ์ห้าแผ่นดิน
    หลวงปู่สุภาเมื่อเป็นพระป่านั้น ท่านวิเวกรอนแรมอยู่ในป่าดงดิบดำอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตของท่านต้องการจะแสวงวิเวก ไม่ต้องการข้องแวะกับโลกภายนอก วันเวลาล่วงเลยไป ท่านไม่ได้ยึดติดหรือต้องการจะรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลก พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นผู้ล้าสมัย หรือ ถอยหลังกลับไปจากความเจริญ แต่ในด้านการไปสู่มรรคผลนิพพานแล้ว หลวงปู่ก้าวหน้าไปอย่างยิ่ง ซึ่งหากท่านผู้อ่านได้ติดตามประวัติของหลวงปู่สุภาตั้งแต่ต้น จะพบว่าท่านอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างมอบกายถวายวิญญาณกันเลยทีเดียว
    ชีปะขาวผู้ให้นิมิต
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่สุภาออกจากป่าเพื่อแสวงหาที่จำพรรษาในปุริมพรรษาที่กำลังจะมาถึง พอธุดงค์มาถึง อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา ผ่านมาด้านหลังวัดเกาะสีคิ้ว คำว่าวัดเกาะ คือ มีน้ำกั้นเอาไว้จากโลกภายนอก การคมนาคม หากไม่ใช้เรือ ก็ต้องข้ามโดยสะพานไม้ชั่วคราว ที่ชาวบ้านนำเอาเสาไม้มาปักไว้เป็นโครง พาดด้วยไม้กระดานพออาศัยข้าม การเดินทางเข้าวัดจึงลำบากมาก เมื่อชาวบ้านรอบวัดเกาะสีคิ้วได้พบกับหลวงปู่สุภา จึงได้นำภัตตาหารมาถวาย และมรรคนายกวัดเกาะสีคิ้วจึงปรารภถึงความยากลำบากในการเข้าสู่วัด หลวงปู่ฟังแล้วเกิดความเมตตา จึงตามให้มรรคนายกนำไปดูสถานที่ ก็เห็นว่าไม่เกินกำลังที่ทำได้ ตลอดจนหากจะทำสะพานถาวรแล้ว จะทำให้ชาวบ้านกุดฉนวนที่อยู่ด้านหลังวัดออกไปได้อาศัยนำสินค้าออกมาขายคนภายนอกได้ ซึ่งนอกจากจะได้เกื้อกูลพระพุทธศาสนาแล้ว ยังได้เกื้อกูลชาวบ้านให้ทำมาหากินได้สะดวก หลวงปู่สุภาจึงรับปาก
    ปูนแต่ละถุง ทรายแต่ละคิว หลวงปู่สุภาแลกมาด้วยความยากลำบาก เพราะต้องหาของมงคลมาเป็นของขวัญแก่ญาติโยม ทั้งวัตถุมงคล น้ำมนต์และการสงเคราะห์ผู้เจ็บป่วย หลวงปู่สุภาเป็นขวัญและกำลังใจของคนที่อยู่ใกล้เคียวและจังหวัดใกล้เคียง ทุกวันนี้ หากไปถามคนแถววัดเกาะสิคิ้วแล้ว ทุกคนยังรอให้ท่านกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเขาบ้าง หลังจากการสร้างสะพานเสร็จ หลวงปู่สุภาได้ทำการฉลองสะพาน และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ชาวบ้านแถบนั้นได้พบหลวงปู่สุภาตราบจนทุกวันนี้
    คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า
    “เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....”
    เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวงปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้
    หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขารธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง เพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทาง
    ชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่า
    “อย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด”
    จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ “พวกข่า”
    พวก “ข่า” เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า
    “ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำ”
    หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า
    “เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง”
    พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า
    “สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา”
    หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของเวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า
    “ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว”
    เมื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ
    - ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล
    - ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกัน
    หลวงปู่เล่าว่า
    “เพ่งมองดูด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วยอาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิด”
    ทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับพื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า
    “บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ”
    พบพระอรหันต์ด้วยตัวเอง
    หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุงจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน
    เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิดพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า
    “ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด”
    หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า
    “กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด”
    พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขัยไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทางสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...
    “คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน”
    หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า
    “สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”
    พอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่า
    จำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป
    [​IMG]
    กลับบ้านเกิด โปรดญาติโยม
    จากเวลาที่หลวงปู่สุภาจากบ้านเกิดไปเมื่อตอนอายุ ๙ ขวบ จนถึงเวลาที่ท่านดำริที่จะกลับบ้านเกิดนั้นเป็นเวลา ๖๒ ปีเต็ม (พ.ศ. ๒๕๑๑) หลวงปู่สุภาจึงแบกกลดธุดงค์กลับบ้านเกิดที่บ้านคำบ่อ อ. วาริชภูมิ ญาติพี่น้องรุ่นเก่า จำท่านได้อย่างแม่นยำ แต่ลูกหลานที่เกิดมาทีหลัง จำท่านไม่ได้ ต้องลำดับญาติโยมจนกระทั่งจำกันได้ ทุกคนยินดีปรีดาที่หลวงปู่สุภากลับมาบ้านเกิดในฐานะนักบวชผู้มีภูมิธรรมอันควรแก่การบูชา และทุกคนมีความเห็นตรงกันที่จะให้ท่านแขวนกลดและจำพรรษาที่บ้านเกิด
    หลวงปู่สุภาจึงได้หาหนทางที่จะทำให้ลูกหลานไม่รั้งท่านไว้นานนัก โดยท่านก็รำลึกได้ว่า ห่างบ้านเกิดของท่านไป ๙ ก.ม. มีถ้ำเก่าแก่ เรียกว่า “ถ้ำพระทอง” สถานที่นี้เหมาะที่จะสร้างเป็นวัด จึงได้บอกกับลูกหลานว่า
    “หากช่วยกันทำบันไดไปจนถึงถ้ำพระทอง และนำพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานไว้แล้ว หลวงปู่จะมาจำพรรษาที่นั่น”
    ลูกหลานต้องจำนน เพราะการสร้างถาวรวัตถุไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หลวงปู่สุภาจึงทำการบวชพี่ชายของท่านเป็นพระภิกษุ อบรมวิปัสสนากรรมฐานให้ พร้อมกับการอบรมสั่งสอนชาวบ้าน ได้แม่ชีและชีปะขาวอีกหลายสิบคนเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ในการสืบต่อการเล่าเรียนพระกรรมฐานต่อไป
    หลวงปู่สุภาจึงได้ล่ำลาชาวบ้านและญาติพี่น้อง แบกกลดออกจากบ้านเกิดไปภูเก็ตและทางภาคใต้ จนกลับมาทางนครปฐม พบกับพลเอกประกอบ (ไม่ทราบนามสกุล) รับนิมนต์ให้พัฒนาวัดพระประโทน และจำพรรษาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร จนได้รับการติดต่อจากบ้านเกิดว่า บัดนี้ได้สร้างบันไดไปถึงถ้ำพระทอง แล้วนำพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานไว้แล้ว ขอให้ท่านกลับไปจำพรรษาตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ จึงให้พระครูคัมภีร์ ไปดูแลถ้ำพระทองก่อน เพราะท่านยังมีภารกิจที่วัดพระประโทน
    พระครูคัมภีร์ไปอยู่ถ้ำพระทองได้ไม่นาน ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึงแก่มรณภาพหลวงปู่สุภาจึงต้องลงไปถ้ำพระทองถึง ๓ พรรษาเต็ม และบอกญาติโยมว่า ท่านจะหาผู้ปกครองดูแลถ้ำพระทองมาใหม่ ท่านมีภารกิจที่จะต้องธุดงค์ออกไปสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นต่าง ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในการธุดงค์
    จากนั้นหลวงปู่สุภาก็ได้นิมนต์พระอาจารย์ทองจันทร์ ศิษย์ในสาย หลวงพ่อชา สุภัทโท เป็นสหายทางธรรมกับหลวงปู่สุภามาปกครองดูแลถ้ำพระทองสืบมา ถ้ำพระทอง ปัจจุบันมีชื่อว่า วัดพระพุทธไสยาสน์ อยู่ ต.บ้านคอเขียว อ. วาริชภูมิ จ. สกลนคร หลวงปู่สุภาได้ทำการอุปถัมภ์ในด้านต่าง ๆ ตามกำลังของท่านจวบจนทุกวันนี้
    [​IMG]
    ทักษิณถิ่นแดนธรรม
    หลวงปู่สุภาหันมาธุดงค์ทางใต้ หลังจากปลดภาระจากบ้านเกิดแล้ว และสถานที่ที่หลวงปู่สุภาไปก็คือภาคใต้ เลยเข้าไปมาเลเซีย สิงคโปร์ และแถบหมู่บ้านในแหลมมลายู ท่านนิยาชมชอบสถานที่ใน จ.ภูเก็ต ก็เมื่อท่านมาปักกลดอยู่ที่เขารัง และเมื่อมีญาติโยมมาอุปัฏฐากท่าน ท่านก็ได้เกริ่นที่จะสร้างวัดที่เขารัง ญาติโยมก็มีจิตศรัทธา จึงได้ติดต่อเจ้าของที่เพื่อจะขอซื้อ แต่เจ้าของที่ดินปฏิเสธ หลวงปู่สุภาจึงตกลงใจถอนกลดธุดงค์เพื่อเดินทางต่อไป ในราตรีก่อนที่จะถอนกลดนั้น หลวงปู่สุภาก็ได้นิมิตประหลาด มีพระภิกษุชราภาพมากรูปหนึ่งมาปรากฏร่างที่ข้างกลดธุดงค์ของท่าน เมื่อท่านออกมาพบ พระภิกษุชรารูปนั้นก็ได้บอกหลวงปู่สุภาว่า
    “อย่าได้เสียใจเลย ยังมีสถานที่ที่เขาต้องการให้ท่านไปสร้างวัด ชาวบ้านเขารอกันเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครไปสร้างให้ จงข้ามทะเลไปยังเกาะสิเหร่ ที่นั่นคือที่ที่ท่านจะสมปรารถนา”
    จากภูเก็ต หลวงปู่สุภาลงเรือที่ทางญาติโยมจัดให้ เพื่อเดินทางไปเกาะสิเหร่ แล้วหลวงปู่สุภาก็ปักกลด แสวงหาวิเวกบนเกาะสิเหร่ ละมาพบที่ดินที่ถูกใจแปลงหนึ่ง จึงสอบถามหาเจ้าของที่ ปรากฏว่าเจ้าของที่คือแป๊ะหลี มีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สุภา จึงปวารณาตัวอุทิศที่ให้สร้างเป็นวัดขึ้นเป็นวัดแรกของเกาะ เรียกว่า “วัดเกาะสิเหร่”
    เนื่องจากภาระในการสร้างวัดเกาะสิเหร่ เป็นภาระที่หนักมาก และต้องหาทุนทรัพย์จากภายนอกมาเกื้อหนุน หลวงปู่สุภาจึงต้องเดินทางไปมาระหว่าง กทม. กับเกาะสิเหร่ บ่อยมาก และได้พบกับฆราวาส จอมอาคม จากสำนักเขาอ้อ คืออาจารย์ชุม ไชยคีรี และอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ เพื่อร่วมกันสร้างวัตถุมงคลครั้งแรกเรียกว่า “พระเสด็จกลับ”
    หลังจากที่สร้างวัดเกาะสิเหร่แล้ว หลวงปู่สุภาได้นิมิตถึงพระพุทธไสยาสน์ จึงนำมาสร้างเป็นพระพุทธไสยาสน์ประจำวัดเกาะสิเหร่ รวมเวลาการสร้างวัดเกาะสิเหร่และพระพุทธไสยาสน์ เป็นเวลา ๖ ปี เต็ม โดยถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งการนี้ได้โปรดเกล้าพระราชทานแววพระเนตรมาประดิษฐานไว้ที่พระเนตรของพระพุทธไสยาสน์
    พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ ได้ก่ออภินิหารมากมาย และที่เล่าลือในหมู่ชาวเกาะสิเหร่ก็คือ เรื่องราวของการที่ขโมยได้ลอบเข้ามาจะสกัดเอาแววพระเนตรของพระพุทธไสยาสน์ในตอนกลางคืน ได้ของมาแล้วก็จะนำออกไปจากวัด ปรากฏว่า เดินวนอยู่ในวัด หาทางออกไม่ถูก จนชาวบ้านมาพบและพระเห็นเข้า จึงเรียกตำรวจมาจับพร้อมของกลาง โดยรับสารภาพทำไปเพื่อจะนำแววพระเนตรไปขาย แต่ก็หาทางออกไม่ได้ เดินวนไปมาจนถูกจับ
    เมื่อหลวงปู่สุภาตั้งใจสร้างวัดบนเกาะสิเหร่นั้น ชาวบ้านก็วิตกกังวลว่า ท่านจะหาทุนมาจากไหน เพราะการคมนาคมไม่สะดวก ทำให้การขนส่งวัสดุก่อสร้างนั้นเสียเวลานาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายก็สูงอีกด้วย แต่ก็ปรากฏว่าหลวงปู่สุภาได้แรงศรัทธาจากทั้งคนบนเกาะสิเหร่และคนที่ภูเก็ต ตลอดจนญาติโยมจากนครปฐม และทุกแห่งที่ท่านเคยไปสร้างความเจริญมาร่วมช่วยกันอย่างเต็มที่และเต็มแรงกายแรงใจ หลวงปู่สุภาลำดับวัดที่เคยไปสร้างความเจริญไว้ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า ๓๓ วัด แต่ละวัดล้วนมีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของท่าน
    เมื่อวัดได้ทำการสร้างสำเร็จแล้ว หลวงปู่สุภาก็แบกกลดขึ้นไปทางเหนืออีกครั้ง เพื่อแสวงหาความวิเวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ค่ายทหารที่เขาค้อ อันเป็นค่ายที่ต้องประจันหน้ากับพวก ผกค. ที่มียุทธวิธีการรบแบบกองโจร ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมากกับกำลังทหาร หลวงปู่สุภาได้เข้าไปพักในค่ายทหาร คอยเป็นขวัญกำลังใจ ตลอดจนสร้างพระเครื่อง - เครื่องรางของขลังแจกทหารในค่ายที่ออกไปลาดตระเวน ทำลายที่ตั้งของค่ายพักฝ่าย ผกค. ปรากกว่าทหารที่มีเครื่องรางของท่านล้วนแคล้วคลาดทุกคน
    ออกจากเขาค้อ ท่านกลับไปเยี่ยมบ้านอีกครั้ง คราวนี้อาพาธหนักด้วยไข้ป่า เพราะท่านไปอยู่บนเขาค้อ จนได้รับเชื้อมาลาเรียอย่างรุนแรง แต่ด้วยอำนาจแห่งศีล สมาธิ ปัญญา และบารมีธรรม ทำให้หลวงปู่สุภาเพียงอาพาธหนัก ต้องรักษาอยู่นาน ซึ่งลูกหลานต่างก็ยินดีที่หลวงปู่มาพักอยู่ด้วยอย่างเนิ่นนาน
    หลวงปู่สุภาธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ จนลืมไปว่าท่านเคยมาพักอยู่ที่ภูเก็ต เมื่อท่านระลึกได้จึงเดินทางกลับมาที่เขารังที่ท่านเคยปักกลดและขอซื้อที่ดินทำวัด แต่เจ้าของปฏิเสธ มาคราวนี้กาลเวลาเปลี่ยนไป หลวงปู่สุภาในวัย ๘๔ ปี รู้สึกว่าเขารังที่เคยเป็นดินแดนสงบ ถูกความเจริญรุกไล่จนกลายเป็นสวนสาธารณะแล้ว ทางเหนือได้กลายเป็นโรงพยาบาลวชิระ โรงพยาบาลประจำเกาะภูเก็ต ด้านหลังของโรงพยาบาล ที่ติดกับเขารังทางด้านเหนือได้ทำเป็นสถานที่เก็บศพ เล่าลือว่าผีดุ หลวงปู่สุภาจึงไปปักกลดที่นั่น มีศิษย์ที่เคยรู้จักท่านพบเข้าจึงเล่าลือกันปากต่อปาก มีศรัทธาสาธุชนเพิ่มมากขึ้น และทุกคนเห็นพ้องว่าท่านอายุ ๘๔ แล้ว สังขารมีแต่ชราและอาพาธบ่อย ๆ เกรงว่าหากแบกกลดธุดงค์ ตะลอนไปเรื่อย ๆ ก็คงมรณภาพกลางทางเข้าสักวัน จึงนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่กับที่ โดยได้ขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่จะขายให้ ๑ ไร่เศษ นอกจากนั้น เจ้าของไม่ยินดีให้ความร่วมมือ จึงทำการสร้างวัดไม่ได้ เพราะ พ.ร.บ. การปกครองคณะสงฆ์ระบุไว้ชัดว่า จะสร้างวัดต้องมีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า ๖ ไร่ จึงต้องสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น และตั้งชื่อตามนามของท่านเจ้าของที่ดินดั้งเดิม คือ “สำนักสงฆ์เทพขจรจิตร” โดยได้มาจากส่วนหนึ่งของบรรดาศักดิ์ท่านเจ้าของคือ “หมื่นขจรจิตรพงษ์ประดิษฐ์” และหลวงปู่สุภาเล็งเห็นว่า หากต้องการสร้างความสงบให้แก่เขารังและแก่จังหวัดภูเก็ต ต้องสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขารัง โดยออกแบบให้มีส่วนฐานขององค์พระขึ้นไปจากหลังคาสำนักสงฆ์ โดยช่างรับเหมาระบุราคาไว้ ๒๐ ล้านบาท แต่ด้วยท่านอาศัยบารมีธรรมและการสงเคราะห์จากลูกศิษย์ จนในที่สุด จึงสร้างพระพุทธรูปนั่งที่ใหญ่ที่สุดในเกาะภูเก็ต มองเห็นได้แต่ไกลได้สำเร็จ
    เนื่องจากท่านได้อาพาธจนเข้าโรงพยาบาลวชิระอยู่บ่อยครั้ง และท่านเห็นว่า ไม่มีตึกสงฆ์ ทำให้พระต้องไปอยู่รวมกับคนป่วยอื่น จึงดำริที่จะสร้างตึกสงฆ์ จึงเข้าพบ ผอ. โรงพยาบาลวชิระ ออกปากขอที่ดินพร้อมทั้งแบบก่อสร้างเพื่อเป็นแนวทางในการหาทุนมาสร้าง นับเป็นผลงานในขณะที่ท่านอายุเข้าถึง หนึ่งศตวรรษ หรือ ๑๐๐ ปีของท่าน แต่ท่านไม่เคยย่อท้อในชีวิตของท่าน มีแต่คำว่า ให้ และ สร้างทุกอย่าง สำเร็จด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่าน
    ถึงแม้ปัจจุบันท่านจะไม่ได้แบกกลดออกท่องธุดงค์ เพื่อแสวงหาความวิเวกตามเขาลำเนาไพรอีกแล้ว ด้วยความจำกัดแห่งสังขาร แต่ท่านก็ทำหน้าที่สงเคราะห์ญาติโยมที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ว่าจะทางจิตใจ หรือแม้แต่ผู้ถูกคุณไสย ทั้งยังทำหน้าที่เป็นวิปัสสนาจารย์ ท่านจะคอยแนะนำข้อปฏิบัติ และให้โอวาททุกวันหลังจากพระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา มาไหว้พระสวดมนต์เย็นเสร็จแล้ว เท่าที่ได้สัมผัสมา หลวงปู่สุภามีศิษย์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศไปมาหาสู่ท่านมิได้ขาด โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ด้วยแล้ว มากันเป็นคันรถ เพราะท่านเคยไปธุดงค์ช่วยเขาในอดีต ส่วนทั้งศิษย์เก่าและใหม่ ต่างพากันไปนมัสการท่าน ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า
    “ได้รับเมตตา ได้เห็นรอยยิ้มท่าน ได้รับพร และได้รับวัตถุมงคล ทำให้มีขวัญและกำลังใจเพิ่มพูนขึ้น และทำมาค้าขายคล่อง มีรายได้เพิ่มเป็นกอบเป็นกำ พ้นจากทุกข์ได้ก็ด้วยบารมีของหลวงปู่สุภาเป็นที่พึ่ง”
    [​IMG]
     
  5. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    [​IMG]

    [​IMG]

    ประวัติการสร้างพระเสด็จกลับของหลวงปู่สุภา กันตสีโล
    วัตถุประสงค์ในการสร้างพระเสด็จกลับ


    ประวัติพระผงวิเศษ 84,000 องค์ ทรงขุนแผนเรือนแก้ว ทรงพระรอด รูปและลูกประคำหลวงปู่คง ของอาจารย์ชุม ไชยคีรี รูปเหรียญ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ที่สร้างด้วยว่านยาแร่ธาตุ พญาว่าน มหาว่าน มหาว่าน น้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์ รวม 2,000 กว่าชนิด 84,000 องค์ ผ้ายันต์เสือ ผ้ายันต์สิงห์ ของอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ น้ำมันมหานิยมเลิกรบ ของอาจารย์ชุม ที่ทำพิธีสร้าง และพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดสารอด เขตราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี โดยเจตนาช่วยกันสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาด้านรูปและวัตถุ มีนโยบายให้ผู้มีศรัทราน้อย รักนับถือในรูปแล้วเข้าถึงคุณเอาเอง และถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถตลอดจนถึงเจ้าฟ้าพระเจ้าลูกยาเธอทั้งอุทิศส่วนกุศล เป็นสาธารณะทั่วไปโดยคณะผู้ดำเนินการสร้างไม่หวังผลตอบแทนอย่างอื่นเป็นประโยชน์ส่วนตัวอกจากปรารถนาบุญกุศล
    1. วัน 24 ธันวาคม 2506 เวลา 6.30 น. ได้อุมดฤกษ์พุทธาพิเษกและปลุกเสก อาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ทำพิธีบวงสรวงสังเวย เวลา 9.00 น. อาจารย์สุภา เจิมเทียนชัยแล้วอาจารย์ ทั้งสามรวมกันอธิษฐานเชิญครูอาจารย์ และวิญญาณเทพเข้าประจำในมลฑลพิธี วิญญาณขุนแผนเข้าประทับตรวจความเรียบร้อยของพิธีเสร็จแล้ว อาจารย์อุทัยเข้าบริกรรมเริ่มตั้งธาตุบรรจุธาตุ 8 ชั่วโมง พร้อมกันนั้นอาจารย์ชุม ไชยคีรี นำพระผงวิเศษที่สร้างรวม 108 องค์ ไปโดยเรือยนต์พร้อมด้วยพระสงฆ์ 5 รูป ไปทำพิธีสังเวยบวงสรวงกลางแม่น้ำ แล้วกลับมาทำพิธีศาลเทพารักษ์ที่สร้างไว้ที่แม่น้ำหน้าวัดสารอดอีกครั้งหนึ่ง
    เวลา 19.00 น. พระเถระผู้ใหญ่ 9 รูป จากพระอารามหลวง และอารามต่างๆ มีสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนฯ เป็นประธาน เจริญพระพุทธมนต์เวลา 20.30 น. เชิญวิญญาณอาจารย์คง อาจารย์ขุนแผนเข้าประทรับทรง จุดเทียนชัย พระสงฆ์ชุดพุทธาภิเษก 4 รูป สวดคาถาจุดเทียนไชย พระอาจารย์สุภา นั่งปรก วิญญาณขุนแผนเข้าประทับทรงอาจารย์ชุม อาจารย์อุทัย เข้าทำการปลุกเสก พระสวดพุทธาภิเษก เวลา 21.00 น. หยุด เปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ที่มา ในพิธีเข้าพบวิญญาณขุนแผนได้จนถึงเวลา 22.00 น. เวลา 24.00 น. ขุนแผนพร้อมด้วยวิญญาณเทพทำพิธีตลอดพิธี มีพุทธาภิเษก และปลุกเสกบรรจุคุณ โดยพระอาจารย์ผู้ทรงคุณชุดละ 9 อาจารย์ และเชิญวิญญาณขุนแผนเข้าประทับทรงปลุกเสกบรรจุคุณตลอดพิธี โดยมีระเบียบและแบ่งเวลาออกดังนี้
    ระยะที่ 1
    1. เสกตั้งธาตุ บรรจุธาตุแต่งธาตุ เสกพระคาถาจุติจากชั้นดุสิตลงสู่ พระครรภ์พระพุทธมารดา เสกพระคาถาประสูตรจากพระครรภ์เสกพระคาถาเสด็จย่าง 7 ก้าว พระอาการ 32 พระคาถาบำเพ็ญพระบารมี จนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า 3 วัน
    2. เสกธาตุ 4 อาการ 32 อักขระ 16 หัวใจ ของหัวใจ 108 อย่างละ 108 จบ 3 วัน
    3. เสกธาตุ 4 อาการ 32 อักขระ 16 หัวใจ ของหัวใจ 108 คาถาชุดคงกระพัน อย่างละ 108 จบ 5 วัน
    ระยะที่ 2 เสกกันปืนมหาอุด กันวัตถุระเบิด ห้ามดินน้ำลมไฟเสกผูกเสกกัน 5 วัน
    ระยะที่ 3 เสกแคล้วคลาด เสกศักดิ์สิทธิ์ 1 เสกไปกลับ แปลงรูปหุ่นยนต์ เสกกำแพงเพ็ชร์ 7 ชั้น เสกมงกุฏ พระพุทธเจ้า 5 วัน
    ระยะที่ 4 เสกมหานิยม มหาเสน่ห์ มหาละลวย มหาลาภ เลิกรบเลิกเบียดเบียน 5 วัน
    ระยะที่ 5 เสกรวมเสกผูกกัน 4 วัน รวมเป็นเวลาพุทธาภิเษกและปลุกเสก 30 วัน วันละ 3 เวลา คือ เวลา 5.00 น 9.00 น. 21.00 น.
    พระอาจารย์ที่เป็นพระต้องปลงอาบัติ ทุกครั้งแล้วจึงต้องเข้ามลฑลพิธี อาจารย์ที่เป็นฆราวาสต้องนุ่งขาวห่มขาวสมาทานศีลห้า โดยถือพรมจรรย์เป็นวัตรอยู่ประจำในบริเวณพิธี และบริเวณวัดตลอดพิธี เมือเสกจบลงระยะหนึ่งๆ ก็ทำการพิสูจน์ทดลองต่อหน้าประชาชนให้ผู้สนใจชม เป็นการอบรมศึกษาวิธีทำจิตให้เข้าถึงคุณพระไปในตัว การทดลองก็เพื่อชี้ให้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า พระพุทธเจ้าแม้เสด็จเข้าสู่ปรินิพานไปนานแล้ว ยังทรงอยู่ แต่พระคุณทั้งหลาย ถ้าผู้ใดเข้าถึงพระพุทธคุณแล้ว ยกเอาพระพุทธคุณเป็นที่พึ่ง พระพุทธคุณย่อมเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก และกำตัดภัยให้ผู้เข้าถึงได้จริง นอกจากนั้น พระพุทธคุณย่อมแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นอัศจรรย์ได้นานาประการ
    วันที่ 23 มกราคม 2507 เวลา 20.00 น. นิมนต์พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสนากรรมฐาน 9 รูป สวดพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร์พระสหาสมัยสูตร แล้วสวดพุทธาภิเษก และปลุกเสก ด้วยพระอาจารย์ชุดเดิม ถึงเวลา 23.30 น.
    วันที่ 24 มกราคม 2507 เวลา 03.00 น. นิมนต์พระอาจารย์ผู้ทรงคุณทางวิปัสนากรรมฐาน 9 รูป เข้านั่งปรก สงบเสียงอื่นๆ หมดจนถึงเวลา 04.00 น. ต่อจากนั้นสวดพุทธาภิเษกบทสุดท้าย พระอาจารย์ และอาจารย์ ชุดเดิมจุดเทียนมงคลเจิมเวียนเป็นทักษิณาวัตร 3 รอบ พระเถระ 9 รูปสวดชัยมงคลคาถา ย่ำคล้องย่ำกลองจนถึงเวลา 06.00 น พระสวดคาถาดับเทียนไชย พระอาจารย์และอาจารย์ชุดเดิมดับเทียนไชย และเทียนเจิมพร้อมกัน พระอาจารย์ อาจารย์ และคณะกรรมการนำพระผงปางที่สร้างขึ้นในพิธี และพระผลทุกรุ่นทุกปางของอาจารย์ชุม ไชยคีรี ที่เคยสร้างมาครั้งก่อนๆ พร้อมด้วยแบบพิมพ์อธิษฐาน เข้าบรรจุไว้ในกรุใต้ฐานพระประธานในพระอุโบสถวัดสารอด เสร็จแล้วถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระอาจารย์ และพระสงฆ์ในวัดประมาณ 50 รูป
    เวลา 08.00 น. พระเถระ 9 รูป สวดไชยมงคลคาถา พระเถระผู้สูงอายุนั่งเป็นประธาน พระอาจารย์ และอาจารย์รวม 10 รูป บริกรรมนับพระ องค์ประธานให้คะแนนร้อยคะแนนพัน และคะแนนหมื่น เมื่อตรวจนับพระเสร็จแล้ว มอบให้คณะกรรมการ
    เวลา 10.30 น. นิมนต์พระเถระ 9 รูป มีสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนฯ เป็นประธาน ทำพิธีสมโภชพระอาจารย์ อาจารย์ และคณะกรรมการพร้อมทั้งผู้พิมพ์พระ ทำบุญตักบาตรถวายเครื่องไทยทาน
    วันที่ 25 มกราคม 2507 เวลา 06.00 น. – 12.00 น. เปิดปฐมฤกษ์ อาจารย์ชุม ไชยคีรี แจกพระให้แก่ทหารบก , ทหารเรือ , ทหารอากาศ , และตำรวจในเครื่องแบบฟรีโดยมิต้องเสียเงิน วิญญาณขุนแผนเข้าประทับทรง ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พระอาจารย์สุภา กนฺตสีโล และอาจารย์อุทัย อุจศรีวัตร แจกพระและผ้ายันต์แก่ทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริจาคเงิน ไปจนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507
    วันที่ 13 – 19 กุมภาพันธ์ 2507 แจกที่ วัดเกาะสีคิ้ว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา
    วันที่ 23 – 29 กุมภาพันธ์ 2507 แจกที่ สำนักวิหารธรรมขุนแผนอุทิศ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
    วันที่ 1 – 7 มีนาคม 2507 แจกที่ สำนักสงฆ์เกาะสิเหร่ จ.ภูเก็ต
    หลวงพ่อสุภา กนฺตสีโล อายุ 69 ปี 49 พรรษา ปกติท่านชอบถือธุดงค์เป็นวัตร ท่านอยู่ตามป่า ตามถ้ำมากกว่าอยู่ประจำตามวัดวาอาราม แต่ท่านชอบสร้างวัดไว้ตามท้องถิ่นหมู่บ้านที่ไกลจากความเจริญ สร้างแล้วท่านก็มอบให้ผู้อื่นเป็นเจ้าอาวาส รวมวัดที่ท่านสร้างมาแล้ว 33 วัด ตัวท่านเองชอบจาริกไปตามอัธยาศัยของท่าน นอกจากจาริกไปทั่วประเทศไทยแล้ว ยังจาริกไปประเทศอินเดีย ประเทศญวน ประเทศลาว ประเทศเขมร ประเทศพม่า เป็นต้น ทั้งมีความสนใจในว่านยา แร่ธาตุ ที่เป็นกายสิทธิ์ ท่านจึงรวบรวมไว้หลายชนิด เพื่อเป็นการศึกษาค้นคว้าหาความจริง เมื่อปี พ.ศ. 2502 ท่านได้เดินทางไปจังหวัดภูเก็ต พบเขาลูกหนึ่งอยู่ในทะเล เขาเรียกกันว่า เกาะสิเหร่ อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองภูเก็ต ท่านก็ได้นั่งเจริญกรรมฐานอยู่บนเกาะนั้น ก็ได้พบกับมนุษย์จำพวกหนึ่งคือ พวกชาวทะเล (หรือพวกเงาะน้ำ) ซึ่งเป็นมนุษย์แต่ไม่รู้ภาษาของมนุษย์อย่างมนุษย์จำพวกอื่นๆ ท่านจึงเกิดเมตตาจิต จึงอยู่อบรมสั่งสอนมนุษย์จำพวกนั้น ให้รู้ภาษามนุษย์และให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จนมนุษย์จำพวกนั้น 600 กว่าคนเลื่อมใสศรัทธารู้จักทำบุญให้ทาน พ่อค้า คฤหบดี และประชาชนที่ทราบในเมตตาจิตของท่าน ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส พร้อมใจกันสร้างสำนักสงฆ์ ขึ้นบนเกาะนั้น และได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ยาว 18.50 เมตร ประดิษฐานไว้บนยอดเขาที่เกาะนั้น

    [​IMG]

    เมื่อสร้างเสร็จแล้วท่านได้ทูลเกล้า ขอพระราชทานแววพระเนตร จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมก็ทรงพระกรุณา พระราชทานให้ตามความปรารถนา แต่พระพุทธไสยาสน์องนั้น ยังมิได้มีพระวิหาร เป็นแต่ทำเป็นโรงมุงสังกะสีไว้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ท่านมีความปรารถนาจะสร้างพระวิหารให้ถาวรครอบพระพุทธไสยาสน์ โดยเสด็จพระราชกุศล ให้สมพระเกียรติ จึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พบกับอาจารย์ชุม ไชยคีรี ซึ่งเป็นอาจารย์ที่มีความสามารถในการสร้างพระมาแล้วมากครั้ง ขอความร่วมมือเพื่อจะเอาว่านยาแร่ธาตุที่ท่านสะสมไว้ สร้างเป็นรูปพระไว้แจกสมนาคุณ แก่ศิษยานุศิษย์ผู้มีจิตศรัทธารวมทุนสร้างพระวิหาร อาจารย์ชุม ไชยคีรี ก็ยินดีอนุโมทนาในการกุศล พร้อมด้วยมอบแร่ธาตุว่านยาผงวิเศษ 1,000 กว่าชนิด ที่ท่านเคยสะสมไว้ประสมกับว่านของอาจารย์สุภา ท่านจะสละทุกสิ่งทุกอย่างช่วยจัดการดำเนินงานให้จนเสร็จ ต่อจากนั้นอาจารย์ชุม ไชยคีรี ก็เชิญวิญญาณขุนแผน ซึ่งท่านเคารพนับถืออย่างสูงในชีวิตของท่าน โดยถือเป็นวิญญาณวิเศษ เป็นเทพชั้นสูง เข้าประทับทรงเชิญเข้าร่วมกุศลวิญญาณขุนแผน ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ก็ยินดีอนุโมทนา อนุญาตให้ทำเป็นพระทรง พระขุนแผนเรือนแก้ว บอกตำรา และวิธีสร้างพระตามตำราอาจารย์คง ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน ที่เคยสร้างพระทรงขุนแผนเรือนแก้วให้ท่าน ครั้งต้นสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งท่านเป็นแม่ทัพ ท่านรับรองเข้าประทับทรงเป็นประธานเข้าพิธีปลุกเสก บรรจุคุณให้มีคุณครบถ้วนตามคุณวิเศษของท่าน เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ต่อจากนั้นอาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้ไปเชิญพระอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ อายุ 74 ปี ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิความรู้ทางคุณพระ และทางไสยศาสตร์เป็นพิเศษมารวมด้วย อาจารย์อุทัยก็ยินดีอนุโมทนา และท่านอุทิศว่านยาแร่ธาตุผงวิเศษ ทำผ้ายันต์เสือ ผ้ายันต์สิงห์ ซึ่งเป็นผ้ายันต์ที่ท่านเคยใช้ได้ผลดีมาแล้ว เข้าสมทบในการกุศล ท่านเข้าร่วมปลุกเสกตลอดพิธี เฒ่าแก่ยู่ลิ้น แซ่เฮง ก็ได้ขอร้องให้ไปทำที่วัดสารอด โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นวัดที่ชำรุดทรุดโทรม และกำลังอยู่ในช่วงบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่ จึงได้นำหลวงพ่อสุภา กนฺตสีโล และอาจารย์ชุม ไชยคีรี ไปพบท่านอธิการชนาง เอี่ยมอุดม เจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัด ทุกคนเมื่อทราบเรื่องราวแล้วก็ยินดีร่วมมือ และให้ความสะดวกทุกประการ พิธีจึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
    ว่านที่ท่านอาจารย์หลวงพ่อสุภา กนฺตสีโล พยายามสะสมไว้ประมาณสามสิบกว่าปี มีประมาณ 100 กว่าชนิด ซึ่งมีชื่อตรงกันกับที่ท่านอาจารย์ชุม สะสมไว้ทุกอย่างจึงไม่กล่าวในที่นี้ นำมากล่าวในที่นี้แต่เฉพาะว่านที่มีคุณภาพอย่างยอดเยี่ยม และหายากไม่มีในประเทศไทย ซึ่งบางอย่างท่านได้ลงทุนซื้อ ราคาเป็นหมื่นบาท เช่น
    1. ว่านกระจายหัวควาย ว่านชนิดนี้ ทางประเทศลาว เรียกว่า กระจายหัวควาย ทางประเทศไทยเราเรียกว่า พญาว่าน ว่านนี้ท่านได้ลงทุนซื้อ จากเจ้าของเขาที่นำมาเลี้ยงไว้เป็นเงินหนึ่งหมื่นบาท ลักษณะหัวลำต้นและใบคล้ายต้นกล้วยญวน แต่มีใบเพียงสามใบเท่านั้น ก่อนที่จะไปเอาต้องบวงสรวงสังเวยก่อนจึงจะเข้าไปเอาได้ หากยังมิได้บวงสรวงสังเวย เข้าไปเอามีอันตรายถึงกับเสียชีวิต ว่านนี้ตามตำรามีเทวดารักษา วิเศษใช้ได้ทุกทาง
    2. ว่านกินเหล็ก ว่านกินเงิน ว่านกินทอง ว่านกินกระดาษ ว่านกินข้าวตอกแตก 5 อย่างนี้ ก่อนที่จะเข้าไปเอา จะต้องให้กินเหล็ก เงิน ทอง กระดาษ ข้าวตอก จนอิ่ม โดยให้เอาของที่เลี้ยงจี้ และทิ้งเข้าไปที่หัวว่าน ว่านกินจนกระทั่งของที่เราเอาไปเลี้ยงนั้นละลายหายไปหมดแล้ว จึงเข้าไปเอาได้ ไม่เช่นนั้นอันตราย ว่านชนิดนี้มีวิเศษทุกทาง เพราะมีรุกขเทวดารักษา ต้องทำพิธีบวงสรวงสังเวยให้กินของที่ต้องการปีละครั้ง
    3. ว่านเพชรกลับ ว่านชนิดนี้มีสองชื่อ คือทางประเทศลาว เรียกว่า ว่านน้ำ ทางประเทศไทย เรียกว่า ว่านเพชรกลับ เพราะว่านชนิดนี้ เวลาปลูกต้องใช้กระทงสามเหลี่ยม แล้วเอาดินมาใส่กระทงให้เต็ม แล้วเอาหัวว่านนั้นปลูกลงในกระทง แล้วอธิษฐานให้ปล่อยไปตามน้ำ เมื่อถึงเวลาครบรอบปีเราต้องการจะเอาขึ้น ก็ต้องทำพิธีเช่นเดียวกัน แล้วหนีไปให้ห่างสักครู่หนึ่ง แล้วย้อนกลับมาดูจะปรากฏว่า ว่านนั้นกลับมาอยู่ในกระทง ลำต้นและใบแห้งปรากฏเหมือนกับว่านที่เราปลูกที่บ้านของเราตามธรรมชาติ คุณวิเศษตามตำรา เมื่อนำติดตัวเรา เราจะต้องได้กลับมาบ้าน โดยไม่ไปตายนอกบ้าน กันอาวุธอุปัทวเหตุนาๆ ชนิด
    4. ว่านสบู่เลือด ว่านนี้ตามธรรมดาที่ประเทศไทยเรา มีผู้สนใจเอามาปลูกกันไว้มีมากเหมือนกัน แต่ก็ปรากฏว่าไม่เหมือนกับที่ท่านได้เอามาจากประเทศลาว ว่านสบู่เลือดที่ท่านนำมานี้มีลักษณะ มีลำต้น และหัวๆ เดียวจนตลอดไป โดยมากผู้ที่มีว่านชนิดนี้จะต้องเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมาก ใบของมันสีแดงเหมือนกับเลือด มีใบคล้ายใบข้าว และมีเฉพาะสามใบเท่านั้น จะปลูกไว้กี่ปีก็ตาม มีเพียงสามใบเท่านั้น วิเศษในทางลาภและคงกระพัน
    5. ว่าไพลดำ ที่ในประเทศไทย ที่เราได้ยินได้เห็นกันนั้นมิใช่เป็นไพลดำที่แท้จริง ส่วนว่านไพลดำที่ท่านนำมานี้หาได้ยากที่สุด เพราะว่าดำทั้งหัวและดำทั้งใบ ว่านชนิดนี้เมื่อปลูกแล้วดินในบริเวณนั้นก็จะดำ และจะเอาอะไรไปขุดหรือตัดหัวของมันไม่ขาด เสียมก็ขุดไม่เข้า ต้องมีผู้เข้าใจในเรื่องว่านจึงจะเอาได้ และฝนตกน้ำลาดไปถึงไหนก็ดำไปถึงนั้น วิเศษทางคงกระพัน และทำให้เกิดตาทิพย์
    6. ว่านนางกวัก ทำยากที่สุด คือ จะเอาหัว หรือใบ อย่างที่เข้าใจกันนั้นไม่ได้ ถ้าเราต้องการเราต้องไปตกลงกับเจ้าของว่าจะเอาสักเท่าไร สมมติว่าจะเอาให้มาก จะต้องบอกเจ้าของว่า เอาสักร้อยบาท เมื่อเจ้าของเอามือเด็ดที่ปลายใบ ยางของมันก็จะหยดลงมาเพียงร้อยหยดเท่านั้น ถ้าจะเอาอีกก็ต้องเพิ่มเงินให้เขาอีก ถ้าไม่เพิ่มมันก็ไม่ย้อย และโดยมากต้องมีอยู่ตามภูเขา เมื่อจะไปเอาต้องไปบริกรรมแผ่เมตตาจิตอยู่อย่างน้อย 15 วัน จึงจะได้ของมา วิเศษทางเรียกลาภ
    7. ว่านเพชรหลีก ได้มาครั้งนี้เฉพาะใบเท่านั้น ต้องไปนั่งเข้าสมาธิแผ่เมตตาจิตขอบิณฑบาตจากรุกขเทวดา เจ้าของว่านชนิดนี้มีอยู่บนยอดภูเขาสูง เรียกว่าเขาพนมศักดิ์ในประเทศลาว ทางเดินไปถ้ำวัวแดงท่านได้พยายามทำความเพียรนั่งเจริญภาวนาอยู่ 15 วัน ใบว่านจึงร่วงลงมาให้เพียงสามใบเท่านั้น วิเศษในทางแคล้วคลาด จากภัยอันตรายและกำบัง
    ท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี เป็นอาจารย์มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาทำจิตให้สงบ แล้วนำจิตให้เขาไปพบคุณพระ พิจารณาหาทางที่จะยกเอาพระขึ้นมาเป็นที่ระลึก และกำจัดภัยในปัจจุบัน จนเข้าถึงคุณพระด้วยตนเอง แล้วมีเมตตาปรารถนา จะให้เพื่อนที่เป็นมนุษย์ที่ยังไม่รู้ และยังไม่เข้าถึงให้รู้และให้เข้าถึง เพื่อเป็นการศึกษา เป็นการปลูกศรัทธา ให้ทุกคนรักในคุณพระ เมื่อมีศรัทธารักในคุณพระ ก็ย่อมมีความปรารถนา มีความอยากได้อยากเข้าถึงคุณพระเป็นธรรมดาของมนุษย์ ส่งใดที่รักที่ปรารถนาสิ่งนั้นก็ย่อมให้เกิดความเพียรความพยายามเป็นกำลัง ก็ย่อมเข้าถึงและสำเร็จสมความปรารถนาได้
    ฉะนั้นก่อนที่จะเข้าถึงคุณพระก็พบกับรูป พบกับนามเป็นบันไดขั้นแรกก็คือ รูปพระพุทธเจ้า และพระนามของพระพุทธเจ้า อาจารย์ชุม ไชยคีรี จึงนิยมสร้างรูปพระพุทธเจ้า ที่เราเรียกว่าพระเครื่องราง ชุดละ 84,000 องค์ มาหลายชุดด้วยกัน ท่านถือว่าเป็นการสร้างสมบารมี เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เอาอย่างพระอาจารย์เจ้าครั้งโบราณกาลที่เคยกระทำสืบต่อกันมา การสร้างรูปของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายต้องประกอบด้วยองค์ 3 คือ 1.วัตถุวิเศษ 2.บุคคลวิเศษ 3.กาลวิเศษ จึงบังเกิดรูปวิเศษได้ เมื่อรูปวิเศษเกิดขึ้นแล้ว คุณวิเศษคือความขลัง และความศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมบังเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว ฉะนั้นการสร้างพระของอาจารย์ทั้งหลายและอาจารย์ชุม ไชยคีรี ทุกครั้งจึงมีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งที่ระลึกกำจัดภัยอันตรายนาๆ ชนิดแก่ผู้เชื่อและผู้เข้าถึงได้จริง ดังจะเห็นได้จากความเพียรความพยายามในการจัดหาแร่ธาตุ และว่านยาพร้อมด้วยวัตถุวิเศษ ที่อาจารย์ชุม ไชยคีรี ที่เคยรวบรวมสะสมไว้ดังนี้
    1. เมื่อปี พ.ศ. 2484 ได้ทำผงพระพุทธนิมิตรวมแร่ธาตุ 16 อย่าง สร้างพระโสฬธาตุที่วัดไชยมงคล จังหวัดสงขลา แจกให้ทหารของชาติครั้งสงครามอินโดจีน ประมาณ 84,000 องค์ ผงที่เหลือสะสมไว้
    2. ปี พ.ศ. 2494 ทำผงนะปถมังสร้างพระผงนะปถมัง ที่วัดดอนประดู่ อำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง ได้พระหย่อนกว่า 84,000 องค์ ผงที่เหลือสะสมไว้
    3. ปี พ.ศ. 2496 จัดหาผงตามตำราอาจารย์คง อาจารย์ขุนแผนสร้างพระเทพนิมิตรถวาย วัดบรรพตนิมิต อำเภอเขาไชนสน จังหวัดพัทลุง 84,000 องค์ ผงที่เหลือสะสมไว้ ต้นปี พ.ศ. 2497 ได้เดินทางทั่วประเทศหาผงวิเศษจากพระหักป่น และผงกันกรุพร้อมด้วยว่าน 108 ชนิด สร้างพระผงวิเศษถวาย วัดญวณ สะพานขาวพระนคร 84,000 องค์ ในพรรษานั้น ได้รวบรวมผงทั้งหมดไปรวมกับผงว่านยาที่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช สะสมไว้ ได้เชิญและนิมนต์อาจารย์ภาคใต้ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาจารย์ชุม และอาจารย์ของขุนพันธรักษ์ราชเดช จังหวัดนครศรีธรรมราชมารวมกันทำพิธีสร้างพระทีวิหารหลวง วัดพระบรมธาตุ ตลอด 3 เดือน ได้พระทั้งหมด 84,000 องค์ พร้อมเงิน 118,688 บาท ถวายให้เป็นสมบัติพระบรมธาตุ ผงที่เหลือสะสมไว้ ปี พ.ศ. 2498 สร้างพระปางประธานพรถวายวัดเวฬุราชิน ธนบุรี 84,000 องค์ และสร้างพระเทพนิมิต เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อสัมฤทธิ์ ที่วัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี นำไปแจกบูรณะพระเจดีย์ บรรจุบรมธาตุ ที่วัดไชยมงคล จังหวัดสงขลา หลังจากนั้นก็ได้รับเชิญไปร่วมสร้างพระในพิธีต่างๆ หลายพิธี มาเมื่อเดือนเมษายน 2506 รวบรวมว่านยาแร่ธาตุที่เคยทำ และสะสมไว้ทั้งหมดไปรวมสร้าง พระผงสมเด็จหลวงพ่อดำ หลวงพ่อขาว ที่วัดเสน่หา นครปฐมประมาณ 84,000 องค์ เพื่อเป็นการสร้างครั้งสุดยอด อาจารย์ชุม ไชยคีรี จึงได้รวบรวมผงว่านยา แร่ธาตุ ที่มีอยู่ และผงที่สร้างพระ ที่วัดเสน่หามารวมกับผงว่านยาแร่ธาตุ ที่อาจารย์สุภา กนฺตสีโล ได้รวบรวมไว้ดังกล่าวแล้วข้างต้น สรุปแล้วแยกเป็น 9 ประเภทดังนี้
    1. ว่านยา 108 ชนิด เจาะจงเอาที่มีคุณวิเศษแต่ละอย่างไม่ซ้ำกัน
    2. ดอกไม้ 108 ชนิด มีชื่อไม่ซ้ำกัน (ดอกว่านขันหมากเงิน ขันหมากทอง ขาดไม่ได้)
    3. ดินสังเวชนียสถานทั้ง 4
    4. ดอกไม้ที่พระสงฆ์ขอขมาโทษซึ่งกันและกัน วันเข้าพรรษาเฉพาะวัดที่มีชื่อเป็นมงคลทั่วประเทศวันเดียว 108 วัด
    5. ดอกไม้ที่ประชาชนนำไปบูชาพระประธาน ในพระอุโบสถ วันจตุรงคสันนิบาต (วันมาฆบูชา) 108 วัด เริ่มเก็บได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกแล้วจนถึงเที่ยงคืน นำมาให้ถึงที่เดียวกันในคืนนั้น
    6. น้ำในมหานที 9 สาย และน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ อายุ 1,000 กว่าปี
    7. ตะใคร่น้ำที่พระบรมมหาเจดีย์ 9 แห่ง
    8. ดินโป่ง 9 แห่ง
    9. แร่ธาตุ 9 ชนิด คือ 1.แร่จักรนารายณ์ 2.แร่สังฆวานร 3.แร่ดีบุก 4.แร่ตะกั่วเถื่อน 5.แร่พลวง 6.แร่เหล็กไหล 7.แร่หงอนไก่เหลือง 8.แร่วิเศษ 400 กว่าปี 9.ผงวิเศษกันกรุ วัดขวิด สุพรรณบุรี
    ว่านวิเศษ 108 ชนิด
    1. ว่านจักรนารายณ์
    2. พญาว่าน
    3. ว่านท้าวมหาพรหม
    4. ว่านพระตะบะ
    5. ว่ามหานิยม
    6. ว่านเพชรกลับ
    7. ว่านเสน่ห์จันทร์ทอง
    8. ว่านเสือโคร่ง
    9. ว่านเพชรสังฆาต
    10. ว่านหนุมานยกทัพ
    11. ว่านหนุมาน
    12. ว่านหนุมานนั่งแท่น
    13. ว่านดาบหัก
    14. ว่านม้าเหาะ
    15. ว่านร่อนทอง
    16. ว่านพระยาช้างเผือก
    17. ว่านทิพยเนตร
    18. ว่านสามพันตึง
    19. ว่านกระบี่ทอง
    20. ว่านพระยาไม้ผุ
    21. ว่านนางคำ
    22. ว่านมหาระงับ
    23. ว่านปราบสี่ทิศ
    24. ว่านแม่โพสพ
    25. ว่านเสือร้องไห้
    26. ว่านนะโมพุทธายะ
    27. ว่านพังพอนไฟ
    28. ว่านลูกล้อมแม่
    29. ว่านครอบจักรวาฬ
    30. ว่านกุมารทอง
    31. ว่านเพชรหลีก
    32. ว่านนารายณ์แปลงรูป
    33. ว่านหอมดำ
    34. ว่านทองคำ
    35. ว่านขุนแผน
    36. ว่านขอทอง
    37. ว่านหอมเสน่ห์จันทร์
    38. ว่านพญาลิ้นงู
    39. ว่านช้างประสมโขลง
    40. ว่านพฤหัสบดี
    41. ว่านพระยาหน้าศึก
    42. ว่านนางล้อมฯ
    43. ว่านเสน่ห์จันทร์ก้านแดง
    44. ว่านนางกวัก
    45. ว่านกะทู้เจ็ดแบก
    46. ว่านขมิ้นขาว
    47. ว่านมหาเมฆ
    48. ว่านสีหมอกม้า
    49. ว่านน้ำแห้งตัวเมีย
    50. ว่านเสน่ห์จันทร์ก้านเขียว
    51. ว่านดอกทอง
    52. ว่านลิงดำ
    53. ว่านพระอาทิตย์
    54. ว่านสบู่ทอง
    55. ว่านพระฉิม
    56. ว่านสามหวายไม่แตก
    57. ว่านเณรแก้ว
    58. ว่านนางพญา
    59. ว่านพิชัยดาบหัก
    60. ว่านอีโต้ดาบหัก
    61. ว่านกลิ้งกลางดง
    62. ว่านพระยาหงษ์ทอง
    63. ว่านสบู่เลือดอย่างขาว
    64. ว่านจอมมฤคคา
    65. ว่านสบู่หยวก
    66. ว่านแร้งคอดำ
    67. ว่านขันหมากเงิน
    68. ว่านขันหมากทอง
    69. ว่านวันทองห้ามทัพ
    70. ว่านฉัตรพระพรหม
    71. ว่านช้างงาอ่อน
    72. ว่านสารพัดพิษ
    73. ว่านพระเจ้าห้าองค์
    74. ว่านหน้าทั่งตัวผู้
    75. ว่านหนุมานเดินดง
    76. ว่านแมวซาง
    77. ว่านตาลปัตรฤาษี
    78. ว่านเพชรน้อย
    79. ว่าเพชรหึง
    80. ว่านหนังแห้งตัวเมีย
    81. ว่านเขียวมรกต
    82. ว่านปราบพระนคร
    83. ว่านคันทมาลา
    84. ว่านขามเครือ
    85. ว่านพระยาลิ้นดำ
    86. ว่านหอกหัก
    87. ว่านขุนแผนสะกดทัพ
    88. ว่านสมเด็จนางพญา
    89. ว่านมหาเสน่ห์
    90. ว่านหนังแห้ง
    91. ว่านนางคุ้ม
    92. ว่านแสงอาทิตย์
    93. ว่านนิลพัตร
    94. ว่านพระจันทร์
    95. ว่านกระชายดำ
    96. ว่านชัยมงคล
    97. ว่านคางคกเหล็ก
    98. ว่านหน้าทั่งตัวเมีย
    99. ว่านรางจืด
    100. ว่านขาใหญ่
    101. ว่านหนังเหนียว
    102. ว่านพนักทอง
    103. ว่านไพลดำ
    104. ว่านหัวเดียว
    105. ว่านลิ้นมังกร
    106. ว่านสบู่ตัน
    107. ว่านกงจักรพระอินทร์
    108. ว่านนางรำ
    ดอกไม้ต่างชื่อ ต่างสี 108 ชนิด
    1. ดอกว่านขันหมากเงิน
    2. ดอกว่านขันหมากทอง
    3. ดอกปทุมบัวหลวง
    4. ดอกชัยพฤกษ์
    5. ดอกพิกุล
    6. ดอกบุญนาค
    7. ดอกสาระภี
    8. ดอกกาหลง
    9. ดอกหญ้าเจ้าชู้
    10. ดอกจำปา
    11. ดอกจำปี
    12. ดอกบัวสวรรค์
    13. ดอกเสือหมอบ
    14. ดอกยูงทอง
    15. ดอกราชาวดี
    16. ดอกราตรี
    17. ดอกพิกุลทอง
    18. ดอกยี่โถ
    19. ดอกทองกวาว
    20. ดอกมะลิวัลย์
    21. ดอกผกามาส
    22. ดอกซ่อนกลิ่น
    23. ดอกว่านลิ้นมังกร
    24. ดอกลั่นทม
    25. ดอกชงโค
    26. ดอกเบญจมาส
    27. ดอกทรงบาดาล
    28. ดอกกระดังงา
    29. ดอกพุทธรักษา
    30. ดอกเข็มเหลือง
    31. ดอกบานไม่รู้โรย
    32. ดอกชบา
    33. ดอกแก้ว
    34. ดอกคัดเค้า
    35. ดอกสาวหยุด
    36. ดอกพุทธชาติ
    37. ดอกพุดซ้อน
    38. ดอกหงอนไก่
    39. ดอกรัก
    40. ดอกรักซ้อน
    41. ดอกว่านเสี่ยงโชค
    42. ดอกกล้วยไม้เขา
    43. ดอกปทุมบัวขาว
    44. ดอกยูงเล็ก
    45. ดอกชำมนาด
    46. ดอกสร้อยทอง
    47. ดอกมะลิลา
    48. ดอกมหาวงษ์
    49. ดอกชวนชม
    50. ดอกว่านงาช้าง
    51. ดอกกุหลาบ
    52. ดอกกินติ
    53. ดอกเขี้ยวแตก
    54. ดอกแคฝรั่ง
    55. ดอกเฟื่องฟ้า
    56. ดอกเสี่ยงทาย
    57. ดอกแจ่มจันทร์
    58. ดอกมะเขือพวง
    59. ดอกกะถินพิมาน
    60. ดอกแจง
    61. ดอกทุ้งฟ้า
    62. ดอกจานแดง
    63. ดอกบานบุรี
    64. ดอกแพงพวยฝรั่ง
    65. ดอกกล้วยไม้ดิน
    66. ดอกเฟื่องชมภู
    67. ดอกรักแดง
    68. ดอกว่านหางกระรอก
    69. ดอกทองอุไร
    70. ดอกเข็มขาว
    71. ดอกสุคนธรส
    72. ดอกเข็มแดง
    73. ดอกรักเร่
    74. ดอกดาวเรือง
    75. ดอกบานชื่น
    76. ดอกดาวกระจาย
    77. ดอกเข็มชมภู
    78. ดอกนางแย้ม
    79. ดอกเการัก
    80. ดอกแพงพวยบก
    81. ดอกอโศก
    82. ดอกแคทราย
    83. ดอกคณฑีสอ
    84. ดอกผกากรอง
    85. ดอกทองพันชั่ง
    86. ดอกมะลิซ้อน
    87. ดอกพุทราซ้อน
    88. ดอกการะเกด
    89. ดอกชุมเรียง
    90. ดอกทับทิมทอง
    91. ดอกถั่วหนัง
    92. ดอกกรรณิกา
    93. ดอกว่านเศรษฐี
    94. ดอกฝ้าย
    95. ดอกดาบนารายณ์
    96. ดอกลำเจียก
    97. ดอกทองหลางน้ำ
    98. ดอกปีกนกกระทา
    99. ดอกฤาษีผสม
    100. ดอกฉัตรมงคล
    101. ดอกทานตะวัน
    102. ดอกกระถินบ้าน
    103. ดอกอินทนิล
    104. ดอกเข็มเศรษฐี
    105. ดอกราชพฤกษ์
    106. ดอกนางตามชู้
    107. ดอกอย่าลืมฉัน
    108. ดอกรักไม่ลืม
    ดอกไม้ วันจตุรงคสันนิบาต 108 วัด
    1. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
    2. วัดบวรนิเวศวิหาร
    3. วัดราชบพิธ
    4. วัดมกุฏกษัตริย์
    5. วัดเบญจมบพิตร
    6. วัดพระเชตุพน
    7. วัดสระเกศ
    8. วัดโสมนัสวิหาร
    9. วัดราษร์บูรณะ
    10. วัดบพิธภิมุข
    11. วัดชัยชนะสงคราม
    12. วัดสัตตาราม
    13. วัดปรินายก
    14. วัดสุนทรธรรมทาน
    15. วัดตรีทศเทพ
    16. วัดราชนัดดา
    17. วัดเทพธิดา
    18. วัดมหรรณ์
    19. วัดบูรณะศิริ
    20. วัดสุทัศน์
    21. วัดราชประดิษฐ์
    22. วัดราชผาติการาม
    23. วัดบรมนิวาส
    24. วัดปทุมคงคา
    25. วัดสัมพันธ์วงศ์
    26. วัดกันมาตุยาราม
    27. วัดไตรมิตร
    28. วัดดวงแข
    29. วัดชัยมงคล
    30. วัดชำนิหัตการ
    31. วัดสระบัว
    32. วัดราชาธิวาส
    33. วัดนรนารถ
    34. วัดเทวราชกุญชร
    35. วัดสังเวช
    36. วัดพลับพลาไชย
    37. วัดคณิกาผล
    38. วัดมหาพฤฒาราม
    39. วัดแก้วฟ้าล่าง
    40. วัดหัวลำโพง
    41. วัดสามพระยา
    42. วัดอนงคาราม
    43. วัดปุบผาราม
    44. วัดพิชัยยาติการาม
    45. วัดหิรัญรูจีวรวิหาร
    46. วัดทองนพคุณ
    47. วัดทองธรรมชาติ
    48. วัดขุนจันทร์
    49. วัดนวลนรดิษฐ์
    50. วัดปาน้ำภาษีเจริญ
    51. วัดเวฬุราชิน
    52. วัดราชคฤห์
    53. วัดเสวตฉัตร
    54. วัดโพธิ์นิมิตร
    55. วัดราชโอรส
    56. วัดนางรอง
    57. วัดหนัง
    58. วัดอัปสรสวรรค์
    59. วัดจันทาราม
    60. วัดสุขาราม
    61. วัดใหญ่ศรีสุพรรณ
    62. วัดอินทาราม
    63. วัดบางไส้ไก่
    64. วัดสังข์กระจาย
    65. วัดราชสิทธิราม
    66. วัดหงษ์
    67. วัดอรุณ
    68. วัดเครือวัลย์
    69. วัดนาคกลาง
    70. วัดพระยาทำ
    71. วัดอัมรินทร์
    72. วัดฉิม
    73. วัดวิเศษการ
    74. วัดระฆังโฆสิตาราม
    75. วัดช่องลม
    76. วัดละครทำ
    77. วัดชิโนรส
    78. วัดชนะสงคราม
    79. วัดอินทรวิหาร
    80. วัดมหาธาตุ
    81. วัดประยุรวงศาวาส
    82. วัดกัลยาณมิตร
    83. วัดดงมูลเหล็ก
    84. วัดเสน่หา นครปฐม
    85. วัดพระปฐมเจดีย์
    86. วัดไผ่ล้อม
    87. วัดพระงาม
    88. วัดท่าตำหนัก
    89. วัดทัพหลวง
    90. วัดธรรมศาลา
    91. วัดกลางบางแก้ว
    92. วัดพระประโทน
    93. วัดสรรเพชร
    94. วัดพระทรง เพชรบุรี
    95. วัดมหาสมณาราม
    96. วัดสนามพรหมณ์
    97. วัดลาด
    98. วัดคงคาราม
    99. วัดป้อม
    100. วัดยาง
    101. วัดข่อย
    102. วัดสัตตนาถปริวัติ
    103. วัดสีชมภู
    104. วัดพลับ เพชรบุรี
    105. วัดห้วยจระเข้
    106. วัดตุ๊กตา
    107. วัดชีประเสริฐ
    108. วัดศรีสุริวงศ์
    น้ำในมหานที 9 สาย
    1. แม่น้ำโขง
    2. แม่น้ำปิง
    3. แม่น้ำวัง
    4. แม่น้ำยม
    5. แม่น้ำน่าน
    6. แม่น้ำมูล
    7. แม่น้ำเจ้าพระยา
    8. แม่น้ำท่าจีน
    9. แม่น้ำตานี
    ตะใคร่น้ำ ที่พระบรมมหาเจดีย์ 9 แห่ง
    1. พระบรมธาตุ นครปฐม
    2. พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
    3. พระบรมธาตุ นครพนม
    4. พระบรมธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่
    5. พระบรมธาตุ ลำปาง
    6. พระบรมธาตุ สุโขทัย
    7. พระบรมธาตุ จอมทองลำพูน
    8. พระบรมธาตุชะเวดากอง ประเทศพม่า
    9. พระบรมธาตุหงษารามัญ
    ดินโป่ง 9 แห่ง
    1. ดินโป่งรางกระถิน
    2. ดินโป่งหน้าเขาพิศดง
    3. ดินโป่งมักเม้า
    4. ดินโป่งใหญ่ในป่าลึก จังหวัดกาญจนบุรี
    5. ดินโป่งพุล้อ
    6. ดินโป่งหลังเขาพิศดง
    7. ดินโป่งทำโข่ง
    8. ดินไมยราพ
    9. ดินโป่งชุมนุมตาโหงพราย
    น้ำพระพุทธมนต์ และน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่นำมาประสมว่านยา
    1. น้ำมนต์หลวงพ่อเลื่อน วัดสามแก้ว จ.ชุมพร
    2. น้ำมนต์พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
    3. น้ำมนต์หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน นครศรีธรรมราช
    4. น้ำมนต์บนเขา สมเด็จปู่เจ้าเกาะไชโย สงขลา
    5. น้ำมนต์หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ปัตตานี
    6. น้ำมนต์ในสระศักดิ์สิทธิ์ เพชรบุรี
    7. น้ำพระพุทธมนต์ 25 ศตวรรษ ท้องสนามหลวง
    8. น้ำพระพุทธมนต์ 100 ปี ของวัดบวรนิเวศวิหาร
    9. น้ำพระพุทธมนต์ ที่พระบรมธาตุนครพนม
    10. น้ำพระพุทธมนต์ ในพระอุโบสถ วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่
    11. น้ำในสระศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทั่วประเทศ มี สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกศ สระพังเงิน สระพังทอง สุพรรณบุรี สระน้ำจันทร์นครปฐม เป็นต้น
    12. น้ำพระพุทธมนต์ ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
    13. น้ำพระพุทธมนต์ในวังหลวง 170 ปี
    14. น้ำพระพุทธมนต์ในวันทำสังคายนาประเทศพม่า ซึ่งพระเถระทั่วโลก 2,500 องค์ ประชุมกัน
    ขี้เถ้าธูปศักดิ์สิทธิ์
    1. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์หินช้าง จ.ชุมพร
    2. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์เข้าพับผ้า พัทลุง
    3. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์ หลักเมืองสงขลา
    4. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์ หลักเมืองปัตตานี
    5. ขี้เถ้าธูปศาลสมเด็จปู่เจ้า เกาะไชโย (เกาะยอ) สงขลา
    6. ขี้เถ้าธูปสมเด็จหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ปัตตานี
    7. ขี้เถ้าธูปที่บูชาพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
    8. ขี้ธูปศาลเจ้าพ่อประสาททอง องค์พระปฐมเจดีย์
    9. ขี้ธูปศาลเจ้าพ่อเขางู ราชบุรี (พระฤาษีสมาธิคุปต์)
    ผงวิเศษ ได้จากที่ต่างๆ
    1. ผงว่านวิเศษของหลวงพ่อเลื่อน วัดสามแก้ว จ.ชุมพร
    2. ผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง โฆสิตาราม ผงพระพุทธคุณ 1 ผงอิทธเจ ผงปถมัง 1 ผงมหาราช 1 ผงตรีนิสังเห 1
    3. ผงว่านวิเศษของท่านพระครูรักขิตวันมุนี วัดป่าเลไลย์ ให้มา
    4. ผงวิเศษในถ้ำพระยาแร้งสมัยศรีวิชัย ท่านเจ้าคุณพระศีลศารโสภณ จ.ตรัง ให้มา
    5. ผงพระป่นสมัยทวาราวดีที่องค์พระประโทน
    6. สะเก็ดพระบรมธาตุนครพนม ท่านเจ้าคุณพระเทพรัตนโมฬี ให้มา
    7. ผงพระหักป่นสมัยทวาราวดี นายณรงค์ สุปัญญรักษ์ ให้มา
    8. ผงพระกันกรุ สมัยทวาราวดี นายอุทัย ให้มา
    9. ผงผสมของอาจารย์ 108 องค์ ของ พระครูรักขิตวันมุนี ให้มา
    10. ผงพระธราราชกับผงพระคาถาชินบัญชร ของ พระเทพ ปียวฑโณ ให้มา
    11. ผงผสมของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี ท่านเจ้าคุณวรพรต คณาจารย์ ให้มา
    ดินที่สังเวชนีย์สถาน 4 ตำบล
    1. ที่ประสูติ
    2. ที่ตรัสรู้
    3. ที่แสดงพระธรรมจักร
    4. ที่นิพพาน
    จากท่านอาจารย์คง วัดบ้านสวน จ.พัทลุง ไปนำมาจากประเทศอินเดีย
    ผงวิเศษ 108 กรุ ที่อาจารย์ชุม ไชยคีรี จัดหาด้วยตัวท่านเอง
    1. ผงกระดูกอาจารย์เกตุ วัดขวิด
    2. ผงอาจารย์คง อาจารย์ของขุนแผน วัดตาลฯ
    3. ผงแดงหุ่นพยนต์ อาจารย์เกตุ วัดขวิด
    4. ผงดำหุ่นยนต์ อาจารย์เกตุวัดขวิด
    5. ผงเขียวเนื้อชิน อาจารย์เกตุ วัดขวิด
    6. ผงผสมแร่ธาตุก้นกรุอาจารย์เกตุ วัดขวิด
    7. ผงพระประธานอาจารย์คลิ้ง วัดโสภา
    8. ผงพระมหานิยมในเจดีย์วัดโลกา
    9. ผงยาวัดดอนไก่เตี้ย
    10. ผงพระเนื้อชิน วัดกุฏิสงฆ์
    11. ผงขุนแผน เนื้อดินเผา วัดบ้านกร่าง
    12. ผงพระพลายเพชร พลายบัว วัดบ้านกร่าง
    13. ผงขุนแผนไข่ผ่าซีก วัดสุวรรณภูมิ
    14. ผงเนื้อชิน วัดพระธาตุ
    15. ผงก้นกรุอาจารย์คง วัดตาล
    16. ผงกระดูกอาจารย์คง วัดตาล
    17. ผงไม้มะกอกอาจารย์คง วัดตาล
    18. ผงพระหักป่น วัดตาล
    19. ผงพระดินก้นกรุ วัดไทร
    20. ผงพระเนื้อชิน วัดมหาธาตุ
    21. ผงพระดินเผานาคปรก วัดมหาธาตุ
    22. ผงพระดินเผา แบบโมคคัล ลาสาริบุตร วัดมหาธาตุ
    23. ผงพระดินเผา แบบพระ 55 วัดมหาธาตุ
    24. ผงอิฐคนโบราณในเจดีย์วัดมหาธาตุ
    25. ผงพระหักป่น กรุวัดพายหลวง
    26. ผงพระหักป่น กรุวัดมังกร
    27. ผงพระหักป่น กรุวัดศรีชุม
    28. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดิน วัดหินทัง
    29. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินวัดปากทัง
    30. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินหลวงพ่อโตวัดป่าม่วง
    31. ผงพระเนื้อชินดิน วัดเขาตะพานหิน
    32. ผงพระเนื้อดินเผา วัดช้างล้อม
    33. ผงพระดินเผาวัดป่ากล้วย
    34. ผงพระดินเผาวัดป่ามะขาม
    35. ผงพระเนื้อชิน วัดป่าหญ้ากร่อน
    36. ผงพระอิฐพราหมณ์ วัดศรีสวาย ได้จาก จ.พิษณุโลก 17 กรุ
    37. ผงพระเนื้อชิ้น เนื้อดินวัดเชตุพน
    38. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดิน วัดดินดำ
    39. ผงพระดินเผา วัดดอนลาม
    40. ผงพระดินเผาชินราช วัดโบสถ์
    41. ผงพระดินเผา วัดโป่งพยอม
    42. ผงพระเนื้อชิน เผาแบบนางพญา วัดต้นจันทร์
    43. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินเผาเนื้อทองเหลือง วัดปากน้ำ
    44. ผงพระเนื้อดินเผา วัดสตือ
    45. ผงพระเนื้อดินเผา วัดจุฬามณี
    46. ผงพระเนื้อดินเผา วัดปราง
    47. ผงพระเนื้อดินเผา มีแร่ธาตุ วัดไก่เตี้ย
    48. ผงพระเนื้อชิน ดินเผา วัดปะขาวหาย
    49. ผงพระเนื้อดิน วัดวิหารทอง
    50. ผงพระเศียรหักพระหัก วัดพระพุทธชินราช
    51. ผงพระสมเด็จนางพญาสีขาว วัดนางพญา
    52. ผงพระเนื้อดินเผา วัดเจดีย์ทอง
    53. ผงพระเนื้อดินเผา วัดประตูชัย
    54. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินเผาเนื้อว่าน วัดอรัญญิก
    55. ผงพระเนื้อชินอ่อน วัดหูช้าง
    56. ผงพระเนื้อชิน วัดคลองเป็ด
    57. ผงพระหักป่นวิหารพระร่วง
    58. ผงสมเด็จนางพญาสีดำ วัดนางงำระยา
    59. พระเนื้อดิน เนื้อชิน วัดลั่นทม ได้จาก จ.นครศรีธรรมราช 10 กรุ
    60. ผงพระคัมภีร์พระไตรปิฎก วัดพระมหาธาตุ
    61. ผงพระพระพวย วัดพระมหาธาตุ
    62. ผงตะไคร่พระเจดีย์ทุกองค์ วัดพระมหาธาตุ
    63. ผงตะไคร่พระด้านทุกองค์ วัดพระมหาธาตุ
    64. ผงตะไคร่พระศรีมหาโพธิ์ วัดพระมหาธาตุ
    65. ผงพระหักป่น วัดท่าเรือ
    66. ผงพระดินเผา วัดนางตรา
    67. ผงอิฐพระเจดีย์ วัดท่าเรือ
    68. ผงวัดท้าวโคตร
    69. ผงว่าน 108 ของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้จากกรุจังหวัดเพชรบูรณ์ (7 กรุ)
    70. ผงดินพระหักป่นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
    71. ผงดินพระหักป่น วัดเสือ
    72. ผงดินพระหักป่น วัดช้างเผือก
    73. ผงดินพระหักป่น วัดพระแก้ว
    74. ผงดินพระหักป่น วัดหลวงพ่อกบ
    75. ผงดินพระหักป่น วัดมหาธาตุ
    76. ผงดินพระหักป่น วัดสิงห์ ได้จากกรุ จ.พัทลุง 7 กรุ
    77. ผงดินดิบสมัยศรีวิชัย ถ้ำคูหาสวรรค์
    78. ผงอิทธิเจของท่านพระครูสิทธิยาถิรัตน์ วัดดอนศาลา อาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ
    79. ผงพระหักป่น วัดเขาเจียก
    80. ผงดินทองถ้ำ เขาไชยสน
    81. ผงกระดูกคนโบราณ ในถ้ำเขาไชยสน
    82. ผงดินดิบสมัยศรีวิชัย ถ้ำอกทะลุ
    83. ผงถ้ำยาหอม เขาไชยสน ได้จากกรุ จ.ลำพูน 5 กรุ
    84. ผงพระรอด วัดพระรอด
    85. ผงพระสิบสอง วัดพระธาตุ
    86. ผงพระสาม วัดพระธาตุ
    87. ผงพระเปิม วัดพระธาตุ
    88. ผงพระหักป่น วัดทับยั๋น และจังหวัดต่างๆ 18 กรุ รวม 108 กรุ
    89. ผงพระสมัยทวาราวดี วัดพระประโทน นครปฐม
    90. ผงเนื้อชิน วัดพระพิโทน
    91. ผงโทนพราหมณ์ สมัยทวาราวดี นครปฐม
    92. ผงพระดินดิบ สมัยศรีวิชัย ถ้ำเขาสาย จังหวัดตรัง
    93. ผงพระดินดิบ สมัยศรีวิชัยถ้ำคีรีวิหาร จังหวัดตรัง
    94. ผงสมเด็จวัดระฆัง ธนบุรี
    95. ผงอิทธิเจ วัดหิรัญรูจี ธนบุรี
    96. ผงเนื้อดิน เนื้อชิน วัดบึงสัมพันธ์ อุตรดิตถ์
    97. ผงทองแท่น วัดพระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์
    98. ผงในเจดีย์ ดอยสุเทพ เชียงใหม่
    99. ผงพระหักป่น วัดพระปรางสวรรคโลก
    100. ผงดินเผากำแพงเพชร
    101. ผงดินเนื้อชิน วัดมะละกอ พิจิตร
    102. ผงพระหูยานหน้ายักษ์ หลวงพ่อจุก ลพบุรี
    103. ผงสมเด็จวัดอินทร์ พระนคร
    104. ผงนะปถมัง วัดบางแพรกใต้ นนทบุรี
    105. ผงดอกไม้ 108 วัด
    106. ผงพญาว่านมหาว่าน ของอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง
    107. ผงพระเทพนิมิต ของอาจารย์ชุม ไชยคีรี
    สิ่งของที่ต้องเตรียมพร้อม เมื่อจะทำพิธีบวงสรวงสังเวย
    วันเริ่มต้นพิมพ์พระ และวันเริ่มต้นพุทธาภิเษก
    1. ราชวัตรแผงทาสีขาว ยาว 1-2 เมตร
    2. ฉัตรระบายขาว 9 ชั้น สูง 2 เมตรครึ่ง ส่วนล่างยาว 1 เมตร 20 เซ็นต์
    3. เทียนชัยขี้ผึ้งดี หนัก 80 บาท ไส้เทียน 80 เส้นสูงเสมอศรีษะประธาน
    4. เทียนขี้ผึ้งดีหนัก 1 บาท ยาว 1 คืบ 50 เล่ม
    5. ธูปหอม 1,000 ก้าน
    6. เทียนมงคลยาวรอบศรีษะ ไส้เท่าอายุประธาน 32 เล่ม ขี้ผึ้งหนัก 5 บาท
    7. เทียนเงิน เทียนทอง 4 คู่ ขี้ผึ้งหนัก 1 บาท ใส้ 16 เส้น ยาว 12 นิ้ว
    8. เทียนขี้ผึ้งธรรมดาขนาดเล็ก 220 เล่ม
    9. ผ้าขาวนุ่งห่ม 2 ชุด
    10. ตู้เทียนไชย 1 ตู้
    11. ผ้าขาวยาวประมาณ 2 ตารางเมตรครึ่ง 2 ผืนสำหรับปูโต๊ะบูชา
    12. หัวหมู 2 หัว
    13. ไก่ 2 ตัว
    14. เป็ด 2 ตัว
    15. ปลาช่อนแป๊ะซะ 2 ตัว
    16. กล้วยน้ำไทย 4 หวี
    17. มะพร้าวอ่อน 2 ลูก
    18. ขนมต้มแดง ต้มขาว อย่างละชามใหญ่
    19. ไข่ไก่ต้ม 10 ฟอง
    20. ปูทะเล 2 ตัว
    21. อ้อยเอาทั้งใบ 12 ต้น
    22. ถั่วงาคั่วอย่างละจาน
    23. ข้าวปากหม้อ 1 ชามใหญ่
    24. ข้าวเหนียว 1 ชามใหญ่
    25. สมโอ 2 ผล
    26. สมเขียวหวาน 2 จาน
    27. น้ำจิ้มหัวหมู 1 ถ้วย
    28. น้ำพริกเผา 6 ถ้วย
    29. หมาก พลู บุหรี่ อย่างละ 9 รวม 2 พาน
    30. ต้นกล้วยต้นงามๆ สูงเสมอหัว ขุดทั้งหัว 12 ต้น
    31. หญ้าคา 3 กำ
    32. สายสิญจน์ซื้อใหม่ 2 กลุ่ม
    33. น้ำชาจีนอย่างดี 1 กาใหญ่
    34. น้ำดื่ม 2 ขวด ถ้วยแก้ว 2 ใบ ช้อนส้อม 1 คู่
    35. ดอกไม้ประดับแจกัน 8 คู่
    36. ดอกมะลิ 2 ลิตร
    37. บายศรีใหญ่ 5 ชั้น 1 คู่
    38. บายศรีกลาง 1 ชั้น 1 คู่
    39. บายศรีปากชาม 1 คู่
    สิ่งของทั้งหมดต้องนำมาส่งพร้อม และจัดเสร็จก่อนฤกษ์ประมาณ 30 นาที

    พระคาถาชุมนุมเทวดา ในพิธีพุทธาภิเษก วัดสารอด
    สาธุ สัคเค ข้าพเจ้าขออัญเชิญ มวลเทพเจ้าซึ่งสิงสถิตย์อยู่ในฉกามาพจรสวรรค์ กาเม อยู่ในกามภพอนันต์จังหวัดวง จะรูเป เทพเจ้าดำรงอยู่ในห้วงมหรรณพสิงพรเขตยุคนธร จันตะลิกเข เทพเจ้าอันแน่นแนว อยู่ในอากาศ วิมาน อยู่ในวิมานมาศรัตมณเฑียร ทีเป เทพเจ้าอยู่ในเกาะเกียรน้อยและใหญ่ รัฏเจ ข้าขออัญเชิญเทพยาดาเจ้าที่อยู่ ในแว่นแคว้นทั่วประเทศทั้งท้าวสยามเทวราชอันเรืองฤทัย ทั้งพระจันทร์ พระอาทิตย์ ผู้ดำรงค์โลกราศรี ตะรุวะนะคะหะเน เทพเจ้าอยู่ในหม่ไม้ไพรพฤกษาศาล เคหะวัต ถุมหิ เขตเต เทพเจ้าอยู่ที่บ้านเรือน และไร่นา และที่พระอุโบสถนี้
    ภุมมา ข้าขอเชิญเทพยดาเจ้าที่อยู่ในภูมิประเทศทั่วขอบเขตจักรวาลมีพระภูมิเจ้าที่ ที่ประจำวัดสารอดเป็นประธาน ชะละถะละวิสะเม เทพเจ้าที่อยู่ในน้ำและบนบกมิได้เสมอกัน ยักขะคันทัพนาคา ทั้งยักษาคนธรรพ์นาคราชผู้เป็นใหญ่ ที่ท้าวภุชงค์พระยานาคราชกรุงบาดาล เป็นประธาน ดิฏฐันตาสันติเกยัง เทพเจ้าอยู่ที่เกาะแก่งแห่งตำบล มุนิวะระวะจะนัง ข้าพเจ้าขออัญเชิญพระฤาษีทุกแห่งหนอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยปรีชา มีพระฤาษีตาวัว พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีนารอด พระฤาษีนาไลย พระฤาษีบัลลัยโกฏ พระฤาษีสิงหดาบส พระฤาษีสัจจะพันธ์คีรี พระฤาษีมุนิดาบส พร้อมด้วยคุณครู คุณอาจารย์ คุณบิดา มารดา คุณครูปัติยาย หลวงปู่คง หลวงปู่ทวด หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า วัดเขาอ้อจังหวัดพัทลุง และหลวงพ่อรอดในพระอุโบสถ เจ้าพ่อแผนเป็นประธาน สาธะโวเมสุณันตุ ข้าขอเชิญเทพยดาอันเรืองเดช ซึ่งสิงสถิตย์อยู่ในอมรพิมานเมศเมืองฟ้า ธัมมัสสะวะนะกาโ,อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโ,อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโลอะยัมภะทันตา ข้าพเจ้าขออัญเชิญท้าวเทเวศน์สิ้นขอบเขตจักรวาลจงมาสโมสรรับเครื่องบวงสรวงสังเวย อันข้าพเจ้าได้จัดไว้พร้อมเสร็จอย่างบรรจง แล้วขอเทพยดาพร้อมด้วยคุณครูคุณอาจารย์ที่ได้อัญเชิญมารับเครื่องสังเวยทุกองค์ จงกรุณาประจำอยู่ในพิธีทำการปลุกเสกพิทักษ์รักษา ป้องกันภัยอันตรายกันศัตรูหมู่มารภายนอก มารภายใน ช่วยดลบันดาลของจิตใจ ของข้าพเจ้าทั้งสามให้มีปัญญาสามารถ เฉลียวฉลาดในการปลุกเสกบรรจุคุณ ช่วยเกื้อหนุนบัญชาให้เทพยดารักษาอยู่ประจำองค์พระทุกองค์ ที่สร้างขึ้นในพิธี ขอท้าวภุชงค์นาคราชพร้อมด้วยบริวารในกรุงบาดาล จงกรุณาส่งเสริมอิทธิปาฏิหารย์ และพุทธานุภาพ จงนำพระทั้ง 108 องค์ ที่ข้าพเจ้านำไปทำพิธีอาราธนาลงในแม่น้ำ กลับคืนมาประดิษฐานไว้ที่ศาลเทพารักษ์ เพื่อให้เกิดผลเป็นประจักษ์พยานปรากฏเป็นอัศจรรย์ แก่มวลเทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระผงวิเศษทั้ง 84,000 องค์ ใครนำไปสักการะบูชาก็ให้ปรากฏผลเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก นึกอะไรก็ให้สมความปรารถนาทุกประการ ขอจงอยู่อย่ารู้เสื่อมคลายช่วยกันสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนถาวร ด้วยอำนาจบุญกุศลที่คณะข้าพเจ้าและมวลเทพยดาครูอาจารย์ช่วยกันบำเพ็ญในกาลครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยส่งให้คณะข้าพเจ้าทุกคน ตลอดถึงคุณครู คุณอาจารย์ คุณเทพยดา จงประสพความสุขความเจริญ ประสพมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ เกิดพบพระพุทธศาสนาเข้าถึง คุณพระทุกชาติ กราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานในอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ นิพพาน นะปัจจะโย โหตุ อนาคตเตกาเล ขอน้อมเกล้าถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จเจ้าฟ้า พระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์


    [​IMG]

    ปรากฏการเป็นพิเศษ เมื่อพุทธาภิเษกได้ 7 วัน
    ซึ่งนับว่าการสร้างพระ 84,000 องค์ ครั้งนี้เป็นนิมิตอันดียิ่ง และเป็นมงคลอันสูงสุด ทั้งมีความมั่นใจอย่างยิ่ง ว่าคงได้รับผลสมความปรารถนา อย่างคุณวิเศษของขุนแผน ครั้งเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ทุกประการ เพราะแรงฤทธิ์อำนาจว่านยาแรงฤทธิ์เวทมนต์คาถา ประกอบด้วยความรู้ ความชำนาญ ความตั้งใจจริงของท่านอาจารย์ทั้งสาม
    1. พระอาจารย์สุภา กนฺตสีโล , อาจารย์ชุม ไชยคีรี , อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ทั้งสามอาจารย์ ไม่เคยรู้จักกัน บันดาลให้มาพบกัน มีความรักความสามัคคี มีเจตนาเสมอกัน
    2. วิญญาณอาจารย์คง อาจารย์ของขุนแผน และวิญญาณขุนแผน มาเข้าประทับทรงบอกตำรา และเป็นประธานในการปลุกเสก บรรจุคุณตลอดพิธี
    3. วันที่ 24 พฤศจิกายน เวลาที่อาจารย์ทั้งสามกำลังทำพิธีบวงสรวงสังเวย และผสมผงแร่ธาตุว่านยาเข้ารวมกัน พระสงฆ์ 9 รูป กำลังสวดไชยมงคลคาถาอยู่นั้น อีกาฝูงใหญ่ไม่เคยมีมาแต่ครั้งก่อน บินมาวนเป็นทักษิณาวัตร ร้องส่งเสียงอยู่ประมาณ 30 นาทีแล้วหายไป
    4. วันที่ 31 ธันวาคม ปลุกเสกมาได้ 7 วัน เวลา 05.00 น. เกิดแสงสว่างขึ้นที่หน้าพระอุโบสถ ปรากฏแก่สายตาพระสงฆ์ ที่กำลังเตรียมตัวจะออกบิณฑบาตรนานประมาณ 1 นาที เวลา 06.30 น. พระผงรวม 108 องค์ ที่อาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้นำไปอาราธนาลงในแม่น้ำดังกล่าวแล้ว แสดงอภินิหารเสด็จกลับมาต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนเป็นจำนวนมากซึ่งกำลังมุงดูกันอยู่ด้วยความแปลกใจ และกำลังย่ำฆ้องทะยอยกันเสด็จกลับมาประมาณ 3 ชั่วโมงจึงหยุด
    5. วันที่ 31 ธันวาคม เวลา 21.00 น. ทำพิธีตรวจนับพระที่เสด็จกลับปรากฏว่าพระเสด็จมาเพียง 106 องค์ ขาดไป 2 องค์ คณะศิษย์เรียนถามวิญญาณขุนแผนท่านบอกว่า พระที่เสด็จกลับมานั้นท้าวภุชงค์นาคราช พร้อมด้วยบริวารนำมาให้ และที่ขาดไป 2 องค์ วิญญาณขุนแผน บอกว่า หลวงปู่คง มอบให้ท้าวภุชงค์กับพระมเหสี คนละ 1 องค์ เวลา 22.00 น. ทดลองความขลังด้านคงกระพัน โดยอาจารย์ชุม อบรมผู้มีศรัทธา 7 คน แจกพระให้ถือไว้ในมือ และอมไว้ในปากคนละ 1 องค์ แล้เอามีดโกน ใบมีดดาบ ฟันเชือดเฉือน และให้ผู้อื่นเข้ามาเชือดเฉือนดู ปรากฏว่าเป็นคงกระพันตลอด จึงเอามีดตัดผมก็ไม่ขาดต่อหน้าประชาชน
    ตามตำรากล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีพระว่านวิเศษนี้อยู่ที่ตัว มีความเลื่อมใสจริงๆ เมื่อถึงคราวคับขันหมดที่พึ่งอย่างอื่น เช่น ออกรบศึก ถูกข้าศึกจับเป็นเชลย ถูกจองจำไว้ด้วยเครื่องพันธนาการ ให้ตั้งใจนึกถึงบ้าน และระลึกถึงคุณบิดามารดา เครื่องพันธนาการต่างๆ จะหลุดออกหมดกลับมาบ้านไหว้บิดามารดาได้ หรือเมื่อเราเป็นหัวหน้านำทัพ ลูกน้องถูกจับเป็นเชลย เพื่อนหรือญาติถูกจับเป็นเชลย หรือคนที่เรารักสูญหายไปจากบ้าน ตั้งใจภาวนาเรียกให้กลับ เมื่อเรามีพระชนิดนี้อยู่ที่ตัวเรา และพระอยู่ที่ตัวผู้ที่หายไปเรียกให้กลับมาได้
    เมื่อคืนวันที่ 15 มกราคม 2507 เวลา 24.00 น. อาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้เรียกสุภาพบุรุษมา 12 คน อบรมให้รู้จักคุณวิเศษของพระ แล้วให้ทุกคนอมพระรอดไว้ในปากคนละหนึ่งองค์ แล้วพร้อมกันเอาอีกคนหนึ่งไปใส่กุญแจมือคร่อมเสาไว้ในป่าช้า แล้วอีก 11 คน มานั่งบริกรรมเรียกอยู่ในพระอุโบสถ ประมาณ 5 นาที คนที่ใส่กุญแจไว้ กุญแจหลุดออกหมดทั้งสองข้างกลับมาได้ต่อหน้าประชาชน ชี้ให้เห็นประจักษ์พยานว่า มีพระว่านวิเศษชนิดนี้อยู่ไปแล้วกลับ แม้จะถูกจองจำด้วยพันธนาการใดๆ ก็กลับได้
    วัตถุมงคล พิธีเสด็จกลับ วัดสารอด มีดังนี้
    1. พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว พิมพ์ใหญ่ เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
    2. พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้วพิมพ์เล็ก เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
    3. พระรอด เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
    4. รูปเหมือนหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
    5. ประคำ 108 และรูปหลวงปู่คง เนื้อว่าน
    6. เข็มกลัดรูปเหมือนหลวงปู่สุภา
    7. ผ้ายันต์เสือ อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์
    8. ผ้ายันต์สิงห์ อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์
    9. น้ำมันมหานิยมเลิกรบ อาจารย์ชุม ไชยคีรี
    วิธีใช้
    พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกกำจัดภัยได้จริง แก่ผู้เข้าถึง รูปพระพุทธเจ้าทรงขุนแผนเรือนแก้ว ทรงพระรอด ประคำ 108 และรูปหลวงปู่คง รูปหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ที่สร้างขึ้นด้วยว่านยาแร่ธษตุพญาว่าน มหาว่าน ดอกไม้ เกษรดอกไม้ น้ำพระพุทธมนต์จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์รวม 2,000 กว่าชนิด จัดเป็นวัตถุพิเศษ พระอาจารย์และพระอาจารย์ที่มีเจตนาเป็นกุศล มีศีล สมาธิ ปัญญา ปล่อยวางภารกิจอุทิศกำลังกายกำลังใจ ให้เป็นทานอธิษฐานสร้างพระจนครบ 84,000 องค์ เป็นพุทธบูชาสืบต่ออายุพระ/พุทธศาสนา โดยไม่หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด อันเป็นส่วนอามิต สมมติเป็นบุคคลวิเศษ วิญญาณเทพชั้นสูงผู้ปรารถนา พระโพธิญาณมารวมปลุกเสก ตลอดพิธีเป็นเทพวิเศษกาลเวลาที่ทำพิธี ประกอบด้วย ฤกษ์ดี ยามดี มงคลดี เป็นกำเนิดวิเศษ สร้างเป็นรูปพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นรูปวิเศษ ทำพิธีพุทธาภิเษกสวดอธิษฐานบรรจุคุณ ปลุกเสกทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลา 30 วัน โดยวิญญาณขุนแผน อาจารย์สุภา อาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ และศิษย์อาจารย์ทั้งสาม ตรวจสอบพิสูจน์ทดลองความขลังที่บรรจุไว้ทุกระยะ จนปรากฏประจักษ์แก่สายตาประชาชนมาแล้ว ด้วยอำนาจแรงฤทธิ์ขององค์คุณวิเศษครบองค์ 5 ดังกล่าวแล้วข้างต้น พุทธานุภาพของพระผงครั้งนี้จึงสูงสุด ผู้นับถือประสพผลดุจคุณวิเศษของขุนแผน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ส่วนพระรอดก็มีคุณวิเศษเหมือนพระรอดที่พระฤาษีนารอดสร้างทุกประการ
    กายที่ละเว้นแล้วจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ละเว้นจากการพูดเท็จ และจากการดื่มสุรายาเมาเป็นกายที่ควรแก่คุณพระ ใจที่ได้เจริญภาวนาแล้ว มีสติสัมปชัญญะมีหิริความละอาย โอตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป เป็นใจที่ควรแก่คุณพระ ผู้สำรวมกายวาจาให้เป็นปกติ ปราศจากโทษ ชื่อว่าผู้เข้าถึงคุณพระ คุณพระที่เราเข้าถึงแล้วกำจัดภัยได้จริง
    วิธีทำจิตให้เข้าถึงคุณพระ และยกเอาคุณพระเป็นที่พึ่ง ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ หมดจดปราศจากความลังเลสงสัย ทำความนอบน้อมพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ตามองดูรูปจิตระลึกถึงคุณ ภาวนากำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท กำหนดลมหายใจออกว่า โธ จนเกิดความสงบแล้วทำความปรารถนา หรือออกเดินทาง ถ้าจะให้วิเศษสำเร็จความปรารถนาชั้นสูงสุด ต้องนั่งบริกรรมภาวนากำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท กำหนดลมหายใจออกว่า โธ ให้นาน แล้วจึงทำความปรารถนาความสำเร็จอยู่ที่แรงอธิษฐาน ความสงบที่บังเกิดขึ้นกับจิตนั้นแหละ คือคุณพระ เด็กๆ มีจิตว่างเปล่า คุณพระคุ้มครองได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ผู้ไม่มีความเชื่อไม่ควรรับไปใช้ ผู้นำไปทดลองทำเป็นเล่นปราศจากความเคารพในรูปพระพุทธเจ้า ที่พระอาจารย์ และอาจารย์บรรจุคุณแล้วเป็นบาปกรรมอย่างหนัก เทพยดาและแรงครูอาจารย์ดลบันดาลให้เกิดโทษนานาชนิด เสื่อมลาภ เสื่อมยศ หมดที่พึ่ง
    พระผงว่านยาวิเศษครั้งนี้ บรรจุคุณไว้พร้อมแล้วทุกประการ มีไว้ประจำตัวไปแล้วได้กลับ ไม่ไปเจ็บและไปตายด้วยภัยนานา ชนิดนอกบ้าน เพื่อส่งเสริมการไปแล้วกลับ ควรนำพระผงว่านวิเศษตั้งไว้ที่บูชาประจำบ้าน 1 องค์ นำติดตัวไป 1 องค์ แล้วทุกคนภายในบ้านของเราไปแล้วกลับอย่างที่เคยพิสูจน์ทดลองมาแล้ว เช่น นำพระไปอาราธนาลงในแม่น้ำส่วนหนึ่ง ไว้ประจำพิธีส่วนหนึ่ง ส่วนที่อยู่ในแม่น้ำส่วนหนึ่งเสด็จกลับมาได้ เอาพระให้ผู้มีความเชื่อ 12 คน อมไว้ในปาก แล้วเอาอีกคนหนึ่งไปใส่กุญแจคร่อมเสาในป่าช้า เวลา 24.00 น. ให้พวกหนึ่งไปบริกรรมภาวนาเรียกอยู่ในอุโบสถ คนที่ถูกใส่กุญแจคร่อมเสาไว้ในป่าช้า กลับมาได้จึงรับรองว่าพระนี้วิเศษในทางไปกลับได้เป็นอย่างดียิ่ง


    [​IMG]

    วิธีภาวนาชักลูกประคำ ว่านวิเศษ 108 ของหลวงปู่คง
    ก่อนเข้านั่งภาวนาควรอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด จัดดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ ทำกิจเบื้องต้นเสร็จแล้ว ให้ตั้งใจสมาทานวิรัชศีล 5 คือ ว่า นะโม 3 จบ แล้วว่า พุทธังสะระนังคัจฉามิ ธัมมังสะระนังคัจฉามิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธังสะระนังคัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมังสะระนังคัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ ตะติยัมปิพุทธังสะระนังคัจฉามิ ตะติยัมปิ ธัมมังสะระนังคัจฉามิ ตะติยัมปิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ แล้วว่า… อิมานิ ปัญจะสิกยาปะธานิสมาธิยามิ 3 จบ แล้วว่า… ปานาติปาตา เวระมรี สิกขา ปะทัง สมาธิยามิ อทินนาทานาเวระมนีสิกขาปะทังสมาธิยามิ กาเมสุมิจฉาจาราเวระมนีสิกขาปะทังสมาธิยามิ มุสาวาทาเวระมนีสิกยาปะทังสมาธิยามิ สุราเมระยะมัชปะมาทัตถานาเวระมนีสิกขาปะทังสมาธิยามิ ผู้ถือศีล 8 ก็ให้สมาทานวิรัชศีล 5 แล้วนั่งสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้ายเอาลูกประคำวางไว้บนมือ หลับตาภาวนากำหนดลมหายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” จนจิตสงบแล้วเอามือขวาจับลูกประคำยกขึ้นเสมออก ภาวนาคาถาพระธรรมราช ว่า พุทธังสะระนังคัจฉามิ ธัมมังสะระนังคัจฉามิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ ทะทะทะ โรโรโร อะอะอะ สะสะสะ โสโสโส โณโณโณ นะโมพุทธายะ 1 จบ นับลูกประคำไป 1 ลูกจนครบ 108 แล้ววางลูกประคำลงข้างหน้า กราบสามครั้ง หรือถ้านำติดตัวไป ก็ให้เอาลูกประคำสวมคอไป ก่อนออกเดินทางก็กำหนดลมหายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ทำจิตให้สงบแล้วออกเดินทางไป หรือถ้าจะทำการปลุกเสกพระเครื่องราง หรือของขลังอื่นๆ ก็ทำได้ ทำตามพิธีดังกล่าวข้างต้น หรือจะเอาคาถา หรือพระกรรมฐานบทอันที่ชอบกับอารมย์มาภาวนาชักลูกประคำก็ได้ เป็นบุญเป็นกุศลอย่างประเสริฐ มีพลานิสงส์ นับเป็นกัปเป็นกัลป์ เป็นปัจจัยแก่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ ขอให้ทุกคนพยายามทำอย่าประมาท อย่าให้เสียชาติที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระศาสนา
    ส่วนประโยชน์ที่จะพึงได้ในปัจจุบัน ก็มีมาก หลวงปู่ท่านบอกว่าใช้ได้ 108 แล้วแต่จะปรารถนา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ เชื่อมากได้ผลมาก เชื่อน้อยได้ผลน้อย ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อย

    วิธีปฏิบัติให้เกิดผลตามตำรามีดังนี้
    1. ภาวนาชักลูกประคำด้วยพระคาถาธรรมราช 108 จบ แล้วตั้งไว้หัวนอน จะเกิดนิมิตดี กันผี กันโจร กันไฟ รู้เหตุการณ์ร้าย ดีล่วงหน้า โจรผู้ร้ายเข้ามาจะเห็นคนเดินอยู่รอบบ้าน
    2. ภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ เวลาตื่นนอน จะเป็นผู้เจริญด้วยลาภ เจริญด้วยยศ ทำมาค้าขึ้น ทำให้กิจการที่กำลังคิดอยู่สำเร็จ ทำให้อายุยืน
    3. ภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ แล้วเอาลูกประคำใส่ลงในน้ำ เอาน้ำล้างหน้าเป็นเมตตามหานิยม ถ้าเอาน้ำนั้นกิน ทุกวันเป็นคงกระพัน ถ้าเอาน้ำนั้นไปอาบ เป็นการสะเดาะเคราะห์ ทำให้โชคร้ายกลายเป็นดี มีสติปัญญา มีวาสนาเจริญก้าวหน้า
    4. ถ้าหากไปนอนในป่าในถ้ำ ก่อนจะนอนชักลูกประคำ 108 ด้วยคาถาพระธรรมราชแล้วนอน เทวดาจะมาคุ้มครองรักษา หรือมาบอกลาภให้ ถ้าหลงทางก็จะพบทาง ถ้าอดข้าวจะพบบ้านคน
    5. ชักลูกประคำ 108 จบ แล้วนำลูกประคำติดตัวไป กันเครื่องศัตราวุธ กันอุปัทวเหตุ กันสัตว์ร้าย คนร้าย กำบังตาผู้คิดร้าย หรือศัตรูเห็นเราคนเดียวเป็นหลายคน
    6. ก่อนออกปราบโจรผู้ร้าย หรือไปรบกับข้าศึกหรือไปในสถานที่ๆ ไม่ปลอดภัย ให้ตั้งใจภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ แล้วเอาลูกประคำสวมคอไป กระสุนและวัตถุระเบิดใดๆ ไม่ถูกกายเราเลย หรือถ้าหากศัตรูล้อมเราไว้ ภาวนาคาถาพระธรรมราชเดินแหวกวงล้อมไป ศัตรูทำร้ายมิได้เลย ถ้าถูกจับก็ให้ภาวนาสะเดาะเครื่องพันธนาการได้ทุกชนิด
    7. ถ้าจะให้ลูกหลานหรือบุคคลอื่นเป็นคงกระพันก็ให้ภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ แล้วเอาลูกประคำใส่ลงไปในน้ำเสกต่อไปอีกประมาณ 108 จบ เอาน้ำให้กิน คงกระพันทุกคน ถ้าเอาน้ำอาบให้ก็เป็นการสะเดาะเคราะห์ให้หมดไปได้เป็นอย่างดี หรืออธิษฐานให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ สุดแล้วแต่จะปรารถนา ก่อนจะทำทุกครั้งให้ระลึกถึงคุณพระ และหลวงปู่คง
    [​IMG]
    วิธีใช้น้ำมัน น้ำมันมหานิยม ของอาจารย์ชุม ไชยคีรี
    ก่อนใช้ต้องตั้งใจแผ่เมตตาว่า… ขอสัตว์ทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีเวรต่อกัน เป็นผู้ดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเทอญ ขอสัตว์ทั้งสิ้นนั้น จงได้เสวยผลบุญอันข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้เทอญ
    นี้เป็นหลักการแผ่เมตตาจิต ของผู้นับถือพุทธศาสนาที่กระทำกันอยู่เป็นกิจวัตร เป็นธรรมชั้นสูงในศาสนานี้ แต่ไม่มีอะไรแสดงออกมาให้ผู้มีปัญญาน้อย และผู้ไม่ทำเห็นประจักษ์แก่สายตา เพราะเป็นเรื่องของจิต
    ข้าพเจ้ามีความปรารถนาให้ เพื่อนมนุษย์ทุกคนรักเมตตาจิตแผ่เมตตาจิตเข้าหากัน จะได้อยู่เป็นสุข เลิกรบเลิกเบียดเบียน ซึ่งกันและกัน จึงค้นคว้าหาคุณแห่งเมตตาจิต ที่พอจะแสดงออกเป็นเครื่องจูงให้ผู้พบเห็น เชื่อและรักในการเจริญภาวนา จึงแผ่เมตตาจิตอธิษฐานไว้ใน น้ำมันหอมให้เป็นน้ำมันมหานิยมทดลองให้ประชาชนเห็นจริง โดยหาสัตว์ที่เป็นศัตรูต่อกัน เช่น หนูกับแมว , สุนัขกับแมว มาทาน้ำมันแล้วขอให้เลิกรบ เลิกจองเวรต่อกัน สัตว์เหล่านั้นก็เลิกได้สมความปรารถนา

    ปัจฉิมลิขิต
    เนื่องจากคณะกรรมการของวัดสารอด มีความเห็นพ้องต้องกันว่า บริเวณของวัดค่อนข้างจะคับแคบ ไม่เพียงพอ การจัดงานที่พุทธศาสนิกชน ที่รวมกันบำเพ็ญกุศลสาธารณะแต่ละครั้ง และการสร้างกุฏิให้ภิกษุสงฆ์จำพรรษา จึงได้ตกลงซื้อที่ดินของเอกชนซึ่งอยู่ติดกับวัด ทางด้านตะวันออก เป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 16 ตารางวา ในราคา 8 หมื่นบาท โดยบอกบุญจากท่านพุทธศาสนิกชนทั่วไป และกำหนดจะชำระเงินให้เสร็จสิ้นในวันที่ 1 มกราคม 2507 นอกจากนี้คณะกรรมการของวัดได้วางโครงการไว้ว่า จะรื้อย้ายกุฏิที่ชำรุดทรุดโทรมด้านตะวันออก ไปปลูกสร้างให้ได้ระเบียบ เป็นแนวเดียวกันเสียใหม่ วางแผนงานที่จะก่อสร้างเป็นฌาปนกิจสถานและสุสาน ให้เหมาะสมตามนโยบายของรัฐบาล
    แผนงานของคณะกรรมการที่ได้วางไว้นี้ บรรดาพุทธศาสนิกทั้งใกล้แลไกลต่างก็ปิติยินดี และอนุโมทนาตลอดมาจนกระทั้งเมื่อเดือนตุลาคม 2506 พระอาจารย์หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล พร้อมด้วยอาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ซึ่งมีเจตนาจะบำเพ็ญกุศลสร้างพระ 84,000 องค์ เป็นพระพุทธบูชา ท่านอาจารย์ทั้งสาม ทราบว่า ที่วัดนี้มีโครงการบูรณะปฏิสังขรณ์ดังกล่าวแล้ว จึงมาปรึกษากับอาตมาภาพ อาตมาจึงได้เชิญคณะกรรมการของวัด ประชุมปรึกษาเรื่องการสร้างพระ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2506 คณะกรรมการของวัดต่างเห็นพ้องและตกลงพิมพ์แบบต่างๆ โดยวิธีรวมทุนกันคนละครึ่ง ส่วนว่านยาผงวิเศษทั้งหมดที่จัดสร้างพระขึ้นครั้งนี้ พระอาจารย์หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล , อาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ออกให้เปล่าโดยไม่คิดค่าราคาแต่ประการใดทั้งสิ้น
    การพิมพ์พระจึงได้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2506 และพิมพ์ครบ 84,000 องค์ เรียบร้อย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2506 วันที่ 23 ธันวาคม 2506 จึงลงมือทำพิธีปลุกเสก และทำการสมโภชเสร็จเรียบร้อยในวันที่ 24 มกราคม 2507 เมื่อเวลา 06.00 น. รวมเวลา 2 เดือนเศษ ในการสร้างพระเครื่องครั้งนี้ได้ใช้ว่านยาวิเศษมากกว่า 2,000 ชนิด ประกอบด้วยกรรมพิธีอันถูกต้องเป็นระเบียบ ทั้งปรากฏผลเป็นที่แปลกประหลาด ซึ่งอาตมาไม่เคยพบเห็นมาก่อนฉะนั้น เพื่อจะให้ทราบชื่อว่านยา พร้อมทั้งคุณภาพของว่านที่นำมาประกอบ สร้างพระเครื่องครั้งนี้ อาตมาภาพจึงเรียนหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล พร้อมด้วยอาจารย์ชุม ไชยคีรี
     
  6. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 18 เล่ามายืดยาว เพราะ เกี่ยวข้องกับผงวิเศษหัวเชื้อของหลวงปู่สุภา ที่หลวงปู่เคยเขียนในครั้งนั้นๆ

    ขนาดคนที่จับพุทธคุณพระได้ ยังถามว่า ใส่หมดถุงนี้เลย ไม่หวงเหรอ ???
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0223.JPG
      IMG_0223.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      249
  7. bigbanggd

    bigbanggd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +161
    รีบเช่ากันน่ะครับ ของดีอย่างงี้อีกกี่ปี กี่เดือนจะได้ เช่า ครูบาอาจารย์นับวันก็มีแต่สิ้นลง รุ่นนึ้เก็บรายละเอียดได้มากที่สุด คณาจารย์บางองค์ที่อฐิธานให้พระรุ่นนึ้ก็สิ้นไปแล้วก็มี อาทิเช่น หลวงปู่สอ พันธุโล คณาจารย์อฐิธานจิตเป็นร้อย ผงนับพันอาจารย์ หัวเชื้ออีกต่างหาก เสกก็บ้าระห่ำ จนบางท่านพูดว่า เอาแบบคุณสุธัยณ์ เลยเหรอ จะเสกให้ทะลุฟ้าทะลุดินเลยใช่มั่ย ที่อฐิธานมาก็เหลือกินแล้ว นี่จะทะลุแล้ว ผมเชื่อว่าต่อไปจะเหมือนพระแก้วมรกตหมดห่วงรุ่น 1 แน่นอน
     
  8. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ 1 ข้อความ คือ

    ต่อไปจะเหมือนพระแก้วมรกตหมดห่วง รุ่น 1 ของคุณสุธันย์ นั้น
    แต่ล็อกเกตรุ่นนี้จะหายากยิ่งกว่า เพราะจำนวนการสร้างต่างกันเกือบ 20 เท่า ลำพังเพียง พระแก้ววิสุทธิพร(เนื้อนวะโลหะอุดหลังฉากทอง) ที่ อาจารย์สุธันย์ สุนทรเสวี สร้างร่วมกับ อาจารย์สุวัฒน์ พบร่มเย็น นั้น ก็ใช้ชนวนเหรียญพระแก้วมรกตหมดห่วงรุ่นแรก ร่วมกับชนวนสังฆราชแพ ชนวนพระกริ่งเป้งย้ง หลวงปู่โต๊ะ ชนวนพระกริ่งชินบัญชรหลวงปู่ทิม แผ่นยันต์บังคับหลายร้อยแผ่น
    เข้าพิธีพุทธาภิเษก 16 ครั้ง แต่ชุดนี้ได้ตกค้างกับอ.สุวัฒน์ หลายสิบปี เท่ากับหยุดเสกปี 2547 เสกร่วม 17 ปี มากกว่าพระแก้วหมดห่วงที่เสก 2 ปี

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช อธิษฐาน ร่วม 30 ครั้ง
    หลวงปู่คำพันธ์ เสกกว่า 40 ครั้ง(จนมีในหนังสือรวมเล่มหลวงปู่คำพันธ์)
    หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวการาม เสกร่วม 30 ครั้ง
    หลวงปู่พรหมมา เสกประมาณ 5 ครั้ง
    หลวงปู่สิม พุทธจาโร อธิษฐานประมาณ 10 กว่าครั้ง
    หลวงพ่อเกษม เขมโก อธิษฐานประมาณ 10 กว่าครั้ง (ปีละหนึ่งครั้ง)
    หลวงปูดู่ วัดสะแก อธิษฐาน 2 ครั้ง

    ครูบาอาจารย์ที่ไม่ได้กล่าวมาแบบมหาศาล ทั้ง หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หลวงปู่คร่ำ วังหว้า หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่อ่อนสา........................................................................................
    .............................................................................. ฯลฯ
    แถมได้เข้าพิธีทั้ง 50 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ 60 ปี หลวงตามหาบัวก็ได้แผ่อธิษฐานยังพระชุดนี้ด้วย จนมาหยุดเสกที่หลวงปู่ม่วง วัดยางงาม และหลวงปู่นนท์ วัดเหนือวนครับ

    แบบนี้ถ้าลงประวัติไปเต็มๆ อีกสิบปีก็กลายเป็นพระในตำนาน ที่หายไปจากวงการเลยครับ
     
  9. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    เรื่องที่ 19 ศิษย์น้องหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง

    [​IMG]

    อดีตสุดยอดปรมาจารย์ "ครูบาเจ้านันตา" วัดทุ่งม่านใต้ (บ้านบ่อหิน) ต.บ้านเป้า อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งมรณภาพไปปี 2504 สิริอายุ 90 ปี เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาราหู วัวธนู โคสุภราช ให้ "หลวงพ่อน้อย เนาวรัตน์" วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม และครั้งเมื่อคราวที่ "ท่านครูบาศรีวิชัย" นักบุญแห่งล้านนา ต้องอธิกรณ์ "ท่านครูบานันตา" มอบราหูให้ครูบาศรีวิชัยติดตัวไป จนรอด พ้นมลทินทุกประการ

    [​IMG]ท่านเป็นเจ้าตำรับเครื่องรางล้านนาโบราณอย่างแท้จริง ปัจจุบัน "ราหูกะลา" ของท่านเซียนใหญ่ในห้างดังเปลี่ยนมือกันหลายแสนบาท เพราะด้วยกฤติยาภินิหารที่เป็นสุดยอด ก่อนที่ท่านจะละสังขารไปท่านได้ถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้ "ครูบาเลิศ" พระเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดทุ่งม่านใต้รูปปัจจุบัน จนหมดสิ้น ท่านสร้างวัตถุมงคลอันเข้มขลังแทนครูบาเจ้านันตาสืบต่อมา ขึ้นชื่อลือชาในภาคเหนือ และทั่วประเทศข้ามไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน

    "ครูบาเลิศ" ปัจจุบันอายุ 78 ปี เกิดวันมงคลใหม่ ฤกษ์ยามดีเป็นเลิศ วันที่ 1 มกราคม 2474 ครูบาเจ้านันตาเป็นคนตั้งชื่อให้ว่า "บุญเลิศ" อีกทั้ง "ครูบานันตา" ยังเป็นพระอุปัชฌาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ทั้งหมด หลังจากบวชครูบาเลิศได้เดินทางไปเรียนวิชากับครูบาอ่องส่า วัดท่าผา และครูบาโถ มณีคุณ ล้วนเป็นครูบาอาจารย์รุ่นเก่าที่ทรงพระเวทวิทยาคมยิ่งนัก

    วัตถุมงคล "ราหูกะลาตาเดียว" ของครูบาเลิศปัจจุบันได้รับความนิยมจากลูกศิษย์ลูกหาและนักสะสมอย่างมาก เป็นราหูตำราเก่าอุดผง 2 รู ใช้ไฟแกะเดินเส้นยันต์รูปพระราหู ตำราพระราหูรู้กันอยู่แล้วว่ามีเคราะห์ทุกข์ภัย ความตกต่ำย่ำแย่ ชีวิตพลิกผัน พระราหูกลืนกิน แก้ได้หมด ใครนำพาพระราหูติดตัวเป็นเนืองนิตย์จะมีแต่สวัสดิโสพิณกว่าคนทั้งหลาย ทุกหนักเท่าหนักปานใดผ่านพ้นไปเร็วไว ไปถึงความสำเร็จสมหวังดังเป้าหมายทุกประการ อีกทั้งตำราว่ายันต์สุริยประภา และจันทรประภา ท่านว่าเป็นยันต์แห่งขุมทรัพย์ สิทธิการิยะ ประเสริฐกว่ายันต์อื่นใดในโลก ถ้าบุคคลใดปรารถนาสมบัติ แก้ว แหวน เงินทองทุกประการบูชาพระยันต์นี้เถิด[​IMG]

    ตำนานกล่าวไว้ว่า มีพระฤๅษี 2 ตน สถิตอยู่ ณ เขายุคนธร ได้พิจารณาเล็งดูมนุษย์ทั้งหลายว่า ในกาลภายหน้าจักมีทุกข์ภัยเวทนา หาสมบัติมิได้ จึงใคร่จะช่วยทุกข์แห่งมนุษย์ทั้งหลาย ฤๅษีตนหนึ่งจึงสร้างยันต์ขึ้นยันต์หนึ่งชื่อ "สุริยประภา" อีกตนหนึ่งสร้างยันต์ "จันทรประภา" ขึ้น ลงในกะลาตาเดียว จะหาสิ่งใดเทียบเทียมได้ยาก แม้ว่าสมบัติบรมจักรพรรดิ และสมบัติพระอินทร์ หรือดวงแก้วมณีโชติ ก็หาอาจเปรียบเทียบพระยันต์ทั้งสองนี้ได้ ผู้ที่หวังเจริญในลาภยศ และอยากจะมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ก็ให้คิดสร้างขึ้นและนำไปบูชาเถิด โดยให้จุนเจิมด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม แล้วเอาบูชาไว้

    พระยันต์ทั้ง 2 นี้ผู้ใดนับถือบูชาไว้มิรู้อดอยากตกทุกข์ได้ยากเลย เมื่อจะใช้ยันต์สุริยประภานั้น ให้เอาคาถานี้นมัสการก่อน 7 หน "เอหิจักขุ นาฬิเกลา สุริยประภา จันทรประภา ราหูคาหา สัตตะ ระตะนะ สัมปันโน มณีโชติระโส ยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหัง วันทามิ เมสะทาฯ" แล้วจึงว่าพระคาถากำกับพระยันต์ ดังนี้ กลางวัน "กุเสโต โตราโมมะมะ โตราโม คุยหะโม มะมะ คุยหะโม คุตติโม มะมะ คุตติโม" (ว่ากำกับ 3 จบ 7 จบ) กลางคืน "ยะถาตัง มะมะ ตังถายะ ตังวะตัง มะมะ ตังวะตัง ตังเสกา มะมะ กาเสตัง" (ว่ากำกับ 3 จบ 7 จบ)

    "ราหูกะลาตาเดียว" ของครูบาเลิศ สร้างจำนวน 1,188 องค์
    แหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด[​IMG]


    หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง เจ้าของตำนานราหูกะลา หนึ่งในเบญจภาคี ยังเคยมาต่อวิชาถึงที่ลำปาง จึงถือว่าครูบาเลิศท่านเป็นศิษย์น้องหลวงพ่อน้อยครับ

    เวลาท่านปลุกเสกท่านจะขอพุทธคุณพระลงในน้ำมนต์ก่อน โดยอาราธนา พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ตลอดจน ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ จากนั้นจึงประพรมน้ำมนต์ ลงในล็อกเกตครับ ท่านเมตตาให้ผงกะลาตาเดียวที่ใช้บรรจุในกะตาลูกใหญ่ของท่านมาอุดหลังล็อกเกตด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0532.JPG
      IMG_0532.JPG
      ขนาดไฟล์:
      139.4 KB
      เปิดดู:
      181
  10. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 20 ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานที่มีความพิเศษด้าน "ขลัง" ยุคปัจจุบัน

    [​IMG]
    หลวงพ่อจันทร์เรียนได้ยินชื่อเสียงท่านมานานครูบาอาจารย์กล่าวถึงท่านบ่อยๆ
    พระของหลวงปู่เจี๊ยะพอหลวงปู่อธิษฐานเรียบร้อยท่านจะให้ลูกศิษย์นำไปถวาย
    หลวงพ่อจันทร์เรียนอธิษฐานเพิ่มเติมให้ ท่านอาจารย์จิรวัฒน์ วัดป่าไชยชุมพล
    เคยบอกลูกศิษย์ที่มีปัญหาเรื่องไปรับองค์ว่า "เรื่องอย่างนี้ต้องท่านอาจารย์จันทร์เรียนซิ
    ท่านจะเชี่ยวชาญ ท่านเก่ง" คือในวงศ์พระกรรมฐานด้วยกันจะทราบกันดีว่าองค์ใหนเก่ง
    ทางด้านใหนชำนาญด้านใหน ท่านอาจารย์จิรวัฒน์กล่าว ส่วนหลวงปู่บุญพินนั้น คนขับรถ
    หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป เคยเล่าให้ผมฟังว่าจับตาดูหลวงปู่องค์นี้ดีๆนะกรณ์ท่านเคยเสกพระ
    จนฟ้าร้องฟ้าลั่นสะเทือนทั้งผาเทพเนรมิตรมาแล้ว มาถึงหลวงปู่บุญมา นักแสวงบุญสายวัดป่า
    คงจะคุ้นๆชื่อท่านดีเพราะท่านจะมีรายชื่อที่ทางเจ้าภาพในงานทำบุญพระกรรมฐานที่กรุงเทพๆ
    บ่อยๆ สำหรับผมมีวาสนาได้ทำบุญกับท่านบ่อยๆเคยไปนอนค้างที่วัดหลายครั้ง
    เคยเห็นแสงสว่างสีขาวดวงใหญ่มากลงหน้ากุฏิท่าน เมื่อคราวที่ท่านมาพักโปรดลูกศิษย์ที่โคราช
    (เหมือนพลุที่เวลามันแตกกระจายบนฟ้านะครับ)ผมเห็นด้วยตาเนื้อนะครับ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์
    ที่ผมเจอกับตัวเองทำให้รู้ว่าหลวงปู่บุญมานี้ไม่ธรรมดา แด่วจะกลับมาเล่าเหตุการณ์ตอนเจอแสงให้ฟังนะครับ

    copy มาจาก

    กระดานสนทนา NAVARAHT "นวรัตน์ดอทคอม" &bull; แสดงกระทู้ - โอกาสสุดท้ายพระหลวงปู่เคนที่ยังเหลือ

    ซึ่งพระรุ่นนี้ เกี่ยวข้องอะไรบ้าง

    มีเกศาทั้งของ หลวงปู่จันทร์เรียน หลวงปู่บุญพิน หลวงปู่บุญมา รวมทั้งอังคารของหลวงปู่เข่ง ที่เป็นบิดาแท้ๆของหลวงปู่บุญมา

    และหลวงปู่บุญพินเคยอธิษฐาน โดยเฉพาะหลวงปู่บุญมาท่านเคยอธิษฐานให้หลายต่อหลายครั้ง ส่วนหลวงปู่จันทร์เรียนผมไม่กล้าครับ แม้ว่ารู้ๆกันว่า ท่านมีพลังจิตสูงเทียบพอกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เลยทีเดียว ดูจากพระยอดธงหลวงปู่เจี๊ยะ รุ่นที่ท่านแตะๆให้ยังเป็นรุ่นที่มีประสบการณ์มากที่สุด แต่ด่านแรกต้องนั่งสมาธิหกชั่วโมง แค่นี้ก็หงอแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นะจักรวาล

    นะจักรวาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,911
    ค่าพลัง:
    +8,327
    พระชุดนี้ถ้าหลวงปู่จันทร์เรียนเสกให้ด้วยคงสุดยอดจริงๆ เพี้ยงง
     
  12. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    [​IMG]
    ภาพครูบาอาจารย์ ณ พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
    จากซ้ายไปขวา : หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล,
    หลวงปู่อ้ม สุขกาโม วัดภูผาผึ้ง, หลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน วัดป่าโสตถิผล,
    หลวงปู่บุญมี ฐิตปุญโณ วัดป่าประชานิยม, หลวงปู่แตงอ่อน กัลยาณธัมโม วัดป่าโชคไพศาล,
    หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป วัดป่าประทีปปุญญาราม, หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล,
    หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิต, พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่


    หมายเหตุ

    พระรุ่นนี้อาจนำไปให้ หลวงพ่อสุวัจน์ อาจาโร วัดป่าดงลัน พระที่หลวงพ่อประสิทธิ์นับถือมากเสก อันนี้ก็ยอดขลังของสายกรรมฐาน อันนี้อาจจะกล้า ถึงท่านไม่เสก ท่านก็เดินหนี แต่ถ้าเป็นอาจารย์จันทร์เรียน ใครให้เสกพระ ด่าเปิงแน่นอน
     
  13. uppercut

    uppercut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    617
    ค่าพลัง:
    +1,551
    ข้อมูลยอดเยี่ยมครับ:cool:
     
  14. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 21 กองสภาวะธรรมหลวงปู่ดูลย์

    กลุ่มพลัง

    [​IMG]
    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อประสิทธิ์ วัดป่าหมู่ใหม่ภาวนาอยู่บนเขา
    ท่านได้เห็นกลุ่มพลังงานกลุ่มหนึ่ง ท่านจึงพิจารณาว่า กลุ่มพลังงานนั้นคืออะไร
    ท่านจึงทราบว่า นี้เป็นกลุ่มพลังที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล อธิษฐานจิตแผ่เมตตาทิ้งไว้ในโลก หากใครมีวาสนาเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ดูลย์ก็จะได้รับพลังนี้ นอกจากนี้หลวงพ่อยังเคยพบกลุ่มพลังเช่นนี้แต่เป็นขององค์อื่นอีหลายครั้ง
    และท่านก็กล่าวไว้ ไม่ใช่จะมีแต่กลุ่มก้อนพลังที่ดี ที่ไม่ดีก็มี (ไม่ได้เรียนถามท่านว่ามาจากไหน)
    ถ้าใครเจอเข้าก็จะมีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
    เมื่อได้ฟังท่านเช่นนี้แล้วทำให้ผมเองก็รีบขวนขวายหาพระหลวงปู่ดูลย์ มาแขวนทันทีเพราะผมคิดว่า
    หลวงปู่ท่านคงทิ้งกลุ่มพลังงานที่ดีไว้ในเหรียญท่านแน่ๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    เรื่องเล่ามันเป็นเช่นนี้เองที่ทำให้เหรียญกายทิพย์ของหลวงปู่ดูลย์ปรับตัวขึ้นมาอย่างรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว จนปีนี้ทุกอย่างของหลวงปู่ดูลย์ราคาขึ้นหลายเท่าตัว
    บอกแล้วของทุกอย่าง ราคากลาง= คุณค่าของตัวมันเอง+การทำราคา
    แล้วผงที่อุดหลังพระแก้วภูริทัตตเถรานุสรณ์ นี้นอกจากจะผสมเกศาหลวงปู่ดูลย์ไปหลายสิบเส้นแล้ว ยังใส่อาราธนาอังคารหลวงปู่ที่ได้จากศิษย์กรรมฐานใกล้ชิดของท่านใส่เป็นผอบๆ แบบนี้ล่ะจะได้พลังจากสภาวะธรรมของหลวงปู่หรือเปล่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2011
  15. นิโรธสมาบัติ

    นิโรธสมาบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +2,562
    มาติดตามอ่านเรื่องราวขะรับ
     
  16. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    กราบครูบาอาจารย์ และขออนุโมทนาทั้งหมดทั้งมวลครับ

    หากมีการนำเสนอข้อมูลมาตั้งแต่ช่วงต้นที่เปิดให้จอง คิดว่าล็อกเก็ตชุดนี้คงกลายเป็นตำนานไปแล้ว การหาปัจจัยเพื่องานบุญในยุคนี้โดยเฉพาะงานบุญใหญ่ๆต้องใช้งบประมาณมากๆ การประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญครับ

    ยินดีที่มีโอกาสจะได้ครอบครองสิ่งอันเป็นมงคลยิ่ง
     
  17. สิงห์เทวะ

    สิงห์เทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +109
    ผมขอจองล๊อกเก็ตฉากสีขาว 1 องค์ครับเพื่อร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ด้วย...อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ...สาธุ
     
  18. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    ขอจองฉากขาวเพิ่ม 1 องค์คับ
     
  19. สายครูบา

    สายครูบา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    4,224
    ค่าพลัง:
    +22,130
    ราคาฉากดำ ราคาเท่าไรหรือครับ
     
  20. ทำความดี

    ทำความดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +2,036
    ล็อกเกตฉากธรรมดา มี 3 สี ขาว ดำ เขียว

    บูชาองค์ละ 1,200 บาท
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...