ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อย่างที่เคยบอกเอาไว้ครับ

    บ่อน้ำมันใต้ดินทำหน้าที่เป้นฉนวนกันความร้อนจากลาวาใต้ดิน

    ก๊าซใต้ดินทำหน้าที่ทั้งเป็นฉนวนอากาศและรักษาแรงดัน ปรับแรงดันต้านแรงดันของแม๊คม่าใต้โลกเอาไว้

    พอดูดมาใช้มากเข้า แรงต้านที่ดันปิดแมคม่า ก็หายไป ลาวา ก็ดันขึ้นมา

    แผ่นดินแยกเยอะขึ้น ภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดมากขึ้น

    ที่สำคัญความร้อนจากลาวาที่โผล่และแผ่รังสีออกมาใกล้เปลือกโลกด้านบนมากขึ้น ก็ยิ่งส่งผลไปละลายน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้โลกร้อนอีกทางหนึ่ง
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ด้านไข้หวัดนี่เริ่มเป็นภัยที่มาใกล้แล้ว คนป่วยเยอะมาก

    ก่อนจะเป็นรอบการทำลายล้างครั้งใหญ่ ทางโรคระบาด ที่เคยมีคำทำนายว่าจะมีคนตายไปเป็นสิบล้านคนทั่วโลก

    รักษาสุขภาพกันเอาไว้ครับ
     
  3. tamm16

    tamm16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +466
    ครั้งนี้ เริ่มเห็นเหตุการณ์หนักขึ้น มากแล้ว มันส่อให้เห็นชัดมากว่าอนาคตจะเป็นยังไง
     
  4. CASIO12

    CASIO12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,133

    คือสงสัยอยู่ว่า ถ้าเกิดภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดในอ่าวไทยนี่
    ซูนามิจะเกิดได้เปล่า

    กรุงเทพจะมีสิทธิ์ โดนใหมครับ:'(
     
  5. tamm16

    tamm16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +466
    ^
    ^
    ^

    ผมว่าโดนนะครับ เพราะอาจทำให้แผ่นดินแตกบางส่วนแล้วกลับมาชนกันอย่างแรง ทำให้เกิดสึนามิขึ้นได้อยู่

    ถ้าเป็นอย่างงั้น จุดที่จะโดนก็คงมีกรุงเทพแน่นอน
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เอ้อ ลองศึกษาวิทยาศาสตร์ดูบ้างก็ดี
    การระเบิดของภูเขาไฟไม่ได้เกิดจากแมกม่าหรือลาวา ตัวแมกม่ามีสถานะเป็นของเหลว จึงไม่สามารถบีบอัดได้มากนัก แม้จะอยู่ใต้อุณหภูมิสูงขนาดไหน ปริมาตรก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ไม่ส่งผลให้เกิดแรงดันที่ทำให้เกิดการระเบิดได้ การที่แผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด สาเหตุหลักมาจากแก๊สที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งถูกบีบอัดจนมีสถานะเป็นของเหลว ซึ่งยิ่งอุณหภูมิสูง แรงดันก็ยิ่งทวีคูณขึ้นมากเท่านั้น เมื่อเคลื่อนตัวมาพบช่องว่างใต้เปลือกโลกในระยะตื้น แก๊สเหลวก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นแก๊สปรกติซึ่งมีปริมาตรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพันๆเท่า ซึ่งจะฉีกเปลือกโลกให้ขาดได้
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    ตอนเด็กๆ เคยอ่านเรื่องตำนานเทพเจ้ากรีกหมดทุกองค์เลย
    แต่ตอนนี้ "ลืมหมดแล้ว"...
     
  8. CASIO12

    CASIO12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,133
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=inRhqnHuA_c]YouTube - Nasa Warns Of Super Solar Storm 2012[/ame]
    พายุสุริยะ นาซา มาเตือนอีกแล้ว
     
  9. CASIO12

    CASIO12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,133
    พายุสุริยะ
    (solar storm)

    โดยปกติดวงอาทิตย์ปลดปล่อยกระแสอนุภาคความเร็วเหนือเสียง (supersonic particle) ออกมา ซึ่งเรียกว่า ลมสุริยะ (solar wind) และเนื่องจากภายชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ประกอบด้วยอนุภาคมีประจุพลังงานสูงที่อยู่ในสถานะที่สี่ของสสาร ที่ชื่อ พลาสมา (plasma) การเคลื่อนที่ของอนุภาคมีประจุภายในชั้นบรรยากาศของดาวอาทิตย์ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็ก (magnetic field) ทว่าความปั่นป่วนในการเคลื่อนที่อนุภาคมีประจุย่อมทำให้สนามแม่เหล็กปั่นป่วนด้วย ดังนั้นในบางครั้งบางคราว เส้นสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ (solar magnetic field line)จึงมีโอกาสที่จะปะทะสังสรรกัน จนเกิดปรากฎการณ์ที่เกี่ยวเนื่องจากสนามแม่เหล็ก เช่น การลุกจ้า (flare) การปลดปล่อยก้อนมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejections) เป็นต้น โดยปรากฎการณ์เหล่านั้นล้วนเป็นเหตุให้เกิดกระแสอนุภาคที่มีความเร็วสูงกว่าหรือ พลังงานมากกว่าลมสุริยะ
    เมื่อเทียบกับสภาพทางอุตุนิยมวิทยาบนโลก โดยทั่วไปเราคุ้นเคยกับลมอันเป็นการเคลื่อนที่ของอากาศอันเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของอากาศจากบริเวณที่อากาศเย็นไปแทนที่บริเวณที่อากาศร้อนลอยขึ้นสูง ซึ่งมีความเร็วไม่สูงมากนั้น แต่หากเกิดเกิดกระแสลมความเร็วสูงผิดปกติจนอาจทำความเสียหายแก่สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ หรือมนุษย์ และนำมาซึ่งฝนตกฟ้าคะนอง เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “พายุ” (storm) ในทำนองเดียวกัน เมื่อเกิดปรากฎการณ์บนดวงอาทิตย์ที่ทำให้เกิดกระแสอนุภาคพลังงานสูงกว่าปกติ เป็นบางครั้งบางคราว เราจึงจัดปรากฏการณ์เหล่านั้นให้อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “พายุสุริยะ” (solar storm)
     
  10. CASIO12

    CASIO12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,133
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    บังเอิญไหมที่หลายเหตุการณ์มาประจวบเหมาะกันในช่วงเวลาดังกล่าว

    เวลามีน้อย เร่งเตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมองค์ความรู้ กันเอาไว้บ้างครับ
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    รถไฟเบลเยียมชนสนั่น ตายอย่างน้อย 20 ศพ

    [​IMG]

    รถไฟโดยสาร 2 ขบวนชนประสานงานที่เบลเยี่ยม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน บาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขณะมีหิมะตกหนัก...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ว่า เกิดอุบัติเหตุรถไฟโดยสาร 2 ขบวนชนประสานงาน ท่ีเมืองบุยซิงเกนใกล้กับเมืองฮอลล์ ห่างกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียมไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 15 กม. ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเมื่อเวลา 08.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันนี้ (15 ก.พ.) เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน บาดเจ็บจำนวนมาก หลายคนอาการสาหัส คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตจะพุ่งขึ้นอีก

    ทั้งนี้เหยื่ออุบัติเหตุส่วนใหญ่เป็นผู้ท่ีกำลังเดินทางไปทำงาน ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เหตุเกิดขณะมีหิมะตกหนัก จนรถไฟหลายขบวน รวมทั้งขบวนระหว่างกรุงบรัสเซล์กับกรุงปารีสในฝรั่งเศสต้องหยุดชะงัก

    ไทยรัฐออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2553, 18:00 น.

    ไข้หวัดนกระบาด อินโดฯตาย มากสุดในโลก

    [​IMG]

    ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากไข้หวัดนก ระบุรวม 283 รายทั่วโลก เป็นชาวอินโดนีเซีย 135 ราย นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดของโลก...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ว่า กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย แถลงระบุยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดนกในประเทศพุ่งขึ้นอยู่ที่ 135 ราย นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดของโลก เหยื่อเคราะห์ร้ายรายล่าสุดเสียชีวิตเมื่อ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นสตรีอายุ 25 ปี ชาวเมืองชวาตะวันตก ติดเชื้อจากการสัมผัสสัตว์ปีกติดเชื้อโดยตรง

    สำหรับผู้ป่วยตลอดปี 2552 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 20 ราย เสียชีวิต 19 ราย ทั้งนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดนกทั่วโลก นับตั้งแต่พบการระบาดเมื่อปี 2546 มีจำนวนกว่า 283 ราย

    ไทยรัฐออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2553, 12:30 น.

    ศาลรัสเซียสั่งจำคุก 4 ปี ชาวบ้านตัดไม้กระทบเสือไซบีเรีย

    [​IMG]

    ศาลรัสเซียตัดสินจำคุกชาวบ้านตัดไม้ทำลายป่า 4 ปี เหตุกระทบ แหล่งที่อยู่สำคัญของฝูงเสือไซบีเรีย สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์...

    กองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) เผยการตัดสินคดีผู้ต้องหา ซึ่งเป็นชาวบ้านในเมืองอามูร์ แคว้นพริมอร์เย ฝั่งตะวันออกไกลของรัสเซีย โดยศาลตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาเกือบ 4 ปี ข้อหาตัดไม้ทำลายพื้นที่ป่าซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่สำคัญของฝูงเสือไซบีเรีย สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์

    ทั้งนี้ ตามรายงานอ้างถึงสำนักข่าว ริอา โนโวสติ ในกรุงมอสโคว ของรัสเซียว่า นับเป็นคดีที่เกิดขึ้นยากมากสำหรับคนที่จะถูกตัดสินจำคุกด้วยพฤติกรรมที่ ทำลายวัฎจักรของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งเสือไซบีเรียหรือเสืออามูร์เป็นห่วงโซ่สุดท้าย และประชากรเสือก็ลดน้อยจนเกือบสูญพันธุ์เพราะฝีมือมนุษย์ หลังตัวแทนของ WWF และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสภาพพื้นที่ป่า และพฤติกรรมต้องสงสัยของชายคนดังกล่าว ตั้งแต่เมื่อปีกลาย ในบริเวณพื้นที่ป่าสนเกาหลีกว่า 2,600 ตร.ม. ซึ่งเป็นจุดที่มีการตัดไม้จนพื้นที่สีเขียวลดฮวบอย่างน่าตกใจตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา และช่วงต้นเดือนก.พ.นี้ เจ้าหน้าที่พบว่าผืนดินโล่งเตียน เพราะมีต้นไม้ถูกโค่นล้มอย่างผิดกฎหมายกิน พื้นที่กว้างถึง 3,000 ตร.ม.

    ไทยรัฐออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2553, 13:20 น.

    คลื่นยักษ์ซัดคนดู แข่งเซิร์ฟในสหรัฐ เจ็บอื้อ

    [​IMG]

    เกิดเหตุคลื่นยักษ์ 2 ลูกความสูงขนาด 6 เมตร ซัดเข้าใส่ผู้เข้าชมบนเขื่อนกั้นน้ำทะเลกว่า 20 คนระหว่างการแข่งขัน "มาเวอร์ริคส์ เซิร์ฟ คอนเทสต์" บนหาดมาเวอร์ริคส์ ห่างจากเมืองซาน ฟรานซิสโก 40 กม.

    สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ว่า เกิดเหตุคลื่นยักษ์ 2 ลูกความสูงขนาด 6 เมตร ซัดเข้าใส่ผู้เข้าชมบนเขื่อนกั้นน้ำทะเลกว่า 20 คนระหว่างการแข่งขัน "มาเวอร์ริคส์ เซิร์ฟ คอนเทสต์" บนหาดมาเวอร์ริคส์ ห่างจากเมืองซาน ฟรานซิสโกลงไปทางใต้บนเส้นทางหลวง 1 ราว 40 กิโลเมตร ตอนใต้สุดของรัฐแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 13 รายรวมผู้ที่ขาหัก แขนหัก บางส่วนได้รับการปฐมพยาบาลบริเวณจุดเกิดเหตุ ขณะที่อย่างน้อย 3 รายที่ถูกหามนำตัวส่งโรงพยาบาล

    ทั้งที่เจ้าหน้าที่ประกาศเตือนให้ระวัง แต่ผู้ชมกลับถอยห่างออกมาไม่กี่ร้อยเมตร เนื่องจากเป็นการจัดงานแข่งขันที่มีนักกีฬากระดานโต้คลื่่นระดับแชมป์จาก ทั่วโลกมาร่วมแข่งขัน อีกทั้งรางวัลล่อใจถึง 150,000 เหรียญสหรัฐฯ (เกือบ 5 ล้านบาท) นับว่าสูงสุดของการแข่งกีฬาโต้คลื่นยักษ์โลก แม้เป็นการจัดงานที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักเพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาพท้องทะเล

    อย่างไรก็ดี กรมอุตุนิยมวิทยาสหรัฐอเมริกา ยังโพสต์ข้อความออนไลน์เตือนให้เฝ้าระวังคลื่นยักษ์สูงตามมาไปจนกระทั่งเวลา 22.00 น. ขณะที่กลุ่มนักกีฬากระดานโต้คลื่นต่างลงมติกำหนดวันเล่นเพราะการพยากรณ์ อากาศที่คาดว่าจะเกิดคลื่นสูงขนาดทำลายสถิติ เป็นสิ่งที่นักกีฬาโปรดปรานโดยไม่่ห่วงเรื่องอันตราย

    ทั้งนี้ นายสก็อตต์ จัลเบิร์ต หัวหน้าแผนกปกป้องอัคคีภัยและผืนป่ารัฐแคลิฟอร์เนียเผยถึงจำนวนคนดูที่ยืน อยู่บนเขื่อนราว 200 คน ไม่มีใครถูกคลื่นซัดลงทะเล ขณะที่พนักงานดับเพลิงรีบเดินทางเพื่อป้องกัันเหตุอันตรายแต่ไม่ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังเกิดคลื่นสูงตามมาอีกหลายระลอกแต่ไม่หนักเท่าสองครั้งแรก สำหรับแชมป์กระดานโต้คลื่นครั้งนี้ ได้แก่ นายคริส เบอร์ติช ชาวแอฟริกาใต้

    ไทยรัฐออนไลน์ 14 กุมภาพันธ์ 2553, 09:24 น.

    หมอดูฮ่องกงชี้ "โอบาม่า" แย่ในปีเสือ

    [​IMG]

    หมอดูผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยของฮ่องกงทำนาย ดวงผู้นำสหรัฐฯจะตกต่ำในปีเสือ ส่วนภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์จะเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ปีเตอร์ โซ หมอดูผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยในฮ่องกงทำนายเนื่องในเทศกาลตรุษจีนว่า โชคชะตาของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ จะตกต่ำลงอีกในปีเสือ เพราะมีธาตุไฟสูง และแทบไม่มีธาตุน้ำ ส่วนภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์จะเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว

    ด้านทางการจีนเตือนว่าจะมีฝนตกหนักและพายุหิมะทางภาคเหนือช่วงตรุษจีน ทำให้ประชาชนหลายสิบล้านคนกลับภูมิลำเนายากลำบาก ขณะที่หลายประเทศรวมทั้งจีน เวียดนาม เกาหลีใต้ ฉลองตรุษจีนควบคู่กับวันวาเลนไทน์

    ไทยรัฐออนไลน์ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 18:20 น.

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    22 January พ.ศ.2553
    http://www.bangkok-today.com/node/4051



    [​IMG]


    เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ! นับเป็นความสูญเสียของมวลมนุษยชาติครั้งร้ายแรงครั้งหนึ่งที่ต้อง “จารึก” เป็นประวัติศาสตร์แห่ง“ความน่าสะพรึงกลัว”ความสูญเสียตามการคาดเดามียอดผู้เสียชีวิตแตะ “แสนศพ”ความน่าสะพรึงกลัวที่เกินความคาดหมาย! แก้ไม่ได้แต่ควรป้องกัน...บางกอกทูเดย์จึงรวบรวม 15 เมืองเสี่ยงสุดสุด... และข้อมูลพื้นที่จุดเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทยซึ่งเกิดจากรอยเลื่อนต่างๆ รวม 13 แห่งมาไว้ที่นี่แล้ว..ไปติดตามกันเลยดีกว่า

    15 เมือง13 แห่ง มีเมืองไหนใกล้เคียงเราหรือไม่?เว็บไซต์ฟอร์บดอทคอมได้เผยแพร่ผลสำรวจของ GeoHazards International กลุ่มวิจัยเพื่อลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ซึ่งเมื่อปี 2001 ได้ศึกษาและประเมินผลกระทบจากความสูญเสียของเมืองต่างๆ ในเอเชียและอเมริกาหากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 ริกเตอร์ขึ้นไป


    [​IMG]

    15 เมืองเสี่ยงสุดหากเกิดแผ่นดินไหว ได้แก่...

    เมืองกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาลGeoHazards International ประเมินไว้ว่า หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0ริกเตอร์ขึ้นไป จะทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 69,000 คน จากจำนวนประชากร 1 ล้านคน

    เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี จะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 55,000 คน จากประชาชนทั้งหมด 10 ล้านคน

    เมืองเดลี ประเทศอินเดีย จะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 38,000 คน จากทั้งหมด 14 ล้านคน

    เมืองกีโต้ ประเทศเอกวาดอร์มีผู้เสียชีวิตประมาณ 15,000 คน จากประชากร 1.8 ล้านคน

    เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์จะสูญเสียประมาณ 13,000 ชีวิต จาก1.6 ล้าน

    เมืองอิสลามาบัด/ราวัลปินดี ประเทศปากีสถาน เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตประชากรประมาณ 12,500 คนจาก 1 ล้านคน

    เมืองซาน ซัลวาดอร์ ประเทศเอลซัลวาดอร์ มีประชากรประมาณ2.2 ล้านคน หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์ จะสูญเสียต่อชีวิตประชาชนประมาณ 11,500 คน

    เมืองเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโกอาจสูญเสียชีวิตประมาณ 11,500 คนจากประชากรประมาณ 2.2 ล้านค

    เมืองอิสเมียร์ ประเทศตุรกี ซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองซาน ซัลวาดอร์และเม็กซิโก ซิตี้ อาจจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 11,500 คน จาก 3.5 ล้านคน

    เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียปัจจุบันมีประชากรประมาณ 18.4 ล้านคนและจะเพิ่มถึง 24 ล้านคนภายในปี2568 เสี่ยงต่อการสูญเสียประมาณ11,000 คน หากเกิดแผ่นดินไหว 6.0ริกเตอร์

    เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จะมีคนตายประมาณ 9,000 คน หากเกิดแผ่นดินไหว 6.0 ริกเตอร์ และอาจมากกว่า 140,000 คน หากความรุนแรงถึงระดับ 8.3 ริกเตอร์

    เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย จะสูญเสียประมาณ 8,000 คน เมืองกัวยาคิล ประเทศเอกวาดอร์ จะสูญเสียประมาณ 4,300 คน

    เมืองบันดุงประเทศอินโดนีเซีย เสี่ยงสูญเสียประมาณ 3,600 คน เมืองซานติเอโกประเทศชิลี เสี่ยงสูญเสียประมาณ2,700 คน

    ทั้งหมดเป็นตัวเลขไม่ทางการ ที่เกิดจากการประเมิน โดยวัดจากโครงสร้างอาคาร ทั้งนี้หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตัวป้องกันและรับมือกับปัญหาไว้อย่างดีแล้ว ตัวเลขความสูญเสียอาจจะน้อยกว่าที่ “คาดการณ์” ไว้


    [​IMG]

    สำหรับเมืองไทย!!! ความสูญเสียที่เกิดกับประเทศเฮติ ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญต่อการเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาแผ่นดินไหว ซึ่งขณะนี้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเป็นห่วงว่า พื้นที่แถบจังหวัดกาญจนบุรีและใกล้เคียง อาจเกิดแผ่นดินไหวในระยะอันใกล้นี้

    โดยเฉพาะพื้นที่ตั้งของเขื่อนกักเก็บนํ้าขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ หากเกิดแผ่นดินไหวจนเขื่อนไม่สามารถรับนํ้าไว้ได้ นํ้าปริมาณมหาศาลจะไหลลงสู่พื้นที่ด้านล่างแถบจังหวัดราชบุรี สมุทรสงคราม กรุงเทพมหานครฯ และพื้นที่ใกล้เคียง จนเกิดนํ้าท่วมฉับพลันทันที

    โดยตัวเลขที่ประเมินไว้คือ นํ้าจะท่วมกรุงเทพฯ ภายใน 35 ชั่วโมง โดยอาจมีระดับสูงถึง 2 เมตร


    [​IMG]

    รอยเลื่อน 13 แห่งในเมืองไทยที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวมีที่ไหนบ้าง???...

    รอยเลื่อนแมจัน และแม่อิง ครอบคลมุจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ยาวประมาณ 130 กม. เคยเกิดแผ่นดินไหวไม่ตํ่ากว่า 10 ครั้ง

    รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน ครอบคลุมแม่ฮ่องสอนและตาก

    รอยเลื่อนเมย-อุทัยธานี ครอบคลุมตาก, กำแพงเพชรและอุทัยธานี ความยาว250 กม.เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.6ริกเตอร์ เมื่อปี 2518

    รอยเลื่อนแม่ทา ครอบคลุม เชียงใหม่,ลำพูนและเชียงราย ยาว 55 กม.เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กบ่อยครั้ง

    รอยเลื่อนเถิน ครอบคลุมลำปางและแพร่ ยาว 90 กม.เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.7 ริกเตอร์ เมื่อปี 2521

    รอยเลื่อนพะเยา ครอบคลุมลำปาง,เชียงรายและพะเยา ความยาวประมาณ115 กม. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3-4ริกเตอร์ ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง

    รอยเลื่อนปัว ครอบคลุมน่าน

    รอยเลื่อนอุตรดิตถ์ ครอบคลุมอุตรดิตถ์

    รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ครอบคลุมกาญจนบุรีและราชบุรี ยาว250 กม. เคยเกิดแผ่นดินไหวมาแล้วกว่า 1,000 ครั้ง

    รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ครอบคลุมกาญจนบุรีและอุทัยธานี ยาวประมาณ500 กม. เกิดแผ่นดินไหวไม่น้อยกว่า100 ครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เคยแรงสุด 5.6 ริกเตอร์ เมื่อปี 2526

    รอยเลื่อนท่าแขก ครอบคลุมหนองคายและนครพนม

    รอยเลื่อนระนอง ครอบคลุมประจวบคีรีขันธ์,ชุมพร, ระนอง, และพังงา ความยาว270 กม. เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.6ริกเตอร์ เมื่อปี 2521

    รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ครอบคลุมสุราษฎร์ธานี, กระบี่, ภูเก็ตและพังงาเคยเกิดแผ่นดินไหวที่ภูเก็ตและพื้นที่ใกล้เคียง ในปี 2476, 2519 และ 2542


    [​IMG]


    <CENTER>คางคกเตือนภัยแผ่นดินไหวจีนล่วงหน้าแต่ไม่มีใครเชื่อ

    </CENTER>


    [FONT=arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif][/FONT]​
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจีนแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตและ[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]รับรู้ และประเด็นนี้ได้กลายเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันในห้องสนทนาทางอินเตอร์เน็ตว่า ทำไมสัญญาณเตือนจากธรรมชาติไม่ช่วยทำให้รัฐบาลตระหนักได้ว่าหายนะ[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น หรือ หากสำนักแผ่นดินไหววิทยามีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ ก็คงจะทำนายเรื่องการเกิดแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้าถึง 10 วัน[/FONT]

    [​IMG]
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]แต่นักแผ่นดินไหววิทยา บอกว่า แม้หลายประเทศอาจพยายามสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมสัตว์เหมือนเป็นเครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหว แต่ยังไม่มีวิธีการที่เชื่อ[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ถือได้ในการใช้สัตว์ทำนายแผ่นดินไหว[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ถึงอย่างนั้นบทความในหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลีของทางการจีน ก็ตั้งคำถามว่าทำไม[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]รัฐบาลไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ทั้งที่สัญญาณเตือนแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]เกือบสามสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อน้ำปริมาณหลายพันลูกบาศก์เมตรลดหายไปฮวบฮาบ[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ชั่วพริบตาจากบึงในเมืองเอินซี ในมณฑลหูเป่ย ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวเกือบ 350 กิโลเมตร[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]และเพียง 3 วันก่อนแผ่นดินไหว คางคกหลายแสนตัวออกมาเพ่นพ่านเต็มท้องถนนในเมืองเหมียนจูห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 60 กิโลเมตรอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และมีคางคกหลายหมื่นตัวบนถนนในเมืองไท่โจว มณฑลเจียงซู และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งรายงานว่า ชาวบ้านกลัวว่าคางคกจะเป็นสัญญาณของภัยธรรมชาติ [/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]แต่เจ้าหน้าที่สำนักงานป่าไม้ท้องถิ่นบอกว่าเป็นเรื่องการอพยพตามปกติ[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]และในวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว สัตว์หลายชนิดในสวนสัตว์อู๋ฮั่น ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวกว่า 1,000 กิโลเมตร แสดงพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ม้าลายหลายตัวเอาหัวโขกประตูกรง ช้างฟาดงวงอย่างเกรี้ยวกราดจนเกือบโดนเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ สิงโตและเสือราว 20 ตัวซึ่งปกติจะนอนหลับตอนกลางวัน ก็เดินวนไปวนมาภายในกรง ยิ่งกว่านั้นในช่วงเวลาเพียง 5 นาทีก่อนเกิดแผ่นดินไหว นกยูงหลายสิบตัวส่งเสียงกรีดร้อง[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]เจ้าหน้าที่สวนสัตว์บอกกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า พฤติกรรมของสัตว์เหล่านี้อาจเป็น[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]การส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังจะเกิดแผ่นดินไหว [/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]นักแผ่นดินไหววิทยา บอกว่า มีเหตุผลบางอย่างที่พออธิบายได้ว่า การเคลื่อนตัวของ[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ชั้นหินใต้ดินก่อนเกิดแผ่นดินไหว ทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้าที่ทำให้สัตว์บางชนิดรับรู้ได้ หรือ[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]อีกทฤษฎีหนึ่งบอกว่า สัตว์สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นไหวเพียงเบาๆก่อนเกิดแผ่นดินไหว[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ได้ในขณะที่มนุษย์ไม่สามารถรู้สึกได้[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ขณะที่นายจาง เสี่ยวตง นักวิจัยที่สำนักแผ่นดินไหววิทยาของจีน บอกว่า หน่วยงาน[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ของเขาใช้สัญญาณเตือนจากธรรมชาติทำนายแผ่นดินไหวได้ 20 ครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในจีน[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ในฤดูหนาวเมื่อปี 2518 เจ้าหน้าที่จีนได้อพยพประชาชนออกจากเมืองไห่เฉิงในมณฑล[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]เหลียวหนิงเพียงหนึ่งวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว 7.3 ริกเตอร์ โดยสังเกตจากพฤติกรรม[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ของสัตว์และระดับน้ำใต้ดิน แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวกว่า 2,000 คน[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ขณะที่อีกหนึ่งปีถัดมา จีนไม่สามารถเตือนภัยแผ่นดินไหวขนาด 7.6 ริกเตอร์ในเมือง[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif]ถังซานได้ และมีผู้เสียชีวิต 240,000 คน ทั้งที่มีรายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดทางธรรมชาติช่วงก่อนเกิดแผ่นดินไหว เช่น ระดับน้ำในบึงลดฮวบ ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวถูกส่งไปในพื้นที่ดังกล่าว แต่ก็ไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว และช่วงที่ทีมผู้เชี่ยวชาญจะเดินทางกลับ ได้แวะพักค้างคืนที่เมืองถังซาน ทำให้เสียชีวิตในเหตุแผ่นดินไหวด้วย[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]สิ่งเหล่านี้คงพอบอกได้ว่าบางครั้งเราก็ควรฟังเสียงเตือนจากธรรมชาติบ้างเหมือนกัน[/FONT]

     
  14. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    [​IMG]


    ภูเขาไฟระเบิด เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง การระเบิดของภูเขาไฟนั้นแสดงให้เห้นว่าใต้ผิวโลกของเราลงไประดับหนึ่ง มีความร้อนสะสมอยู่มากโดยเฉพาะที่เรียกว่า"จุดร้อน" ณ บริเวณนี้มีหินหลอมละลายเรียกว่า แมกมา และเมื่อมันถูกพ่นขึ้นมาตามรอยแตกหรือปล่องภูเขาไฟ
    เราเรียกว่า ลาวา


    สาเหตุของการเกิดภูเขาไฟระเบิด

    กระบวนการระเบิดของภูเขานั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดนัก นักธรณีวิทยาคาดว่ามีการสะสมของความร้อนอย่างมากบริเวณนั้น ทำให้มีแมกมา ไอน้ำ และแก๊ส สะสมตัวอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อให้เกิดความดัน ความร้อนสูง เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะระเบิดออกมา อัตราความรุนแรงของการระเบิด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระเบิด

    รวมทั้งขึ้นอยู่กับความดันของไอ และความหนืดของลาวา ถ้าลาวาข้นมากๆ อัตราการรุนแรงของการระเบิดจะรุนแรงมากตามไปด้วย เวลาภูเขาไฟระเบิด มิใช่มีแต่เฉพาะลาวาที่ไหลออกมาเท่านั้น ยังมีแก๊สไอน้ำ ฝุ่นผงเถ้าถ่านต่างๆ ออกมาด้วย มองเป็นกลุ่มควันม้วนลงมา

    พวกไอน้ำจะควบแน่นกลายเป็นน้ำ นำเอาฝุ่นละอองเถ้าต่างๆ ที่ตกลงมาด้วยกัน ไหลบ่ากลายเป็นโคลนท่วมในบริเวณเชิงเขาต่ำลงไป ยิ่งถ้าภูเขาไฟนั้นมีหิมะคลุมอยู่ มันจะละลายหิมะ นำโคลนมาเป็นจำนวนมากได้ เช่น ในกรณีของภัยพิบัติที่เกิดในประเทศโคลัมเบียเมื่อไม่นานนี้

    แหล่งที่มา:คณาจารย์คณะวิทยาศาสตร์.สารานุกรมวิทยาศาสตร์.2534.

    สิ่งที่ได้จากการปะทุของภูเขาไฟ

    หลายคนเชื่อว่าลาวาเป็นวัตถุชิ้นแรกที่ถูกปล่อยออกมาจากภูเขาไฟซึ่งนั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป ทั้งนี้ในระยะแรกอาจพ่นเอาเศษหินขนาดใหญ่ออกมาจำนวนมากเรียกว่า"ลาวา บอมบ์"(Lava bomb)ส่วนเถ้าถ่านและ ฝุ่นละอองเกิดขึ้นต่อมาอย่างปกตินอกจากนั้นการเกิดระเบิดของภูเขาไฟยังปล่อยเอาก๊าซออกมาอีกด้วยดังจะกล่าวในรายละเอียด ตามลำดับดังนี้

    ลาวาหลาก (Lava flow)
    เนื่องด้วยลาวาที่มีปริมาณซิลิกาต่ำหรือลาวาที่มีองค์ประกอบเป็นบะซอลต์ปกติจะมีความเหลวมากและไหลเป็นชั้นบางๆแผ่เป็นแผ่นกว้างเหมือนลิ้นตัวอย่างบนเกาะฮาวาย ลาวาจะไหลออกมาด้วยความเร็ว 30 km./h บนพื้นที่ที่ชันมาก อย่างไรก็ตามความเร็วแบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยปกติพบว่ามีความเร็ว 10 - 300 m./h

    ในทางกลับกันการเคลื่อนที่ของลาวาที่มีซิลิกาสูงจะช้ากว่า เมื่อลาวาบะซอลต์ของการปะทุแบบฮาวายเอียนแข็งตัวมันจะมีผิวเรียบบางทีเป็นคลื่น(Wrinkle)ในขณะที่ลาวาด้านในใต้พื้นผิวซึ่งยังหลอมอยู่จะเคลื่อนที่ต่อไป ลักษณะนี้เรียกว่า

    "การไหลแบบ ปาฮอยฮอย (Pahoehoe flow)" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับริ้วเชือกบิดลาวาบะซอลตืทั่วๆไปจากแหล่งอื่นมักมีผิวขรุขระ เป็นแท่ง ขอบไม่เรียบแหลมคมหรือมีหนามยื่นออกมาเรียกว่า"อาอา(Aa)"

    ซึ่งเกิดจากลาวาประเภทนี้เช่นกันอาอาที่กำลังไหลออกมาจะเย็นและหนาขึ้นอยู่กับความชันของ ภูมิประเทศที่มันไหลมามีความเร็วของการไหลประมาณ 5-50m./h นอกจากนั้นก๊าซที่ออกมาจะทำให้ผิวของลาวาที่เย็นแตกออกและให้รูหรือช่องว่างขนาดเล็ก ที่มีปากรูเป็นหนามแหลมคมเมื่อลาวาแข็งตัวแล้ว

    ก๊าซ(Gas)
    ก๊าซละลายอยู่ในหินหนืดในปริมาณต่างๆกัน และอยู่ได้เพราะความดันของมวลหินโดยรอบเปรียบเหมือนคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในเครื่องดื่มซึ่งเมื่อความดันลดลงก๊าซ ก็เริ่มหนีออกมาเป็นฟองการศึกษาสภาพจริงจากการระเบิดของภูเขาไฟเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและอันตรายมากดังนั้นนักธรณีวิทยาจึงประมาณการ ปริมาณก๊าซที่ขึ้นมาจากก๊าซเริ่มต้น ที่ละลายอยู่ในหินหนืด

    ไม่ได้เชื่อกันว่าหินหนืดส่วนใหญ่มีก๊าซละลายอยู่ประมาณ5%ของน้ำหนักทั้งหมดและก๊าซที่ออกมามีมากกว่า1000ตันต่อวัน องค์ประกอบของก๊าซ ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจมากเช่นกันทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดของมหาสมุทรและบรรยากาศของโลก

    การวิเคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากการระเบิดของภูเขาไฟที่ฮาวาย ชี้ให้เห็นว่าก๊าซที่ถูกปล่อยออกมาประกอบด้วยไอน้ำประมาณ70%คาร์บอนไดออกไซด์15%สารประกอบไนโตรเจนและซัลเฟอร์อย่างละ5%

    ก๊าซอื่นๆ ที่มีปริมาณน้อยกว่าได้แก่คลอรีนไฮโดรเจนและอาร์กอนสารประกอบซัลเฟอร์จะทดสอบได้ง่ายโดยกลิ่นฉุนของมันซึ่งอาจกลายเป็นกรดซัลฟิวริกและมีอันตรายเมื่อได้สูดดม เข้าไปในปอด

    โทษของภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิด

    1. แรงสั่นสะเทือน มีทั้งการเกิดแผ่นดินไหวเตือน แผ่นดินไหวจริง และแผ่นดินไหวติดตาม ถ้าประชาชนไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเชิงภูเขาไฟอาจหนีไม่ทันเกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สิน

    2. การเคลื่อนที่ของลาวา อาจไหลออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟเคลื่อนที่รวดเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มนุษย์และสัตว์อาจหนีภัยไม่ทันเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

    3. เกิดฝุ่นภูเขาไฟ เถ้า มูล บอมบ์ภูเขาไฟ ระเบิดขึ้นสู่บรรยากาศ ครอบคลุมอาณาบริเวณใกล้ภูเขาไฟ และลมอาจพัดพาไปไกลจากแหล่งภูเขาไฟระเบิดหลายพันกิโลเมตร ภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดที่เกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์ ฝุ่นภูเขาไฟยังมาตกทางจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย

    เช่น จังหวัดสงขลา นราธิวาส และปัตตานี เกิดมลภาวะทางอากาศ และแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของประชาชน รวมทั้งฝุ่นภูเขาไฟได้ขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ใช้เวลานานหลายปี ฝุ่นเหล่านั้นถึงจะตกลงบนพื้นโลกจนหมด

    4. เกิดคลื่นซึนามิ ขณะเกิดภูเขาไประเบิด โดยเฉพาะภูเขาไฟใต้ท้องมหาสมุทร คลื่นนี้จะโถมเข้าหาฝั่งสูงขนาดตึก 3 ชั้นขึ้นไป กวาดทุกสิ่งทั้งผู้คนและสิ่งก่อสร้างลงสู่ทะเล เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

    5. หลังจากภูเขาไฟระเบิด มีฝุ่นเถ้าภูเขาไฟตกทับถมอยู่ใกล้ภูเขาไฟ เมื่อฝนตกหนัก อาจจะเกิดน้ำท่วมและโคลนถล่มตามมาจากฝุ่นและเถ้าภูเขาไฟเหล่านั้น

    ประโยชน์ของภูเขาไฟระเบิด

    1. การระเบิดของภูเขาไฟช่วยปรับระดับของเปลือกโลกให้อยู่ในภาวะสมดุล

    2. การเคลื่อนที่ของลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้หินอัคนีและหินชั้นใต้ที่ลาวาไหลผ่านเกิดการแปรสภาพ เช่น หินแปรที่แข็งแกร่งขึ้น

    3. แหล่งภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิดแหล่งแร่ที่สำคัญขึ้น เช่น เพชร เหล็ก และธาตุอื่นๆ อีกมาก

    4. แหล่งภูเขาไฟจะเป็นแหล่งดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น ดินที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น

    5. แหล่งภูเขาไฟ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติฮาวาย ในอเมริกา หรือแหล่งภูกระโดง ภูอังคาร ในจังหวัดบุรีรัมย์ของไทย เป็นต้น

    6. ฝุ่น เถ้าภูเขาไฟที่ล่องลอยอยู่ในอากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ทำให้บรรยากาศโลกเย็นลง ปรับระดับอุณหภูมิของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลกที่กำลังร้อนขึ้น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำแอลนิโน ที่ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกสูงขึ้นนั้นลดต่ำลง
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD class=topic_12 vAlign=top width="82%"> 20:02:15 </TD></TR><TR><TD class=topicDefault vAlign=top width="82%"><CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ภูเขาไฟระเบิด เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง การระเบิดของภูเขาไฟนั้นแสดงให้เห้นว่าใต้ผิวโลกของเราลงไประดับหนึ่ง มีความร้อนสะสมอยู่มากโดยเฉพาะที่เรียกว่า"จุดร้อน" ณ บริเวณนี้มีหินหลอมละลายเรียกว่า แมกมา และเมื่อมันถูกพ่นขึ้นมาตามรอยแตกหรือปล่องภูเขาไฟ
    เราเรียกว่า ลาวา
    สาเหตุของการเกิดภูเขาไฟระเบิด

    กระบวนการระเบิดของภูเขานั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดนัก นักธรณีวิทยาคาดว่ามีการสะสมของความร้อนอย่างมากบริเวณนั้น ทำให้มีแมกมา ไอน้ำ และแก๊ส สะสมตัวอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อให้เกิดความดัน ความร้อนสูง เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะระเบิดออกมา อัตราความรุนแรงของการระเบิด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระเบิด รวมทั้งขึ้นอยู่กับความดันของไอ และความหนืดของลาวา ถ้าลาวาข้นมากๆ อัตราการรุนแรงของการระเบิดจะรุนแรงมากตามไปด้วย เวลาภูเขาไฟระเบิด มิใช่มีแต่เฉพาะลาวาที่ไหลออกมาเท่านั้น ยังมีแก๊สไอน้ำ ฝุ่นผงเถ้าถ่านต่างๆ ออกมาด้วย มองเป็นกลุ่มควันม้วนลงมา พวกไอน้ำจะควบแน่นกลายเป็นน้ำ นำเอาฝุ่นละอองเถ้าต่างๆ ที่ตกลงมาด้วยกัน ไหลบ่ากลายเป็นโคลนท่วมในบริเวณเชิงเขาต่ำลงไป ยิ่งถ้าภูเขาไฟนั้นมีหิมะคลุมอยู่ มันจะละลายหิมะ นำโคลนมาเป็นจำนวนมากได้ เช่น ในกรณีของภัยพิบัติที่เกิดในประเทศโคลัมเบียเมื่อไม่นานนี้
    แหล่งที่มา:คณาจารย์คณะวิทยาศาสตร์.สารานุกรมวิทยาศาสตร์.2534.
    สิ่งที่ได้จากการปะทุของภูเขาไฟ
    หลายคนเชื่อว่าลาวาเป็นวัตถุชิ้นแรกที่ถูกปล่อยออกมาจากภูเขาไฟซึ่งนั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป ทั้งนี้ในระยะแรกอาจพ่นเอาเศษหินขนาดใหญ่ออกมาจำนวนมากเรียกว่า"ลาวา บอมบ์"(Lava bomb)ส่วนเถ้าถ่านและ ฝุ่นละอองเกิดขึ้นต่อมาอย่างปกตินอกจากนั้นการเกิดระเบิดของภูเขาไฟยังปล่อยเอาก๊าซออกมาอีกด้วยดังจะกล่าวในรายละเอียด ตามลำดับดังนี้
    ลาวาหลาก (Lava flow)
    เนื่องด้วยลาวาที่มีปริมาณซิลิกาต่ำหรือลาวาที่มีองค์ประกอบเป็นบะซอลต์ปกติจะมีความเหลวมากและไหลเป็นชั้นบางๆแผ่เป็นแผ่นกว้างเหมือนลิ้นตัวอย่างบนเกาะฮาวาย ลาวาจะไหลออกมาด้วยความเร็ว 30 km./h บนพื้นที่ที่ชันมาก อย่างไรก็ตามความเร็วแบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยปกติพบว่ามีความเร็ว 10 - 300 m./h ในทางกลับกันการเคลื่อนที่ของลาวาที่มีซิลิกาสูงจะช้ากว่า เมื่อลาวาบะซอลต์ของการปะทุแบบฮาวายเอียนแข็งตัวมันจะมีผิวเรียบบางทีเป็นคลื่น(Wrinkle)ในขณะที่ลาวาด้านในใต้พื้นผิวซึ่งยังหลอมอยู่จะเคลื่อนที่ต่อไป ลักษณะนี้เรียกว่า "การไหลแบบ ปาฮอยฮอย (Pahoehoe flow)" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับริ้วเชือกบิดลาวาบะซอลตืทั่วๆไปจากแหล่งอื่นมักมีผิวขรุขระ เป็นแท่ง ขอบไม่เรียบแหลมคมหรือมีหนามยื่นออกมาเรียกว่า"อาอา(Aa)"ซึ่งเกิดจากลาวาประเภทนี้เช่นกันอาอาที่กำลังไหลออกมาจะเย็นและหนาขึ้นอยู่กับความชันของ ภูมิประเทศที่มันไหลมามีความเร็วของการไหลประมาณ 5-50m./h นอกจากนั้นก๊าซที่ออกมาจะทำให้ผิวของลาวาที่เย็นแตกออกและให้รูหรือช่องว่างขนาดเล็ก ที่มีปากรูเป็นหนามแหลมคมเมื่อลาวาแข็งตัวแล้ว
    ก๊าซ(Gas)
    ก๊าซละลายอยู่ในหินหนืดในปริมาณต่างๆกัน และอยู่ได้เพราะความดันของมวลหินโดยรอบเปรียบเหมือนคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในเครื่องดื่มซึ่งเมื่อความดันลดลงก๊าซ ก็เริ่มหนีออกมาเป็นฟองการศึกษาสภาพจริงจากการระเบิดของภูเขาไฟเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและอันตรายมากดังนั้นนักธรณีวิทยาจึงประมาณการ ปริมาณก๊าซที่ขึ้นมาจากก๊าซเริ่มต้น ที่ละลายอยู่ในหินหนืดไม่ได้เชื่อกันว่าหินหนืดส่วนใหญ่มีก๊าซละลายอยู่ประมาณ5%ของน้ำหนักทั้งหมดและก๊าซที่ออกมามีมากกว่า1000ตันต่อวัน องค์ประกอบของก๊าซ ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจมากเช่นกันทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดของมหาสมุทรและบรรยากาศของโลกการวิเคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากการระเบิดของ ภูเขาไฟที่ฮาวายชี้ให้เห็นว่าก๊าซที่ถูกปล่อยออกมาประกอบด้วยไอน้ำประมาณ70%คาร์บอนไดออกไซด์15%สารประกอบไนโตรเจนและซัลเฟอร์อย่างละ5%ก๊าซอื่นๆ ที่มีปริมาณน้อยกว่าได้แก่คลอรีนไฮโดรเจนและอาร์กอนสารประกอบซัลเฟอร์จะทดสอบได้ง่ายโดยกลิ่นฉุนของมันซึ่งอาจกลายเป็นกรดซัลฟิวริกและมีอันตรายเมื่อได้สูดดม เข้าไปในปอด
    โทษของภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิด
    1. แรงสั่นสะเทือน มีทั้งการเกิดแผ่นดินไหวเตือน แผ่นดินไหวจริง และแผ่นดินไหวติดตาม ถ้าประชาชนไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเชิงภูเขาไฟอาจหนีไม่ทันเกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สิน
    2. การเคลื่อนที่ของลาวา อาจไหลออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟเคลื่อนที่รวดเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มนุษย์และสัตว์อาจหนีภัยไม่ทันเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
    3. เกิดฝุ่นภูเขาไฟ เถ้า มูล บอมบ์ภูเขาไฟ ระเบิดขึ้นสู่บรรยากาศ ครอบคลุมอาณาบริเวณใกล้ภูเขาไฟ และลมอาจพัดพาไปไกลจากแหล่งภูเขาไฟระเบิดหลายพันกิโลเมตร ภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดที่เกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์ ฝุ่นภูเขาไฟยังมาตกทางจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดสงขลา นราธิวาส และปัตตานี เกิดมลภาวะทางอากาศ และแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของประชาชน รวมทั้งฝุ่นภูเขาไฟได้ขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ใช้เวลานานหลายปี ฝุ่นเหล่านั้นถึงจะตกลงบนพื้นโลกจนหมด
    4. เกิดคลื่นซึนามิ ขณะเกิดภูเขาไประเบิด โดยเฉพาะภูเขาไฟใต้ท้องมหาสมุทร คลื่นนี้จะโถมเข้าหาฝั่งสูงขนาดตึก 3 ชั้นขึ้นไป กวาดทุกสิ่งทั้งผู้คนและสิ่งก่อสร้างลงสู่ทะเล เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
    5. หลังจากภูเขาไฟระเบิด มีฝุ่นเถ้าภูเขาไฟตกทับถมอยู่ใกล้ภูเขาไฟ เมื่อฝนตกหนัก อาจจะเกิดน้ำท่วมและโคลนถล่มตามมาจากฝุ่นและเถ้าภูเขาไฟเหล่านั้น
    ประโยชน์ของภูเขาไฟระเบิด
    1. การระเบิดของภูเขาไฟช่วยปรับระดับของเปลือกโลกให้อยู่ในภาวะสมดุล
    2. การเคลื่อนที่ของลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้หินอัคนีและหินชั้นใต้ที่ลาวาไหลผ่านเกิดการแปรสภาพ เช่น หินแปรที่แข็งแกร่งขึ้น
    3. แหล่งภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิดแหล่งแร่ที่สำคัญขึ้น เช่น เพชร เหล็ก และธาตุอื่นๆ อีกมาก
    4. แหล่งภูเขาไฟจะเป็นแหล่งดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น ดินที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
    5. แหล่งภูเขาไฟ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติฮาวาย ในอเมริกา หรือแหล่งภูกระโดง ภูอังคาร ในจังหวัดบุรีรัมย์ของไทย เป็นต้น
    6. ฝุ่น เถ้าภูเขาไฟที่ล่องลอยอยู่ในอากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ทำให้บรรยากาศโลกเย็นลง ปรับระดับอุณหภูมิของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลกที่กำลังร้อนขึ้น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำแอลนิโน ที่ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกสูงขึ้นนั้นลดต่ำลง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ถึงแม้แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดจะอยู่ในเขตเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันทำให้การพยากรณ์แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดแตกต่างกันไปด้วย ดังนี้

    1)หลังจากเกิดแผ่นดินไหว เราอาจจะบูรณะบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่ภูเขาไฟเมื่อระเบิดแล้วพื้นที่ในเขตภูเขาไฟจะเต็มไปด้วยธารลาวา ฝุ่นเถ้าภูเขาไฟ หรือพื้นที่ที่ถูกซึนามิกวาดผู้คนสิ่งก่อสร้างลงทะเลไป ซึ่งไม่สามารถบูรณะพื้นที่ขึ้นมาใหม่ได้ ความหวังจึงมีเพียงว่าทำอย่างไรจะให้ผู้คนอพยพออกจากเขตภูเขาไฟไปจนหมด เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ

    2)การพยากรณ์ภูเขาไฟระเบิดที่แม่นยำนั้น ทำได้ไม่ง่าย เหมือนแผ่นดินไหวเพราะแผ่นดินไหวมีจุดโฟกัสอยู่ลึกลงไปในเปลือกโลก ยังเป็นสัญญาณให้รู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไร ต่างจากภูเขาไฟระเบิด เมื่อหินหนืดหรือแมกมาขึ้นมาถึงพื้นผิวโลกแล้วเท่านั้นเราถึงทราบว่าภูเขาไฟจะระเบิด ซึ่งยากที่จะรู้ได้ เพราะไม่มีสัญญาณเตือนไว้ล่วงหน้า

    3)แผ่นดินไหวอาจจะหยุดไปเป็นช่วงเวลาหลายสิบปี เนื่องจากผิวโลกกำลังอยู่ในระหว่างสะสมแรงเค้น จนกว่าเมื่อแรงเค้นถึงที่สุด การสั่นสะเทือนแบบแผ่นดินไหวจึงจะเกิดขึ้นใหม่ ส่วนการเกิดภูเขาไฟระเบิดเมื่อหินหนืดเคลื่อนตัวขึ้นมาที่ผิวโลก จะมีการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์และเคมีในมวลหินหนืด ให้เห็นเป็นอย่างดีมากพอจะแปลความหมายได้ ซึ่งนักภูเขาไฟวิทยา (volcanologist) สามารถอ่านความหมายได้อย่างถูกต้อง และพยากรณ์ได้ว่าเมื่อไรภูเขาไฟจะระเบิดได้ไม่ยากนัก

    4)นักภูเขาไฟวิทยาสามารถคาดการณ์ได้ไม่ยากนักว่า ภูเขาไฟจะระเบิดเมื่อไรแต่ปรชาชนมักไม่ค่อยรับรู้ ยกเว้นพวกที่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ เชิงภูเขาไฟมากๆ กรณีภูเขาไฟเอ็ตนาในเกาะซิซิลีประเทศอิตาลีระเบิด มีเหตุผล 2 ข้อว่า เพราะเหตุใดผู้คนถึงไม่ค่อยสนใจการพยากรณ์ภูเขาไฟระเบิด

    ก)ภูเขาไฟลูกนั้นไม่เคยเกิดการระเบิดที่รุนแรงมาก่อนเลย พอที่จะทำอันตรายคนในท้องถิ่นนั้น

    ข)ภูเขาไฟลูกนั้น มีการระเบิดมากเพียง 3-5 ครั้ง ใน 100 ครั้งไม่ผลักดันให้ผู้คนอพยพ ประมาณแล้วระเบิดเพียงร้อยละ 5 ไม่ทำให้เกิดการตื่นกลัว ยกเว้นบางกรณีที่ผู้คนไปอยู่กันหนาแน่นที่เชิงภูเขาไฟขึ้นไปใกล้ปากปล่องอย่างน่ากลัวอันตราย


    การเตือนภัยแก่ประชาชน

    1)ต้องมีการพยากรณ์ภูเขาไฟว่าจะเกิดระเบิดขึ้น และทำอันตรายกับประชาชนหรือไม่ โดยพยากรณ์ให้ชัดเจนว่าจะเกิดในสัปดาห์ใด เดือนอะไรจะต้องมีการอพยพหรือไม่ อาจมีบางคนไม่อยากอพยพจนกว่าจะมีการระเบิดเสียก่อน และผู้คนจะกลับมาอยู่บ้านของตนได้เร็วที่สุดเมื่อไร

    2)การพยากรณ์ควรเริ่มต้นด้วยการสังเกต เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยนักภูเขาไฟวิทยาที่มีประสบการณ์อย่างจริงจัง เพราะภูเขาไฟไม่ระเบิดบ่อยนัก ประชาชน 2-3 พันล้านคนของโลกหารู้ไม่ว่าได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บนเชิงภูเขาไฟที่ดับหรือไม่ดับก็ตาม

    ดังนั้น การเตือนภัยล่วงหน้าควรจะช่วยลดจำนวนคนที่ตกเป็นเหยื่อของภูเขาไฟให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุดช่วยสงวนชีวิตและทรัพย์สินของสังคมได้มากที่สุด ดังนั้น จึงควรให้เกิดความรู้ว่าภูเขาไฟอยู่ที่ไหน จะระเบิดขึ้นได้หรือไม่ เมื่อไร เราควรจะคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของตนได้อย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น

    3)การประชาสัมพันธ์ การพยากรณ์และเตือนภัยแผ่นดินไหวทางวิทยุและโทรทัศน์ถึงแม้จะไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นหนทางที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง

    4)สุดท้ายหนทางที่ควรปฏิบัติอีกประการหนึ่ง คือ ให้ความรู้แก่ประชาชนไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ หรือการศึกษานอกระบบ ทำได้ตลอดเวลาทั้งก่อน ระหว่างและหลังประสบภัยพิบัติ เมื่อประชาชนรู้เรื่องภัยพิบัติจากภูเขาไฟระเบิด นับว่าการเตือนภัยจากภูเขาไฟระเบิดมีความสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว ดีกว่าให้ประชาชนตกอยู่ในความมืดเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น

    สร้างโดย:
    ด.ญ.ปาณิสรา กันทะวาด


    แหล่งอ้างอิง:
    http://www.environnet.in.th/evdb/info/diaster/disaster06.html



     
  15. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ชำแหละคลื่นเพชฌฆาต “สึนามิ”

    บัญชา ธนบุญสมบัติ
    buncht@mtec.or.th
    [​IMG]


    คลื่นยักษ์สึนามิซึ่งถล่มภาคใต้แถบชายฝั่งทะเลอันดามันในบ้านเรา และอีกหลายประเทศในเอเชียและแอฟริกา เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗

    ได้ทิ้งปัญหาให้เราต้องสะสางไปอีกพักใหญ่ พร้อมกับเปิดประเด็นสำคัญให้สังคมไทยได้ทบทวนหลากหลายแง่มุม ตั้งแต่ระบบการเตือนภัยของภาครัฐ บทบาทของสื่อสารมวลชนทั้งมวล รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและทัศนคติเกี่ยวกับอุบัติภัยของประชาชนทั่วไป
    \
    แต่หากย้อนกลับมาพิจารณาภาพข่าวซึ่งแสดงให้เห็นคลื่นยักษ์พุ่งโถมกระแทกชายหาด รวมทั้งผลกระทบต่าง ๆ ที่ตามมา ก็คงจะเห็นภาพได้ค่อนข้างชัดเจนว่า สึนามิแตกต่างจากคลื่นทะเลปรกติแน่ แต่ความแตกต่างหลัก ๆ อยู่ตรงไหน ?

    มีอะไรในคำว่า "สึนามิ" ?
    คำว่า สึนามิ (tsunami) แปลตรงตัวว่า คลื่นท่าเรือ โดยตัวอักษรตัวบนคือ 'สึ' แปลว่า ท่าเรือ ส่วนตัวล่างคือ 'นามิ' แปลว่า คลื่น

    เดิมทีฝรั่งส่วนใหญ่คิดว่าคำนี้หมายถึง คลื่นที่เกิดจากน้ำขึ้น-น้ำลง (tidal wave) ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะน้ำขึ้น-น้ำลง เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์

    ส่วนนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งเรียกคลื่นนี้ว่า คลื่นที่เกิดจากพื้นทะเลไหวสะเทือน (seismic sea wave) ซึ่งแม้จะมีส่วนถูกอยู่มาก แต่ก็ยังไม่ครบ เพราะว่าสึนามิอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น แผ่นดินถล่ม เทหวัตถุพุ่งชนมหาสมุทร

    กลไกการเกิดสึนามิ

    [​IMG]
    คลื่นทะเลโดยทั่วไปเกิดจากกระแสลม (หรือพายุ) ที่พัดเหนือผิวน้ำ ทำให้ผิวน้ำเคลื่อนไหวเกิดเป็นคลื่นหลายลูกวิ่งตามต่อเนื่องกันไป คลื่นที่เกิดจากลมพัดนี้แต่ละลูกอยู่ห่างกันไม่มากนัก (ภาษาวิชาการเรียกว่า ความยาวคลื่นสั้น) และวิ่งผ่านจุดจุดหนึ่ง หรือพุ่งเข้ากระทบฝั่งค่อนข้างถี่ (เช่น ทุกๆ ๑๐ วินาที)

    แต่สึนามิเกิดจากเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่ทำให้มวลของน้ำในมหาสมุทรเกิดการขยับตัวอย่างรวดเร็วในแนวดิ่ง เช่น แผ่นเปลือกโลกเบียดเข้าหากัน (และทำให้เกิดแผ่นดินไหว) ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิด แผ่นดินถล่ม รวมทั้งอุกกาบาตพุ่งชน แต่สึนามิส่วนใหญ่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้น้ำ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ ๖.๓ ริคเตอร์ขึ้นไป

    การขยับตัวในแนวดิ่งของน้ำที่ถูกรบกวนทำให้เกิดสึนามิวิ่งออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว (โปรดดูกรอบ 'ฟิสิกส์ของสึนามิ') ทั้งนี้ สึนามิมีความยาวคลื่นยาวมาก (ประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ กิโลเมตร) ซึ่งหมายความว่าคลื่นแต่ละลูกที่อยู่ติดกันอาจจะวิ่งผ่านตำแหน่งหนึ่งๆ ห่างกันนานถึง ๑๐-๒๐ นาที (หรือถึง ๑ ชั่วโมง)

    และในขณะที่อยู่ในมหาสมุทรจะเคลื่อนไปใต้ผิวน้ำ โดยจะทำให้น้ำกระเพื่อมขึ้นลงไม่มากนัก (แค่ ๑-๒ เมตร) ดังนั้น เรือที่อยู่ในทะเลจึงอาจจะไม่ได้รับอันตราย แถมอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคลื่นนี้วิ่งผ่านไป สึนามิในมหาสมุทรคล้ายกับเป็น "ยักษ์ใหญ่ใจดี"

    ในระหว่างที่คลื่นเคลื่อนที่ไปในมหาสมุทร สึนามิอาจจะลดความเร็วลงหากเคลื่อนผ่านบริเวณที่ลึกน้อยลง และเพิ่มความเร็วสูงขึ้นหากเคลื่อนผ่านบริเวณที่ลึก และอาจจะสะท้อนหรือหักเหเปลี่ยนทิศทางเมื่อกระทบกับเกาะแก่งต่างๆ อันเป็นธรรมชาติของคลื่นโดยทั่วไป

    เมื่อสึนามิเคลื่อนที่เข้าหาฝั่งซึ่งตื้นขึ้นเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ช้าลง แต่ยอดคลื่นจะสูงขึ้นเนื่องจากพลังงานที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หนึ่งหน่วยในเวลาเท่าๆ กันมีค่าคงที่โดยประมาณ (ภาษาวิชาการเรียกว่า ฟลักซ์ของพลังงาน หรือ energy flux มีค่าคงที่)

    หากแหล่งกำเนิดคลื่น (ซึ่งมักจะหมายถึงจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหว) อยู่ห่างไกลออกไป คลื่นอาจจะสูงได้ราว 15 เมตร แต่หากแหล่งกำเนิดคลื่นอยู่ใกล้ชายฝั่งมาก คลื่นก็อาจจะสูงได้มากกว่า 30 เมตร

    [​IMG]
    อย่างไรก็ตาม ชายฝั่งแต่ละแห่งอาจจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไปขึ้นกับลักษณะทางกายภาพหลายประการ เช่น ชายหาดมีความลาดชันแค่ไหน มีแนวหินโสโครกหรือไม่

    และบริเวณดังกล่าวเป็นปากแม่น้ำหรือไม่ เป็นต้น หากสึนามิไม่ถูกกีดขวางมากนัก ก็จะเปลี่ยนเป็น "ยักษ์ใหญ่ใจร้าย" พุ่งเข้ากวาดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า

    น่าสนใจว่า ความลาดชันของชายฝั่งมีผลต่อรูปร่างของคลื่นที่พุ่งเข้ากระทบฝั่งด้วย โดยหากชายฝั่งมีความลาดชันต่ำ (เอียงน้อยๆ) รูปร่างของคลื่นจะมีลักษณะคล้ายภูเขาคือ เอียงขึ้นทางหนึ่งและลาดลงอีกทางหนึ่ง ยอดคลื่นจะค่อยๆ แตกกระจายเป็นฟองและรอกคลื่นเล็กๆ ต่อเนื่องกันไป เรียกว่า คลื่นหัวแตกยอดกระจาย (spilling breaker)

    แต่หากชายฝั่งชันมากขึ้น ยอดคลื่นจะวิ่งแซงล้ำหน้าลูกคลื่นไปแล้วม้วนปลาย คล้ายๆ กับที่เราเห็นนักโต้คลื่นฝรั่งเล่นตามชายหาด เรียกว่า คลื่นหัวแตกม้วนตัว (plunging breaker)

    อย่างไรก็ตามหากชายฝั่งมีความชันมากถึงจุดหนึ่ง ระลอกคลื่นรวมตัวกันจนมียอดสูงขึ้น แต่ยอดคลื่นจะไม่ม้วนตัวและไม่แตกกระจายเป็นฟองจนกว่าจะเข้าถึงหาด เรียกว่า คลื่นหัวแตกใกล้ฝั่ง (surging breaker)

    ปัจจัยทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับสึนามิ

    หากมองภาพรวมทั่วโลก ในแต่ละปีจะเกิดสึนามิประมาณสองครั้งโดยเฉลี่ย ทั้งนี้บริเวณที่เกิดสึนามิมากที่สุดจะอยู่ในเขตที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุด (ราว ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของแผ่นดินไหวทั่วโลก)

    นั่นคือ แนวรอบแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิก (Pacific Plate) ซึ่งเรียกว่า วงแหวนแห่งอัคคี (Ring of Fire หรือ Girdle of Fire) เนื่องจากเป็นแนวที่เกิดของภูเขาไฟใหญ่น้อยทั่วไป

    ภูเขาไฟที่เกิดขึ้นตามแนววงแหวนแห่งอัคคีนี้ เกิดจากการที่แผ่นเปลือกโลกสองแผ่นเบียดตัวเข้าหากัน เช่น แผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรชนกันเอง หรือชนกับแผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีป

    โดยแผ่นเปลือกโลกหนึ่งจะมุดตัวลงใต้แผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่งและจมลงสู่เปลือกโลกชั้นใน บริเวณที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกในลักษณะนี้จึงเรียกว่า เขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) ซึ่งทำให้เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิได้

    สำหรับสึนามิที่ถล่มภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันของไทยในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ นั้นเป็นผลมาจากแผ่นดินไหวขนาด ๙.๐ ริคเตอร์ (เดิมระบุว่า ๘.๙ ริคเตอร์) ที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งด้านตะวันตกทางเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเวลาเวลา ๗:๕๘:๕๐ น. (ตามเวลาในประเทศไทย)

    โดยจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ลึก ๑๐ กิโลเมตร ห่างจากเมืองบันดาอาเช่ประมาณ ๒๕๐ กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๑,๒๖๐ กิโลเมตร


    [​IMG] [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสถิติการเกิดแผ่นดินไหวและการเกิดสึนามิในแถบนี้ย้อนกลับไปราว ๑๐๐ ปี (ค.ศ.๑๙๐๐-๒๐๐๓) ก็จะทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินไหวกับสึนามิชัดเจนขึ้น

    และอาจจะทำให้เข้าใจดียิ่งขึ้นว่า ทำไมในอดีตที่ผ่านมา (ประมาณ ๑๐๐ ปีเป็นอย่างน้อย) คนไทยแทบทุกคนจึงไม่เคยสนใจ (ยังไม่ต้องถึงขั้นเข้าใจ) เกี่ยวกับสึนามิแม้แต่น้อย

    ระบบเตือนภัยสึนามิ

    ประเด็นหนึ่งที่สงสัยและถามกันมากก็คือ ระบบเตือนภัยจากสึนามิมีหรือไม่ ? หากมี - ทำงานอย่างไร ? ลองมาดูข้อเท็จจริงเบื้องต้นกันก่อนดังนี้
    ในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ (พ.ศ. ๒๔๘๙) เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงขนาด ๖-๙ เมตร ถล่มฮาวาย และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง ๑๕๙ คน

    ภายหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น สหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งศูนย์ทำนายและเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นสองแห่ง ได้แก่ ศูนย์เตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิแห่งแปซิฟิก (The Pacific Tsunami Warning Center - ย่อว่า PTWC)

    ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดอีวา (Ewa Beach) ในฮาวาย และศูนย์เตือนภัยคลื่นยักษ์แห่งอะแลสกา (The Alaska Tsunami Warning Center - ย่อว่า ATWC)


    [​IMG]

    ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๖๕ (พ.ศ. ๒๕๐๘) ได้มีการพัฒนาระบบเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ (The Tsunami Warning System - ย่อว่า TWS) เพื่อเตือนสมาชิกที่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก จำนวน ๒๖ แห่ง เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมทั้งไทยด้วย

    โดยหัวใจของระบบนี้คือ ศูนย์เตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิแห่งแปซิฟิก PTWC ที่ฮาวาย ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อทำนายว่าจะมีคลื่นยักษ์สึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวหรือไม่

    และถ้ามีโอกาส ก็จะออกประกาศเตือนไปยังบรรดาสมาชิกในกลุ่ม โดยเน้นในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก (พูดง่ายๆ คือ ภายในวงแหวนแห่งอัคคีนั่นเอง)
    ทั้งนี้ ศูนย์เตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิแห่งแปซิฟิกจะใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ประกอบกัน

    เช่น สถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีที่ดำเนินการโดยศูนย์ PTWC เอง หรือโดยศูนย์เตือนภัยที่อะแลสกา (ATWC) รวมทั้งศูนย์ข้อมูลแผ่นดินไหวแห่งชาติ (ของสหรัฐฯ) เป็นต้น


    [​IMG] [​IMG]

    แต่ที่ว่ามานี้เป็นข้อมูลทางด้านธรณีวิทยา เพราะถ้าจะวัดคลื่นสึนามิโดยตรงที่อยู่ในน้ำก็ต้องใช้ระบบประเมินและรายงานคลื่นยักษ์สึนามิในมหาสมุทรระดับลึก

    (Deep-ocean Assessment and Reporting of Tsunamis Mooring System - ย่อว่า DART sytem)

    รู้จักกับระบบ DART ซึ่งใช้ตรวจจับสึนามิ

    ระบบ DART ประกอบด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดความกดดัน ณ พื้นทะเล (ลึกประมาณ ๖ กิโลเมตร) ซึ่งถูกถ่วงให้อยู่บนพื้นทะเลด้วยน้ำหนักราว ๓๒๗ กิโลกรัม

    และใกล้ๆ ผิวน้ำบริเวณนั้นจะมีทุ่นลอยซึ่งถูกผูกยึดอยู่กับสมอหนักราว ๓.๑ ตัน ข้อมูลความกดดันจากอุปกรณ์ที่พื้นทะเลจะถูกส่งไปยังอุปกรณ์รับบนทุ่นลอยด้วยสัญญาณเสียง

    โดยทุ่นลอยติดต่อกับดาวเทียม GOES ซึ่งรับส่งสัญญาณกับสถานีภาคพื้นดินอีกต่อหนึ่ง

    ในปัจจุบัน มีระบบนี้ติดตั้งอยู่ที่นอกชายฝั่งรัฐอะแลสกาและรัฐออริกอนของสหรัฐฯ อย่างน้อยสองแห่ง (และมีแผนติดตั้งเพิ่มเติมในอนาคต)

    ระบบเตือนภัยสึนามิที่ฮาวายนี้สามารถออกประกาศเตือนได้ภายใน ๑ ชั่วโมง หลังจากเกิดแผ่นดินไหว โดยชายฝั่งที่อาจจะได้รับผลกระทบจะต้องอยู่ห่างจากจุดศูนย์เกิดแผ่นดินไหวไกลเกินกว่า ๗๕๐ กิโลเมตร ถึงจะสั่งอพยพประชาชนได้ทันการ

    (เพราะความเร็วของคลื่นสึนามิประมาณ ๗๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างที่กล่าวไปแล้ว)

    แต่หากเป็นระบบพิเศษอื่นๆ เช่น ในรัฐอะแลสกา ในตัวรัฐฮาวายเอง ญี่ปุ่น รัสเซีย และเฟรนช์โปลินีเชีย ก็อาจจะออกคำเตือนได้ภายใน ๑๐ นาที หากจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ในระยะ ๑๐๐-๗๕๐ กิโลเมตรจากชายฝั่ง

    นอกจากนี้ ยังสามารถศึกษาสึนามิโดยการจำลองเหตุการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปประกอบกับข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดแบบเวลาจริง (real-time measurement)

    ซึ่งจะช่วยในการประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น จะเกิดสึนามิกระทบชายฝั่ง หรือเกาะแก่งต่าง ๆ ที่ไหน และเมื่อไร


    [​IMG] [​IMG]

    คุณควรทำตัวอย่างไรเมื่อเจอภัยสึนามิ

    * เมื่ออยู่ที่ชายฝั่ง หากรู้สึกถึงแผ่นดินไหว หรือได้รับสัญญาณเตือนภัยสึนามิ ให้ตั้งสติและหนีไปอยู่บนที่สูงและห่างออกไป

    (เช่น ในอาคารคอนกรีตหลายชั้นที่มั่นคง) อย่าเข้าไปหลบในอาคารที่อยู่ในที่ต่ำเป็นอันขาด)

    * หากอยู่ในเรือและมีเวลาเพียงพอ ให้หันหัวเรือออกไปยังน้ำลึก (อย่างน้อย ๑๐๐ ฟาทอม = ๑๘๓ เมตร โดยประมาณ)

    * ก่อนสึนามิจะมาถึงฝั่ง น้ำทะเลอาจจะสูงขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว นี่คือสัญญาณเตือนภัยที่มองเห็นได้ อย่าลงไปชมชายหาดเป็นอันขาด

    - จำไว้ว่า สึนามิพุ่งเข้าหาฝั่งเร็วเกินกว่าคนจะวิ่งหนีทัน!

    * ก่อนจะเกิดสึนามิขนาดใหญ่มักจะมีเสียงดังสนั่น (คล้ายเสียงเครื่องบินหรือรถไฟ) นำมาก่อน

    ดังนั้นหากเป็นช่วงเวลากลางคืนที่มองไม่เห็นทะเล นี่คือสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติที่ได้ยินได้

    * เนื่องจากสึนามิเป็นคลื่นที่มาเป็นขบวน ไม่ได้มาเพียงลูกเดียว ดังนั้นอย่าอยู่ในพื้นที่เสี่ยงจนกว่าเหตุการณ์จะจบลงอย่างสมบูรณ์

    * หลังจากอาคารหรือบ้านเรือนโดนสึนามิถล่ม ให้ระวังว่าโครงสร้างอาจจะได้รับความเสียหายและอาจพังทลายลงมาได้

    ข้อเสนอเพื่อการป้องกันภัยสึนามิในอนาคต


    [​IMG]

    ในช่วงแรกหลังเกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ สื่อสารมวลชนได้นำเสนอความเห็นต่างๆ จากผู้รู้หลากหลายสาขา

    โดยความเห็นที่หลากหลายนี้สะท้อนมุมมองและความชำนาญในวิชาชีพของแต่ละท่าน ซึ่งพอจะประมวลเบื้องต้นเป็นตัวอย่างได้ดังนี้

    * เสนอให้ติดตั้งระบบและเครือข่ายเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ และมีการให้ความรู้ รวมทั้งสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับความปลอดภัยให้แก่ประชาชน (นักวิทยาศาสตร์)

    * เสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร และให้จัดทำแผนที่ความเสี่ยงในการเกิดสึนามิ ในทำนองเดียวกับแผนที่แสดงความเสี่ยงในการเกิดแผ่นดินไหวและดินถล่ม (วิศวกร)

    * เสนอให้มีการฝึกซ้อมการรับมือ และสร้างเครือข่ายการเฝ้าระวัง (ผู้บริหารองค์กร)

    * เสนอให้มีการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่น บริเวณไหนมีความเสี่ยงสูง ก็ไม่ควรเป็นแหล่งที่พักอาศัยหรือสถานที่ท่องเที่ยว (นักรัฐศาสตร์)
    ส่วนภาพที่ใหญ่กว่านั้น

    ยังมีผู้เสนอว่าควรมี "การสังคายนา" หรือ "ยกเครื่อง" ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทั้งมวลของประเทศเสียใหม่ เพราะหากเกิดเหตุเศร้าสลดขึ้นมา สิ่งที่สูญเสียไปย่อมไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้

    มหันตภัยคลื่นยักษ์ครั้งนี้ได้ให้บทเรียนและประสบการณ์กับเราหลายด้าน แต่ที่สำคัญก็คือ เราต้องเรียนรู้เพื่อแก้ไขและหาทางป้องกัน และไม่เฉยเมย (หรือหัวเราะเยาะใคร)

    หากมีคนเปิดประเด็น (ที่อาจจะเป็นไปได้) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยขึ้นมา แม้ประเด็นดังกล่าวนั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยนิดเพียงใด หรือดูเหมือนจะไม่มีผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจโดยตรงก็ตามที


    [​IMG]

    แนะนำขุมทรัพย์ทางปัญญา

    ขอแนะนำเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสึนามิมีดังนี้

    * The Physics of Tsunamis :
    Physics of Tsunamis

    * West Coast & Alaska Tsunami Warning Center :
    http://wcatwc.gov/subpage1.htm

    * ระบบ DART : DART System - Mooring System


    Sarakadee
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2010
  16. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ขอให้ประเทสไทยรอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายนี้ไปได้นะค่ะ
     
  17. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    เมื่อกี้ไปโพสต์ผิดกระทู้นะค่ะ
     
  18. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center width=30>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>-- อิลูมินาติ / Reptilian /new world order จะมีสักกี่คนที่รู้เรื่องพวกนี้ ---
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">กลับมาแก้ไขหัวกระทู้ใหม่นะครับ หลังจากที่ได้หาข้อมูลและมาโพสเรื่อยๆแล้ว
    ยิ่งอ่านยิ่งค้นไป จะพบว่าทุกอย่างมัน ค่อยๆเผยปมมาเป็นเรื่องเดียวกันมากขึ้น กระแส 2012 อิลูมิเนติ
    new world order การจัดระเบียบโลกใหม่ ของอเมริกาที่ตั้งเรื่องนี้ไว้เป็นร้อยปีแล้ว ล่าสุดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ บุช ยันโอบาม่าฯลฯ

    ทุกเรื่องคือเรื่องเดียวกันหมด ขอให้ท่านที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ค่อยๆ เปิดใจอ่านข้อมูลไปทีละส่วนๆ แล้วมาประมวลผล
    ด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งปักใจ อย่าเพิ่งเมินหนี ว่ามันเรื่องอะไรหว่า

    ลองอ่านดูไปเรื่อยๆจะพบว่ามันมีมูลครับ วิทยาศาสตร์นะครับ ไม่ใช่สิ่งลึกลับ
    ที่ผมหามาโพสในห้องทไวไลท์ นี้ส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไสยศาสตร์นะครับ แต่เป็นวิทยาศาสตร์และวงการนักวิทยาศาสตร์
    ทั่วโลกเค้ากำลังศึกษาอยู่เพียงแต่ เราอาจจะดูว่ามันเหลือเชื่อเกินไป

    สิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งเหลือเชื่อนั้น ไม่เชื่อคุณลองนึกว่า คุณเอาเมาส์คอมพิวเตอร์ไปให้คนโบราณซัก ร้อยปีที่แล้ว
    เค้าก็คงไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรหรอกครับ ดังนั้น มันอยู่ที่ยุค และสมัย
    แต่สิ่งที่อยู่ในกระทู้นี้ มันจะย้อนอดีตไปไกล และล้ำมาสู่อนาคตอันใกล้ในปีสองปีนี้
    มันมีข้อมูล วัตถุดิบมากมาย ขอให้เปิดใจ

    ถึงอย่างไร หากไม่คิดอะไรมาก ก็คิดว่าเป็นแค่นิยาย อ่านเอามันส์ละกันครับ

    ----------------------------------------------------

    ILLUMINATI คือใคร พวกเค้าสำคัญอย่างไร กับโลกใบนี้ และกำลังทำอะไรอยู่??

    ถ้าใครได้ดูดาวินชีโคด จะเห็นได้ว่า มีพวกอิลูมินาติ illuminati
    แม้ว่าบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจ (ผมก็ไม่เข้าใจ) แต่มีผู้กล้า เปิดเผยเรื่องราว
    ค่อนข้างช๊อคพอสมควรหลังจากรู้ว่าแท้จริงแล้ว illuminati เป็นใคร แล้วเกิดอะไรขึ้นกะโลกใบนี้

    ค่อยๆดูไปทีละ ตอนนะครับ อยากให้ดูให้ครบจริงๆ

    <EMBED height=300 type=application/x-shockwave-flash width=400 src=http://www.youtube.com/v/UiOYMsUTNfY&hl=en&fs=1& AllowScriptAccess="never" quality="high" loop="true" play="true"><NOEMBED></NOEMBED>

    <EMBED height=300 type=application/x-shockwave-flash width=400 src=http://www.youtube.com/v/gx0jQAh0aaw&hl=en&fs=1& AllowScriptAccess="never" quality="high" loop="true" play="true"><NOEMBED></NOEMBED>

    ประเด็นหลักๆนี่ดูเหมือนว่า...พวกอิลลูมินาติตัวจริงจะเป็นพวก Reptilians.....????
    แล้วมนุษย์ต่างดาวพวกนี้สามารถเข้ามาอยู่ในร่างมนุษย์ได้ด้วยรึ. ......... น่าคิดมากทีเดียว......
    แล้วมันก็มีเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมเกินกว่าจะจินตนาการได้.


    ลองค้นใน wikipedia

    อิลลูมินาติ
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    อิลลูมินาติ (อังกฤษ: Illuminati) เป็นชื่อที่อ้างอิงถึงกลุ่มหลาย ๆ กลุ่ม ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในความเป็นจริงและในเรื่องแต่ง ในอดีตนั้นใช้อ้างถึงบาวาเรียนอิลลูมินาติ ซึ่งเป็นสมาคมลับในยุคเรืองปัญญาที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2319 สำหรับในปัจจุบันจะใช้อ้างถึงองค์กรสมคบคิดที่ถูกอ้างว่า เป็นกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังอำนาจอย่างลับๆ โดยการควบคุมเหตุการณ์ในโลกทุกวันนี้ผ่านทางรัฐบาลและกลุ่มบุคคลอื่นๆ คล้ายกับว่าเป็นการฟื้นคืนชีพหรือการสืบทอดอำนาจอย่างต่อเนื่องของบาวาเรียนอิลลูมินาติ โดยในบริบทนี้คำว่า อิลลูมินาติ มักจะถูกใช้อ้างถึง New World Order (NWO) นักทฤษฎีสมคบคิด จำนวนมากเชื่อว่าอิลลูมินาติอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การสถาปนาลัทธิดังกล่าว และข้อเท็จจริงที่สร้างความสับสนมากขึ้นไปอีกก็คือ ปัจจุบันมีกลุ่มภราดรหลายกลุ่มที่มีคำว่า "อิลลูมินาติ" อยู่ในชื่อกลุ่มด้วย

    องค์กรนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2319 ในเมืองอินกอลสตาดท์ (บาวาเรียตอนบน) โดย Adam Weishaupt[1] ผู้เลื่อมใสในคณะเยซูอิต และเป็นศาสตราจารย์ด้านประมวลกฎหมายโรมันเกี่ยวกับศาสนาที่เป็นฆราวาสคนแรกที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์[2] องค์กรนี้ก่อตัวขึ้นจากนักคิดเสรีในฐานะเป็นผลพวงจากยุคเรืองปัญญา[3] ซึ่งนักเขียนร่วมสมัยบางคนอย่างเช่น Seth Payson เชื่อว่าเป็นการสมคบคิดเพื่อแทรกซึมและโค่นล้มรัฐบาลของหลายๆรัฐในยุโรป[4] ขณะที่นักเขียนบางคนอย่าง Augusting Barruel และ John Robison ได้กล่าวอ้างว่าอิลลูมินาติอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส
     
  19. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center width=30>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>Re: -- อิลูมินาติ Reptilian Shapeshifters ---
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">ผมไม่ได้ดูละเอียดนัก หากใครเก่งภาษา ช่วยสรุปอีกที
    เอาเป็นว่า พวกอิลูมินาติ เค้าว่ากันว่าเป็นพวก เอเลี่ยน ที่แฝงตัวมาในคราบมนุษย์
    เอเลี่ยนที่ รูปร่างเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน หรือเผ่าเลื้อยคลาน
    Lacerta ลองเซิร์ทคำนี้ดูนะครับ


    (ว่ากันว่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ หาใช่เผ่าพันธ์เดียวที่มีอารยธรรมไม่ lacerta เผ่าเลื้อยคลาน คือสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่อาศัยอยู่ใต้ดิน
    เป็นพวกเลื้อยคลาน กิ้งก่า หรือถ้าไทยๆหน่อยก็ นาค หรือพญานาค มั้งครับ แต่ยังไม่แน่ชัดนักเรื่อง นาค อย่าเพิ่งด่วนสรุป อาจจะคนละพวกกันก็ได้ )


    ทีนี้ พวก เลื้อยคลาน หรือจะเป็นอะไรก็ตาม เช่นมนุษย์ต่างดาว หรือ พวก illuminati หรือพวกแอนตี้ไครส์
    สุดแล้วแต่จะเรียก(อาจจะเป็นพวกเดียวกันก็ได้)
    อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นพวกไม่หวังดีต่อโลก จะแฝงเข้ามา เพื่อดำเนินกิจกรรมบางอย่าง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ยากจะคาดเดา

    มีข้อสันนิฐานว่า สังเกตุคนที่ถูกแฝงตัวเข้ามา จะมีตาแบบสัตว์เลื้อยคลาน คือไม่เหมือนมนุษย์
    คือเป็นตา ลักษณะแนวตั้ง ไม่กลมเหมือนคนทั่วไป และ พวกนี้มักเป็นคนที่มีบทบาทต่อสังคมสูง
    เป็นใหญ๋เป็นโต เป็นประธานาธิบดี ดูวีดีโอนี้จะต้องอึ้ง ทึ่งกันไปตามๆ ว่าใครกันบ้างที่เป็นนะครับ



    <EMBED height=300 type=application/x-shockwave-flash width=400 src=http://www.youtube.com/v/ksPtnQmq2dc&hl=en&fs=1& AllowScriptAccess="never" quality="high" loop="true" play="true"><NOEMBED></NOEMBED>

    ในตัววิดีโออันนี้เขาเอาแววตามาเปรียบเทียบกับคนปกติ. .....คือคนทั่วไปต้องเป็นแววตา
    วงกลมนัยน์ตาต้องกลม....

    แต่นักการเมืองที่ถูกสิง...มันกลับมีนัยน์ตาแบบเดียวกับพวกงู. .....

    มันถูกสิงร่าง....ฟันธง.......!!!



    วีดีโอนี้ต้องดูครับ
     
  20. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center width=30>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>Re: -- อิลูมินาติ Reptilian Shapeshifters ---
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">ที่มาของข้อความเครดิต คุณ QUARK
    http://sameskyboard.com/index.php?showtopic=34464&st=0

    เอาละเข้าเรื่องครับ

    - ทำไม Alex Collier ได้ถูกเผ่าพันธ์ Andromedans เป็นเผ่าพันธ์ที่เป็นมิตรกับ เผ่าพันธ์เรา จับตัวไปเมื่อตอนเด็ก อายุประมาณ 6-7 ขวบ
    แต่ตอนนั้นมีความทรงจำบางส่วนที่ถูกลบไป (เพราะเค้ายังเด็กเกิน)แต่พอ อายุ 14 ก็ถูกจับตัวไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ Alex บอกว่าเค้าไม่รู้สึกกลัวไดๆเลย
    และ Andromedans ขอความร่วมมือจากเค้า ที่จะติดต่ดผ่านและหาข้อมูลให้ Alex ตอบตกลง และก็มีการติดต่อกันอีกหลายครั้งโดยAndromedans
    ได้ให้เครื่องมือสื่อสารชนิดพิเศษ

    ทีนี้เอาแบบพอกว้างๆนะครับ

    ในจักวาลนี้ มีมากมายหลาย planet หลาย galaxy มีเผ่า พันธ์ หลายเผ่าพันธ์ โลกเรานั้น มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ที่ถูุกสร้างให้เชื่อมโยงกับโลก
    และเป็นเผ่าพันธ์ดั้งเดิมอาศัยอยู่ที่นี่
    เพราะโลกใบนี้จริงๆแล้วมีชีวิต มนุษย์มีพลังงานที่เชื่อมโยงกับโลกทำให้โลกมีชีวิตอยู่ได้ และทำให้จักวาลขับเคลื่อน
    (ผู้สร้างที่หลายศาสนาเรียกว่าพระเจ้าเป็นพลังงานเริ่มต้นสร้างทุกเผ่าพันธ์ทุก planet ทุกgalaxy )
    และในจักวาลนั้นมีระบบระเบียบ (ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี) เอาแบบเข้าใจง่ายๆนะ ก็เหมือนประเทศเราที่มี ประมุข ของประเทศ และหลากหลายระดับ และโลกนี้เป็น planet ที่สามารถไปได้หลาย dimension เปรียบเทียบเหมือนกับเมืองหลวงของประเทศอะครับ
    เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่หมายตาของ เผ่าพันธ์ Reptilian
    หลายล้านล้านปีก่อนที่มนุษย์ถูกสร้างนั้น มีหลายเผ่าพันธ์เข้ามาเยือนโลก แต่ไม่ได้มาอาศัยอยู่
    Reptilian เป็นเผ่าพันธ์แรกที่นำโลกใบนี้เข้าสู่แผนที่จักวาล และถือยึดครอง (คล้ายกับโคลัมบัสอ่ะครับ)
    ย้อนไปอีกนิด Reptilian นั้นมาจากดาว Dragonis และทำสงครามยึดครองดาวดวงอื่น เช่น Orionซึ่ง Graysอาศัยอยู่

    และ Grays เผ่าพันธ์ที่ อ่อนแอ จึงแพ้สงคราม จึงโดน พวก Reptilian เปลียน ยีนส์ ทำให้ไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้
    และบางส่วนก็อนำไปใช้แรงงาน
    เพราะฉนั้นเอง Grays ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้จึงต้องการ รักษาเผ่าพันธ์ของตัวเองไว้โดยการสต๊อคยีนส์ ไว้ผสมข้ามเผ่าพันธ์
    พวกนี้อาศัยอยู่ได้โดยดูดพลังงานจากมนุษย์ และในขณะเดียวกันก็ทำงานให้กับ Reptilian แต่บางที Grays ก็ช่วยอะไรบางอย่างกับ
    มนุษย์เหมือนกันแต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนเสมอ
    มาถึง Reptilian ที่ยังไม่ผสมDNA ก็อยู่ไต้ดิน ในน้ำ (โลก) พวกนี้มีชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยเลือดจากสิ่งมีชีวิตในโลกนี้
    บางส่วนที่ผสมแล้วก็ยังดื่มเลือดอยู่
    และ anunaki ก็เป็นเผ่าพันธ์Reptilian เหมือนกันตามภาพครับ
    Reptilian เป็นเผ่าพันธ์ระดับ 3 (เทคโนโลยีสุงแต่spiritualหรือพลังงานต่ำกว่ามาก)จะต่ำกว่า Andromedas (เทคโนโลยีสุงเท่ากับ spiritualหรือพลังงาน)
    ส่วนลักษณะ Andromedas นั้นไม่มีน้ำหนัก พูดตรงๆคือจับต้องไม่ได้ แต่เป็นรูปร่างของพลังงาน

    และ ก่อนหน้าAndromedas ก็มีอีกเผ่าพันธ์ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว เดี๋ยวค่อยหามาตอบ เคยเข้ามาเฝ้าาดูเผ่าพันธ์เราเหมือนกันแต่ไม่ได้ช่วย
    จนกระทั่งระบอบจักวาลเกิดสดุด จึงเป็นสาเหตุให้Andromedas ต้องยื่นมือมาช่วย
    และAndromedas พูดถึงเผ่าพันธ์มนุษย์ว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่ถูกสร้างมาพิเศษมากเพราะมีการรวมเอายีนส์ DNA ของเผ่าพันธ์humanoid ทั้งหมด
    20กว่าสายพันธ์ (อันนี้ไม่แน่ใจจำนวนเดี๋ยวกลับไปฟังวิดิโออีกที) Andromedas บอกว่าพลังงานที่อยู่ในมนุษย์นั้นเป็นพลังงานเดียวกันกับพลังงานต้นแบบ(ผู้สร้าง)
    (ยกตัวอย่างเช่นน้ำทะเลหยดเดียวกับน้ำทะเลทั้ง ocean นั้นมีโมเลกุลเหมือนกัน)

    นี่เป็นอีกสาเหตุนึงที่ Reptilians ต้องการผสมDNA กับมนุษย์ มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์เดียวที่มีการรวบยีนส์DNA ได้สมบูรณ์แบบ

    และพวกนี้หลอกใช้มนุษย์บางส่วนที่เห็นแก่ได้โดยแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี กับเผ่าพันธ์ของตัวเอง (โดยการทำลายเผ่าพันธ์ของตัวเอง ผ่าน สงคราม โรคระบาด และอื่นๆอีกมากมาย)และกุมความลับไว้จากสายตาของเผ่าพันธ์ตัวเอง มนุษย์ส่วนนี้ ต้องการย้ายถิ่นฐานไปดาวดวงอื่น(เพราะไม่ต้องการอยู่ไต้การควบคุมของReptilians ) เช่นดวงจันทร์หรือ ดาวอังคาร แต่หารู้ไม่ว่า ที่ดวงจันทร์และดาวอังคาร
    ก็มีพวกReptilians เหมือนกัน

    ณ ตอนนี้ NASA จึงยกเลิกความคิดที่จะย้ายไปดาวดวงอื่นโดย การยึดขั้วโลกเหนือไว้เป็นอณานิคม โดยการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดไต้ผิวโลกทำให้แกนโลกเอียง
    เพื่อจะให้ขั้วโลกหนืออุ่นขึ้น

    ผมแปลจากที่ Alex พูดไว้ และรายละเอียดนั้นยังมีอีกมากมาย จากเวบDavid Icke Website - Research Archive ก้อมี ที่อธิบายว่าอาหาร และ ยา
    บางชนิดทำให้
    ยีนส์ของมนุษย์เปลี่ยนไป ไม่สามารถมีลูกได้(เป็นหมัน) ก็เป็นการลด กำจัดเผ่าพันธ์มนุษย์อีกทางหนึ่ง

    0 ส่วนใครจะเชื่อหรือไ่ม่นั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคล ผมก็ไม่ได้บังคับใครให้เชื่อเอาเป็นว่า เปิดสมองรับสิ่งไหม่ๆแล้วกันนะครับ

    ถ้าใครอยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็มีข้อมูลให้ค้นหามากมาย แล้วก็รอดูอนาคต
     

แชร์หน้านี้

Loading...