มีพระอรหันต์ องค์ใดบ้าง ที่บรรลุโดยไม่มีสมถะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 17 ธันวาคม 2008.

  1. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ท่านพระพาหิยะทารุจีริยะิบรรลุพระอรหัตผล

    ในขณะฟังธรรม และ ส่งกระแสจิตตามจนสามารถปลดเปลื้อง

    สังโยชน์สิบได้หมด

    ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาพุทธะโคดมว่าท่านพระพาหิยะตั้งอยู่ในตำแหน่งเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย เป็นฝ่ายผู้ตรัสรู้เร็วพลัน
     
  2. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,086
    เบื่อพวกสุดโต่งไร้ปัญญา

    มีฤทธิ์ไม่ได้จำเป็นว่า ต้องหลง ต้องยึดติด ต้องวน ทุกคน

    พระอรหันต์ มี 4 หมวด (อะไรบ้าง ไปหาเอาเอง)
    3ใน 4 เป็น แบบมีฤทธิ์ เหนือคนธรรมดา คือมีฤทธิ์ พร้อมกับหมดกิเลส เข้านิพพาน
    1ใน 4 ถึงจะเป็นพระอรหันต์แบบธรรมดา คือหมดกิเลสเข้านิพพาน

    **คิดเป็น % ก็คือ 75%มีฤทธิ์ อีก 25% ไม่มี แล้วยังไงน่ะเหรอ ก็ใช้ปัญญาคิดสิ เก่งนักนี่ ก็แสดงว่าส่วนใหญ่นั้นมีฤทธิ์แล้วหมดกิเลส เข้านิพพานได้ด้วยน่ะสิ ไม่ได้มีฤทธิ์แล้วหลงกันหมด ส่วนแบบสุขวิปัสโกนั้นมีจำนวนน้อยกว่าด้วยซ้ำ

    ***อย่าเอาตัวเองมาวัดว่ามีฤทธิ์แล้วทุกคนจะต้องหลงกันหมด นั่นคือคุณคิดว่าถ้าเป็นคุณมีฤทธิ์แล้ว คุณจะหลง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นอย่างคุณ

    ****ถ้ามีฤทธิ์แล้วหลงกันหมด อย่าลืมนะว่า พระอรหันต์ ที่มาประชุมกัน 1,250 รูปน่ะ นั่นเป็นแบบมีฤทธิ์หมดเลยนะ ถ้าต้องหลงฤทธิ์กันหมด จะมีท่านเหล่านั้นได้อย่างไร

    *****ถ้ามีฤทธิ์แล้วไม่ดี ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญ

    พระโมคคัลลา ให้เป็น เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญการใช้ฤทธิ์ล่ะ

    พระอนุรุทธเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุญาณ

    พระโสภิตเถระ เอตทัคคะในทางระลึกปุพเพนิวาสานุสติญาณ

    พระจูฬปันถกเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ

    พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญเตโชสมาบัติ

    ด้านล่างนี้คือคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้แนะนำการใช้ญาณ(ที่เป็นผลมาจากสมถะ) มาพิจารณาเป็นวิปัสนา(แบบใช้ปัญญา) (จะได้รู้ว่าใครๆไม่ได้หลงกันไปซะหมด เปิดกะลาที่ครอบตัวคุณออกได้แล้ว สมถะไม่ได้นั่งนิ่งจมอยู่ในสมาธิเพียงอย่างเดียว มาทางฤทธิ์ก็มีวิปัสสนาได้ โดยการใช้สมถะมาพลิกแพลงเสริมกำลังให้วิปัสสนา อยู่ที่ว่าจะมีปัญญาคิดเอาสมถะมาใช้เสริมวิปัสสนาได้ไหม ไม่ใช่แถไปตามคันนาอยู่นั่น / ความเห็นส่วนตัว)

    >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
    "สำหรับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณนี่ความจริงมีประโยชน์มาก ช่วยในการตัดกิเลส เพราะว่าคนเราส่วนมากเป็นผู้เมาในชีวิต ไม่ได้คิดว่าชีวิตนี้มันจะตาย ถ้าใช้กำลังของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกชาติถอยหลังว่า ชาติไหนเราเกิดเป็นอะไร มีทรัพย์สมบัติแบบไหน มีพ่อชื่ออะไร มีแม่ชื่ออะไร ชีวิตของเราเป็นยังไง มีความสุขหรือความทุกข์ การเกิดแต่ละครั้ง บางครั้งเรามีชีวิตรุ่งเรืองมากในการเป็นมนุษย์ แต่บางคราวเราก็ทรุดโทรมมาก ต่ำต้อยน้อยวาสนา แต่ก็มาเทียบเคียงกันว่าชีวิตแห่งการรุ่งเรืองก็ดี การต่ำต้อยน้อยวาสนาก็ดี มาดูทีซิว่า ชีวิตไหนพ้นจากความแก่ พ้นจากความป่วย พ้นจากการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ พ้นจากความตายมีไหมffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    เป็นอันว่าดูไปแล้วเราก็จะเห็นได้ว่า ไม่พ้นจริง ๆ แล้วก็ลองถอยหลังดูว่า มีชาติใดบ้างที่เราไปเสวยทุกขเวทนาในอบายภูมิ ๔ คือ เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ถอยหลังไปดูอีกว่า การที่เราเสวยทุกขเวทนาแบบนั้น เราทำความชั่วอะไรไว้ และนรกแต่ละขุมเราไม่ได้ไปครั้งเดียว การเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็เหมือนกัน เป็นกันหลายประเภท<O:p></O:p>
    ในเมื่อพิสูจน์แบบนี้ ความเมาในชีวิตมันก็ไม่มี จะมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า การเกิดเป็นมนุษย์นี่มันไม่ดี ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ความทุกข์แห่งการเป็นมนุษย์ก็มีมากอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่เราจะแสวงหาจากความเป็นมนุษย์ นั่นก็คือ ความร่ำรวยในทรัพย์สิน ความเป็นผู้มีอำนาจวาสนาบารมี แต่ในที่สุดเมื่อเราตายแล้วนำอะไรไปได้บ้าง<O:p></O:p>
    บางชาติเราเป็นมนุษย์ที่มีความรุ่งเรือง มีอำนาจวาสนาบารมีมาก แต่ว่าพอตายจากความเป็นคน เราก็ไปเสวยทุกขเวทนาในนรก<O:p></O:p>
    บางชาติเราเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก มีความยากจนเข็ญใจ ต่ำต้อยน้อยวาสนา แต่อาศัยการเจียมตนเจียมใจ ประพฤติอยู่ในความดี ตายจากความเป็นคนเราก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม<O:p></O:p>
    เราน่าจะมาพิจารณาดูการเกิดเป็นอะไรก็ตาม มันดีตรงไหนบ้าง เป็นเทวดาหรือพรหมมีความสุข ทุกอย่างเป็นทิพย์ แต่ความสุขในการเป็นเทวดาหรือพรหมเราทรงอยู่ได้ตลอดไปไหม ถ้าทรงได้ตลอดไปเราก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นคนอีก รวมความว่า การเป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี เราก็เป็นกันคนละหลายชาติ อาจจะเป็นแสน ๆ ชาติ<O:p></O:p>
    ถ้าเราจะวัดกันจริง ๆ แล้ว ผมว่าสุคติกับทุคติเราเสวยผลอย่างไหนมากกว่า ถอยหลังไปจริง ๆ จะเห็นว่าทุคติมากกว่าสุคติ คือเกิดในอบายภูมิมากกว่าเกิดในสวรรค์หรือพรหม เราเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากกว่าการเกิดเป็นมนุษย์ ตอนนี้เราก็จะรู้ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ความจริงชีวิตน่ะเป็นของแน่นอนว่ามันไม่เที่ยง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง" สิ่งที่ไม่แน่นอน คืออารมณ์ใจของเรา อารมณ์ใจของเรามันเลว มันไม่ยอมรับนับถือความเป็นจริง "
    <O:p
    ></O:p>></O:p>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

    ใช้ปัญญายึดทางสายกลาง สมถะ และวิปัสสนา เป็นกำลังเกื้อหนุนกัน ขาดตัวไหนไม่ได้ อย่าสุดโต่งแบบไร้ปัญญา

    ขอย้ำว่า "สมถะ และวิปัสสนา เป็นกำลังเกื้อหนุนกัน ขาดตัวไหนไม่ได้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2009
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    โห...อุส่าขุดๆๆ
     
  4. weera2548

    weera2548 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2006
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +69
    ตอบคำถาม

    สมถ เป็นบาทของวิปัสสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น
     
  5. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ต้องพิจารนาว่า ทั้งสมะถะและวิปัสนากระทำเพื่อสิ่งใด
    และสิ่งใดสำคัญและจำเป็นบ้าง สิ่งที่สำคัญนั้นคือปัญญาที่จะเกิดขึ้น ให้รู้เท่าทันความเป็นจริงอันธรรมดาของ สรรพเพธรรมมา ทั้งหลาย
    กำลังสมถะไม่พอก้ต้องทำ กำลังวิปัสนาไม่พอก้ต้องเพิ่ม
    ไม่ใช่เลือกทำเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    บางคนแม้ไม่ทำสมถะเป็นฐาน กลับได้ปัญญา มาโดยง่าย เพราะบุญ กุศล บารมีที่ทำมาเก่าก่อนนั้นมีกำลังมากพอ ที่เราไม่ได้เข้าไปรู้ถึงวาระจิตที่พร้อมแล้วนั้นด้วยตนเองก้เข้าใจไปว่าไม่มีสมถะอยู่เลย
    ความพร้อมของใจนี้ ต้องใช้เวลาในการอบรม จะตัดสินเอาความเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียวว่าทำมาไม่ทำมาเฉพาะหน้านั้น คงจะเห็นไม่ตรงไปทั้งหมด
    หากแต่ท่าได้ ญาน อันรู้ใน ความเป็นมาของบุคคลอื่น สัตว์อื่น ทั้งภพก่อนๆๆๆๆ จนถึงภพปัจจุบันจึงอาจบอกกล่าวได้ว่าเขาผู้นั้นกระทำ สมถะ และวิปัสนามามากน้อยเพียงใด หรือเพิ่งมาได้พบ วิปัสนาในชาติสุดท้ายนั้นๆเพียงชาติเดียวจนบรรลุ
    หรือแท้จริงอาจจะเคยได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแต่กำลังของใจนั้นยังไม่เพียงพอ แต่มามากพอที่จะได้ รู้ ได้ปัญญาสิ้นอาสวะในชาติสุดท้ายนี้
    การเปลี่ยนกาย เปลี่ยนรูป แสดงตามกดไตรลักอยู่แล้วถึงความไม่เที่ยงต้องเปลี่ยนแปลงไม่มีตัวตนที่แท้ จิตก้เช่นกัน เกิดดับรับส่งสานต่อกันอย่างเดียวเช่นกายที่เกิดดับนี้ ความหลงใน ขัน ในกาย ทำไห้ไม่เข้าใจสภาวที่เกิดขึ้น ก้หลงไปว่าการตายนั้น มาเป็นสิ่งกั้นการ รู้ ไปทำไห้คิดไปว่าก่อนไม่มีไม่รุ้ความเป็นธรรมดาของขันที่มีอาการเกิดดับเป็นธรรมดา
    ความเกิดดับนี้มีเป็นธรรมดา เมื่อมีเหตุดีย่อมเกิดผลที่ดีเมื่อทำเหตุเสียย่อมเกิดผลที่เสีย นรก สวรรค มนุด พรหม อรุปฟรหม ต่างกันที่เหตุ
    ปัญญานั้นจะได้มาเหมือนเส้นผมบังภูเขาไว้ จะปรับไห้สามารถเข้าใจ นั้นยากหากแต่ผู้ที่กระทำมามากพอแก่การจะรู้ได้จึงบอกจึงกล่าวกันได้

    ทุกสิ่งเป็น อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา อย่าได้ยึดใน ขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ


    เหมือนเส้นผมบังภูเขานะคับ ขาดอีกนิดขาดอีกหน่อย สำหรับบางท่านก้ได้เห็นกันถ้วนทั่วใน ขันธ์ กันแล้ว

    อนุโมทนา ในการสนทนาธรรม ต้องเปิดใจ หรือ ลดมานะทิฐิลง

    บางพวกเชื่อว่า ไม่ต้องทำเหตุมาก่อน หรือไม่ทำเหตุดีแต่จะได้รับผลดี
    บางพวกเชื่อว่า ทำเหตุไม่ดี แต่จะเอาผลดี
    บางพวกเชื่อว่า ทำเหตุดีย่อมได้ผลดี

    การไม่รู้ในเหตุเพราะปัญญายังไม่เกิดบางคนสามารถย้อนไปดูได้จึงรู้ชัดกว่าผู้ไม่สามารถทำได้ บางคนไม่สามารถย้อนไปดูได้แต่ก้ไม่ได้มีทิฐิมานะที่ว่า ธรรมใดไม่ได้เกิดแต่เหตุนั้น ไม่มี ญาณ ไม่มีปัญญา มีเพียงกำลังสมถะ เป็นฐานที่ยังไม่มากพอก้หลงไปเสียแล้วว่า

    รู้
     
  6. tinnakornten

    tinnakornten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +494
    คิดกันมากจริง
    สมถ เป็นเหมือนกำลังของ วิปัสสนา
    การใช้สติปัถฐาน 4 คือการพิจารณา หรือ จดจ่อ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    เป็นการใช้สติสัมปชัญญะ คือการรู้ตัวทั่วพร้อม มิทันได้สังเกตเหรอครับ ว่าต้องใช้
    สมาธิด้วยครับ เป็นของใช้ควบคู่้กัน ขาดกันไม่ได้เลย จิตสัดส่าย ก็ไม่มีกำลังพิจารณา จิตรวมไม่มีสิ่งใดทำให้วอกแวกได้ เมื่อใช้สติ เข้าควบคุม ก็จะเกิดปัญญาตามมา ตอนนี้ผมทำได้ที่ละนิดเท่านั้น เพราะปัญญายังน้อย และสมาธิยังไม่ดี
     
  7. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    สมถะ เสมือน เช็ดกระจกเงา ไห้ใม่มีฝุ่นละลองมาบังตา ภาพใดปรากดย่อมรู้ชัด
    วิปัสนา เมื่อภาพปรากดก้รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากดนั้นว่าไม่มีตัวตนเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นประชุมกันขึ้นเปลี่ยนไปมาเป็นธรรมดา ไม่หลงและไม่ยึดมันทำให้พ้นจากความยึดมั่น ราคะความพึงพอใจ โทสะ ความไม่ปราถนาไม่ชอบใจ โมหะ ความหลง ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ต่างๆนานา

    ต้องมองให้ออกว่ากำลังที่เด่นอยู่ขนะนี้เป็นสมถะหรือวิปัสนากันแน่ เพียงรู้ชัดเพราะจิตถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดีสิ่งดเกิดรู้สิ่งใดไปรู้ จิตที่อมรมมาดีรู้ละลึกเท่าทัน ดว้ยใช้สติในวิปัสนานั้น ย่อมเห็นชัดเสมือกระจกเงาที่ถูกขัด แต่ยังไม่เกิดประโยชน์อันใด หากไม่เข้าใจในการเกิดดับนั้นๆๆ

    เช่น ความไม่พอใจเกิด รู้ความไม่พอใจ รู้อาการต่างๆ แต่ไม่เข้าใจถึง สิ่งที่ว่า เมื่อกระทบย่อมเกิด.. ... .. เมื่อใจไม่รู้ ความเป็นจริง ปัญญาเกิดไม่เท่าทันก้จะยึด สิ่งเหล่านั้น
    รู้จึงต่างกันรู้อาการ รู้เข้าใจสภาวะนั้นๆ รู้ตัวแรกนี้เพียงมีสติ ตัวหลังนี้มีปัญญา

    รู้ละลึกนี้ทำให้มาก ผลดีย่อมเกิดอย่าสักแต่ทำๆๆไปไร้หนทาง ปัญญาไม่เกิด
     
  8. tinnakornten

    tinnakornten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +494

    ระวังในการให้ธรรม คุณแ่น่ใจเหรอ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่จำเป็นต้องมี
    กรรมมันจะทำให้หลงอยู่หลายชาตินะ
    ท่านพุทธทาส เป็นพระอริยะ อย่าตีธรรมะท่านผิดๆ
     
  9. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ท่านพุทธทาสท่านแสดงธรรมได้อย่างพิศดาร และถูกแล้ว
    คนไม่รู้จักนิพพานยังได้ไปกินไปอาบสระแห่งพระนิพพานกันโดยไม่รู้สึกตัวโดยแท้
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ขอแจมมั้ง แต่ไม่อ้างพระสูตรใดและไม่อ้างคำครูบาอาจารย์ใดเพราะ ท่านสอนเราปฏิบัติ ผลมันจะเป็นยังไง ก็ไม่มีวันเหมือนกับที่ท่านเป็นเพราะมันคนละคนกัน แต่ผลที่ควรมีควรได้ควรเป็นนั้นต้องเหมือนกันแน่นอน ใครก็ตามที่ฝึกปฏิบัติมาไม่ว่าจะด้วยอะไรแล้วเกิดนิวรณ์ครอบงำ และเป็นการครอบที่นอกเหนือจากการภาวนานั้น ถือว่าผู้นั้นยังหลงอยู่คืออาจารย์สอนถูกแต่ตนทำผิด ที่มีที่เห็นกันบ่อยๆคือ
    ๑.เมื่อเกิดความสงสัยในตนเองและผู้อื่น คนเราจะสงสัยผู้อื่นไปเพราะอะไรถ้าจิตใจตนนั้นไม่มีสิ่งปรุงแต่งที่ทำให้เกิด อะไรคือสิ่งปรุงแต่งนั้น เห็นแล้วงั้นๆแหละมานะไง แม้คนหลงก็ไม่สามารถมองเห็น นึกว่าเป็นการสอนคนอื่นอยู่แต่แท้จริงเรื่องมันไม่ได้เกิดตอนสอนแต่เกิดตอนเพราะอะไรใจจึงคิดว่าต้องสอนต้องบอก มันมีสองกรณี เห็นข้อความต่างๆและการกระทำต่างๆ จึงเกิดความสงสัย ที่มีเพราะเหตุมาจากมานะ ทิฐิ ในตนนำไปสู่ความริษยา และร่วงลงสู่ห้วงมหาแห่งกิเลสซึ่งก็ตามด้วยสิ่งต่างๆมากมาย โทสะ โมหะ โลภะ แม้ตนไม่รู้ก็มีคนอื่นเขารู้อยู่ดี ที่ใครหลายคนในที่นี้ยังคงชอบ กรณีที่สอง ไม่ได้เห็นไม่ได้เจอไม่ได้ไตร่ตรองก็เกิดความสงสัย ตรงนี้ยิ่งต้องเร่งปฏิบัติให้มากๆเพราะ ความที่เขาเป็นผู้มีความยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปกับสิ่งต่างๆ กรณีที่สาม ใช่ว่ามานะจะไม่ดีเคยบอกไปแล้วว่ามันเป็นเหมือนเครื่องมือ ที่ใช้เมื่อจำเป็นก็ต้องใช้ไม่จำเป็นก็ต้องวาง หากเอามาใช้ทุกเวลามันก็หนักเปล่าๆ ทุกๆมานะ แต่ก็มีมานะอีกหลายอย่างที่ไม่ควรเพราะมันจะทำให้เกิความขัดแย้งในตัวมันเอง เหมือนกับคนที่พูดอย่างทำอย่าง เพราะมานะบางชนิด จึงเป็นเหตุให้เกิดกรรมออกไปมากมาย ดังจะพบได้เห็นได้เป็นบทเรียนมากมาย
    นั่นคือ เหตุแห่งความสงสัยในธรรมทั้งหลาย
    จริงๆ เรื่องที่ว่าอาจารย์ใครสอนดีไม่ดียังไงนั้นมันเป็นเรื่องของการพิจารณาว่าท่านสอนเรานั้นสิ่งที่ท่านเน้นนั้นแท้จริงคืออะไร แต่สรุปคือ หากสิ่งที่สอนมานั้นทำตามแล้วเกิดผลดีต่อตนคือ ละโกรธ โลภ หลง หมดข้อสงสัย หมดความคิดที่ว่าฉันเก่งเธอไม่เก่ง อันนี้ในกรณีที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ นะครับ หากบุคคลใดไม่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะก็ห่างไกลกับคนเหล่าต้นที่กล่าวมามากนักครับ
    เรื่องพระอรหันต์ที่ยกกล่าวอ้าง เป็นเพราะอะไร อันนี้ก็อาจจะน่าที่จะต้องการชี้หรือสื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งผมเองกลับมองว่า หากคนเรารู้เห็นและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้หมดบุคคลนั้นย่อมประเสริฐสุดกว่าคนทุกคนในโลก ซึ่งปัจจุบันก็ไม่อาจมีได้ ทุกท่านว่าจริงไหม
    ดังนั้น หากถามว่า พระอรหันต์ไม่มีสมถะ แล้ว วิปัสสนาก็มีไหม ก็น่าจะมีนะครับ หากผมจะบอกว่าการยึดติดที่ว่าเมื่อผ่านสมถะแล้วจึงวิปัสสนา นั้นก็จริงและมีได้อย่างแน่นอน เพราะสมถะเป็นบาท วิปัสสนาเป็นบาทได้สมถะตามก็มี ไปพร้อมกันทั้งคู่เลยก็มี มีแต่วิปัสสนาล้วนๆเลยก็มี ผมเห็นว่ามีแน่ๆ แต่ว่าทำไมเราถึงคิดว่าไม่มีต้องถามตนเองดูว่าทำไม และถ้าจะบอกว่าเพราะเราเป็นแบบนี้เคยเห็นแต่สิ่งแบบนี้ สิ่งอื่นที่เราไม่เคยเห็นก็บอกว่าไม่มี แบบนี้ยิ่งต้องพิจารณาดีๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2009
  11. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ธรรมมะชั้นสูงคือ ธรรมมะที่พูดแล้วคนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังแล้วงง แต่ถึงงงก็เชื่อว่าเป็นธรรมชั้นสูงเพราะตัวเองฟังไม่เข้าใจ คิดไปว่า คงมีแต่พระอริยะเท่านั้นที่ฟังเข้าใจได้ . .

    แต่ธรรมมะพระอริยะที่ดูเหมือนจะฟังเข้าใจได้ง่ายกว่ารู้เรื่องกว่า กลับมองว่าธรรมมะนึกขึ้นมาเอง เพราะตนฟังรู้เรื่อง. . .จึงไม่น่าสนใจ

    ถ้าพระอริยะสอนธรรม จะเป็นแบบไหนกันแน่หนอ . . .
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ใครใจดีไปขุดมานี่เน๊อะ... กระทู้ตั้งแต่เข้ามาเวปพลังจิตใหม่ๆ
    หุหุ .. (หัวเราะแบบโลโซ)
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้าเปิดใจยอมรับความเป็นจริงว่าเราเองก็ไม่ได้เก่งกว่าใครไม่ได้ฉลาดกว่าใครก่อนและเราเองไม่ได้รู้หมดทุกเรื่องก่อน ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างก็ไม่ยาก เพราะเราพร้อมที่จะรับฟังและเข้าใจ อีกพร้อมทั้งยั้งพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีได้ด้วยตัวเราเอง เพราะสิ่งทั้งหลายนั้นไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลยเพียงแต่เรานำมันเข้ามาพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นอะไรๆกันแน่เท่านั้น แล้วก็วางไว้เหมือนเดิม ไม่เก็บหรือแอบเก็บใส่สมองกลับมาครับ
    แป้วนึกว่าพึ่งมี 5555 มันยกมาเลยแจมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2009
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]
     
  15. tinnakornten

    tinnakornten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +494

    หุหุ นานโข
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มีแต่คำสอนของ มารศาสนา เท่านั้นแหละ ที่บอกว่าสมถะไม่จำเป็น

    เริ่มตั้งแต่ การเรียน การศึกษาบนโลก ก็ต้องใช้ สมาธิ คำว่าสมาธิ นี้ ก็เรียกว่าเป็นการทำให้จิตใจอยู่เป็นหนึ่ง ก็ไม่ต้องไปสนใจคำว่า สมถะ เพราะสมถะนี้คือวิธีทำ แต่จริงๆ แล้วก็คือ การทำสมาธิ การตั้งใจฟังธรรม การพิจารณาธรรม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการทำสมาธิ ให้อยู่ในสันดาน เรียกว่า ให้อบรมอินทรีย์ นี้พร้อม

    เมื่อสันดานนั้นเป็นคนมี สมาธิในสันดาน บางคน มีขณิกะสมาธิในสันดานมาก เวลาตั้งใจทำอะไรก็มีสมาธิ แต่มันเดี๋ยวเดียว โดนสิ่งเย้ายวนได้ง่าย เช่น อ่านหนังสือหน่อย ได้ยินเสียงเพลง ก็วางการอ่านหนังสือ แล้วไปฟังเพลงทันที

    บางคนมีอุปจาระสมาธิในสันดาน ก็ทำได้นานหน่อย หนาแน่นหน่อย

    พออัปปนา สมาธิ ในสันดาน ก็คือ แนบแน่น ยาวนาน ไม่เบื่อง่าย ไม่วุ่นวาย ไม่คิดมาก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่โดนสิ่งเย้ายวนได้ง่าย

    คนสมัยพุทธกาล ที่ท่านเหล่านั้นฟังธรรมแล้วบรรลุ ท่านอบรมอินทรีย์มามากเท่าไร ได้ไปรู้กับเขากันหรือ เช่น ปัญจวัคคีย์ หรือ แม้กระทั่งตัวพระศาสดาท่านก็อบรมอินทรีย์มาเท่าไร
    บุคคลที่ฟังเทศฟังธรรม จิตใจท่านเหล่านั้น ไม่ได้ฟุ้งซ่านแบบคนเดี๋ยวนี้

    ไม่มีสักคนที่ไม่เคยอบรมสมาธิมา พออินทรีย์พร้อม ได้มาฟังธรรม จิตก็แจ้งแทงตลอด

    ประเภท แบ่งคนเมือง คนชนบท มันเรื่องของกิเลสพูด คนฟุ้งซ่านอยู่ที่ไหนมันก็ฟุ้งซ่าน
    คนมีสมาธิ มีอินทรีย์ดี อยู่ที่ไหน ก็มีสมาธิ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เราคงต้องไปหา คนดีตามต่างจังหวัดกันหมด หรือ คนฟุ้งซ่านนี่ต้องอยู่ในเมืองกันหมด ส่วนเรื่องสัปปายะ ก็คือส่วนของสัปปายะ ไม่ได้เกี่ยวกับ คนเมืองคนชนบท เพราะที่ไหนๆ มันก็มีกิเลสอยู่เหมือนกัน

    ส่วน พระอรหันต์ และ พระอนาคามี เป็น บุคคลที่บริบูรร์ด้วยสมาธิแล้ว มีสัมมาสมาธิ สมบูรณ์ ดังนั้น เรื่อง สมถะ นี้ไม่ต้องพูดกัน เพราะว่า ท่านเจริญ สมถะ ด้วยการละ เจตสิกอันละเอียดได้ ไม่ได้ละสิ่งภายนอกเหมือนปุถุชน ดังนั้น สัมมาทิฎฐิของท่านจะมองไปที่เจตสิก ที่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป จนหมด จิตก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา เป็น สัมมาสมาธิอย่างสมบูรณ์

    ไปพิจารณา
     
  17. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
  18. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    ส่วนผมเอาทั้งสมถะ และ วิปัสนา แหละครับ

    เมื่อสมาธิไม่ค่อยมีกำลัง ออกกำลังซะหน่อยด้วยสมถะ

    สมาธิ และ สติ มีกำลังดี เอาก็วิปัสนา ไปเลยครับ

    ใครจะเป็นอย่างไรก็อนุโมทนาบุญด้วยครับ มีเป้าหมายพระนิพพาน ดีทั้งหมดเลยครับ
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รู้จักสันตติอำมาตย์อรหันต์บุคคลไหม ? ถ้ารู้จักก็จบอย่ามาเถียงกันเลย มันไม่ได้ประโยชน์ มีหลายๆสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้แต่มันก็เป็นไปได้เกิดขึ้นมากมาย และก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกมากมายเช่นเดียวกัน เพราะบางอย่างที่เราบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้แท้ที่จริงแล้วเรายังรู้มันไม่หมดหรือว่ายังไม่รู้อย่างถ่องแท้เท่านั้นเองครับ
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    [​IMG]

    พระสันตติมหาอำมาตย์

    สัณฐานดังดอกมะลิตูม
    พรรณสีขาวดังสังข์


    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสันตติมหา-

    อำมาตย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อลงฺกโต เจปิ สมญฺจเรยฺย"

    เป็นต้น.

    สันตติมหาอำมาตย์ ได้ครองราชสมบัติ ๗ วัน

    ความพิสดารว่า ในกาลครั้งหนึ่ง สันตติมหาอำมาตย์นั้นปราบปราม

    ปัจจันตชนบท ของพระเจ้าปเสนทิโกศล อันกำเริบให้สงบแล้วกลับมา.

    ต่อมา พระราชาทรงพอพระหฤทัย ประทานราชสมบัติให้ ๗ วัน ได้

    ประทานหญิงผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับนางหนึ่งแก่เขา. เขาเป็นผู้

    มึนเมาสุราสิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างแล้ว

    ขึ้นสู่คอช้างตัวประเสริฐไปสู่ท่าอาบน้ำ เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไป

    บิณฑบาตที่ระหว่างประตู อยู่บนคอช้างตัวประเสริฐนั่นเอง ผงกศีรษะ

    ถวายบังคมแล้ว.

    พระศาสดาทรงทำการแย้ม พระอานนท์ทูลถามว่า "ข้าแต่พระ-

    องค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล ? เป็นเหตุให้ทรงกระทำการแย้มให้ปรากฏ"

    เมื่อจะตรัสบอกเหตุแห่งการแย้ม จึงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูสันตติ-

    มหาอำมาตย์, ในวันนี้เอง เขาทั้งประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างเทียว มา

    สู่สำนักของเรา จักบรรลุพระอรหัตในเวลาจบคาถาอันประกอบด้วยบท ๔

    แล้ว นั่งบนอากาศ ชั่ว ๗ ลำตาล จักปรินิพพาน."

    มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา ผู้กำลังตรัสกับพระเถระอยู่

    คน ๒ พวกมีความคิดต่างกัน

    บรรดามหาชนเหล่านั้น พวกมิจฉาทิฏฐิ คิดว่า " ท่านทั้งหลาย

    จงดูกิริยาของพระสมณโคดม, พระสมณโคดมนั่น ย่อมพูดสักแต่ปาก

    เท่านั้น ได้ยินว่า ในวันนี้ สันตติมหาอำมาตย์นั่น มึนเมาสุราอย่างนั้น

    แต่งตัวอยู่ตามปกติ ฟังธรรมในสำนักของพระสมณโคดมนั้นแล้ว จัก

    ปรินิพพาน, ในวันนี้ พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมนั้นด้วยมุสาวาท."

    พวกสัมมาทิฏฐิ คิดกันว่า "น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    มีอานุภาพมาก, ในวันนี้เราทั้งหลาย จักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า

    และการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์."

    ส่วนสันตติมหาอำมาตย์ เล่นน้ำตลอดวันที่ท่าอาบน้ำแล้ว ไปสู่

    อุทยาน นั่งที่พ่นโรงดื่ม.

    หญิงฟ้อนเป็นลมตาย

    ฝ่ายหญิงนั้น ลงไปในท่ามกลางที่เต้นรำ เริ่มจะแสดงการฟ้อน

    และการขับ, เมื่อนางแสดงการฟ้อนการขับอยู่ในวันนั้น ลมมีพิษเพียง

    ดังศัสตราเกิดขึ้นแล้วในภายในท้อง ได้ตัดเนื้อหทัยแล้ว เพราะความที่

    นางเป็นผู้มีอาหารน้อยถึง ๗ วัน เพื่อแสดงความอ้อนแอ้นแห่งสรีระ. ใน

    ทีทันใดนั้นเอง นางมีปากล้าและตาเหลือก ได้กระทำกาละแล้ว.

    ฯลฯ

    โศกเพราะภรรยาตาย

    สันตติมหาอำมาตย์ กล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย จงตรวจดูนางนั้น"

    ในขณะสักว่าคำอันชนทั้งหลายกล่าวว่า "หญิงนั้นดับแล้ว นาย" ดังนี้

    ถูกความโศกอย่างแรงกล้าครอบงำแล้ว. ในขณะนั้นเอง สุราที่เธอดื่ม

    พระศาสดาระงับความโศกของบุคคลได้

    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า " ท่านมาสู่สำนักของผู้สามารถ

    เพื่อดับความโศกได้แน่นอน, อันที่จริง น้ำตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้

    ในเวลาที่หญิงนี้ตาย ด้วยเหตุนี้นั่นแล มากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้ง ๔ "

    ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

    " กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจง

    ยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่อง

    กังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง, ถ้าเธอจักไม่ยึด

    ถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยว

    ไป. "

    (มหาอำมาตย์ กังวลอะไรของเธอในอดีต วาง... กังวลอะไรของเธอในอนาคต วาง กังวล อะไรของเธอในปัจจุบัน วาง เขาได้สำเร็จอรหันต์ทันที จากคำสอนหลวงปู่บุญฤทธิ์)

    ในกาลจบพระคาถา สันตติมหาอำมาตย์ บรรลุพระอรหัต แล้ว

    พิจารณาดูอายุสังขารของตน ทราบความเป็นไปไม่ได้แห่งอายุสังขารนั้น

    แล้ว จึงกราบทูลพระศาสดาว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จง

    ทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด. "

    ฯลฯ

    จึงเสด็จขึ้นไปบนอากาศ เข้าเตโชธาตุ ให้ไฟเผาร่างกายคงเหลือแต่พระธาตุดังดอกมะลิลอยลงมาแล้วเสด็จเข้าสู่นิพพาน

    หากถามท่านทั้งหลายว่า พระอรหันต์ท่านนี้ให้อุทาหรณ์สอนใจในเรื่องใดก็ขอท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาด้วยปัญญาเอาเถอะครับ
    จาก http://palungjit.org/threads/อัศจรร...-7-วันติด-บรรลุอรหันต์ด้วยคาถาบทเดียว.207029/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s09.jpg
      s09.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.5 KB
      เปิดดู:
      151

แชร์หน้านี้

Loading...