สร้างบุษบกประดิษฐานพระโมคคัลลานะรับมอบพระกรุลำพูนอายุ๕๐๐-๗๐๐ ปี

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย :::เพชร:::, 13 มีนาคม 2008.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    -Io'' ขออภัยด้วยครับ ไปจัดการธุระส่วนตัวเลย เลยเลื่อนการเดินทางไป ๑ วัน วันนี้มาต่อการเดินทางในวันที่ ๒ กันนะครับ...
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ก่อนที่จะชมภาพ"พระราชวังพระเจ้าบุเรงนอง" ผมอยากให้เราลองย้อนกลับไปดูหัวเรื่องในหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจมาก หากสามารถซื้อหามาอ่านก่อนเดินทางไปพม่าจะคุ้มค่ามาก...


    <TABLE borderColor=#ece9d8 width=820 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9900 colSpan=2>[FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พิพิธ..ชวนอ่าน[/FONT]



    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=137 bgColor=#ece9d8>[​IMG]



    </TD><TD class=style5 width=647 bgColor=#ece9d8>[FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]วารสารมิวเซียมสยาม "โยเดียกับราชวงศ์พม่า"[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]โดย มิกกี้ ฮาร์ท[/FONT] (Myint Hsan Heart)
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]หนังสือเล่มนี้พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่ปรากฏในพงศาวดารไทย เปรียบเทียบกับพงศาวดารของฝ่ายพม่าฉบับต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ช่วงที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นองค์ประกัน ณ เมืองหงสาวดี จนถึงทรงสามารถประกาศอิสรภาพ ซึ่งบันทึกไว้ต่างกัน ...เรามารู้จัก "โยเดีย" หรือ "อยุธยา" ในเอกสารของพม่า เพื่อเปิดใจ และเปิดโลกแห่งการค้นคว้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้น[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]สารบัญ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]บทที่ ๑ บุคคลที่ร่วมอยู่ในประวัติศาสตร์ [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]บทที่ ๒ บุคคลที่อาศัยอยู่ ณ กรุงหงสาวดี[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]วิเคราะห์กรณีพระธิดาเทพกษัตรีย์[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]สงครามช้างเผือก[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]สงครามเสียกรุง[/FONT]
      [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระยาจักรี[/FONT]
      [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]สมเด็จพระนเรศวรมหาราช[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระราชวังพระเจ้าบุเรงนอง[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระนเรศวรในกรุงหงสาวดี[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระเนศวรชนไก่กับพระมหาอุปราช[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]เปิดศึกกับกรุงหงสาวดี[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราช[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]ความผูกพันของพระนเรศวรที่มีต่อกรุงหงสาวดี[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]หงสาวดีเสียกรุง[/FONT]
      [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระสวน หรือพระสุพรรณกัลยา[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]เจ้าหญิงพิษณุโลก[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]นายกุลา[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]คำอธิบายประวัติพระนางสุพรรณกัลยา[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]ตระกูลศากยะ[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]การวิเคราะห์พระนามสุพรรณกัลยา[/FONT]
      [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]เจ้ามหาวงศ์ หรือมหาอำมาตย์[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]ตำราธรรมศาสตร์ในประเทศพม่า[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]ธรรมศาสตร์กับราชศาสตร์[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]บทที่ ๓ ราชวงศ์กรุงศรีอยุธยาในอาณาจักรอังวะ[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พม่ารบไทย (กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒)[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]เจ้าฟัาอุทุมพร หรือขุนหลวงหาวัด[/FONT]
      • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]คำอธิบายสถานที่ตั้งสถูป[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]เจ้าฟ้าหญิงมงกุฎและเจ้าฟ้าหญิงกุณฑล[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระมหาอุปราชเจ้าทองกับ Prince John Willian Lat[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]Prince John William Lat[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]พระองค์เจ้าประทีปกับเจ้าชายมองติง[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]สงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าครั้งแรก[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]เจ้าชายมองติง[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]บทที่ ๔ พม่าเสียกรุง[/FONT]
    • [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]รัชกาลพระเจ้าสีป่อ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]บางส่วนจากบทนำ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]แรงบันดาลใจที่ทำให้ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็เพราะครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเห็นนักท่องเที่ยวคนไทยคนหนึ่งไปเที่ยวประเทศพม่า เพื่อจะไปไหว้พระทำบุญให้เกิดสิริมงคล แต่พอลงจากเครื่องบินเหยียบแผ่นดินพม่าครั้งแรก เขาก็ใช้เท้ากระทืบแผ่นดินสามครั้ง ข้าพเจ้าถามว่าทำไม เขาตอบว่า มันเคยเผาบ้านเผาเมืองกู กูจะแช่งให้มันจมดินไปเลย (คงลืมไปว่าจะมาทำบุญ ?) หรือกลุ่มคณะทัวร์ไทยไปเที่ยวพระราชวังพระเจ้าบุเรงนองที่หงสาวดี ประเทศพม่า เมื่อไปถึงก็เกิดอาการของขึ้นทันที พุ่งเข้าไปทำลายต้นไม้ประดับและสวนดอกไม้ที่อยู่รอบ ๆ พระราชวัง ใช้เท้ากระทืบพระตำหนักไม่หยุดเลย เจ้าหน้าที่ดูแลพระราชวังออกมาขอร้องก็ไม่หยุด สุดท้ายเจ้าหน้าที่สั่งเด็ดขาดให้มัคคุเทศก์ของบริษัททัวร์นำคณะออกไปจากพระราชวังทันที มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็นึกเสียใจยิ่งนัก[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]อีกเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยพบหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทยพม่า เล่าให้ฟังว่า พวกเขาพี่น้องท้องเดียวกัน แต่กลับถือคนละสัญชาติ เพราะวันดีคืนดีผู้มีอำนาจก็มาตีเส้นแบ่งเขตและแบ่งชาติ ปัจจุบันตระกูลของสองพี่น้องนี้กลายเป็นคนละชาติ อยู่กันละฟากไปแล้ว ไม่รู้จักกันยังไม่พอ ถือเป็นศัตรูกันโดยปริยาย เพราะเรื่องราวของสองชาติที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน[/FONT]
    ...
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]ต้องเข้าใจว่า คนสมัยก่อนทำสงครามต่อกันเพื่อเป็นการขยายอำนาจ แสดงแสนยานุภาพ ไม่ใช่บาดหมางอาฆาตเจ็บแค้นระหว่างชนชาติจนจะฆ่ากันให้ตายให้ได้ ระบบปกครองด้วยจักรวรรดินิยม เมื่อชนะแล้วก็จัดให้ชาตินั้น ๆ ปกครองกันต่อเอง ภายใต้พระบารมีของกษัตริย์ที่เป็นฝ่ายชนะ หลังจากนั้นผู้ชนะก็ยกทัพกลับไป เรื่องก็จบ มีหลายศึกที่แสดงให้เห็นรูปแบบของสงครามจักรวรรดินิยม ไม่ว่าจะเป็นศึกระหว่างพม่ากับมอญ ยะไข่ ไทยไหญ่ แม้แต่อยุธยา[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]...เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องบาดหมางทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างชนชาติเลย บรรดาปวงราษฎร์ก็ไม่เคยมีเรื่องราวต่อกัน เป็นเพียงการขยายอำนาจของกษัตริย์เท่านั้น[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]น่าเสียดายที่นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ไม่ยอมคิดจุดนี้ คิดแต่พยายามเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในอดีตให้เป็นแนวประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมให้ได้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าการปลุกใจให้คนในชาตินั้น ๆ รักชาติ รู้รักสามัคคี มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่จะใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือก็ไม่ถูกต้อง เพราะมันจะกลายเป็นความหมางใจกันระหว่างชนชาติ หาความสมานฉันท์และสงบสุขไม่ได้[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]ข้าพเจ้าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เรา (หมายถึงคนที่อาศัยอยู่ภูมิภาคอาคเนย์นี้) ต้องลุกขึ้นมาพิจารณา ศึกษาประวัติศาสตร์ใหม่ว่า สงครามในประวัติศาสตร์คืออะไร ทำไปเพื่ออะไร และคนโบราณเขาเกลียดชังกันจริง ๆ หรือไม่ หรือรบไปเพื่อแสดงแสนยานุภาพเท่านั้น หากเขาไม่ได้เกลียดชังกัน แล้วทำไมเราซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่จะต้องเกลียดชังกัน ให้อดีตผ่านไป นำชัยชนะเป็นเครื่องเตือนใจมิให้ฮึกเหิม ส่วนการพ่ายแพ้หรือสูญเสียก็เป็นบทเรียนเตือนใจมิให้ผิดพลาดซ้ำ จะไม่ดีกว่าหรือ ... [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC](จากบทนำ หน้า ๖-๗)[/FONT]




    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ece9d8 colSpan=2>[FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]ผู้สนใจติดต่อ "มิวเซียมสยาม" พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC]กลุ่มงานวิชาการ โทร ๐๒-๖๒๒-๒๕๙๙ ต่อ ๕๐๔, ๕๐๕ [/FONT]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.ndmi.or.th/books/content_Yodia.html

    ผมขอเกริ่นไว้ก่อนว่า ภาพพระราชวังพระเจ้าบุเรงนองนี้เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ตามจินตภาพเค้าโครงเดิมจากเสาไม้เอกในหลุมที่ขุดค้นกันในภายหลัง ตรงนี้ขอให้พิจารณาให้เห็นเป็นธรรมให้ได้ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คล้ายกรุงศรีอยุธยาของเรามียุครุ่งเรือง และยุคเสื่อมถอย ของพม่าก็มีครับ พระราชวังเดิมถูกเผาทำลายเฉกเช่นการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ของไทยเราในปีพ.ศ. ๒๓๑๐ เช่นกัน ปัจจุบันไม้สักเหล่านี้ก็ยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี...

    ประวัติ พระเจ้าบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศ
    ประวัติของกษัตริย์พม่าผู้นี้จากหนังสือเรื่อง"เรื่องเก่าเล่าตำนาน"ของคุณ อาร์ม อิสระซึ่งได้คัดมาจากพระราชพงศาวดารพม่าฉบับหอแก้ว

    *+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+

    ........"บุเรงนองกยอดินนรธา"นั้น เดิมทีเป็นลูกของคนปาดตาลในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองบากานหรือพุกามบิดาชื่อ "สีคะสุ" เด็กชายผู้นี้เมื่อแรกเกิดใหม่ๆนั้นได้มีปลวกขาวมาไต่อยู่โดยรอบเป็นที่น่าอัศจรรย์ มารดา และบิดาจึงตั้งชื่อว่า"หม่องจาเด็ต" อันหมายถึงปลวกขาวนั่นเอง พุกามตอนนั้นมีสภาพแห้งแล้งมาก ในที่สุดมารดา และบิดาของหม่องจาเด็ตก็ต้องย้ายครอบครัวลงใต้มาอาศัยอยู่ที่เมืองตองดวิงจี วันหนึ่งขณะที่บิดากำลังขึ้นไปปาดตาลนั้น มารดาก็ได้วางจะเด็ตไว้บนพื้นเพื่อไปทำธุระอย่างอื่น พลันก็เกิดปาฏิหาริย์จนชาวบ้านแตกตื่นไปทั่ว เมื่อมีพญางูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากไหนไม่มีใครรู้และได้ไปขดตัวอยู่รอบๆทารกน้อยเพื่อป้องกันภัยเมื่อมารดากลับมาเห็นงูก็ได้เลื้อยหนีไปสร้างความประหลาดใจแก่ผู้คนยิ่งนัก บิดามารดาจึงได้นำบุตรไปหาพระและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พระท่านจึงจับยามสามตาดูและได้ทำนายว่า เด็กคนนี้มีบุญวาสนาที่ยิ่งใหญ่จะได้เป็นเจ้าคนนายคน ขอให้บิดามารดาพาเด็กไปยังเส้นทางที่งูเลื้อยไป นั่นก็คือ"เมืองตองอู"นั่นเอง ทั้งหมดจึงได้ย้ายไปเมืองตองอูโดยไปอาศัยอยู่กับเจ้าอาวาสของวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าอาวาสวัดนี้เป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าแผ่นดิน พระมเหสีเพิ่งประสูติโอรสพอดี เจ้าอาวาสจึงได้ฝากแม่ของจาเด็ตให้เข้าไปเป็นแม่นมในวัง

    ..........พระเจ้าแผ่นดินองค์ดังกล่าวก็คือพระราชบิดาของ "มังตรา" หรือ "พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้" ซึ่งก็คือพระราชโอรสที่เพิ่งจะประสูตินั่นเองในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงมีพระราชธิดาซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจาเด็ตอีกหนึ่งองค์ เด็กทั้ง ๓ จึงเติบโตมาพร้อมกัน จาเด็ตได้ผูกสัมพันธ์กับพระราชธิดา อีกทั้งพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพอพระทัยจนเมื่อเติบใหญ่จึงได้รับราชการอยู่ในวัง ภายหลังได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆจนเป็นขุนทหารแห่งเมืองตองอู จนกระทั่งอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาในเวลาต่อมา

    ........ครั้นตะเบ็งชะเวตี้ขึ้นครองราชสมบัติ จะเด็ตซึ่งมีความดีความชอบในการทำศึกกับหงสาวดีก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งให้เป็น "บายินนอง กยอดินนรธา" ซึ่งหมายถึงพี่เขยพระเจ้าแผ่นดินนั่นเอง บทบาทการรบของบายินนอง หาได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อขึ้นครองราชย์ไม่หากแต่ว่าการสงครามของบุตรคนปาดตาลผู้นี้ได้เลื่องลือมานานแล้วเพราะไม่ว่าจะไปทำศึกที่ใด ไม่เคยเลยสักครั้งที่บายินนองจะพ่ายแพ้ จนเป็นที่ย่นระย่อของหัวเมืองต่างๆยิ่งนัก จนเมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ทรงสวรรคต บายินนองจึงได้ขึ้นครองราชย์ แต่ว่ากว่าจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นใหญ่ในพม่าได้นั้นก็หาได้มาด้วยดวงตามที่พระท่านทำนายไว้อย่างเดียวไม่

    .................ทั้งนี้ เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ไม่สามารถที่จะเอาชนะเมืองไทยได้ใน พ.ศ.๒๐๙๐ ครั้นกลับไปพม่าพระองค์หาทรงเอาใจใส่ต่อราชการไม่ บ้านเมืองต่างๆที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นก็เกิดกระด้างกระเดื่องขึ้นมาแยกตนเป็นอิสระ ซึ่งเมื่อหัวเมืองต่างๆได้กระด้างกระเดื่องนั้น บายินนองก็ต้องยกทัพออกไปปราบทำสงครามอยู่ยังหัวเมืองต่างๆ ทางหงสาวดีก็มีกบฏขึ้นมาทันที เพราะเมื่อบายินนองพ้นออกไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2008
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สิ่งที่ผมได้รับรู้เพิ่มเติมจากการเดินทางไปพม่าเที่ยวนี้ คือความรู้ในเรื่องของเหตุการณ์ในวันที่ "พระเจ้าบุเรงนอง" เกิด มีด้วยกัน ๓ เหตุการณ์ที่เพิ่มเติมจากบันทึกนี้ด้วยกันคือ
    ๑) เกิดแผ่นดินไหว ๗ ครั้ง
    ๒) ผึ้งทำรังใต้บันได
    ๓) ฟ้าที่มืดคลึ้มพลันกลับสว่างไสว

    และเหตุการณ์ทั้ง ๓ นี้ก็ได้เกิดขึ้นกับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ด้วยเช่นกัน ประสูติหลังจากพระเจ้าบุเรงนองเพียง ๓ เดือน แม่ของพระเจ้าบุเรงนองได้เป็นแม่นมของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ด้วย พระราชบิดาของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ก็ทรงชุบเลี้ยงพระเจ้าบุเรงนอง ภายหลังก็ได้เป็นพระราชบุตรเขย

    ความตรงนี้ ทำให้ผมมานึกย้อนทบทวนเหตุการณ์ แนวทางของพระเจ้าบุเรงนองถึงสาเหตุที่ทรงชุบเลี้ยงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช น่าจะมีเค้าโครงจากการที่พระองค์ท่านได้รับพระเมตตาจากกษัตริย์ผู้ปกครองหงสาวดีซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้มาก่อน จากคนธรรมดาสามัญ แต่ได้รับโอกาสเป็นถึงพระราชบุตรเขย เนื่องจากทรงทราบถึงเหตุการณ์ในวันคลอดของพระเจ้าบุเรงนอง จึงทรงทำนายทายทักว่าจะได้เป็นใหญ่ มีดินแดนเป็นของตนเอง แนวความคิดตรงนี้ของพระเจ้าบุเรงนอง อาจจะเป็นสื่อไปพ้องกับวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเดินทางไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีก็เกิดนิมิตฟ้าฝนเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน พระองค์ท่านก็โปรดให้ทรงชุบเลี้ยงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเช่นเดียวกัน

    การเดินทางในไปพระราชวังบุเรงนองครั้งนี้ของผม จึงเกิดความรู้สึกศรัทธาในน้ำพระทัยในข้อนี้ของพระเจ้าบุเรงนอง ที่มีพระเมตตาต่อพระองค์ดำของสยามประเทศเรา ดังนั้นผมจึงได้นำน้ำพระพุทธมนต์จากพระเมาลีขององค์พระอุ่นเมืองไปพร้อมกับการเดินทางเที่ยวนี้ด้วย (พระอุ่นเมืองเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงสร้างไว้ขณะพักทัพที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อได้นิมิตถึงสมเด็จพระพี่นางเธอสุพรรณกัลยา ภายหลังพระพุทธรูปองค์นี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซม และอัญเชิญไปประดิษฐานในวิหารที่หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยสร้างไว้ขณะจาริกธุดงค์ผ่านมาทางปายแห่งนี้) เตรียมน้ำพระพุทธมนต์จากพระเมาลีนี้นำไปรดลงบนหลักเสาเอกของพระราชวังเดิมต้นหนึ่ง และรดลงบนผืนแผ่นดินหงสาวดีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นสื่อของรำลึกถึงพระเจ้าบุเรงนอง องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระพี่นางเธอสุพรรณกัลยาทั้ง ๓ พระองค์ ...

    ภาพท้องพระโรง พระราชบัลลังก์ของพระเจ้าบุเรงนอง และเครื่องราชบรรณาการ(ชั้นที่ ๒)จากหัวเมืองต่างๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สถานที่ในภาพนี้มีความสำคัญมาก เป็นที่ประทับของพระเจ้าบุเรงนอง ตรงตำแหน่งนี้จะอยู่ตรงกับจุดของพระธาตุชเวมอดอร์ หรือพระธาตุมุเตาที่เรากำลังจะเดินทางไปกราบสักการะพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัน สรุปคือสถานที่ ๓ แห่งนี้จึงมีลักษณะมุมฉาก โดยที่ประทับนี้อยู่ตรงจุดมุมฉากนั่นเอง

    ก่อนการออกรบทุกครั้ง พระเจ้าบุเรงนองจะเสด็จมาประทับที่แห่งนี้ผินพระพักตร์ไปยังพระธาตุเจดีย์ชเวมอดอร์ หรือพระธาตุเจดีย์มุเตาเพื่ออธิษฐานเพ่งจิตขอกำลังบารมี และทำสมาธิ สถานที่แห่งนี้จึงยังคงมีคลื่นพลังจิตของพระเจ้าบุเรงนองสะสมอยู่...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระธาตุเจดีย์ชเวมอดอร์ หรือพระธาตุเจดีย์มุเตา

    พระธาตุเจดีย์ชเวมอดอร์ - มุมโปรดที่ประทับ - พระราชวังบุเรงนอง

    เจดีย์ชเวมอดอร์ เมืองหงสาวดี หรือที่เราเรียกกันว่า พระธาตุมุเตา เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุรวม ๒ เส้น มีอายุเก่าแก่กว่า ๒,๐๐๐ ปี เป็นที่เคารพสักการะของทั้งกษัตริย์ มอญ พม่า และไทย เช่น พระเจ้าราชาธิราชของมอญ พระเจ้าบุเรงนองของพม่า และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทย

    พระเจดีย์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์มอญและพม่า สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยมอญเรืองอำนาจและเป็นสัญลักษณ์ ยืนยันความเจริญรุ่งเรืองของกรุงหงสาวดี นั่นก็คือ "พระธาตุเจดีย์ชเวมอดอว์" ซึ่งมีความหมายว่า "มหาเจดีย์พระเจ้าทองคำ" หรือคนไทยรู้จักกันในนาม "พระธาตุเจดีย์มุเตา" คำว่า "มุเตา" เป็นภาษามอญ แปลว่า "จมูกร้อน" เพราะเจดีย์มีขนาดสูงถึง ๑๑๔ เมตร ทำให้ผู้ที่ไปสักการะต้องแหงนหน้าจนคอตั้งบ่า ถึงจะมองเห็นยอดเจดีย์ เป็นเหตุให้แสงแดดที่แรงกล้าแผดเผาจมูกจนแสบร้อน

    พระธาตุมุเตาเป็นมหาสถูปบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุดของชาวมอญ ในสมัยพระเจ้าราชาธิราชกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของมอญ ได้มีการประกอบพิธีกรรมสำคัญของราชอาณาจักรที่พระธาต ุมุเตาแห่งนี้ และเริ่มพระราชประเพณีถวายทองหนักเท่าพระองค์เพื่อหุ้มองค์พระธาตุด้วย

    ความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุมุเตาเป็นที่เลื่องลือ และก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาแก่ชนชาวมอญและพม่า ในตำนานกล่าวไว้ว่า พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของตองอู สมัยเป็นเพียงเจ้าชายวัย ๑๔ พรรษา กล้าที่จะนำทัพบุกเข้าไปเมืองมอญ เพื่อทรง ทำพิธีเจาะพระกรรณตามราชประเพณี ที่พระธาตุมุเตาแห่งนี้ ซึ่งกว่าศัตรูจะส่งทหารมาปิดล้อมได้หมด ก็ใกล้เสร็จพิธี และพระองค์ก็ทรงนำทหารฝ่าวงล้อมกลับตองอูโดยปลอดภัย

    ต่อมาเมื่อพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ และเข้ายึดครองหงสาวดีได้แล้ว ทรงย้ายราชธานีจากตองอูมาที่หงสาวดี และถวายมงกุฎทรงยอดพระมหาธาตุแก่พระธาตุเจดีย์มุเตาด้วย

    พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าองค์ต่อมา ก็ทรงมีพระราชศรัทธาในองค์พระธาตุเจดีย์อย่างท่วมท้น ถึงกับทรงแกะอัญมณีเม็ดใหญ่จากพระมงกุฎถวายเพื่อเป็น พุทธบูชา พร้อมทั้งทรงให้ก่อกำแพงเมืองขยายไปโอบล้อมพระมหาเจดีย์ แถมพระองค์ยังทรงมีมุมโปรดในพระราชวังที่สามารถมองเห็นองค์พระมหาธาตุอย่างชัดเจนอีกด้วย ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพม่าระบุว่า ก่อนพระองค์จะออกทำศึกจะทรงนมัสการ"พระธาตุเจดีย์มุเตา"ก่อนทุกครั้ง

    ใช่เพียงแต่ชนชาติมอญ พม่า เท่านั้นที่นับถือพระธาตุองค์นี้อย่างแรงกล้า แม้แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทยเอง เมื่อคราวเสด็จไปเป็นตัวประกันที่เมืองหงสาวดี ก็เสด็จมาสักการะพระธาตุเจดีย์อยู่เสมอ และในครั้งที่ยกทัพไปปราบหงสาวดี ก็ทรงโปรดให้ตั้งพลับพลาที่ประทับใกล้องค์พระมหาธาตุ เพื่อจะเสด็จไปสักการบูชาพระมหาธาตุได้โดยสะดวก แม้พระมหาธาตุมุเตาจะได้รับการบูรณะจากกษัตริย์มอญ และพม่าหลายพระองค์ แต่ศิลปะแบบมอญ และพม่าที่องค์เจดีย์แห่งนี้ก็ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและสวยงาม

    และแล้วความร้าวรานใจของพุทธศาสนิกชนชาวมอญ พม่า ก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๓ ส่งผลให้พระธาตุเจดีย์มุเตาหักพังลงมา และได้รับการบูรณะปฎิสังขรณ์จนแล้วเสร็จใน พ.ศ.๒๔๙๗(ใช้เวลาบูรณะประมาณ ๒๔ ปี) และทางวัดได้นำชิ้นส่วนของพระธาตุเจดีย์องค์เดิมมาตั้งไว้ บริเวณลานทางทิศเหนือของพระธาตุองค์ใหม่ จนกลายเป็นจุดอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่าหากใครมากราบไหว้บริเวณนี้จะช่วยให้ชีวิตมีความมั่นคงถาวร

    ปัจจุบัน พระมหาเจดีย์ชเวมอดอว์ ถือเป็น ๑ ใน ๕ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า และเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่าด้วย ทุกวันนี้ผู้คนทั้งชาวพม่าและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาต่างพากันหลั่งไหลไ ปยังเมืองหงสาวดี หรือ "พะโค" ในปัจจุบันกันอย่างไม่ขาดสาย เพื่อกราบไหว้พระมหาเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งกรุงหงสาฯ องค์นี้ และสำหรับปีนี้ งานเทศกาลไหว้พระธาตุเจดีย์มุเตาจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕ มี.ค. - ๖ เม.ย.

    กล่าวกันว่า ใครมาเยือนหงสาวดี หากไม่มาสักการะพระธาตุมุเตา เสมือนหนึ่งยังมิถึงเมืองหงสาวดี อดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของมอญและพม่า (จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ ๗๗ เม.ย. ๒๕๕๐ โดย จรินทร์ คำชัย)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้แฟนผมได้โอนปัจจัยไป 2,800.- บาทแล้วครับ

    ประมาณหนึ่งจะมาแปะรูปไว้ครับ

    สาธุครับ

    [​IMG]


    แฟนโอนแล้วตามรูปครับ แต่ 2,900.- บาทครับ

    เนื่องจากเครื่องฝากอัตโนมัติรับ 2,700.- จึงไปต่อคิวโอนเคาเตอร์ 200.-
    เป็น 2,900.- บาท

    รวม 21,900.- บาท (เฉพาะบุญสร้างพระบุษบก)

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2008
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระธาตุเจดีย์ส่วนที่หักพังลงมาเหลือแต่ฐาน ก็ยังมีอยู่ให้เห็นอยู่ที่ด้านหนึ่งของเจดีย์

    ตรงนี้ถือเป็นเคล็ดลับที่ผู้คนมุ่งมายังพระธาตุเจดีย์มุเตาแห่งนี้ ถือเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า สูงกว่าพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ๑ เมตร ผู้ศรัทธาจะนำธูปที่ไฟมอดแล้วเหลือเพียงก้านธูปมา"ค้ำยัน"พระธาตุเจดีย์ส่วนที่ล้มลง อาจจะสงสัยว่า กว่าจะรอธูปดับหมดก้านสงสัยจะไม่ทันเวลา ขอให้เราใช้เคล็ดนี้นะครับ

    ๑) จะ"ค้ำยัน"โดยใช้ก้านธูปของเราที่มอดดับแล้ว หรือของผู้ใดก็ได้ ถือว่ามีคนคอยอุปถัมป์ค้ำจุน เราปักธูปบูชาพระ ขณะรอดับมอด อาจจะไม่ทันการเดินทาง trip ต่อไป จึงใช้ของผู้อื่น แทน และของของเราที่บูชาพระเมื่อมอดแล้วก็มีผู้นำไปค้ำยันพระธาตุเจดีย์ส่วนที่ล้มนั้น สำคัญว่า เมื่อนำของเขามา ๓ ดอก เราควรปักคืนไป ๓ ดอก อย่าอาศัยความช่วยเหลือของชาวบ้านเขามากกว่าแรงของเรา


    ๒) จะค้ำยันกี่ดอกก็ได้


    ๓) จะทำแทนผู้ใดก็ได้ เช่นพ่อ แม่ พี่ น้อง คนรัก เพื่อน ได้ทั้งนั้น..


    ผมได้ Zoom ภาพให้เห็นแล้วว่า เขามีเคล็ดการเสริมในเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน ฐานะต่างๆ แล้วแต่การอธิษฐานจิต หากมีโอกาสได้มาสักการะพระธาตุเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ ๑ ใน ๕ นี้ ก็อย่าได้พลาดโอกาสนี้กันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ก่อนจะขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนกัน พักทานอาหารกลางวันกันที่ Three Five Hotel ก่อน และชมบรรยากาศระหว่างทางในการเดินทางด้วยรถยนต์ไปอีก ๓ ชั่วโมง และต่อรถ ๖ ล้อขึ้นเขาไปอีกราว ๔๕ นาที และขึ้นเสลี่ยงโดยลูกหาบ ๔ ท่านไปอีก ๔๕ นาที และเดินไปพระธาตุอินทร์แขวนอีกราว ๒๐ นาที

    จะหาเวลามาต่อเรื่องพระธาตุอินทร์แขวนนะครับ สนุกมาก...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นั่งรออ่านอยู่นะครับ

    (good)
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมกำลังคิดว่าจะบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้ผู้สนใจในการเดินทางไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวนนี้ให้ทราบกันดีหรือไม่ หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม แต่ในที่สุดก็คิดว่าน่าจะบอกกันไว้ก่อน เพราะจะพบปัญหาในลักษณะเดียวกันอย่างแน่นอน...

    ภาพระหว่างทางนั่งเสี่ยงขึ้นสักการะพระธาตุอินทร์แขวน ลูกหาบจะขอทานน้ำดื่มกระป๋อง กระป๋องละ ๒,๐๐๐ จ๊าด เทียบเท่าเงินไทยที่ ๘๐ บาทต่อกระป๋อง น้ำดื่มประเภทนี้โดยทั่วไปขายกันที่ ๑,๕๐๐ จ๊าด จริงๆเขาไม่ได้ทานกัน คืนให้เจ้าของร้าน แล้วเจ้าของร้านคืนเป็นเงินให้ลูกหาบมาคนละ ๕๐๐ จ๊าด ส่วนนี้คือ น้ำใจที่ให้ลูกหาบ และการ tip นี้ ลูกหาบพวกนี้จะคาดหวังมาก โดยเฉพาะจะขอเป็นเงินไทย เรียกกันคนละ ๑๐๐ บาท ไปกลับก็ประมาณ ๒๐๐ บาท ต่อคน(ประมาณ ๖,๐๐๐ จ๊าดต่อคน ปกติเงินเดือนของคนที่นี่รับกันเพียงคนละ ๑,๐๐๐ บาทต่อเดือนเท่านั้น คือประมาณ ๓๐,๐๐๐ จ๊าด)เลยทีเดียว ส่วนนี้เป็นส่วนที่สร้างความรำคาญให้คนไทยที่นั่นมาก คนไทยบางคนให้ คนไทยบางคนไม่ให้ ก็เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ลูกหาบก็เกิดจะซักถามกันเป็นเรื่องอยู่เหมือนกัน ดังนั้น จึงควรพูดคุยเรื่อง tip กันให้ตรงกันในกลุ่มที่ไปกันก่อน ปริมาณลูกหาบถึง ๔๐๐ กว่าคน เสลี่ยงมีประมาณ ๑๐๐ ชุด รับนักท่องเที่ยวได้ ๑๐๐ คน ลูกหาบ ๔ คนหาบขึ้นไปใช้เวลา ๔๕ นาที สิ่งที่คนไทยเราสร้างไว้ในการเดินทางไปแต่ละครั้งจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เขาจะยึดถือกันไปเลยทีเดียว อย่าทำอะไรกันโดยไม่ปรึกษากันก่อน เพราะจะเกิดภัยที่เรานึกกันไม่ถึง ในเรื่อง tip นี่เป็นปัญหากันมาก ไกด์ของชุดเราแนะนำว่า เมื่อลูกหาบส่งเสร็จในขาขึ้น(อย่าลืมว่า ยังมีขาลงในวันรุ่งขึ้น) เขาจะขอเงิน tip ทันที ให้เราบอกว่า Tomorrow และต้องใจแข็งไว้ ตื้อยังไงก็บอก Tomorrow เท่านั้น เราคงสงสัยกันว่า แล้วจะทราบได้ยังไงว่าลูกหาบพวกนี้จะตามเราพบ 5555555... ตามเราพบแน่ "พวกเขา" จะมารอ"พวกเรา"ที่หน้าโรงแรมแต่เช้าเลยทีเดียว เพราะก่อนขึ้นเขา ผู้คุมคิวเสลี่ยงจะแจกลำดับหมายเลขให้เราก่อน และสักครู่ จะมีชุดลูกหาบ ๔ คนมาสอบถาม พร้อมชูหมายเลขที่ตรงกันกับลำดับหมายเลขของเรา นั่นก็คือชุดปฏิบัติการลูกหาบที่รับผิดชอบพาเราขึ้นเขาโดยนั่งเสลี่ยงขึ้นไปนั่นเอง(ในภาพเห็นคุณผู้หญิงท่านหนึ่งชูลำดับหมายเลข) เงินบาทเป็นที่ต้องการของคนพม่าที่นี่มาก การ tip นี้จึงต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆ เพราะหากเพื่อนคนไทยคนอื่นที่ไม่ได้พกเงินบาทมาในการเดินเที่ยวนี้อาจจะเป็นปัญหาสำหรับเขา จะบอกเล่าความน่ารำคาญตรงนี้ให้ทราบกันอีกครั้งในช่วงขาลง..รู้เขา รู้เรา จะปลอดภัยครับ ส่วนน้อย ทำให้ส่วนใหญ่เสียหาย ผมหมายรวมไปถึงทั้งพวกเขา และทั้งพวกเราคนไทยด้วยกันเองนั่นแหละ

    เรื่องการกินหมาก ที่พม่ายังทานกันเป็นส่วนใหญ่(สยามประเทศเราเลิกทานหมากมาประมาณ ๑๐๐ ปีแล้ว) ตามทางอาจจะพบเห็นสีแดงของหมากที่บ้วนทิ้งไปตามรายทางขึ้นลง


    การเดินขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนด้วยเวลาถึง ๔๕ นาที และเป็นทางที่ชันมาก โค้งหักศอกหลายจุด ซึ่งความจริงสามารถขับรถขึ้นไปได้ แต่เคยเกิดเหตุกับชาวต่างชาติ ซึ่งก็ทำให้ทางการพม่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการส่งชาวต่างชาติกลับประเทศต้นทาง และเพื่อให้ลูกหาบรอบๆเขามีรายได้ ทราบว่าเคยมีลูกหาบรวมตัวกันประท้วงไม่ให้มีรถรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังพระธาตุอินทร์แขวนโดยตรง


    เห็นไม๊! ว่ากระทบต่อปัญหาปากท้องของเขามากเลย ถือว่าการจัดระเบียบในเรื่องการ tip ยังเป็นปัญหามาก


    การขึ้นลงเขาที่ชันมากนี้ จึงเห็นเขาขายไม้เท้ากัน จะเห็นคนเฒ่า คนแก่ ใช้ค้ำยันเดินขึ้นลงตามเขามากมาย

    และเมื่อขึ้นเขาไปถึงองค์พระธาตุแล้ว จะมีบรรดาเด็กๆทั้งชายหญิง มาประกบซ้ายขวาหน้าหลังช่วยถือนั่น ถือนี่ ผมหมายถึงสัมภาระเท่าที่จำเป็นซึ่งแบ่งจากกระเป๋าใหญ่ที่เก็บไว้ที่โรงแรมในเมืองของเรามาแล้ว พวกเด็กๆนี้จะเรียกตัวเขากันเองโดยทั่วไปว่า Body Guard เรา เพราะเด็กๆก็ต้องการ tip จากนักท่องเที่ยวเช่นกันครับ เด็กๆบางคนก็จัดการยาก บางคนก็จัดการง่าย ก็ขอให้โชคดีครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ที่พักบนเขา และบรรยากาศรอบๆ ก่อนจะไปสักการะองค์พระธาตุอินทร์แขวนกันในช่วงค่ำ จากจุดบันทึกภาพนี้ ต้องเดินด้วยเท้าไปอีกราว ๑๕ นาที จะถึงองค์พระธาตุอินทร์แขวน ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อาหารค่ำง่ายๆ เป็นมุมที่นั่งทานอาหารไป เห็นพระธาตุอินทร์แขวนสีทองอร่าม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตามประเพณีจารีตของล้านนาโบราณ ได้กำหนดไว้ว่า คนที่เกิดในปีใด ควรจะได้ไปกราบไหว้พระธาตุประจำปีเกิดของตนอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อเป็นการเสริมสร้างสิริมงคล เสริมดวงชะตาราศีให้เจริญรุ่งเรือง และยังเป็นการสร้างสมบุญกุศลอย่างสูงอีกด้วย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

    1.คนเกิดปี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขณะที่ผมเข้าไปปิดทอง ผมสังเกตเห็น"ปุ่ม"สีดำนูนขึ้นมา ซึ่งส่วนมากจะถูกทองคำเปลวแท้ปิดทั้งหมด ผมทดสอบถูลงบนปุ่มสีดำนั้น ก็ไม่ออก และมีแข็งมาก สีดำนั้นไม่ลอกออก สิ่งที่สะกิดใจขึ้นมาในเวลานั้น "แท่นหินรองรับ"องค์พระธาตุอินทร์แขวนที่พระอินทร์ท่านนำมานี้ชะรอยท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว คือ...เหล็กไหล...ลองพิจารณาจาก ๒ ภาพนี้นะครับ ผมคิดว่ายังไม่เคยมีผู้ใดนำมาเผยแพร่

    บริเวณทั่วไปของการปิดทอง ลำพังทองคำเปลวมีความเบาบาง และแม้จะเป็นทองคำบริสุทธิ์ก็ตาม การปิดก็ใช่ว่าจะปิดได้ง่าย อีกทั้งยังต้องลมที่พัดโชยบน"แท่นหินรองรับ"องค์พระธาตุอินทร์แขวนอีก ต้องใช้ยางไม้สีน้ำตาลเหนียวเปรียบเสมือนกาวทาที่องค์พระธาตุก่อนการปิดทองคำเปลวบริสุทธิ์นั้น...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณ:::เพชร::: แอบไปท่องเที่ยวอีกแล้ว เหมือนผมที่ชอบท่องเที่ยว แต่ช่วงหลังๆไม่ค่อยได้ไปไหนเหมือนคุณ:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1158220", true); </SCRIPT> ครับ

    ตามนี้ มิงกาลาบา..๓ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์-พระมหาเจดีย์ชเวดากอง-พระธาตุมุเตา-พระธาตุอินทร์แขวน
    http://palungjit.org/showthread.php?t=126184

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,353
    โอ้วพระเจ้า National geographic จริงๆ > <
     
  17. เอกชัย รักสกุลลี้

    เอกชัย รักสกุลลี้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +1
    เอก
     
  18. เอกชัย รักสกุลลี้

    เอกชัย รักสกุลลี้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบูชาพระธาตุเจ้าแม่กวนอิม

    เอกชัย
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ยังขาดการท่องเที่ยวอีก ๑ วัน เสียดายที่นำภาพมาให้ชมไม่ได้มากดังตั้งใจ และก็เป็นวาสนาโดยแท้ที่ทางไกด้ท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงตารางเวลาการท่องเที่ยวสักการะพระธาตุเจดีย์ เพราะวันสุดท้ายเป็นวันที่ฝนตกทั่วพม่า หากไปพระธาตุอินทร์แขวนคงจะไม่เหมาะเลยจริงๆ วันสุดท้ายนี้มีเรื่องราวที่น่าติดตามเช่นกันครับ ขอพักก่อนนะครับ..มีเวลาจะเล่าให้ฟัง
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มี PM จากน้องท่านหนึ่งที่สนใจการท่องเที่ยวมาก ขออนุญาตน้องaietalk นำมาให้เพื่อนๆได้อ่านนะครับ..


    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=2>ข้อความส่วนตัว: Re: สวัสดีครับ ที่ได้สละเวลาพาเที่ยว....เมืองพม่า</TD></TR><TR><TD class=alt1>Recipients: <!--aietalk-->aietalk

    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- post # --><TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] วันนี้, 06:22 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 06:24 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 43 ปี
    ข้อความ: 3,577 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 2,306 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 38,363 ครั้ง ใน 3,667 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 3216 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG] Re: สวัสดีครับ ที่ได้สละเวลาพาเที่ยว....เมืองพม่า
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ aietalk
    สวัสดีครับ พี่เพชร
    ก่อนอื่นผมขออนุญาตแนะนำตัวเองก่อนนะ ครับ ผมชื่อ aietalk เป็นสมาชิกใหม่ครับ สมัครเข้ามาเมื่อวันจันทรที่ 28-04-2008 ที่ผ่านมานี้เองครับ
    ผมรู้สึกประทับใจภาพและเรื่องราวต่าง ๆ ที่พี่เพชรพาไปเที่ยวเมืองพม่า ดูภาพแต่ละสวยงามมาก ๆ และเนื้อหาก็ละเอียด
    ใคร่ขออนุญาตถาม สักเล็กน้อย นะครับ เพราะสงสัย ? จริง ๆ ว่า พี่เพชรไปเที่ยวเป็นการส่วนตัว หรือ ไปทำงาน ครับ เพราะเห็นเก็บภาพสวยงามได้ละเอียดมาก ๆ และยอดเยียม มาก ๆ ครับ เหมือนกับพี่เพชรทำงานเก็บข้อมูลและภาพไว้ทำหนังสือประเภท ผู้สื่อสารคดี หรือประมาณสื่อมวลชนอะไรทำนองนั้น นะครับ
    คือ อยากรู้จะได้เอาไว้ เพื่อศึกษาเป็นแนวทางหรือเป็นแบบอย่างที่ดี ๆ ไงครับ (||) ขอบพระคุณครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอบคุณที่ชอบนะครับ สิ่งแรกที่พี่ทำคือขอทำในสิ่งที่ตนเองรักก่อน ต้องรู้สึกรัก และรู้สึกสนใจเป็นทุนเดิม พี่ชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งๆที่สมัยเด็กๆ ไม่ชอบเลย แต่เวลาผ่านไป ประสบการณ์ชีวิตที่มีมากขึ้น หัวใจที่ศรัทธาในปฏิปทาของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต ก็อาจจะช่วยน้อมนำให้เราเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์มากขึ้นๆ สื่อต่างๆที่เหนือโลกก็เหมือนจะนำพาให้เราได้ไปนั่นไปนี่ พบสิ่งมงคลต่อชีวิต ทั้งชีวิตของผู้คน ความหวัง กำลังใจ ต่างๆ พี่ถือว่า เป็นการสะสมไมล์ชีวิต การศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ต้องเรียนรู้จากของจริง เป็นกำไรชีวิต เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น คิดเสมอว่า จะนำมาถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ และเข้าใจแบบที่ตนเองเข้าใจได้อย่างไร

    สมัยเด็กชอบเล่นกล้องมาก ถ่ายไปเรื่อย ดีมั่งเสียมั่ง ก็ถือว่าเป็นการลองผิดลองถูก แล้วจากนั้นมาผนวกกับเรื่องวัดวาอาราม พระธาตุเจดีย์เหล่านี้ จะรู้สึกผูกพัน หวงแหน และสุดบูชา

    การไปพม่าครั้งนี้ ถือว่าเป็นวาสนาโดยแท้ เพราะปฏิเสธการเดินทางถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรแล้ว ชะรอยว่าได้วาระการไปตามหาอะไรบางอย่าง สุดคุ้มครับ พี่ชอบพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เพราะมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีก เช่นหลักการสร้าง สร้างจากความคิดอะไร และยังมุมอื่นที่ยังนำมาไม่หมด มีรอบ ๒ แน่นอนครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...