*เครื่องรางของขลัง/วัตถุมงคล...รายการละ 100 บ./พร้อมส่ง บูชา 3 รายการ แถม 1 รายการ...

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Pitiphat, 4 มิถุนายน 2018.

  1. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    ปิดครับ
     
  2. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1036 พญานาคลงยา วัดป่าคำชะโนด จ.อุดรธานี เลี่ยมเดิม
    พุทธคุณ ด้านเมตตา ค้าขาย โชคลาภ
    คาถากำกับ
    วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เม
    ฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ
    อะปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม
    จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม
    มา มัง อะปาทะโก หิงสิ มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก
    มา มัง จะตุปปะโก หิงสิ มา มัง หิงสิ พะหุปปะโก
    สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา
    สัพเพ ภัทรานิ ปัสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะม

    คุณShoo-2561 ปิดครับ
    IMG_25620828_213855.JPG
    IMG_25620828_213832.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2019
  3. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1037 เหรียญพ่อพิฆเณศ อ.หนูกันภัย เนื้อตะกั่วพันปี ปี47
    มี 3 เหรียญ
    คติการนับถือพระพิฆเนศ น่าจะเข้ามาถึงประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 10 โดยเข้ามาทางภาคใต้ก่อน แต่เทวาลัยของพระพิฆเนศที่เก่าที่สุดในเมืองไทยปรากฏที่ แหล่งโบราณคดีเขาคา จ.นครศรีธรรมราช มีอายุในพุทธศตวรรษที่ 12 เทวรูปพระพิฆเนศที่เก่าที่สุดก็พบทางภาคใต้ของไทย และกำหนดอายุได้ในช่วงเวลานั้น เชื่อว่าบรรพชนในภาคใต้ของเราในยุคดังกล่าว คงจะนับถึอพระพิฆเนศตามแบบอินเดีย คือเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค

    เทวรูปพระพิฆเนศ เริ่มแพร่หลายมากขึ้นเมื่อถึงสมัยที่เมืองไทยเรา ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากขอม เทวรูปเหล่านี้พบในปราสาทหินหลายแห่ง ทั้งที่เป็นเทวรูปลอยองค์สำหรับบูชาภายในปราสาท และอยู่บนทับหลังหรือหน้าบันในลักษณะภาพแกะสลักนูนสูง คติการนับถือพระพิฆเนศในเมืองไทยเราช่วงนี้ น่าจะเป็นแบบเขมร คือ เป็นเทพองค์สำคัญในไศวะนิกาย คือจะต้องมีประจำในเทวสถานของลัทธินี้ รวมทั้งการบูชาในฐานะเทพแห่งอุปสรรค และเทพแห่งการประพันธ์ด้วย เพราะเท่าที่พบเทวลักษณะก็เป็นแบบเขมร คือประทับนั่งชันพระชานุข้างหนึ่งแบบมหาราชลีลาสนะ หรือประทับนั่งขัดสมาธิราบ ถ้าประทับยืนก็ประทับยืนตรงๆ ไม่ใช่ยืนเอียงพระโสณีหรือตริภังค์แบบอินเดีย

    อย่างไรก็ตาม เทวรูปเหล่านี้ล้วนแต่สร้างอย่างงดงามมาก และอาจจะมีทั้งที่สร้างด้วยหินและสำริด หรือแม้แต่ทองคำ แต่ที่ตกทอดมาถึงยุคของเราส่วนมากมีแต่เป็นหินเท่านั้น ในจำนวนนี้องค์ที่เด่น ๆ ได้แก่พระคเณศทรงเครื่องจาก ปราสาทหินเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์ ส่วนพระพิฆเนศจากปราสาทที่งามที่สุด อย่างเช่นปราสาทหินพนมรุ้งนั้น ปัจจุบันเราได้พบแต่ที่เป็นขนาดเล็ก

    เทวลักษณะที่ประทับยืนตรงของพระพิฆเณศแบบขอม ได้ต่อเนื่องมาถึงพระพิฆเนศแบบเชียงแสน และสุโขทัยด้วย ปัจจุบันเรามีตัวอย่างของเทวรูปพระพิฆเนศแบบเชียงแสน ที่ทำอย่างงดงามหลายองค์ แต่ที่งามกว่าคือแบบสุโขทัย ซึ่งเท่าที่รู้จักกันเป็นสมบัติของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และมีการถ่ายแบบทำเป็นเทวรูปสำหรับบูชาทั่วไปเมื่อ พ.ศ. 269 ซึ่งปัจจุบันก็หาดูยากแล้ว

    ในสมัยสุโขทัย การนับถือพระพิฆเนศ ก็คงเป็นไปตามแบบทีได้อิทธิพลจากขอม แต่ก็น่าจะเสื่อมคลายลงมาก เพราะได้มีการให้ความสำคัญต่อศาสนาพุทธยิ่งกว่าศาสนาฮินดูที่นับถือกันมาแต่ เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย พระมหาธรรมราชาลิไท ที่ศาสนาพุทธเฟื่องฟูมาก

    ล่วงถึง สมัยกรุงศรีอยุธยา ศาสนาฮินดูได้กลับมามีความสำคัญในราชสำนักอีกครั้ง มีหลักฐานว่าได้มีการหล่อพระพิฆเนศ และ พระเทวกรรม คือพระพิฆเนศในฐานะที่เป็นครูช้างขึ้นมาหลายองค์ แต่หลักฐานที่ตกมาถึงเรามีแต่เทวรูปสำริดขนาดเล็กเพียงไม่กี่องค์ และเทวรูปสำริดขนาดใหญ่ที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า รวมทั้งเทวรูปศิลาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระราชวังจันทร์เกษม เป็นต้น พระพิฆเนศได้กลับมามีบทบาทสำคัญในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาก็เพราะเกี่ยวเนื่อง ด้วยการคชกรรมนี่เอง และก็ยังคงมีความสำคัญตามคติที่ได้รับจากขอม คือเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค เป็นเทพที่จะต้องบูชาก่อนอื่นในพิธีกรรมสำคัญ และเป็นเทพแห่งการประพันธ์คัมภีร์ต่าง ๆ

    ส่วนคติที่นับถือพระพิฆเนศวรเป็น เทพแห่งศิลปวิทยา อันเป็นการแทนที่คติเดิมของพระสรัสวดีที่มีมาแต่อินเดียนี้ ยังไม่ปรากฏว่ามีในเมืองไทย จนกระทั่งผ่านพ้นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพราะใน 4 รัชกาลแรกภาพเขียนพระพิฆเนศในพระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม และ วัดบวรสถานสุทธาวาส หรือแม้แต่ภาพแกะสลักบนประตูไม้ที่ วัดเพลงวิปัสสนา บางกอกน้อย ยังเป็นเรื่องจากนารายณ์สิบปางอยู่ ภาพเหล่านี้คงมีที่มาจากตัวอย่างพระเทวรูปในตำราภาพเทวรูปและเทวดานพเคราะห์ ซึ่งเป็นแบบอย่างภาพลายเส้นรูปเทพเจ้าแทบทุกพระองค์ สำหรับช่างเขียนใช้เป็นต้นแบบ ตำราภาพดังกล่าวสร้างในรัชกาลที่ 3-4 และคงมีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

    ที่เป็นหลักฐานทางเอกสาร โดยเฉพาะในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังเป็นคติเก่าที่มีอยู่ในเรื่อนารายณ์สิบปางเช่นกัน และองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนั้น โดยส่วนพระองค์ก็ดูจะทรงนับถือพระพิฆเนศอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเสด็จประพาสชวาก็ทรงนำพระพิฆเนศขนาดใหญ่ของที่นั่นมาด้วย (ปัจจุบันยังจัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร)
    จากหนังสือตรีเทวปกรณ์

    1 IMG_20181025_115131.jpg IMG_20181025_115121.jpg
    2 IMG_20181025_115201.jpg IMG_20181025_115150.jpg
    3 IMG_20181025_115223.jpg IMG_20181025_115213.jpg
     
  4. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1038 รูปเหมือนหลวงปู่บุดดา ถาวโร รุ่น 100 ปี เสาร์ 5 มหามงคลทอง ปี36
    รูปเหมือน(จิ๋ว)
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร รุ่น 100 ปี เสาร์ 5 มหามงคลทอง ปี36 กล่องเดิมจากวัด หลวงปู่บุดดา ถาวโรในสายของเหล่ากองทัพธรรมนั้น
    ท่านคือ พระอรหันต์ ....ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่บุดดา ได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที หลวงปู่ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ ท่านตอบทันที ก็ผง พระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศรีษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ และที่สำคัญในพิธีเปิดโลกที่แสนสะโด่งดังนั้น หลวงปู่ดู่ท่านยังเชิญบารมีขององค์หลวงปุ่บุดดามาร่วมเสกด้วย (ทางญาณนะครับ) แม้แต่องค์หลวงปุ่ชา วัดหนองป่าพง พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่ายๆ ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าหลวงปุ่บุดดา นั่งอยุ่บนรถบัส ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ว่า ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดาบนรถเอง แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพและเรียบร้อยที่สุด หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ และยกย่องหลวงปุ่บุดดาอีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือเนื้อนาบุญของแท้ ซึ่งแม้แต่หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง ยังขอถวายสังฆทานและจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน ครั้งหนึ่งมีคนนำพระไปให้ท่านเสก ส่งไปแล้วท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด ท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก พระองค์นี้ออกรบได้แล้วล่ะโยม เต็ม ตั้งแต่ที่ส่งมาให้แล้ว ........ตกใจไหม...... และเมื่อมีคนนำพระไปให้ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก พระอาคมขลัง ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่า เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว แม้แต่องค์หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก จะให้เสกทับไปได้อย่างไร หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน สุดยอดจิงๆ ทุกวันนี้เราหาพระที่จะมาห้อยคอนั้น ง่ายเหลือเกิน แต่จะหาพระแท้ มาห้อยนั้น ยากครับ หากท่านเล่นพระ บูชาพระที่พุทธคุณ ไม่ใช่เล่นที่ค่านิยม อันเป็นเรื่องของทางโลกแล้ว พระหลวงปู่บุดดาเป็นอีกองค์หนึ่งซึ่งผม ขอฝากไว้ในใจท่านทั้งหลายครับ
    ปิดครับ
    IMG_20180123_205322.jpg IMG_20180123_205310.jpg IMG_20180123_205020.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2019
  5. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1039 เหรียญพระประจำวัน(วันจันทร์) ปางห้ามสมุทรยก 2 มือ ยี่สิบห้าศตวรรษ พิธีดี พิธีใหญ่
    พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองแบตั้งขึ้นยื่นออกไปข้างหน้าเสมอพระอุระ (อก) เป็นกิริยาห้าม บางแบบเป็นพระทรงเครื่อง (บางตำราใช้พระปางห้ามพยาธิเป็นพระประจำวันจันทร์)

    - ประวัติย่อ...
    ครั้งหนึ่ง ได้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองไพศาลี มีประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก กษัตริย์ลิจฉวี เจ้าผู้ครองเมืองจึงได้กราบบังคมทูลอาราธนาพระพุทธองค์ ให้เสด็จมาโปรดชาวเมือง พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระอานนท์ เจริญรัตนสูตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์รอบพระนคร จนต่อมาภายหลังโรคร้ายก็หายสิ้นจากพระนครด้วยพุทธานุภาพ

    - บทสวดมนต์บูชาพระประจำวันจันทร์...
    ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

    ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

    ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

    - สวดวันละ ๑๕ จบ จะมีความสุข ความเจริญปราศจากโรคาพยาธิทั้งปวง ผู้ที่เกิดวันจันทร์ ควรใช้ของประดับตัวและบ้านเรือน เป็นสีขาว เหลืออ่อนๆ เป็นดีที่สุด ส่วนสีรองๆ ลงมา คือสีเขียว สีดำ สรกรมท่า สีน้ำเงิน พึงเว้นสีแดง

    IMG_20180213_220756.jpg
    IMG_20180213_220745.jpg
     
  6. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1040 หลวงปู่ทวด รุ่นพุทธบารมีหลังลายนิ้วมือ เนื้อดินผสมว่าน๑๐๘ วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
    IMG_20180307_184747.jpg
    IMG_20180307_184727.jpg
     
  7. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1041 เหรียญหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวการาม ปี23 พิธีเสาร์ห้า จ. กาญจนบุรี
    ด้านหน้ารูปเหมือนครึ่งองค์ ด้านหลังเป็น
    ยันต์ 4 ทิศ เนื้อทองแดงรมดำ

    IMG_20180129_213533.jpg IMG_20180129_213520.jpg
     
  8. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1042 เหรียญหลวงพ่อโอภาสี โค๊ด อ วัดโอภาสี บางมด กทม.
    IMG_25620901_141224.JPG
    IMG_25620901_141203.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2019
  9. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1043 รูปถ่าย+ตะกรุด 9 ดอก หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่
    IMG_25620901_142007.JPG
    IMG_25620901_141944.JPG IMG_25620901_141919.JPG
     
  10. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1044 เหรียญสมเด็จองค์พระปฐม หลังสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดสะตอน จ.จันทบุรี
    IMG_25620901_143448.JPG
    IMG_25620901_143406.JPG
     
  11. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1045 พระพิมพ์ขุนแผนเคลือบรุ่นแรก หลวงปู่ทิมปลุกเสกให้วัดโล่ห์ฯ
    พระครูนิเทศก์ธรรมรส(ไพฑูรย์ กนฺตธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดโล่ห์สุทธาวาส อ.เมือง จ.อ่างทอง เปิดเผยว่า ทางวัดได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ทิม วัดพระขาว อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา อธิษฐานจิตปลุกเสก พระขุนแผนเคลือบ รุ่นสร้างโบสถ์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อหาปัจจัยสมทบทุน สร้างอุโบสถหลังใหม่ที่กำลังก่อนสร้างยังไม่แล้วในขณะนี้

    เจ้าอาวาสวัดโล่ห์ กล่าวว่า พระขุนแผนเคลือบรุ่นนี้ได้ถอดแบบมาจาก พระขุนแผนเคลือบ วัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งเป็นพระขุนแผนเคลือบยอดนิยม ของวงการ เป็นพระเนื้อดินเผาและเคลือบน้ำยาอย่างดีอีกชั้นหนึ่ง
    [​IMG]
    มีทั้งหมด ๓ สีคือ เขียว น้ำเงิน เหลือง บรรจุอยู่ในกล่องเดียวกัน ส่วนชนิดไม่ได้เคลือบน้ำยา มีสีขาวและแดง (๓ องค์)

    พระครูนิเทศก์ธรรมรส เจ้าอาวาสวัดโล่ห์ฯ กล่าวว่า โบสถ์หลังนี้ใช้งบประมาณก่อสร้างกว่า ๑๕ ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงรายละเอียดและค่าตกแต่ง อื่นๆ อีกหลายรายการ ปัจจัยส่วนใหญ่ ได้มาจากการบริจาคของศรัทธาญาติโยมโดยตรง และอีกส่วนหนึ่งจากการทำบุญ บูชาวัตถุมงคลที่ทางวัดจัดสร้างขึ้น ซึ่งได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ทิม วัดพระขาว อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวมาโดย ตลอด รวมทั้งพระขุนแผนเคลือบรุ่นนี้ด้วย
    IMG_20181025_115243.jpg IMG_20181025_115233.jpg IMG_20181025_115254.jpg
     
  12. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1046 สมเด็จเนื้อว่านฝังตะกรุด 3กษัตริย์ หลัง 2 โค๊ต หลวงปู่แก้ว วัดสะพานไม้แก่น สงขลา ปี2558 รุ่นมหาเศรษฐีมหามงคล อยู่ในชุดกรรมการเล็ก ที่สร้าง 199 ชุด
    หลวงปู่แก้ว วัดสะพานไม้แก่น เทพเจ้าแห่งป่าช้าควนข้าวแห้ง ดินแดนที่ร่ำลือกันว่าผีดุ


    ประวัติ หลวงปู่แก้ว พอสังเขป...นามเดิม พระอินแก้ว ธัมมาราโม อุปสมบท ณ อุโบรสมหาอุด แห่งวัดทรายขาว ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี พระอุปัชฌาย์ พระครูวิรัชโสภณ (พ่อท่านแดง) วัดศรีมหาโพธิ์ พระอริยะสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านเป็นผู้หนึ่งที่นั่งเจริญพุทธมนต์ ในพิธีปลุกเสกหลวงปู่ทวด เนื้อว่าน รุ่นแรก วัดช้างให้ ปี พ.ศ. 2497 พระเครื่องที่ท่านสร้างก่อเกิดประสบการณ์มากมาย เช่น เหรียญรุ่นแรกของท่าน เหรียญหลังเสือ และที่สำคัญ คือเป็นผู้สร้างตำนานหลวงปู่ทวดรุ่น ห้าแซะ วัดศรีมหาโพธิ์ อันลือลั่น .. พระกรรมวาจาจารย์ พระครูสุนทรธรรมวิธาน (พ่อท่านเพียร) วัดสุนทรวารี พระเกจิอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยวิชาอาคมและไสยศาสตร์แห่งแดนลังกาสุกะ อยากที่จะหาผู้ใดมาเสมอเหมือนได้..พระอนุสาวนาจารย์ พระครูธรรมกิจโกศล (อาจารย์นอง) วัดทรายขาว พระเถระจารย์ผู้สร้างตำนานหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ รุ่นแรกปี พ.ศ. 2497 คู่กับท่านอาจารย์ทิม เจ้าอาวาสวัดช้างให้ ผู้เป็นทั้งอาจารย์และสหธรรมมิกและผู้สร้างตำนานตระกรูดนารายณ์แปลงรูป (ตระกรูดแม่นางจันทร์) อัน โด่งดัง.. หลวงปู่แก้ว เมื่อบวชแล้วได้ร่ำเรียนเวทมนต์คาถา จากพระอุปัชฌาย์และพระเถระอาจารย์รูปต่างๆ ของท่านจนหมดแล้ว ก็ได้ออกจาริธุดงควัตรไปตามสถานที่ต่างๆ จนมาถึงสถานที่สงบร่มเย็น ควรแก่การปฏิบัติพระกรรมฐานเพื่อพิจารณาอสุพะ นั่นก็คือ ป่าช้าควนข้าวแห้ง ดินแดนผีดุ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ถึง ปี พ.ศ. 2534 เป็นเวลาถึง 16 ปีๆ ปัจจุบันอายุ กว่า 100 ปี จนเวลาล่วงเลยมาหลายปีร่างท่านไม่แข็งแรงเหมือนก่อนท่านจึงตัดสินใจจำพรรษา ที่วัดสะพานไม้แก่น อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นการถาวร หลังจากที่ท่านมาจำพรรษาที่วัดสะพานไม้แก่น ได้พัฒนาอารามแห่งนี้จากสำนักสงฆ์เล็ก ๆ ให้กลายเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในเวลาเพียงไม่กี่ปี..ท่านสามารถบำเพ็ญภาวนา จนบรรลุญาณระดับไหนอยากที่บุถุชนอย่างเราจะเดาได้ แต่เมื่อท่านได้ปลุกเสกวัตถุมงคลลงไปแล้วนั่น พระเครื่องของท่านเกิดประสบการณ์มากมาย สามารถหยุดปืน หยุดระเบิด สะกดพลัง สยบภูต ผีปิศาจจอมมารร้ายกระทั่งสัตว์ป่าอสรพิษ พระเครื่องของท่านมีประสบการณ์ จากเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้มาแล้ว และสามารถสยบระเบิดที่เกาะบาหลีเมื่อไม่นานมานี้ และล่าสุดชาวมาเลเซียโดนกุญไสย (เวทมนต์สายดำ) หาผู้ที่มีวิชาทั่วทั้งมาเลเซียหมดแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขได้ คณะลูกศิษย์ท่านจึงนำตัวมาที่วัดสะพานไม้แก่น ทันทีที่ลงจากรถปิกอัพที่หน้ากุฏิ มองไปที่หน้าของท่านก็เป็นลมหมดสติ (กลับหายเป็นปกติ) โดยที่ท่านยังไม่ทันทำอะไรเลย นับเป็นปาฎิหาริย์ที่เห็นกันจะๆในเรื่องของบารีของท่านชาวไทยและชาวมาเลเซีย จึงเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก...ผลงานที่ท่านฝากไว้กับพระพุทธศาสนาหลัง ท่านมาจำพรรษาที่วัดสะพานไม้แก่น ในฐานะพระลูกวัด ท่านได้อุปถัมภ์การสร้างถาวรวัตถุให้เกิดขึ้นในวัดมากมาย และที่สำคัญ คือ พระอุโบรสอันสวยงามตระกานต์ตาใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท แต่ด้วยอาศัยบารมีของท่านสามารถสร้างเสร็จในปีเดียว และในงานพิธียกช่อฟ้า ปิดทอง ฝังลูกนิมิต ในวันที่ 10 ถึง 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ในงานดังกล่าว นายชวน หลีภัย อดีตนายกรัฐมนตรีให้เกรียติมาเป็นประธานเปิดงาน ได้งบประมาณเป็นยอดเงินประมาณ หกล้านบาท นับได้ว่ายากที่จะมีพระเถระรูปใดทำได้ นอกจากนี้ท่านยังเป็นขวัญและกำลังใจให้กับชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดใกล้เคียง ใครมาหาท่านไม่ว่าจะมียศฐานบรรดาศักดิ์หรือเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ท่านก็ให้ความสำคัญเท่ากันหมด สามารถเข้าพบท่านได้ทุกคน ไม่ว่าจะมาหาให้ท่านช่วยอะไร ถ้าท่านช่วยได้ก็จะรีบแก้ไขให้ทันที และท่านมักจะแจกวัตถุมงคลให้ผู้ที่ไปกราบท่านไว้คุ้มภัยกันทั่วทุกคน นับเป็นความเมตตาอย่างยิ่ง จากคุณงามความดีดังกล่าวคณะสงฆ์จึงลงมติแต่ตั้งท่านเป็นพระครูชั้นสามัญ ที่พระครูอุปถัมภ์สารคุณ เมื่อปี พ.ศ. 2555 นี้เอง ยังความปิติยินดีให้กับคณะศิษยานุศิษย์ทั้งชาวไทยและมาเลเซียอย่างมากมาย

    หลวงปู่แแก้ว พื้นเพเดิมท่านเป็นคน บ้านฉาง ต.บางโกระ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ท่านเป็นศิษย์ของ พระครูวิรัชโสภณ หรือ หลวงปู่แดง วัดศรีมหาโพธิ์ ท่านออกธุดงควัตรมาตั้งแต่สมัยเป็นพระหนุ่ม บางครั้งก็แวะจำพรรษาตามป่าช้าในวัดต่างๆ จนเวลาล่วงเลยมาหลายปี ร่างกายท่านไม่แข็งแรงเหมือนก่อน ท่านจึงตัดสินใจจำพรรษา ที่วัดสะพานไม้แก่น อ.จะนะ จ.สงขลา หลังจากที่ท่านมาจำพรรษาที่วัดสะพานไม้แก่น ท่านได้พัฒนาอารามแห่งนี้จากสำนักสงฆ์เล็กๆ ให้กลายเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในเวลาเพียงไม่กี่ปี

    ปัจจุบันท่านอายุกว่า 100 ปี ถือได้ว่าท่านเป็นเกจิซึ่งบรรลุญาณวิเศษ แก่กล้ามหาเวทย์พุทธาคมและไสยศาตร์

    หลวงปู่แก้ววัดสะพานไม้แก่น เทพเจ้าแห่งป่าช้าควนข้าวแห้ง เป็นพระอริยะสงค์ผู้บรรลุอภิญญาณ เรืองโรจน์พุทธาคม และไสยศาสตร์ แตกฉานเอกอุในวิชาอาคมครบถ้วนกระบวนยุทธ์ จนยากจะหาใครยุคกึ่งศตวรรษเทียมเท่าได้?

    ธุดงค์ปฏิบัติวิปัสนาญาณสมาธิเป็นกิจวัตร บรรลุ ญาณ แก่กล้าเพ่งกระแสจิตสะกดพลังสยบภูตผีปิศาจวิญญาณมารร้าย แม้สัตว์ป่าอสรพิษแสนดุร้ายก็ยอมสยบราบคาบ

    วัตถุมงคลของหลวงปู่แก้วมีพุทธคุณเข้มขลังในทางมหาอุดคงกระพัน และแคล้วคลาด
    เกิดประสบการณ์มากมายจากเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้
    ชาวไทย และชาวมาเลเซียต่างเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมากมายครับ

    คุณshaj ปิดครับ
    IMG_20181021_195902.jpg IMG_20181021_195852.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2019
  13. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,898
    ค่าพลัง:
    +6,817
    ขอจองครับ
     
  14. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1047 พระขุนแผนมนต์สาวหลง เนื้อผง หลวงปู่นิเวศน์ วัดทุ่งกระเจ็ด จ.สุพรรณบุรี
    หลวงปู่นิเวศน์ วัดทุ่งกระเจ็ด
    พระเกจิดังเมืองสุพรรณ เจ้าอาวาสวัดทุ่งกระเจ็ด พระเกจิดังที่ไม่หวังลาภสักการะ เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรียกว่าพระสุปฏิปันโน ในทางพระพุทธศาสนานั่นเอง
    หลวงปู่นิเวศน์ พระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม
    บวชเรียนแต่วัยเยาว์ ทั้งที่บิดาเป็นลูกน้องเสือฝ้าย แต่หลวงปู่กลับเดินสวนทางนำชีวิตฝากไว้ในพระพุทธศาสนา และได้ไปเรียนวิชาสายเดียวกับ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่

    พระเกจิอาจารย์ดังสมัยก่อนจะมีครูบาอาจารย์สอนวิชาอาคม ใครเก่งที่ไหนท่านจะเดินธุดงค์ไปหา ฝากตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชา ศึกษาหาความรู้ หลวงปู่นิเวศน์ ได้เดินธุดงค์ออกป่าไปหาความรู้จาก หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรสจันทบุรี ได้ตำราวิชาการสร้างพระขุนแผน และพระผงพรายกุมาร ถึงขนาดหลวงพ่อคง กล่าวฝากมาว่า ให้หมั่นฝึกตนตามที่เราสอนไว้แล้วท่านจะแทนเราได้ พร้อมกันนั้นได้มอบมวลสารเป็นผงพรายกุมารมาหนึ่งกระปุก

    นอกจากนี้ยังมีพระดังเมืองสุพรรณ ที่หลวงปู่นิเวศน์ ไปขอ นั่นคือ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี แลหลวงพ่อมุ่ย แห่งวัดดอนไร่ เป็นครูบาอาจารย์ผู้สอนสั่งวิชา
    ร่ำเรียนวิชาทางกรรมฐานจิต กับหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน และสืบตำราพุทธาคมมาจากพระคณาจารย์เก่งๆอีกมากมาย
    เรียกได้ว่า หลวงปู่มีวิทยาคมแก่กล้า ท่านได้สร้างสุดยอดวัตถุมงคล อันก่อเกิดประสบการณ์ดีๆต่างๆนานาอย่างมากมาย จนเป็นที่กล่าวขาน และกล่าวขวัญกันให้ทั่ว ว่าหลวงปู่นิเวศน์รูปนี้ เป็นพระแท้ เป็นพระเกจิอาจารย์แห่งยุค ที่หาตัวจับยาก ปลุกเสกวัตถุมงคลได้ขลังฉมังนัก

    IMG_20181108_222224.jpg IMG_20181108_222212.jpg get_auc3_img (11).jpg
     
  15. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รับทราบการจองครับ...ขอบคุณครับ
     
  16. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1048 พระผงหลวงพ่อศิลา รุ่นมรดกโลก วัดทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย กล่องเดิม
    หลวงพ่อศิลา เป็นนามที่ชาวบ้านวัดทุ่งเสลี่ยมเรียกขาน พระพุทธรูปนาคปรก ปางสมาธิ สกัดจากหินทรายสีเทา ทรงกรองศอพาหุรัด กุณฑล สวมศิราภรณ์ สวมมงกุฎเทริด พระพักตร์ทรงสี่เหลี่ยม ประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานขนาดนาค 3 ชั้น นาคที่ปรกอยู่เหนือพระเศียรนั้นมี 7 เศียร ด้านหลังหางนาคพาดขึ้นมาถึงลำตัว มีลวดลายแบบศิลปะลพบุรี องค์พระวัดจากฐานถึงปลายยอดเศียรนาคสูง 85.50 เซนติเมตร หน้าตักกว้าง 44 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 126.5 กิโลกรัม

    ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงประทานความเห็นไว้ว่า

    "..พระพุทธรูปองค์นี้ ที่กระบังหน้ามีแนวขึ้นมาตรงกลาง ลักษณะเช่นนี้เป็นรูปแบบของโบราณวัตถุที่ทำขึ้นในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ศิลปะแบบลพบุรี เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากศิลปะเขมร เพราะแม้ลักษณะทั่วไปจะดูคล้ายกัน แต่พระพักตร์นั้นไม่เป็นแบบขอม"

    คำแนะนำที่ทรงประทานนี้ ได้รับการยืนยันโดย นายอาวุธ สุวรรณาศรัย หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งกรมศิลปากรได้ส่งมาตรวจพิสูจนอายุและคุณค่าทางศิลปวัตถุขององค์พระ ดังนี้

    "องค์พระพุทธรูปศิลานั้นแกะสลักจากหินทรายเทา มีความสมบูรณ์และมีลักษณะพิเศษที่ชัดเจนมาก กล่าวคือ มีผ้าทิพย์รองรับตัวองค์พระ ซึ่งปกติแล้วจะเดินเป็นเส้นตรงมากกว่า นอกจากนี้บริเวณด้านหลังมีลายดอกจันที่ขุดลึกลงไปในเนื้อหิน ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบมักเป็นลายขีดธรรมดา สาเหตุที่องค์พระมีความสมบูรณ์ไม่บุบสลายไปตามกาลเวลา น่าจะเป็นเพราะตั้งอยู่ในถ้ำ ไม่ได้จมอยู่ในดินเหมือนองค์อื่นๆ ที่เคยขุดพบ ลักษณะนั้นเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก สิลปะผสม ลักษณะสำคัญซึ่างบ่งชี้ว่า ไม่ใช่ศิลปะแบบบายนแท้ ก็คือ พระพักตร์จะไม่แย้มพระโอษฐ์ ผิดกับเทวรูปกษัตริย์ชัยวรมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะแย้มพระโอษฐ์ทุกพระองค์ จากการตรวจสภาพเนื้อหิน ยืนยันได้ว่าเป็นของแท้ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 เป็นศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร มีคุณค่ามากด้านการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ …"

    แต่เดิมนั้นหลวงพ่อศิลาประดิษฐานอยู่ที่ถ้ำเจ้าราม ซึ่งเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ภายในมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ชาวบ้านได้ไปหามูลค้างคาวในแถบถ้ำเจ้าราม ได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่งซึ่งเล่าให้ฟังว่า ภายในถ้ำเจ้ารามมีพระพุทธรูปเก่าแก่อยู่หลายองค์ และองค์หนึ่งมีความงามโดดเด่นกว่าองค์อื่นใด เป็นพระพุทธรูปศิลานาคปรก

    เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านก็นำความมาเล่าให้พระอภัย เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม ซึ่งได้หารือกับผู้ใหญ่บ้านว่า จะนำพระพุทธรูปมาไว้ที่วัดทุ่งเสลี่ยม แต่เนื่องจากพระอภัยนั้นสูงอายุ เดินทางไม่ไหว จึงได้เลิกล้มความตั้งใจ ความได้ล่วงรู้ไปถึงครูบาก๋วน เจ้าอาวาสวัดแม่ปะหลวง ตำบลแม่ปะ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ซึ่งท่านก็มีความศรัทธาจึงได้รวบรวมคนเดินทางไปอัญเชิญพระพุทธรูปปางนาคปรก ณ ถ้ำเจ้าราม เมื่อคณะเข้าสู่ภายในถ้ำเจ้าราม ได้พบพระพุทธรูปนาคปรก ซึ่งมีฦูงค้างคาวบินวนเวียนอยู่อย่างมากมาย ครูบาก๋วนจึงได้ทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปออกจากถ้ำ และเดินทางรอนแรมมาด้วยความยากลำบาก ผ่านหนองปลาซิว (บ้านห้วยทราย) หนองส้มป่อย (บ้านน้ำดิบ) จนกระทั่งถึงอำเภอทุ่งเสลี่ยม

    เมื่อชาวบ้านทุ่งเสลี่ยมรู้ข่าว จึงพากันจัดขบวนดนตรีพื้นเมือง และขบวนฟ้อนรำมาต้อนรับด้วยความปีติยินดีถ้วนหน้า จวบจนขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปนาคปรกเดินทางมาถึงวัดทุ่งเสลี่ยม ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ท้องฟ้าที่แจ่มใส แสงแดดที่ร้อนแรงของเดือนเมษายนก็ถูกบดบังด้วยเมฆฝน เกิดฝนตกหนักเป็นเวลานาน เมื่อฝนหยุดตกก็มีฝูงค้างคาวบินมาวนเวียนเหนือบริเวณวัดทุ่งเสลี่ยมแล้วจึงบินกลับถ้ำเจ้าราม

    ชาวบ้านได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปศิลา จึงไม่ยอมให้ครูบาก๋วนอัญเชิญกลับไปยังอำเภอเถิน เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยมจึงได้หารือไปยังเจ้าคณะอำเภอสวรรคโลก ซึ่งเจ้าคณะอำเภอได้ตัดสินให้ประดิษฐานไว้ ณ วัดทุ่งเสลี่ยม ชาวบ้านได้ตั้งชื่อพระพุทธรูปนาคปรกนี้ว่า พระศิลา เพราะเห็นว่าแกะสลักมาจากหินทราย ครูบาก๋วนจึงได้จำลองพระศิลา กลับไปประดิษฐานไว้ที่วัดปะหลวง อำเภอเถิน จังหวัดลำปางด้วยใจศรัทธา

    ครั้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนเข้ามาโจรกรรมพระศิลาไปจากพระอุโบสถใหญ่ วัดทุ่งเสลี่ยม พระศิลาจึงได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

    อีก 17 ปีต่อมาเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2537 กลุ่มอนุรักษ์ชาวไทยในต่างแดนได้พบข่าวพระศิลาในประเทศอังกฤษจึงได้เขียนจดหมายถึงบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์มติชนว่า ได้พบภาพพระพุทธรูปปางนาคปรก ในหนังสือประมวลศิลปวัตถุ เพื่อประมูลขายของสถาบันโซธบี (Sotheby Institute) ในกรุงลอนดอน หน้า 52

    ความทราบถึงชาวอำเภอทุ่งเสลี่ยม ชาวบ้านจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย และกรมศิลปากรเพื่อให้ทางราชการติดตามทวงถามพระพุทธรูปที่หายไป ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน กรมศิลปากรได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพิจารณาหาแนวทางติดตามทวงคืนพระพุทธรูปศิลา

    ต่อมาหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษได้แจ้งให้ไทยทราบว่า มีผู้ประมูลพระพุทธรูปศิลาไปและถูกเคลื่อนย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาแล้วทนายความของผู้ครอบครองได้ติดต่อเข้ามาว่า ผู้ครอบครองไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปที่ได้มาจากการโจรกรรม แต่จะคืนให้ประเทศไทยโดยเรียกร้องค่าชดเชยเป็นเงิน สองแสนเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,200,000 บาท ในครั้งแรกทางรัฐบาลไทยพยายามจะติดตามทวงคืนพระพุทธรูปศิลาโดยอาศัยกรณีที่คล้ายคลึงกันกับการหายของรูปปั้นเทพีในประเทศอิตาลี ที่สามารถติดตามทวงคืนได้โดยดำเนินการผ่านทางกระทรวงยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา ตามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เมื่อคณะผู้แทนไทย นำโดยศาสตราจารย์อดุล วิเชียรเจริญ ซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจเดินทางไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ทางหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา(เอฟ บี ไอ) ได้แจ้งให้ทราบว่า การติดตามเรื่องนี้มิใช่คดีอาญา จึงอยู่นอกเหนืออำนาจของเอฟบีไอ รวมถึงการยื่นฟ้องตามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างสองประเทศก็ไม่สามารถกระทำได้

    ในที่สุดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2539 คณะกรรมการติดตามพระพุทธรูปศิลา นำโดยร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้นได้เดินทางไปตรวจสอบพระพุทธรูปตามรอยตำหนิ และมอบค่าชดเชยรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายเป็นจำนวนเงินสองแสนหนึ่งพันเหรียญสหรัฐ ซึ่งนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการในเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารฯ เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบให้การสนับสนุนค่าชดเชยนำพระพุทธรูปล้ำค่าของไทยกลับคืนมา

    วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ขบวนอัญเชิญหลวงพ่อศิลากลับถึงประเทศไทย ณ สนามบินดอนเมือง มีชาวทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัยได้เหมารถบัสจำนวนกว่า 10 คัน มารอรับองค์หลวงพ่อศิลา ภาพมหัศจรรย์ที่ปรากฏ คือ มีค้างคาวบินวนเวียนในสนามบินดอนเมือง ทั้งทั้งที่ความสว่างไสวของไฟสปอต์ไลท์ในสนามบินดอนเมืองนั้นไม่แพ้แสงแดดเวลากลางวัน ซึ่งเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานหลายคนได้ยืนยันว่า เท่าที่ทำงานมาหลายสิบปีไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะดำเนินการอัญเชิญหลวงพ่อศิลา นำโดยร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ และผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดยนายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เข้าเฝ้าเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายหลวงพ่อศิลา เนื่องในปีกาญจนาภิเษก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 และรับพระราชทานคืน พร้อมทั้งอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ วัดทุ่งเสลี่ยมดังเดิมเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540

    ชาวทุ่งเสลี่ยมจึงได้จัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อศิลาเป็นประจำทุกปีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันหลวงพ่อศิลาประดิษฐานอยู่ในมณฑปวิหารวัดทุ่งเสลี่ยม อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย โดยมีประชาชนจากทั่วประเทศเดินทางมากราบไหว้ด้วยความศรัทธาเป็นประจำตลอดมา

    พระผงหลวงพ่อศิลา รุ่นมรดกโลก สร้างปี พ.ศ.2540 พระดีมีคุณค่าน่าบูชาสะสมมากครับ

    IMG_20181112_220303.jpg
    IMG_20181112_220254.jpg IMG_20181112_220546.jpg
     
  17. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1049 เหรียญของขวัญ หลังไก่ หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี ปี2557 ตอกโค้ต
    “พระครูสุทธิวราภรณ์” หรือ “หลวงปู่สรวง วรสุทโธ” อายุ ๗๕ ปี พรรษาที่ ๕๐ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลช่องสาริกา นับเป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยแห่งในยุคนี้ที่ได้รับการยอมรับนับถือในฐานะ “พระดีศรีเมืองละโว้”

    หลวงปู่สรวง เป็นผู้ให้กำเนิดวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์เป็นเวลานานกว่า ๓๐ ปีแล้ว มีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด จริยวัตรงดงาม และปฏิปทาน่าเลื่อมใส มีเมตตาธรรมสูง อยู่อย่างเรียบง่าย เป็นผู้มีจิตมุ่งมั่นในพระพุทธศาสนามาแต่สมัยเป็นสามเณร จนกระทั่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และมีความกล้าแกร่งทางจิตอันเกิดจากการฝึกฝน โดยออกธุดงค์แต่ครั้งยังเป็นพระหนุ่ม ได้พบเจอและได้รับการอบรมสั่งสอน พร้อมกับถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆจากพระอาจารย์สายกรรมฐานมากมายหลายองค์

    นอกจากนี้แล้วหลวงปู่สรวงยังเป็นพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หนึ่งเดียวในลพบุรี รวมทั้งยังเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคกลาง ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า ที่ตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น

    พ.ศ.๒๔๙๖ มีโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติถวายในหลวงเนื่องในวโรกาสเสด็จนิวัติกลับประเทศไทย ท่านจึงตัดสินใจบวชครั้งแรก ณ วัดศรีบุรีรัตนาราม อ.เมือง จ.สระบุรี แล้วไปพักที่วัดบ้านทึ่ง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี มีโอกาสได้ฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่แขม หรือ “อดีตเสือฝ้าย” เสือรุ่นเก่าก่อนเสือมเหศวร รวมทั้งได้ไปกราบสนทนาธรรมและเรียนวิชาจากหลวงปู่ขอม วัดไผ่โรงวัว

    พ.ศ.๒๔๙๗ ได้ลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นได้กลับไปอุปสมบทเป็นพระฝ่ายมหานิกาย เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ที่วัดบ้านโพนเมืองน้อย โดยมีเจ้าอธิการคำ อิณณมุตโต วัดบ้านชะแง เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วกลับไปจำพรรษากับหลวงปู่แขม ท่านได้สอนสรรพวิชาอาคมต่างๆ ให้จนหมดสิ้นตลอด ๒ พรรษา และยังได้เรียนวิชากับหลวงพ่อแขก วัดหัวเขา, เรียนสักยันต์กับอาจารย์ผาด หรือเสือผาด

    ต่อมาได้ออกธุดงค์ไปหาพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐาน โดยก่อนเดินทางได้กลับไปเยี่ยมบ้านและพบกับพระอาจารย์คำบุ ธัมมธโร สหธรรมิกของพระอาจารย์จวน ท่านจึงพาไปพบกับพระอาจารย์จวน และได้รับการแนะนำให้ญัติใหม่เป็นฝ่ายธรรมยุต เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ ที่วัดประชานิยม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูพุฒิวราคม วัดบ้านหนองดินดำ เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการบุญมี จิตปุญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้อยู่จำพรรษาที่วัดประชานิยมซึ่งมีพระอาจารย์บุญ ชินวังโส เป็นเจ้าอาวาส

    ระหว่างที่ธุดงค์อยู่ตามชายฝั่งแม่น้ำโขงได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ตาเดียว พระกรรมฐานในป่า ผู้เรียนวิชาจากสมเด็จลุน และญาท่านกรรมฐานแพง ได้เรียนวิชาตำราโบราณตะกรุดไก่แก้ว-ไก่เถื่อน สาลิกา สีผึ้งพญาหงส์ทองจาก อาจารย์ทา ฆราวาสชาวเขมรที่จังหวัดศรีษะเกษ และอาจารย์เพ็ง จังหวัดอุบลราชธานี ศิษย์ฆราวาสสมเด็จลุน หลังจากเดินธุดงค์มาสร้างวัดที่จังหวัดลพบุรีแล้ว หลวงปู่สรวงยังได้มีโอกาสถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ได้รับการถ่ายทอดวิชาการสร้างพระยันต์ นะ ครอบจักรวาลกับหลวงปู่ดู่ด้วย

    เมื่อครั้งที่ท่านธุดงค์เดี่ยวมาถึง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ได้ปักกลดอยู่ใต้ต้นมะเดื่อริมคลองพร้อมอธิษฐานจิตจำพรรษา จากนั้นได้นั่งสมาธิบริกรรมภาวนา ปรากฏในนิมิตมีเทวดา ๓ องค์มานิมนต์ให้ไปโปรดญาติโยม (อดีตชาติ) ที่อยู่ในถ้ำพรหมสวัสดิ์ ท่านจึงกำหนดจิตไปตามเทวดา ได้พบเห็นสภาพภายในถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย หลืบห้องสลับซับซ้อนสวยงามวิจิตรและถ้ำห้องโถงใหญ่ที่มีองค์เทพคอยพิทักษ์รักษา เป็นที่สัปปายะ จึงคิดสร้างวัดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ โดยเริ่มบุกเบิกพื้นที่ ก่อสร้างถาวรวัตถุ ศาสนวัตถุ และพัฒนามาอย่างต่อเนื่องรวมเวลาถึง ๒๖ ปี จนกระทั่งกลายเป็น “วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์” ที่มีกุฏิเสนาสนะ และสถานที่ปฏิบัติธรรมร่มรื่นกลมกลืนกับธรรมชาติ

    “เทพเจ้าแห่งขุนเขาสาลิกา”

    "สรวง พรหมสวัสดิ์" เป็นชื่อและสกุลเกิดของหลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๖ ปีระกา ณ บ้านน้อยนาเวิน เลขที่ ๗ หมู่ ๑๐ ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน จ.อำนาจเจริญ) บิดา นายประสาร มารดา นางสอน พรหมสวัสดิ์ มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน

    หลวงปู่สรวง เป็นพระที่สมถะ เรียบง่าย สงบ นิ่งบริสุทธิ์ สุขุม แม้จะไม่ใช่พระสายพุทธาอาคมขลัง เพราะโด่งดังมาตามเส้นทางสายป่าวิปัสสนากรรมฐานศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แต่ความเชื่อความศรัทธาในบุญบารมี และ “ของดี” ที่ท่านสร้างสรรค์ขึ้น ล้วนมีกระแสตอบรับที่ดีเหนือคำบรรยาย ท่านได้รับสมญานามว่า เจ้าตำรับ “ไก่ฟ้าพญาเลี้ยง” และ “เทพเจ้าแห่งขุนเขาสาลิกา” ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังทุกรุ่น เป็นที่นิยมแพร่หลาย มากด้วยประสบการณ์เข้มขลังในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยม โชคลาภ

    IMG_20181108_221827.jpg
    IMG_20181108_221817.jpg
     
  18. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1050 สมเด็จหลวงปู่สนธิ์ เขมิโย วัดอรัญญานาโพธิ์ นครพนม พระภิกษุอายุ 101 ปี

    “หลวงปู่สนธิ์ เขมิโย” วัดอรัญญานาโพธิ์ บ้านนาโพธิ์ หมู่ 8 ต.โพนสว่าง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พระเกจิชื่อดัง 5 แผ่นดินแห่งเมืองนครพนม


    มีความเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิทยาคมอันเข้มขลัง เป็นลูกศิษย์สืบสายธรรมจากหลวงปู่สีทัตถ์ ญาณสัมปันโน วัดท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม อดีตพระเกจิสองฝั่งโขงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ

    เป็นพระที่มีความสมถะ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเวลาเดินธุดงค์จะไม่มีทรัพย์สินมีค่าติดตัว ไม่สวมรองเท้า และบิณฑบาตก็รับแต่พอฉันในแต่ละมื้อเท่านั้นไม่เก็บสิ่งของมีค่า

    ยึดมั่นในพระธรรมวินัย จะคอยอบรมลูกศิษย์อย่าประมาทในศีล มักน้อยสันโดษ เป็นอยู่ง่ายๆ กินแต่น้อย ไม่สะสมทรัพย์สิ่งของ จนเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธา

    นอกจากเป็นผู้ชำนาญการด้านพระปริยัติและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ยังเป็นผู้ทรงวิทยาคมอันสูงส่งรูปหนึ่ง

    ครั้งหนึ่งจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ที่พบเห็นหลวงปู่สนธิ์ กำลังออกบิณฑบาต เกิดฝนตก แต่ปรากฏว่าเม็ดฝนไม่ถูกตัวหลวงปู่ ทั้งที่หลวงปู่สนธิ์ก็ออกเดินบิณฑบาตไปตามปกติ แต่ฝนตกตามหลังไป แต่ไล่ไม่ทันตัวหลวงปู่ ชาวบ้านก็เลยเรียกขานว่า “ฝนไล่ไม่ทันหลวงปู่”

    IMG_25620903_213814.JPG
    IMG_25620903_213754.JPG
     
  19. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1051 ลูกสะกดพรหมรังสี
    ลูกสะกด ดีทางมหาอุดและคงกระพันชาตรี

    ในตำรับตำราเครื่องรางของขลังไทยเรานั้นจะมีด้วยกันหลายอย่าง ๆ ที่เป็นเครื่องคาดก็จะมีตะกรุด เป็นหลัก หากไม่ใช่มหาอุดแล้วละก้อ เมื่อร้อยเข้าพวงเพื่อคาดเอวแล้ว จะต้องหาอะไรมาบังคับเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ไปมาวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ด้วยการแก้เชือกให้เป็นปมใหญ่พอที่จะทำให้ตะกรุดไม่เคลื่อนที่แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งก็คือ การทำลูกสะกด และเป็นอย่างไรนั้นผู้เขียนจะอธิบายให้ท่านผู้อ่านได้ทราบอย่างละเอียดเลยทีเดียวในเรื่องนี้ ก่อนอื่นจะต้องพูดถึงความแตกต่างกันระหว่างลูกสะกดกับลูกอมซึ่งเป็นเครื่องรางทั้งสองอย่างนี้และพอที่จะแยกกันได้คร่าว ๆ ดังนี้

    ลูกอม หมายถึงการนำเอาวัสดุต่าง ๆ ที่เหมาะสมอาทิเช่น ผงผสมตังอิ๊ว ดินเผา ผงว่านยากาฝาก บอระเพ็ด ขี้ผึ้งเทียนชัย น้ำตาเทียนเทียนชัย โลหะต่าง ๆ แต่ละอย่างเอามาตีแผ่นให้เป็นแผ่นแล้วเข้าพิธีลงเลขยันต์อักขระเวทย์มนตร์ คาถา ประจุลงเสร็จแล้วเอาไปเข้าพิธีหล่อหลอมให้ละลายเข้ากัน ซัดว่านยาแล้วเทลงไปในเบ้ากลมตามขนาดที่ต้องการเมื่อเอาออกจากเบ้าแล้วก็ต้องขัดแต่งให้กลมเกลี้ยงเรียบร้อย แล้วปลุกเสกผูกเป็นการเสร็จพิธีซึ่งพิธีที่ทำนั้น เป็นขั้นตอนและพิถีพิถันมากทีเดียว (ยกเว้นตะกรุดลูกอมที่มีรูตรงกลางอันเกิดจากการม้วนโลหะ) วัตถุประสงค์ในการใช้ก็คือ การอมไว้ในปากเพื่อป้องกันตัว

    ลูกสะกด เป็นคำนามมีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานว่า ลูกประคำที่ใช้เป็นลูกคั่น มีสันฐานกลมเกลี้ยงและถ้าพูดถึงขนาดนั้นจะใหญ่กว่าหรือเท่ากับลูกอมแต่มีการเจาะรูตรงกลางเพื่อร้อยเชือกแล้วประกบหัวท้ายตระกรุดไม่ให้เคลื่อนที่หรือจะไม่เจาะรูก็ย่อมได้ไม่ผิดกติกาอันใด คราวนี้ผู้เขียนจะมาพูดถึงความหมายอีกอย่างหนึ่งของลูกสะกดตรงตัวที่คำว่า “สะกด” ซึ่งหมายถึงการข่มหรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เคลิบเคลิ้มอยู่ภายใต้อำนาจส่วนคำว่า “ลูกสะกด” ในความหมายที่นี้หมายถึง ก้อนกรวดก้อนเล็ก ๆ ลูกอม ลูกกระสุนดินเผาหรือวัสดุอย่างอื่นที่นำมาเสกเป่าภาวนาด้วยคาถามหานิทรา แล้วขว้างข้ามหลังคาบ้านหลังคาค่าย ทำให้คนในบ้านในค่ายแม้แต่สัตว์ที่มีอยู่ในสถานที่นั้นจะหลับไหลไม่ได้สติจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นมาในตอนเช้า

    การสร้างลูกสะกดนั้น ไม่ใช่จะทำกันได้ง่าย ๆ ซึ่งจะต้องผ่ากรรมวิธีหลายขั้นตอน ในที่นี้จะกล่างถึงการทำลูกสะกดตะกั่วแบบง่าย ๆ ที่โบราณาจารย์ท่านนิยมกระทำกันมีหลักการดังต่อไปนี้

    1. เอาตะกั่วนมมาหลอมจนละลาย แล้วเทลงไปบนถาดโลหะเพื่อให้แผ่เป็นแผ่นเมื่อโลหะเย็นลงแล้วก็แกะออกมา
    2. เอาเหล็กจารมาลงอักขระหัวใจพระคาถาต่าง ๆ เรียกสูตรไปเขียนไปจนเต็มแผ่นหมดด้านหนึ่งแล้วพลิกอีกด้านหนึ่งมาจารจนเต็ม
    3. เอาตะกั่วอันเดิมไปหลอมอีกแล้วเทลงในแบบพิมพ์เดิม เมื่อเย็นก็เอามาลงอักขระอีกครั้งหนึ่งแล้วก็หลอมอีก ทำอย่างนั้นไปเก้าครั้งเก้าหนจึงจะมาขั้นสุดท้ายกรรมวิธีนี้เรียกว่าลงถมหรือการจารอักขระทับถมไปบนแผ่นโลหะ

    หากได้แบบที่เหมาะ ๆ เป็นรูปกลมหรือรูปยาวรีหลอมตะกั่วแล้วเทลงบนแบบ เมื่อเย็นแล้วแกะออกมาและตกแต่งผิวให้เรียบร้อยพร้อมเจาะรูตรงกลางจึงจารอักขระซ้ำลงไปเป็นหัวใจ จึงร้อยเชือกประกันกับตะกรุด หรือร้อยเชือกเอาไว้ให้คาดเอวเรียกว่า “ลูกสะกด” หากไม่เจาะรูก็ใช้เป็นลูกอม จะอมในปากก็ได้เช่นกัน

    ลูกสะกดนี้นอกจากจะทำด้วยตะกั่วแล้วยังทำด้วยการผสมโลหะต่าง ๆ อาทิเช่น สัตโลหะ ปัญจโลหะ เมฆพัตร เมฆสิทธิ์ นวโลหะและเหล็กละลายตัว หรือแล้วแต่ท่านโบราณาจารย์ผู้ชาญฉลาดจะประดิษฐคิดแต่ทำกัน ขึ้นมาอาจจะเป็นวัตถุมงคล หรืออาถรรพณ์ต่าง ๆ ที่นำเอามาเป็นส่วนผสมพร้อมกับลงอักขระเลขยันต์จนเห็นว่าดีแล้ว
    นั่นเองจึงเอามาทำเป็นลูกสะกด

    ลูกสะกดนี้หากไม่ได้ใช้สะกดหัวตะกรุด จะเอามาร้อยพวงรวมกันก้ได้ไม่เสียหายแต่อย่างใด หรือหากจะเอาไปอมในปากเป็นลูกอมก็ไม่ติดขัดแต่ประการใดใช้ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นของสำเร็จที่สร้างขึ้นให้ใช้ป้องกันตัว ยกเว้นลูกสะกดกับปรอทเป็นสารมีพิษต่อร่างกาย บางคนแพ้อาจจะทำให้เยื่อบุในปากและเหงือกตลอดจนคออักเสบ ลุกลามไปกันใหญ่ และอย่าลืมว่าเป็นอันตรายต่อร่างกาย ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงลูกสะกดในการสะกดคนในบ้านให้หลับด้วยการโยนข้ามหลังคา เพราะเป็นวิชาโจร ซึ่งเป็นวิชาอันตรายต่อคนทั่วไป ดังนั้นสมัยโบราณทีสอนกันเขาก็ให้มีสัจจะว่า “เมื่อผ้าขาดก้นเมื่อใดก็ให้ทำครั้งหนึ่งเอาพอได้ค่าเสื้อผ้าค่าเลี้ยงดูครอบครัวและบริวารก็ให้เลิก” เรียกว่าปีหนึ่งทำครั้งเดียวและต้องเลือกเฉพาะผู้ที่มีฐานะดี
    เท่านั้นจึงจะควร ถ้าผิดสัจจะพระอาจารย์ท่านเมื่อใดก็ตายลูกเดียว ทีนี้มาทำความรู้จักกับลูกสะกดของพระอาจารย์ท่านกันบ้าง เป็นลำดับดังนี้

    ลูกสะกดที่มีชื่อเสียงเป็นที่โจษจรรย์กันมากก็คือ ลูกสะกดวัดพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กทม.) ลูกสะกดที่ว่านี้ทำด้วยชินผสมตะกั่ว กล่อมเป็นรูปยาวรีเจาะรูผ่านตลอด

    ลูกสะกดพระอาจารย์ทับ แห่งวัดอนงคารามลักษณะกล่อมกลมหรือยาวรี หรืออาจมีสัณฐานต่างออกไปบ้างลูกสะกดของพระอาจารย์ทับมักไม่ค่อยจะเจาะรูตลอด เรพาะท่านสร้างด้วยเนื้อเมฆสิทธิ์จึงยากต่อการเจาะ เพราะเนื้อชนิดนี้เปราะและแตกสลายง่าย

    ลูกสะกดที่ได้รับความนิยมเล่นหากันเป็นอย่างมากอีกอาจารย์ท่านหนึ่งก็คือ ลูกสะกดของหลวงปู่เนียมวัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี ลูกสะกดของอาจารย์ท่านนี้กล่อมเป็นลูกกลม ๆ มีทั้งที่ทำด้วยเนื้อตะกั่วผสมชินและเนื้อเมฆพัด แต่มีที่สังเกตอยู่หน่อยก็ตรงที่เป็นรูสะดืออยู่ที่พอเป็นที่สังเกต

    ลูกสะกดของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาทก็มีอยู่เหมือนกันครับ แต่ของท่านมักจะสร้างด้วยไม้หัวรอด หัวกลอน ท่านอาจจะเอาเคล็ดของคำว่า “รอด” และหนักแน่นเหมือน “กลอน” (ที่ใช้ขัดประตู) แต่ทางจังหวัดชัยนาท มักนิยมเรียก “ลูกเครื่อง”

    ลูกสะกด อีกชนิดหนึ่งของหลวงปู่จันทร์ วัดใหม่โมลีโลก จังหวัดนนทบุรี ที่สร้างจากวัสดุอาถรรพณ์คือแร่บางไผ่ และ (เป็นผู้สร้างพระปิดตาแร่บางไผ่อันลือชื่อ) มีลักษณะกลมหรือรีสามารถติดแม่เหล็กได้และจะพิจารณาดูง่าย ๆ คือ สนิมจะเปียกเหมือนยางหมากเป็นแผ่น ไม่เป็นขุยหรือเป็นเกล็ดเล็ก ๆ และสนิมไม่แห้งผากเหมือนสนิมเหล็กธรรมดาทั้วไป ถ้าเนื้อเป็นเสี้ยนหรือเป็นเสี้ยนเล็ก ๆ ปรากฎอยู่อย่างนั้น ท่านว่าดูง่ายมาก แต่เนื้อแร่ไผ่แท้อาจจจะไม่เป็นเสื้ยนก็ได้ ซึ่งเนื้อชนิดนั้นเรียกกันว่า “เนื้อแตง” (แตงโม) และที่สำคัญก็คือ สนิมแร่บางไผ่จะต้องเปียกฉ่ำและเป็นแผ่นไม่เป็นขุย

    ยังมีลูกสะกดบางอย่างที่นิยมเอาทองชนวนที่เหลือจากการเทพระกริ่งหรือพระชัยวัฒน์มากล่อมทำเป็นลูกสะกด เพราะทองชนวนเหล่านั้นได้ผสมจากวัสดุอาถรรพณ์และวัสดุมงคลต่าง ๆ กับได้ผ่านการลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกมาอย่างดีแล้วเรียกว่า “เป็นของทนสิทธิ์” คือมีดีอยู่ในตัวแล้วนั่นเอง เมื่อนำเอามากล่อมทำลูกสะกดก็ย่อมจะใช้เป็นเครื่องรางของขลังได้ดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน

    อานุภาพแห่งลูกสะกดนั้นพระอาจารย์ท่านทั้งหลายได้มุ่งหมายให้ใช้ทางมหาอุดและคงกระพันชาตรีด้วย สำเร็จขึ้นจากการหล่อหลอมโลหะและเตโชธาตุหรือแม้จะทำด้วยผงหรือว่านนั้นก็ดี

    เมื่อท่านได้รู้จักสะกดกันแล้วก็จะขอบอกเคล็ดลับการใช้ลูกสะกดเพื่อให้สมบูรณ์ ท่านจะได้นำไปใช้กันได้ ถูกต้องดังนั้นจะมีคาถาอาราธนาลูกสะกดดังนี้

    คาถาอาราธนาลูกสะกด

    อิติพันธะเกษามะอะอุ พันธะโลมาจะภะกะสะพันธะนักขามะนะนพะทะ พันธะทันตากระมะถะ พันธะตะ โจอิสวาสุ พันธะนังสังจิปีเสดิ พันธนะหะรูหะรูสุวิสังอะ พันธะอัฐิทุสะมะนิ พันธะอัตถิมินชังนะสังสิโม พันธะวักกังปะวะอะปะ ทิมะสังอังขุ นะมะอะอุ นะมามิหัง สิทธิเตชัง สิทธิวาจัง กายะพันธะนัง องคะพันนธะนัง สารพัดสิทธิ ภะวันตุเมฯ

    คาถานี้ให้ตั้งนะโมฯ 3 จบก่อนแล้วยกลูกสะกดขึ้นจดเหนือหน้าผาก จึงค่อยภาวนาพระคาถาให้จบบท สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วผ่อนออก และเมื่อเวลาจะคาดเข้าเอวให้ภาวะนาพระคาถานี้จนกว่าจะผูกเงื่อนเสร็จให้ภาวนาดังนี้ “อิมังกะยะพันธะนังอธิษฐานมินะมะพะทะ

    IMG_25620903_213654.JPG
    IMG_25620903_213733.JPG IMG_25620903_213627.JPG
     
  20. warnipon

    warnipon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    650
    ค่าพลัง:
    +605
    รายการที่1024 พระปิดตา รุ่นเมตตา หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์ ปี2533 (รุ่นสุดท้ายก่อนหลวงปู่ละสังขาร) หน้า 61

    รายการที่357 พระผงสังกัจจายน์ หลวงปู่เหมือน วัดบ้านคลองทรายใต้ สระแก้ว รุ่นรวยเปิดโลก สหธรรมิกหลวงปู่หมุน หน้า 16
     

แชร์หน้านี้

Loading...