มีเรื่องมาเล่าให้ฟังครับ คือ พี่ในที่ทำงาน คนนึง มีนิสัยแปลกๆไป มีกิริยาท่าทางคล้ายกับเด็ก

- ซื้อขนมหวานมากินเต็มโต๊ะ และจะดูมีความสุขมาก ข้าวไม่กินกินแต่ขนม น้ำเปล่าไม่กิน กินน้ำอัดลม

- ชอบพูดว่าอะไยเยอ เรียบเรียงคำพูดผิดๆถูกๆ คุยงานก็จะทำมึนซักพักค่อยตอบ ทั้งที่เป็นงานที่ตัวเองทำประจำ

- คุยเสียงดังไม่ได้ จะตกใจ ต้องคุยนิ่มๆเบาๆ หรือถ้าโต้แย้งกัน แกจะตาแดงเหมือนจะร้องไห้ แถมว่า มาขึ้นเสียงใส่เค้าทำไม เธอไม่เคยขึ้นเสียงกับเค้านะ
แต่ว่ามันพิสดารตรงที่แกเหมือนจะรู้ความคิดในใจเรา 1 Step และจะเป็นคำที่เราจะพูดพอดี

- เจอหน้ากันเหมือนมีรังสีคลื่นแม่เหล็กแผ่ ที่ผลักปะทะกัน



ตอน นี้ผมจับสังเกต พี่แกอยู่ครับ คือแกจะมีกิริยาแปรปรวนเหมือนเด็ก ตอนประมาณ 8.00 - 15.00 หลังจากนั้นแกจะกลับมาเป็นบุคลิกของผู้ใหญ่วัยทำงาน ผมก็ไม่รู้ว่า แกไปทำอะไรมาซักอย่าง แต่แปลกใจว่า ทำไมแกถึงกลายเป็นแบบนั้นได้ ซึ่งผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าแกไม่มีความสามารถพิสดารมาด้วย

 

กุมารสิง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก
แต่จะอ้วน อิอิ

 

น่าจะใช่กุมารอย่างที่คุณ sammido ว่า
ดูจากกำลังจิตแล้วเป็นกึ่งๆกุมารเทพ
เวลาควบคุมจิตใจ สมองช่วงกลางปกติจะโดนปิดการทำงาน
เหลือเพียงส่วนหน้าสุดที่ติดกับหน้าฝาก
ซึ่งเป็นระดับพลังงานของเค้าครับ
วิธีแก้ถ้าทำได้ ไปให้ห่มเหลืองหรือใครก็ได้
เขียนยันต์กลางอากาศหรือเป่าคาถากำกับ
ปิดที่ท้ายทอยคนนั้นซะ อาการนี้ก็จะหาย..
แต่ถ้าเค้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา
ก็อุเบกขารับรู้อย่างเดียวครับ

 

อยากมีอาการอย่างนี้มั่ง โดยไม่มีอะไรสิง อิอิ

 

8.00 - 15.00 น. ....ก็เกือบทั้งวันในเวลางานแล้วพี่เขาทำงานได้เหรอคะ?

นานมาแล้ว เราเคยฝันว่ามีเด็กทารกมาขออยู่ด้วย มีคนบอกว่าน่าจะเป็นกุมารเทพ
ถ้าตอนนั้นเรารับ จะเป็นแบบพี่คนนี้มั้ยนะ ....ว่าแต่.... กุมารเทพนี่มายังไงเหรอคะ?

 

ได้ครับ แต่แกจะทำงานแบบมึนๆเพี้ยนๆ

 

แล้วเราจะใช้คาถาหรือยันต์อะไรครับ...เป็นวิทยาทานครับ
สาธุ..

 

ขอบคุณที่ถามครับ..
ถ้าเป็นกรณีที่เจ้าตัวโดนครอบคลุมจิตแล้ว การที่จะให้
เจ้าตัวสวดคาถาจะยากครับ หรือ แม้ว่าเราจะบังคับให้สวดคาถาใดๆก็ตาม
ก็ไม่ได้ผลเพราะว่าจะมีตัวต้าน คือมันจะมีกระแสเหวี่ยงออกจากตัวจิตคนนั้น
วิ่งผ่านกระดูกสันหลังไปผูกตรงท้ายท้อยวิ่งย้อนกลับมาตีตรงคอหอยกระแทรก
พุ่งขึ้นไปที่ใต้ศรีษะซึ่งมันจะทำให้คนนั้นปวดศรีษะ
และเจ็บคอจนออกเสียงไม่ได้ครับ..
ประเด็นนี้เล่าให้ฟังก่อนครับถึงสาเหตุ.....

ถ้าเป็นกรณีถูกควบคุมเป็นบางเวลา ขึ้นอยู่กับกำลังสติทางธรรม
ที่ได้จากการเจริญสติของบุคคลนั้น และกำลังสมาธิสะสมใช้งานได้จริง
(หมายถึงระดับกำลังสมาธิที่สามารถใช้งานได้ในเวลาลืมตาปกติ
และภายในเสี้ยววินาทีครับ)ไม่ใช่ระดับสมาธิที่เคยนั่งได้ เข้าถึงได้
มาในอดีตนะครับ....หรือ กำลังจิตขอบบุคคลนั้นๆที่ได้จากการ
ปั่นปฏิภาคนิมิตรกรรมฐานเกี่ยวกับรูปภาพอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน
ไม่ว่าจะ ภาพพระ หรือ กสิณกองต่างๆ เป็นต้น ที่กล่าวมานี้ว่ามี
เพียงพอที่จะต้านการถูกควบคุมจากภายนอกเหล่านี้ได้หรือไม่...
กำลังสติทางธรรมที่มากพอ จะทำให้จับกระแสภายนอกต่างๆ
เหล่านี้ได้ก่อน คือ พุดง่ายๆคือ รู้ตัวได้ และสมาธิสะสมและกำลังจิต
คือตัวต้านกระแสพวกนี้ ณ เวลานั้นๆครับ เพราะฉนั้นจึงหลีกเลี่ยง
ไม่ได้ที่จะต้องมีสติทางธรรมก่อนครับ ไม่งั้นจะไม่รู้ตัวว่าจะโดนควบคุม
ตอนไหนนั้นเองครับ....นี่อีกประเด็นครับ...

ถ้าเคยถูกควบคุมมาแล้ว และก็สามารถต้านได้บ้าง ต้านไม่ได้บ้าง
และเจ้าตัวก็พอรู้ตัวได้ว่า มันมาควบคุมเราแล้ว และเจ้าตัวก็พอมีสติบ้าง
ให้เจ้าตัวสวดคาถาพระจักรพรรดิ์ของสายหลวงปู่ ด ครับ(ควรท่อง
จำให้ขึ้นใจให้ได้ก่อนและก็สวดวนไปเรื่อยในใจ) แต่ว่าให้สวดแบบลืมตา
ทำตาให้นิ่งๆนะครับ มองออกไปตรงๆ
ลิ้นกับฟันอย่าขยับ(เพื่อดึง
ให้จิตมีความเป็นทิพย์ชัวคราว)เจ้าตัวจะเห็นว่า
อากาศภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ต้องสนใจ
สิ่งที่เห็นและการเปลี่ยนแปลงพวกนั้น ไอ้พวกดวงจิต
หรือกระแสที่เข้ามาคุมจิต เค้าจะหนีมาอยู่ตรงกระดูกสันหลัง
ตรงกลางหลัง ถ้าพวกมีฤิทธิหน่อยจะหนีลงมาอยู่ตรง
หัวแม่โป้เท้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือไม่ก็หัวเข่าข้างใดข้างหนึ่ง
หลักสังเกตุคือ ตรงบริเวณนั้นมันจะมีเหมือนลมหมุนๆและร้อนครับ
ก็ไม่ต้องสนใจ ให้สวดไปเรื่อยๆ จนกว่า ที่ตำแหน่งต่างๆ
อย่างที่ได้เล่ามา ลมตรงนั้นเปลี่ยนจากหมุนๆกลายเป็น
กระแสวิ่งขึ้นตรงๆครับ และก็สวดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึก
ว่าศรีษะรู้สึกโปร่งๆ โล่งๆ สบาย คล้ายมีกระแสวิ่งขึ้นข้างบน
จากต้นคอขึ้นไปตรงๆผ่านท้ายทอยขึ้นไปยังกระโหลกศรีษะด้านบนครับ
ก็จะสามารถไล่พวกที่แทรก หรือพวกที่คุมจิตออกได้ครับ
หมายเหตุถ้าตาแฉะก็ให้หลับตาก่อนได้ แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ครับ

ถ้ากรณีเคยเป็นร่างทรง หรือ ไปมีสัมพันธ์เกี่ยวกับคนทรงอะไรมาก่อน
หรือเคยเผลอไปรับขันธ์วิญญานมีฤิทธิ์ ขันธ์ผี หรือ โดนพวกสายอสูรกาย
หลอกแทรกกรณีที่ไปฝึกพวกพลังงานจักรวาลมาแบบไม่รัดกุม
(หลอกว่าฝึกแล้วจะวิเศษอย่างนี้โน้นนี่นั่น)และถ้า
เจ้าตัวไม่ได้สร้างสติ ไม่ได้ฝึกสมาธิมาก่อนในระดับป้องกันตัวได้
และไม่เดินปัญญามาก่อน ก็ต้องดูก่อนว่าถึงวาระที่ควรจะแก้ไขให้ได้หรือยัง

ถ้าถึงวาระ ให้ไปเข้าพิธีรับยันต์เกราะเพชร หรือ ให้คนที่สามารถใช้กำลัง
จิตได้ดึงพวกนี้ออกจากทางท้ายทอย ย้ำว่าดึงออกนะครับ
และภายใต้การควบคุมของครูบาร์อาจารย์
ไม่ใช่ไปใช้กสิณไฟ ไปใช้คาถาไล่ออก ไปใช้พลังงานอะไรไล่ออกนะครับ...
เพราะบางกรณีเค้าจะสู้ตายครับ เค้าจะเอาร่างกาย
นั้นให้ตายไปด้วยไม่ว่าจะวิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ให้พระที่ท่านมี
ความสามารถใช้น้ำมนต์ไล่ หรือไล่ตามสูตรของท่านนั้นๆ แล้วตรวจสอบ
ดูว่าออกหมดหรือว่าร่างกายเคลียร์หรือยัง หลังจากนั้นท่านก็จะเป่า
คาถาปิดการถูกแทรกให้ที่ท้ายทอยเป็นอันเสร็จพิธีครับ
เพราะโดยปกติท่านที่สามารถดึงออกได้แบบที่ไม่ส่งผลต่อเจ้าตัว
อย่างคาดไม่ถึงมักจะมีความสามารถในการใช้คาถาเฉพาะ
เป่ากำกับที่ท้ายทอยอยู่แล้วครับ หรือบางท่านอาจเป่าทั้งศรีษะก็ได้
หลักสังเกตคือ จะรู้สึกว่ามีลมวิ่งจากกระดูกสันหลังวนมาที่ท้ายทอย
แล้วก็วนกลับลงที่กระดูกสันหลังครับ(ถ้าพวกที่โดนแทรกจะมีกระแส
มาจากข้างนอกเข้าทางท้ายท้อยและก็วนอยู่ที่ท้ายทอย
ไม่ใช่กระแสที่วิ่งมาจากกระดูกสันหลังวนผ่านท้ายทอยกลับ
สู่กระดูกสันหลังครับ)

ถ้าไม่เคยโดนแทรก หรือ กลัวโดนแทรก ทั่วๆไป คือ
มีสติ มีความมั่นคงในศีล เดินปัญญาลดละกิเลส
ไม่สนใจเรื่องพิเศษๆอะไรก็ตามที่ไม่ได้มาจากการฝึกของตนเอง
และมีความเคารพพระรัตนตรัยด้วยใจจริง
ไม่พูดทีเล่นทีจริง ไม่วิพากย์วิจารณ์อะไรก็ตามที่เป็นการปรามาส
พระรัตนตรัยทุกๆกรณี และยึดสิ่งที่สุงที่สุด ยึดครูบาร์อาจารย์
ระดับสูงๆเอาไว้แบบนี้จะป้องกันได้อัตโนมัติ
หรือเป่าด้วยคาถาเฉพาะ เช่น บทนะโมพุทธายะ
บทพุทธคุณ ๙ หรือ เขียนยันต์กลางอากาศ ด้วยบทนะโมพุทธายะ
บทพุทธคุณ ๙ อีกบทยาวหน่อยคือ บทยันต์มงกุฏเพชร ซึ่งจะท่อง
แล้วเป่าปิด(เรียกอีกอย่างว่าเป่าตัด)
หรือเขียนยันต์กลางอากาศก่อน แล้วดึงยันต์ลงมาเป่าปิด
กระหม่อมอย่างใดอย่างหนึ่งได้หมดครับ แล้วแต่ความถนัดครับ

ปล.ยกเว้นกลุ่มที่สืบเชื้อกันมาจากบรรพบุรุษหรือสายเลือด
ให้ทำพิธีตัดขันธ์ โดยกลุ่มที่เป็นร่างทรง หรือหมอธรรมเท่านั้นครับ
ประมาณนี้ครับ

 

กลุ่มนี้ เคยได้ยินพี่นพ เล่า แล้ว นึกถึงเหมือน หน่วย EOD ที่ต้องไปกู้ระเบิดที่ตัวประกัน ยากส์มากๆ ถ้าพลาดนิดเดียวก็ เรียบร้อย

 

แกกลับมาเพี้ยนอีกแล้วครับ หลังกายไปสามปี

 

น่าสงสารเนาะ....

 

เรื่องของเรื่องรอบนี้ก็มี อยู่ว่า แกสั่งงานผมแล้ว แต่ไม่มีเนื้องาน ให้ผมทำ ผมก็ก็ถาม ว่าแล้วแบบนี้ผมจะทำได้ไง เท่านั้นแหละ แก ทุบมือ ทุบ ไม้ ชัก แบบ วัยอนุบาล หมีน้อย ออก มาเลย ร้องห่ม ร้องไห้ ตะโกน ตัดพ้อว่าฉันคงไม่ดีที่จะสั่งเธอไม่ได้ เดิน ออกนอกห้อง ท่ามกลางความงุนงงของท่านผู้บริหาร ที่อยู่ในห้อง พออีกวันตอนเช้ามาทำงานก็ไปทักแก แกก็บอกว่าจะทักอะไรกันนักหนา ??? แล้วก็เจอหน้าก็เดินหนีผมทั้งวัน // เวร กลายเป็นแบบนั้นไป

 

เคสนี้ต้องพระครูปลัดฯ
ไม่รักษาเด่วเกิดอาการขาดอากาศหายใจ
หนักเข้ากว่าจะหัวใจวาย
เพราะหัวใจจะทำงานมากกว่าปกติได้

 

ปัญหาก็คือ จะพากันไปยังไง นี่ล่ะครับ

 

ปัญหาอยู่ที่ญาติ หรือสายเลือดของเค้า
ที่จะพาไป
ไม่ใช่ปัญหาของเรา
ส่วนเราแค่อุเบกขารับรู้เฉยๆ ^_^

 

เท่าที่รู้มาใหม่ ทางตระกูลเขาเป็น แนวๆ ทางร่างทรงจีนฮะ พี่นพ แล้วผมก็ปล่อยวางอยู่แค่นั้น สงสัยคงมาตาม สายเลือด

 

นั่นหละ เป็นแบบที่ข้ามรุ่นมา บางทีก็ไม่รู้ว่าข้ามมากี่รุ่น
กรณีแบบนี้ ทั่วๆไป จะยังไม่สามารถช่วยได้เลยทันที
ต้องรอให้วิบากตรงนี้เค้าคลายก่อน กลุ่มนี้ปกติปัจจุบันก็จะมีอาการทางกาย
ที่เป็นไม่มาก แต่เป็นบ่อย รบกวนจิตใจเค้าอยู่ เช่นอาการปวดศรีษะ ที่เป็นๆหายๆไม่หายขาดซักที
กับอีกอาการหนึ่งคือ สภาวะการทำงานของหัวใจที่มากกว่าปกติ
และถ้าไปพบหมอปัจจุบัน แม้อาการดีขึ้น ไม่กี่วันเด่วก็เป็นอีก
เผลอๆหมอจะวินิจฉัยว่าเป็นโน้นเป็นนี่ไปเรื่อย...
ที่เจอเคสล่าสุด ต้องอยู่รดน้ำมนต์ ๕ วัน แล้วก็ต้องมีทานอะไรร่วมด้วยอีกมากมาย
และก็ทำบุญอะไรอีกเพิ่มเติม
กรณีที่ จะสามารถไปช่วยเค้าได้ ต้องประมาณช่วงกลางๆ วันที่ ๓ ถึง ๔
ที่วิบากเค้าพอที่คลายบ้างแล้วเท่านั้น....
แต่ว่า เคสแบบนี้ ถ้าได้รักษาตามหลักโบราณอย่างที่กล่าว
ส่วนมากจะหายเป็นปกติกันทุกคนนะ....
แต่อย่างว่า มันค่อนข้างขัดกับวิทยาการทางโลกปัจจุบัน
ไม่เจอกับตัว หรือมีประสบการณ์ได้ข้องเกี่ยวก็อยากที่จะเชื่อ
หรือทำใจยอมรับได้ ว่าเหตุการณ์แบบนี้ยังมีอยู่จริง ณ ปัจจุบัน

 

เคยเป็นอยู่ช่วงนึง ประมาณโดนแฝงแนวนี้คะ
ปกติก็ติงต๊องประมาณนึงและก็ชอบขนม

แต่ตอนรับเลี้ยง(ที่ขอมาอยู่เอง)นี่ จะต้องกินไอติมให้ได้ทุกวัน (ชอบหนมแต่ไม่ค่อยจะกินไอติมเท่าไหร่ตามปกติ)
มันจะหงุดหงิด จะกินน้ำอัดลมกะไอติมอยู่นั่นแหละ(มีเซ็งตัวเอง แบบเฮ้ยตังค์ตูร่อยหรอน่ะเฟ้ย กินล้างกินผลาญ)
ไปกินซูกิชิไม่ชวนมันนี่ล่อสำลักกินไรไม่ได้

แถมช่วงนั้นกินแบบตะกละมากๆอ่ะ
สุดท้ายหนักๆเข้านี่นอนกลางวันโดนลากเลย

ช้านจะไม่ทนอีกต่อไปๆๆๆๆๆ

เลยไปปรึกษาคุณน้าท่านนึง(เป็นอิสลาม)
ก็บอกว่า เลือกเอาว่าจะเอาไว้ไหม
ถ้าจะเก็บไว้เราก็ต้องหมั่นไหว้พระสวดมนต์จะได้มีพลังควบคุมเขาได้
แต่เราในตอนนั้น(จนถึงตอนนี้)ขี้เกียจขั้นสุด ปฏิบัติไม่ได้แน่นวลลลล
เลยได้คำแนะนำให้ใส่คอนเวิสต์ เราเลิกกันเถอะ

พอจัดการตามคำแนะนำ จากลิ้นกินอะไรไม่ค่อยรู้รส แบบออกชาๆก็หายไปเลย เย้ๆๆๆ