"พระเจ้าจักรพรรดิราช"

ครับผม ดาราแฟร์ ดูดวงดาวได้และดูดวงดาวเป็นครับ พระองค์ใหญ่ท่านมาสอนให้ครับผม.พระท่านบอกให้ดูดวงดาวดวงใด เราก็ดูดาวดวงนั้นตามท่านบอกครับ.แบบว่า ตาดูหูได้ยินครับท่าน.

 

ถ้าผมจะดูต้องเสียอะไรรึไมครับ

 

ครับผม เข้าใจอะไรพลาดไปมั้ยครับ ดาราแฟร์ ดูดวงดาว บนท้องฟ้าเป็นครับ....
แต่ถ้าหากดูดวงชีวิตของคน...อนุญาต ให้คุณ.Komgritza006 ถามคำถามได้ครับ ถามให้หนำใจที่ ห้องหลังบ้านได้ครับ. ไม่เสียอะไรครับ.

 

อยากให้ คุณ ดาราแฟร์ อัพเดทข้อมูล พระเจ้าจักรพรรดิ เรื่อยๆ ผมอยากรู้ในเรื่องนี้ ตามที่คุณ ดาราแฟร์ ดูดวงดาวเผยข้อมูลอันเป็นจริงทุกประการครับ แต่เรื่องดวงของผม ผมรู้แล้วครับ ว่าในอนาคตอันไกล้นี้ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ครับ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้คือเรื่องพระยาธรรมมิกราช และ พระเจ้าจักรพรรดิ คุณ ดาราแฟร์พอมีเฟสให้ผมแอดไปไปสอบถามคุณได้หรือไม่ครับ ผมต้องการคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ส่วนห้องหลังบ้านคืออะไร อยู่ที่ไหนผมไม่เข้าใจครับ ผมไม่ค่อยจะรุ้เรื่องสักเท่าไหร่ ยังไงก้ขอความอนุเคราะห์ คุณ ดาราแฟร์ ให้ผมติดต่อคุณเป็นการส่วนตัวทางไหนได้บ้างครับผม

 

ครับผม ขออนุญาตครับ
ก็จะอัพเดทให้ครับ ที่กระทู้นี้ ในเรื่องดาวดวงนั้น.
คืนวันที่ 22 /11/2561 เวลาตี 1 ครับ
- คนคนนั้น 1 ร่างกาย 2 ดวงจิต ซ้อนอยู่ภายในนั้น มีกำลังมาก ไม่มีเจ็บป่วยใดๆในร่างกายเลย.
- จิตหนึ่ง จิตพุทธจักรพรรดิ จิตหนึ่ง จิตพุทธธรรม ยากยิ่งนักที่จะเกิดขึ้นได้ในโลกนี้
- ชายหล่อก็ดูดี มีห้าวหาญ แกมเด็ดขาด บึกบึน ดูลึกลับ อีกหญิงหล่อ มีอ่อนหวานดูงามตา ละเอียดอ่อนซับซ้อนน่าสงสัยในสายตา.
- โลดแล่นไปในปฐพี ไม่มีใครรู้ คนคนนั้น เหมือนคนสามัญชนทั่วไป ตาดีดูละเอียด คิดดี ทำดีได้พบ ด้วยไม่ใส่ใจสนใจผู้ใดๆ ไปที่ใดที่นั่นเจริญรุ่งเรืองรวดเร็วหมั่นดู
- ใจดีเผย ใจทรามผุด นั่นคือ ปริศนาพาให้คิด กับ เมื่อยู่ใกล้หรือได้พบกับ คนคนนั้น.
ดาราแฟร์ มีข้อมูลจากดาวดวงนั้น เพียงเท่านี้ครับผม.
เรื่องเฟสนี่ ดาราแฟร์ ไม่ค่อยได้โพสต์หรือเขียนอะไรครับผม.
การติดต่อส่วนตัว ที่เวปนี้ก็ดีครับ ขวามือบน "กล่องข้อความ" เขียนคุยส่วนตัวได้ครับผม.หรือทางโทรศัพท์ ก็เขียนคุยกันที่กล่องข้อความอยู่ดีครับผม.
ดาราแฟร์ ยินดีครับผม.

 

หนทางที่จะรอดพ้นจากอันตรายในกึ่งพุทธกาล


พุทธทำนาย

พระธรรมจะเริ่มเปล่งรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อ มีธรรมิกราช โพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวัสสา

ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศิล ๕ ประการ เจริญเมตตาภาวนา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดดรู้จักพอ ไม่โป้ปดคตโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจปฏิบัติตน ตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในกึ่งพุทธกาล"

ที่มา https://www.winnews.tv/news/18218

 

เรื่องปริศนานกยาง โดยมีรายละเอียดดังนี้



หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานผ่านมาได้ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว ท้าวสักกะองค์อินทร์ได้เนรมิตตนเป็นชีผ้าขาวลงมาสู่กรุงศรีอยุธยา. ชีผ้าขาวนั้นท่องเที่ยวถามปัญหาแก่สมณะ ชี พราหมณ์ทั้งหลาย โดยบอกว่า ถ้าใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. คนโดยมากได้พบเห็นชีผ้าขาวเข้าไปถามปัญหาก็พากันคิดว่า พราหมณ์เฒ่านี้ท่าจะบ้า จึงไม่มีใครใส่ใจพิจารณาปัญหานัก ท้ายที่สุด ชีผ้าขาวก็กลับร่างเป็นพระอินทร์ นั่งอยู่บนอากาศแสดงปริศนานกยางไว้ดังนี้

๑. นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องขอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า

ตั้งแต่นั้นมา ก็มีผู้พยายามจะแก้ปริศนานกยางนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบอกพระอินทร์ให้รู้ได้อย่างไรดี จึงทำได้เพียงจารึกความคิดเห็นของตนลงในใบลานไว้ว่าปริศนานกยาง มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง แม้อย่างนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องของปริศนานกยางนั้นคืออะไรแน่ เพราะพระอินทร์ก็ยังไม่ได้มาเฉลยให้ใครได้รู้เลยว่า ปริศนานี้แก้ได้ว่าอย่างไร?

ที่มา http://www.yantip.com/forum.php?mod=viewthread&tid=3150

 

สมมุติว่า ทุกท่านเป็นพระเจ้าจักพรรดิราช ท่านคิดว่าท่านควรทำอะไรในตอนนี้ คะ

 

ปล่อยให้สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
ปล่อยให้สัตว์โลกได้เรียนรู้
ปล่อยให้สัตว์โลกรู้จักคุณค่าของการรักษาธรรมชาติ อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างรู้ธรรมดา

ถ้าเข้ามาแทรกแทรงสถานการณ์โลกตอนนี้ ก็คงจะเหมือนรัฐบาลในประเทศอะไรสักประเทศแถว ๆ นี้แหละครับ

เข้ามาแทรกแทรงประเทศหลายปีแล้ว คนในประเทศก็ยังไม่หายอึน.. ทุกฝั่งทุกฝ่ายยังมีเมฆหมอกบังตา ไม่รู้ฝ่ายไหนพูดจริงกันแน่ ดูฝ่ายไหนก็ขมุกขมัวไม่แจ่มชัดไปเสียหมด มีคนในประเทศตาสว่างเป็นส่วนน้อย

ถ้าสมมุติผมเป็นพระจักรพรรดิ์ ผมคงต้องยอมใจร้ายก่อน
รักลูกเกินไปลูกก็ไม่ฉลาด เอาแต่ใจ งอแง
เคร่งกับลูกเกินไปลูกก็ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าทำอะไรด้วยตนเอง อาจจะมีงอแงเอาแต่ใจด้วยเหมือนกัน แต่ก็กลัวพ่อแม่มากกว่า ลูกเติบโตมาโดยไม่มีสุขภาพจิตที่ดี พัฒนายากอีก

รอจังหวะที่พอดีดีกว่า
ค่อยปรากฏตัวมากอบกู้สถานการณ์

 

ใช้ชีวิต ลัลล้าาา ~* ตามกาล สิจ๊ะ..

 

ถ้าท่าน.. เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ด้วย
อยากบอกอะไรท่านไหมครับ /สมมุตินะครับ

 

พระจักรพรรดิ์....
และพระมหากษัตริย์ธรรมมิกราช.... ที่ทำหน้าที่ปกครอง

อยากบอกว่า คนจะยอมรับท่านเมื่อพวกเขารักท่าน หรือไม่มีีข้อโต้แย้งใด ๆ ว่าท่านเป็นตัวจริงคู่ควรแก่ราชบังลังก์ และยินดีให้ท่านเป็นผู้ปกครอง


ส่วนพระธรรมิกราชโพธิญาณ(ที่ทำหน้าที่สอนธรรม)
อยากจะบอกว่า คนจะยอมรับท่านเมื่อคนเห็นจริง และ/หรือเห็นแจ้งตามธรรมที่ท่านเทศนา

 

ถ้าเป็นพระจักรพรรดิ์ หรือพระมหากษัตริย์ธรรมิกราช

ส่วนตัวอยากขอความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติกลับมาครับ

คนอื่นจะคิดยังไงผมก็อยากฟังเหมือนกัน





เลี้ยงลูกอย่างรู้นิสัยลูกนะครับ...

 

ธรรมะเย็นๆจ้า ธรรมเย็นๆ มาแล้วจ้า

ธรรมไม่มีมามีไป เป็นไฉนเล่าเออ...
อยากจะบอกน่ะเออ หวั่นเธอ จะรับไม่ได้

เวลาเขามี แต่ที่ในสังขาร สงสาร รัก ทรมาร
ตราบนานหลายชั่วชีวี เวลาเขามีในที่ ที่ไม่มีเวลา ที่ไม่มีการไปการมา เวลาเจ้าเอยไม่มี

ดวงจิตเจ้ากลอยแยกย่อยจึงเกิดเวลา จึงมีการไปการมา สรรพสิ่งโลกา จึงมึ

เพราะมีตัวตน ว่ายวน เวียน วังมายา ห่วงรัก ห่วงอาลัย นานา บ่วงอวิชชา ลืมเลือน

สงสารสัตว์ และผู้เก็บสัตว์ นักหนา ว่ายวน ไปในมายา ตราบสิ้นดินฟ้า สิ้นกาลนาน
กวีไม่ชอบอ่าว

 

drumสดๆร้อนๆโคะๆ

จับมาพัดมีมามีลามีไปไม่ถึงวินาทีก้มาอิแระ
ปลาซงปลาซิวจับมาแพะมาเจอผั๊วะถึงกับลาลานา

ดวงจิตใส่กลอยแร้งบินมาหากเผลอกิน คงมีเซไปเซมาเมา

เพราะอวดตัวตน วนว่าย เวียน สวัสดีทุกครา
ทำเปนรัก ทำเปนอดการลา เดี๋ยวไปเดี๋ยวมา
ซัดสองพารา มิอาจ ลืมเลือน

อนาถในสัตว์ ยิ่งผู้เก็บสัตว์ หน้าหนา ว่ายวน
สาไถในมายา ตราบจรดธุลีเมฆา นานอสงขยา

เอก..กวีไม่ชอบหลาว

 

คนเรามีสิทธิ์ที่จะมีความรู้สึกที่ขัดแย้งกันได้ทุกคนแหละครับท่านเล่าปัง

ผมนี่เกลียดระบบโลกธาตุ การเวียนว่ายตายเกิด
แต่ก็เข้าใจว่าคนที่ไม่รู้แบบผม ใช้ชีวิตกันยังไง มีความรู้สึกยังไง อยู่ในนี้

มันทั้งรักและทั้งเกลียดน่ะครับ

 

ขออนุญาติ ท่านพี่เกษมผู้ใจดี เจ้าของกระทู้ ขอใช้พื้นที่น่ะครับ กระทู้ว่างดี อิอิ อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่เอา มันเหนื่อย แรงเสียดทานเยอะ ให้คนหนุ่มไฟแรงเขาทำไป แค่มาแชร์ความรู้ เผื่อมีประโยชน์ กับท่านทั้งหลายบ้าง

ความเห็นส่วนตัวเรื่อง "สงครามพระ"
คำว่าพระในทางสมมุติก็พระห่มจีวร ถือศีล อยู่วัดิ
ส่วนในทางปรมัติ คือผู้ประพฤติธรรม ทาน ศีล ภาวนา สะสมบารมีไว้ ไม่จำกัดเพศ นักบวช ฆารวาส ชาย หญิง ชน ชั้น วรรณะ อยู่ที่คุณธรรม ในใจตน

สงครามพระ รูปแบบคงไม่เหมือนการรบราฆ่าฟัน ใช้อาวุธประหัตประหาร แบบทางโลก อย่างพระยกพวกตีกัน จีวรบาน คงไม่ใช่

แต่เกิดการขัดแย้งทางความเห็น ขัดแย้งทางการตีความ แต่ละสายต่างก็อ้างว่าของตนถูก ใครมาว่าพ่อแม่ครูอาจารย์เรา เป็นเรื่อง การปกป้องสายครูอาจารย์ตน นี่น่าคิด

เหตุพระไม่ใช้ธรรมของพระพุทธองค์ตัดสิน หรือตีความพระธรรมผิดก็เป็นได้

สนามสงครามยุคนี้คือ สื่อโซเชียล เวปบอร์ด เฟสบุ๊ค ทั้งหลาย

เมื่อมีการขัดแย้ง อารมณ์จึงมี อกุศลจึงมี พลังลบจึงมี การสะสมพลังลบจึงมี กำลังมารจึงมี เมื่อไรที่ กำลังมารมีมากกว่าฝ่ายกุศล สมดุล เสียไป ภัยพิบัติย่อมมี เรื่องของพลังลบ ขอให้ท่านสังเกตุดู ตามแหล่งอบายมุข สถานบันเทิงเริงรมณ์ที่เร่าร้อน การเมืองที่ขัดแย้ง รถติดหงุดหงิดรีบเร่ง ถ้าท่านอยู่ที่นั่นจิตใจ ของท่านก็หนักหน่วง ร้อนรุ่ม แต่ถ้าท่าน ได้ไปเที่ยวดูธรรมชาติ ทะเล ภูเขาน้ำตก หรือนอนผ่อนคลายในอ่างสปา หรือในที่ที่ผู้คนเป็นมิตร จริงใจใสซื่อ ในวัดวา อาราม ต่างๆที่ทำให้ใจสบาย ผ่อนคลาย อารมณ์ด้านบวกก็มาก
นี่แหละครับพลังบวกลบมวลรวม หรือพลังเทพพลังมารในโลกวิญญาณ (คนหรือสัตว์ล้วนเป็นอวตารจากโลกวิญญาณ ตรงนี้ละไว้ก่อน มันเหนือวิสัยคนส่วนมาก)ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็มีปัจจัยจากพลังลบมวลรวม ท่านที่ปฏิบัติธรรมย่อมมีพลังจิตกล้าแข็งกว่าคนทั่วไป การส่งพลังลบออกไปย่อมแรงหนักหน่วง สงครามพระเกิดหรือยัง ไม่รู้ แต่ความขัดแย้งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยุคข่าวสาร รู้กันทั่วถึง ฝากคิด คำนึงดู ด้วยความเคารพครับ

 

นิพพานสูตรที่ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ (อากาศว่างๆ) วิญญาณัญจายตนะ (วิญญาณขันธ์) อากิญจัญญายตนะ (ดับวิญญาณขันธ์หรือตัวรู้อารมณ์) เนวสัญญานาสัญญายตนะ (มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีก็ไม่ใช่) โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ(ดับ,ตาย) เป็นการอุปบัติ(เกิด) อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไปหาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์

(นิพพานสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๕๘/๑๔๓)

--------------------------------
พระพุทธเจ้าทรงเรียงลำดับดิน น้ำ ไฟ ลม กสินธาตุ๔ ในฝ่ายรูปฌาน ซึ่งโบราณนักบวช มุ่งแสวงหาความหลุดพ้น ทุกข์ หรือชีวิตที่อมตะ นั่นเอง พิจารณา รูปฌาน ก็ยังเหลือรูปนิมิตอยู่ ยังไม่หมดจด จึงเพิกรูปออก เมื่อเพิกออกก็จะได้อากาสานัญจายตนะ (อากาศว่างๆ) จึงเอาอากาสว่างๆเป็นอารมณ์ ก็สุดที่วิญญาณัญจายตนะ (วิญญาณขันธ์หรือตัวรู้อารมณ์) เห็นว่ายังมีตัวรู้อารมณ์อยู่ จึงบัญญัติอากิญจัญญายตนะ (ดับวิญญาณขันธ์หรือดับตัวรู้อารมณ์) กำหนดให้ตัวรู้อารมณ์หมดไป จิตจึงมาตกที่เนวสัญญานาสัญญายตนะ (มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)ก็เข้าใจว่าถึงที่สุดแล้ว แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่ายังไม่ถึงที่สุด ยังมีสัญญาหลงเหลืออยู่ จึงมาบำเพ็ญต่อจนบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ตัดมิติกาลเวลาแห่งภพภูมิได้ อกาลิโก ในคาถาธรรมบท จึงบัญญัติไว้ จะเห็นว่ากาลเวลาแต่ละภพภูมิต่างกัน อรูปพรหมที่๔มีอายุถึง 84000มหากัปป์(ตามตำรา) แต่ก็ยังไม่หลุดพ้นระบบเวลา ยังมีอุปธิเล็กน้อยอยู่ จึงไม่จัดอยู่ในวิสังขารธรรมจัดเป็นสังขารธรรม ที่ละเอียดสูงสุด สัญญาเวทยิตนิโรธเป็นสิ่งดับสัญญาที่หลงเหลืออยู่
นี่สำหรับผู้ชำนาญสมถะวิปัสสนา

ทางอื่นยังมีอยู่ สติปัฏฐาน๔ ปัจจุบันอารมณ์ ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการครบหมด
สาธุท่านผู้เจริญทั้งหลายผู้สนใจในธรรม

 

นิพพานสูตรที่ ๓

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัย กระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ

(นิพพานสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๖๐/๑๔๔)
------------------
พระสูตรนี้กล่าวถึงธรรมชาติสองอย่างสังขตธรรม กับ อสังขตธรรม เปรียบเสมือนผิวแผ่นน้ำเรียบสนิทแล้วเอาเม็ดกรวดโปรยลงไป ก่อนโปรยเทียบได้กับอสังขตธรรม นิพพานธาตุ(จิตเดิม,ธาตุรู้,มโนธาตุ) เป็นธรรมวิราคะ หลังจากโปรดลงไปผิวแผ่นน้ำกระเพื่อมเทียบได้กับ สังขตธรรมหรือจิตสังขาร จิตของสัตตานังกระเพื่อมตลอดเวลา เป็นธรรมฝ่ายราคะ ครั้นเมื่อฝึกฝนอินทรีย์จนแก่ กล้าขจัดธรรมราคะได้แล้ว ผิวแผ่นน้ำก็กลับมาเรียบดั่งเดิม นี้ก็คือธรรมวิราคะ นิพพานธาตุนั่นเอง

ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัย กระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

ตรงนี้ชัดเจน หากปราศจากนิพพานธาตุ(จิตเดิม,ธาตุรู้,มโนธาตุ) แล้วไซร้ สังขตธรรมทั้งปวง จะไม่พึงปรากฎได้เลย
-----------------

 

ครับผม ขออนุญาตครับ
ทั้ง 2 พระองค์มาพร้อมแล้วครับ อยู่ทางทิศตะวันออกของไทยเรา.