จิตเที่ยง

โอเคครับ...เป็นเรื่องของมืออาขีพ มือใหม่
อาจไม่ได้รับอานิสงค์ครับ

 

กิเลสปงฺโก อันว่าเปือกตมคือกิเลส ติฏฺฐติ ย่อมตั้งอยู่ จิตฺเต ในจิต อรหนฺตานํ ของพระอรหันต์ทั้งหลาย น จิรติฏฺฐติ ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นานย่อมกลิ้งตกไป

แล้วกิเลสที่ว่ามาจากไหน สมมติทั้งหลายก็คือกิเลสนั่นเอง เมื่อยังอยู่ในสมมติย่อมมีกิเลส แต่จิตพระอรหันต์นั้นเป็นจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ เป็นวิมุติ กิเลสย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ เปรียบหยดน้ำบนใบบัว ตกลงบนใบบัวย่อมไม่ซีมซาบใบบัวย่อมกลิ้งตกไป นี่คือจิตบริสุทธิ์ ส่วนฐีติภูตํ ยังสมมติอยู่ ประกอบด้วยความหลงอวิชชาย่อมซึมซาบได้ ยังไม่บริสุทธิ์

 

มันมีอานิสงค์ให้กับคนเขียนกระทู้เอง
เขียนแสดงความเห็นออกไป มันจะสะท้อนหาเจ้าของคนเขียนเอง

 

ไก่ กับ ไข่
ไก่ที่ออกจากไข่ยังต้องไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องเป็นไปตามสายพันธุ์ ยังมีเพศอยู่
เมื่อไก่ออกจากไข่ไปแล้ว ก็เรียกได้ว่า ไข่ ไม่มีเพศ หมดเชื้อที่จะไปต่อสายพันธุ์
ไข่ จึงเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ที่ครบแล้วซึ่ง พรหมจรรย์

ไม่เที่ยง คือ ไม่แน่ว่าไก่ตัวนี้จะได้ออกจากไข่รึป่าว ยังอาศัยเพศอยู่ ยังอาศัยเวลาอยู่
เที่ยง คือ ไก่ตัวนี้ได้ออกจากไข่แน่นอน ยังอาศัยเพศอยู่ ยังอาศัยเวลาอยู่

แต่ช่วงเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรเอามาปนกัน ตอนอยู่ในไข่ย่อมมีอายุ
มีเช้า เที่ยง บ่าย เย็น มืด แต่เมื่อตัวอายุนั้นพ้นออกไปจากไข่แล้ว
ไข่ นั้นย่อมเป็นได้แค่เพียงธรรมชาติอันหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับ เช้า เที่ยง บ่าย เย็น มืด อีก

เอาความเห็นมาแจมเท่านี้ละกันครับ ลุงแมว ^_^

 

มีอีกตอนหนี่งหลวงปู่มันเขียนไว้

อกิริยาเป็นที่สุดในโลก - สุดสมมติบัญญัติ

สจฺจานํ จตุโร ปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา
สัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ยังเป็นกิริยา เพราะแต่ละสัจจะๆ ย่อมมีอาการต้องทำคือ ทุกข์-ต้องกำหนดรู้ สมุทัย-ต้องละ นิโรธ-ต้องทำให้แจ้ง มรรค-ต้องเจริญให้มาก ดังนี้ล้วนเป็นอาการที่จะต้องทำทั้งหมด ถ้าเป็นอาการที่จะต้องทำ
ก็ต้องเป็นกิริยาเพราะเหตุนั้นจึงรวมความได้ว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นกิริยา จึงสมกับบาทคาถาข้างต้นนั้น ความว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นเท้าหรือเป็นเครื่องเหยียบก้าวขึ้นไป หรือก้าวขึ้นไป ๔ พักจึงจะเสร็จกิจ ต่อจากนั้นไปจึงเรียกว่า อกิริยา อุปมา ดังเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แล้วลบ ๑ ถึง ๙ ทิ้งเสีย เหลือแต่ ๐ (ศูนย์) ไม่เขียนอีกต่อ

ไป คงอ่านว่า ศูนย์ แต่ไม่มีค่าอะไรเลย จะนำไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้นแต่จะปฏิเสธว่าไม่มีหาได้ไม่ เพราะปรากฏอยู่ว่า ๐ (ศูนย์) นี่แหละ คือปัญญารอบรู้ เพราะลายกิริยา คือ ความสมมติ หรือว่าลบสมมติลงเสียจนหมดสิ้น ไม่เข้าไปยึดถือสมมติทั้งหลาย คำว่าลบ คือทำลายกิริยา กล่าวคือ ความสมมติ มี

ปัญหาสอดขึ้นมาว่า เมื่อทำลายสมมติหมดแล้วจะไปอยู่ที่ไหน? แก้ว่า ไปอยู่ในที่ไม่สมมติ คือ อกิริยา นั่นเอง เนื้อความตอนนี้เป็นการอธิบายตามอาการของความจริง ซึ่งประจักษ์แก่ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะ อันผู้ไม่ปฏิบัติหาอาจรู้ได้ไม่ ต่อเมื่อไรฟังแล้วทำตามจนรู้เองเห็นเองนั่นแลจึงจะเข้าใจได้ ความแห่ง ๒ บาทคาถาต่อไปว่า พระขีณาสวเจ้าทั้งหลายดับโลกสามรุ่งโรจน์อยู่ คือทำการพิจารณาบำเพ็ญเพียร

เป็น ภาวิโต พหุลีกโต คือทำให้มาก เจริญให้มาก จนจิตมีกำลังสามารถพิจารณาสมมติทั้งหลายทำลายสมมติทั้งหลายลงไปได้จนเป็นอกิริยาก็ย่อมดับโลกสามได้ การดับโลกสามนั้น ท่านขีณาสวเจ้าทั้งหลายมิได้เหาะขึ้นไปนกามโลก รูปโลก อรูปโลกเลยทีเดียว คงอยู่กับที่นั่นเอง แม้พระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกัน

พระองค์ประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์แห่งเดียวกัน เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิได้เหาะขึ้นไปในโลกสาม คงดับอยู่ที่จิต ทิ่จิตนั้นเองเป็นโลกสาม ฉะนั้น ท่านผู้ต้องการดับโลกสาม พึงดับที่จิตของตนๆ จึงทำลายกิริยา คือตัวสมมติหมดสิ้นจากจิต ยังเหลือแต่อกิริยา เป็นฐีติจิต ฐีติธรรมอันไม่รู้จักตาย ฉะนี้แล

 

อันนี้ไมใช่ว่าไม่เห็นด้วยนะครับ แต่ต้องการทดสอบนิดนึง

คุณกล่องไม้ขีดไฟว่า จิตสอนจิต หมายความว่ายังไงครับ จิตนี้รู้อยู่แล้วเหรอครับจึงมาสอนตัวมันเองได้ หรืออย่างไร

 

สวัสดีครับคุณpinit417
"ถ้าเป็นนักภาวนา สภาวะนี้เขาเรียกว่า จิตสอนจิต หรือเรียก ธรรมผุดมาอบรมจิต"
เกิดเองเป็นเอง ไม่มีใครสั่ง
ถ้าคำว่าจิตสอนจิต ไม่เข้าใจ
คำว่า ธรรมผุดมาอบรมจิต ละครับใช้แทนกัน

ถ้าเคยเจอสภาวะนี้ จะเข้าใจเอง
มันจะผุดมาเป็นภาพก็ได้
มันจะผุดมาเป็นเสียงก็ได้

 

ผมเข้าใจแล้ว ว่ามาบอร์ดนี้ทำไม
บอร์ดนี้เหมือนเวทีมวยหรือบ่อนไก่
คนมาเล่นในนี้มีที่มาของตน
มีสายกรรมฐานต่างๆที่ตนเรียนรู้มา
เกิดภูมิจิตภูมิธรรมของตนขึ้นมา

แล้วมาวางมวยกันในบอร์ดนี้

 

เท่าที่สังเกตุดูนะ
อย่างท่านนิวรณ์ เกิดภูมิจิตภูมิธรรมของตนขึ้นมา
แล้ววางมวยชกไปทั่วทุกกระทู้

ไม่รู้แกเป็นบ้าอะไรของแก เห็นมั่นใจในภูมิจิตภูมิธรรมของตนเหลือเกิน
ผมสังเกตุนะ เวลาโดนไล่จี้ แก่ก็เล่นมุข ผุดๆโผล่ๆ เหมือนอีแอบหนังผี

 

ถามไปเรื่อยๆนะครับ....
1. แล้วมันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเหรอครับ
2. แล้วจิตต้องอยู่ในฌาณหรือเปล่าครับถึงจะเกิดขึ้นได้

 

ราวกับจะเอาตัวหนังสือเป็นมรรคผลนิพพาน ฐีติ ภูตํ กับ ฐีติจิต ฐีติธรรม ที่หลวงปู่มั่นท่านกล่าวไว้นั้น ไม่ใช่อันเดียวกัน พอเห็นเป็น ฐีติ ก็จะจับเอามามัดเป็นอันเดียวกันมันสับสน

 

ครับ คุยกันไปเรื่อยๆ ถกธรรมตามกาล เป็นมงคลอันสูงสุด
คนที่มาเล่นในบอร์ด เท่าที่ผมสังเกตุนะ มีภูมิจิตภูมิธรรมของตัวเองแล้วเป็นฐานของตน

 

ผมมองบอร์ดนี้อย่างนะ มาถกกัน เอาภูมิจิตภูมิธรรมของตัวเองที่ศึกษาเรียนรู้มา
เท่าที่ผมได้ข้อมูลและสังเกตุดูนะ

พอเปิดกระทู้มา มันจะดึงดูดบุคคลเข้ามา ถกธรรม เถียงกัน บนภูมิจิตภูมิธรรมของตัวเอง

เท่าที่มันเป็นอยู่ในเวลานี้ของบอร์ดนี้

ผมมองว่ามันก็ดีนะ ที่มีบอร์ดลักษณะนี้ เกิดขึ้นในยุคนี้ มีเน็ตให้คุยกัน

 

มันมีหลักของมันอยู่ ถึงจะเกิดสภาวะ "ธรรมผุด"

สมาธิ อบรม ปัญญา
ปัญญา อบรม จิต

 

ณ ปัจจุบันนี่หมายความว่า ได้ความนิ่งความเป็นอุเบกขาอยู่ ประมาณนั้นมั้ยครับ คุณกล่องไม้ขีด

 

อันนี่ผมไม่มีความรู้ตอบได้ครับ เกี่ยวกับปัจจุบัน
ท่านTboonก็มาทาง พาหิยะสูตร สูตรนั้นก็มี คำว่าสักแต่ว่า เป็นอุเบกขาอยู่ครับ

 

อ๋อหมายถึงปัจจุบัน ขณะปัจจุบัน ของคุณกล่องไม้ขีดเวลานี้น่ะครับ เป็นอย่างนั้นไหมครับ มีความนิ่งความเป็นอุเบกขาอยู่ หรือเพราะด้วยมีความมั่นใจ ถ้าเพราะมั่นใจ ถามได้ไหมครับ มั่นใจมาจากสิ่งใดครับ

 

เวลา ฟังธรรม พิจารณาธรรม ไปนั่งรอ ดำผุดดำโพล่ โงนเงนาต่ายห่าน

เมื่อวาน ยังจับเฮียยัดจอมปลวก พิจารนาลงเปน
ขันธ์ได้อยู่ มาตอนนี้ ตกจากฐานฐีติธรรม ไปแล้ว

ตรงที่พูดว่า แต่ละคนมีภูมิธรรม อันนี้ตรึกผิด
เนื่องจากยังไม่เคยเหนจิต จึงตรึกลงเปนคน
สัตว เรา เขา

ถ้าตรึกแบบนักยัดเฮียเข้าจอมปลวก

พอเหน ป๋ม แปล ธรรมบทหลวงปู่มั่นตามใจชอบ
บวก กลามาสูตร

จะเหนได้ทันทีว่า การที่เลือกแปลเปนอะไรก้ได้
เพื่อยัง ปิติ ปราโมทย์ให้เกิด(หลักยัดเฮียฯ) เพื่อ
การสิ้นไปของกิเลสในจิต(หลัก กลามสูตร) ความ
พอใจใน อุบายสิ้นกิเลส เหล่านั้น เปนคำของ
"ตถาคต" แน่นอน ไม่ต้องรอ ดำผุด ฮาอะไร

ไม่ใช่เรื่อง ความแตกต่างของ บุคคล

แต่เปนเรื่องของ สัญญาไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง
และ จิต ไม่เที่ยง นั่นเอง

 

การสนทนาธรรม

ถ้ายังมัวแยก นั่นความคิด ความเหน
ของ มะอึง นี่ความเหนของ เคยู

อย่ามาโม้ เรื่อง เหนจิต


แต่ถ้า ยัดเฮีย เข้าจอมปลวก กำหนดรู้
ลงเปนขันธ์5ได้ ตามที่อ้าง

สำรวมอินทรียได้

ก้ อีกเรื่อง

 

ขณะปัจจุบันของผม ก็เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละครับ
ขันธ์ห้ามันก็ทำงานของมัน อายตนะหกก็มีอยู่ของมัน

แต่มีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาให้รับรู้ สัมผัสได้ ผมไม่รู้เขาเรียกอะไร
เมื่อก่อนไม่ปรากฏ เหมือนโดนปิดไว้ ประมาณนั้นครับ