อาการพลังงานกลับด้าน เกิดเพราะอะไรและมีวิธีแก้อย่างไร

กั๊กๆๆๆๆ

ไหน ลองขยาย ธรรม ด้วย อนุพยัญชนะ เป็น คำ หรือ ภาษา
ที่เกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์ปลายปี2547 จิ๊

ถ้า อธิบายขยายธรรม ด้วย สมมติภาษา ภพ ชาติ อีกเรื่องไม่ได้

แปลว่า แทงตลอดด้วยทิฏฐิธรรม ไม่ได้

 

ดังนั้น การที่บุคคลใดถูกสาปแช่งแล้วมีอันเป็นไปตามคำสาปแช่งนั้น ก็เป็นเพราะเขามีวิบากกรรมที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่แล้ว การสาปแช่งเป็นแค่เพียงปลายเหตุ เปรียบเหมือนก้อนหินหนักที่บุคคลยกไม่ขึ้น
ต่อมามีรถเครนมายกก้อนหินนั้นขึ้น บุคคลนั้นก็เพียงแต่เดินเข้าไป ใช้มือจับก้อนหิน
ออกแรง แล้วทำท่ายกก้อนหินขึ้นมา เมื่อดูเผินๆ เหมือนว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ยกหินขึ้นเอง
แต่แท้ที่จริงแล้ว หินไม่ได้ลอยขึ้นเพราะกำลังของบุคคลนั้น บุคคลนั้นก็เพียงแต่ออกแรง
และทำท่าทางให้สอดคล้องเท่านั้นเอง

 

กั๊กๆ บอกให้ อธิบายเรื่อง 2547 ถ้า ขยายเข้าไปใน ข่ายทิฏฐิ นั้นไม่ได้

แล้ว ไปอุปโลค คิดเอา จาก สิ่งที่ตนเองไม่เคยสัมผัสมาจริง เราจะถือว่า

ใช้วิธี ตรรกศาสตร์ พิสูจน์ พจน์ ประพจน์ เสียเวลา สนทนา นะฮับ


นะ


ลองดูหน่อย


ต้องอธิบายเข้าไปในเรื่อง จริง !! ที่ตน มี สำคัญว่ามี เห็นอยู่ด้วยตนว่า มี


อย่าไปสร้าง เรื่องราวใหม่ๆ เอาลอย คิดเอา มันจะเป็น วิปัสสนึกไป คน
เขาจะหัวเราะเยาะ มากกว่า จะสรรเสริญว่า รู้จริง

 

ไม่มีความจำเป็น เพราะการที่ผมตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ก็เพื่อขอคำแนะนำเรื่อง
พลังกลับด้านนี้เท่านั้น หาใช่มีจุดประสงค์มาตีแผ่เหตุการณ์ในชีวิตกับสาธารณชนไม่
และถ้าผมสามารถรู้เหตุผลได้ด้วยตนเองทั้งหมด ผมก็ไม่ทราบว่าควรจะมาถามใครไปเพื่ออะไร

 

ลืมไป ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เพื่อหวังคำตอบ เผื่อใครเคยมีประสบการณ์เหมือนกัน และพอมีวิธีแก้ไขได้
ไม่ได้ตั้งกระทู้ขึ้นมาเพื่อหวังให้ใครมายกย่อสรรเสริญ

 

คุณต้องเข้าใจ พุทธบริษัท ในธรรมวินัยนี้ ภาวนาเพื่อ การสิ้นกิเลส อุปทาน

เรื่องของการ สรรเสริญ นินทา สาปแช่ง เป็นเรื่องของส่วนโลก ส่วนอุปทาน

ก็พุทธบริษัท คำนึงแต่การหลุดพ้น .....การปรากฏของ อุปทาน จะเอา
มาอาสัยระลึก ตามเห็น การสิ้นไป

ก็เมื่อเอามาตามเห็นการสิ้นไป เป็นไปไม่ได้เลย จะไป นั่งปริวิตก กลัว
การภาวนา ปรารภความเพียร จะผลิกให้ผล เป็น สรรเสริญ นินทา สาปแช่ง

 

ทีนี้ ตอนเวลา ภาวนาจริงๆ

สรรเสริญ นินทา สาปแช่ง มีไหม

โดนเนื้อๆ เน้นๆ ไหม

ไม่ใช่ไม่โดนนะ


แต่ พุทธบริษัท จะ เอามาเป็น ต้นทุน กำหนดรู้ทุกขสัจจ เพื่อ นิพพาน

เพื่อ พุทธบูชา ลูกเดียว



ถ้าป่านนี้ คุณ ยอ สตรอย ยังไม่ รับว่าเป็น ผู้ศรัทธาพระพุทธองค์ แนบสนิท

อาการ ภาวนาเพื่อเป็น พุทธบูชา ย่อมไม่มี


เมื่อ การภาวนาเป็น พุทธบูชา ไม่มี พุทธานุสติ กรรมฐาน40 กองที่หนึ่ง ก็ไม่มี


จึงควร ศรัทธาในพุทธองค์ เถิด แล้ว การภาวนาของคุณ จะพบทางรอด ตรัสรู้โดยชอบ ได้ด้วยตนเอง

 

เรื่องสาเหตุแห่งพลังผันผวนตามที่เขียนไว้เบื้องต้น เป็นแต่เพียงข้อคิดสันนิษฐานเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นข้อเท็จเพราะยังขาดพยานหลักฐาน
ความจริงผลอาจเกิดมาจากสาเหตุอื่น
แต่เรื่องของพลังผันผวนนี้ ยังไม่ทราบว่าจะมีใครที่เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกันไหม
แล้วควรมีวิธีแก้ไขที่ถูกต้องอย่างไร
มาคิดดู หลายวิธีที่หลายท่านได้แนะนำมา ถ้าหากว่ายังไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตนเอง หรือยังไม่เคยมีประสบการณ์แก้ไขให้ใครจนได้ผลมาก่อน ทุกวิธีการย่อมถือว่าเป็นเพียงทฤษฎีอยู่ ซึ่งเขียนเอาตามความพอใจและความเข้าใจของแต่ละท่าน ว่าสมควรทำอย่างนั้น หรือสมควรทำอย่างนี้
แต่อย่างไรก็ดี ก็ขอขอบคุณทุกๆท่านที่แสดงความปรารถนาดี ยอมเสียสละเวลามาเขียนคำแนะนำต่างๆ
ขอได้รับความขอบคุณจาก เจ้าของกระทู้มา ณ ที่นี้

 

............พระสูตร---คบสัปบุรุษ ยังให้ฟังสัทธรรม ยังให้ศรัทธา ยังให้ โยนิโสมนสิการ ยังให้ สติสัมปชัญญะ ยังให้ อินทรียสังวร ยังให้ สุจริตสาม ยังให้ สติปัฐฐานสี่ ยังให้โพชฌงค์เจ็ด ยังให้ วิชชา และ วิมุติ บริบูรร์ ถ้ายังไม่ได้ คบสัปบุรุษ และ ฟังพระสัทธรรม ก็ ลองดู ครับ

 

..............อันที่จริง การรู้ตัว มีสติสัมปชัญญะ คงไม่ใช่สิ่ง ที่ ผิดนะครับ...ถึงจะไปฝึก หรือ ไม่ได้ฝึกกับใคร คนเรา ก็ ต้อง มี สติสัมปชัญญะ รู้ ตัวว่า ทำอะไรอยู่อยู่ดี มันเป็นสิ่งที่ เป็นประโยชน์ อยู่แล้ว ตรงกันข้าม ถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย นั่น สิ ถึง จะเรียกว่า ไม่ได้ ภาวนาเลย

 

สังเกต. ปรมัตถ์ธรรม. เข้ามาเลย. อย่าสารวนอยู่ในข่าย. สมมติสัจจ

งานการภาวนา จะสมถะ. หรือ วิปัสสนา. สิ่งที่ควรใข้เปน วัตถุประกอบการ
ภาวนา. เราจะเฝ้นเอาเฉพาะอารมณ์ปรมัตถ์ ไม่ไปไล่ตะครุบเงาของจิต
ที่เปน สัจจสมมติ ที่มันจะแตกต่างกันไปภายใต้อำนาจ เวทนาขันธ์

ปรมัตถ์ในทางธรรม จะมีสี่ รูป จิต เจตสิก. นิพพาน

สมมติสัจจมีเท่าไร. ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง. เปนเพียง เจตสิก

พอเราภาวนาไม่ไปไล่ตะครุบ เจตสิก. งานการตีความตาม ตรรก ปรัชญา
จะลดภาระในการ ข้ามไปฝั่งโน้นได้มาก

แต่ถ้าไปสาระวนกับการตีความ ตามสัจจที่ไม่ถึงปรมัตถ์ ก็เหมือนคน
ปราถนาจะข้ามแม่น้ำ. แต่มัวทำทุกอย่าง รู้จริงไปหมดแต่ยืนอยู่ฝั่งเดิม
ไม่เคยว่ายน้ำ ถ่อเรือ. เพื่อไปอีกฝาก นิพพาน

ลองดูนะ คุงยอสตรอย

อาสัยความรู้ที่คุณพูดมา. กระทำไว้ในใจให้ดี ฝากไหนสมมติสัจจ
การยืนอยู่กับที่ ส่วนไหนปรมัตถ์สัจจะ ที่เราเอามาประกอบเปนแพ
เพื่อถ่อไปข้างทางโน้น

ทีนี้ ตอนถ่อไปด้วยการกำหนดปรมัตถ์เปน สมถะนิมิตก็ดี
เปนวิปัสสนาก็ดี ปรมัตถ์มันจะแตกก่อนเสมอ ด้วยอำนาจ
สมมติสัจจมันย้อมจิต ลวงใจเราจนเหมือนช้างตกร่องมานาน

มันจะชิน และไหลตาม ตามอำนาจ ข่ายแห่งมาร ฝ่ายโลก
ฝ่านสมมติสัจจะไม่เลิก

แต่บัณฑิต ผู้มีความเพียร ไม่ประมาท หมั่นเฝ้นปรมัตถ์ธรรมเพื่อการสดับ
ใคร่ครวญด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ที่คุณสรุปได้เนืองๆ. ท่านเหล่านั่น
ต่างกล่าวว่า ฝั่งโน้น. มีจริงๆ

ไร้ผู้บรรลุ ไม่มีอะไรให้บรรลุ มีจริงๆ. และนั่นเปนปรมัตถ์ของนิพพาน

อย่าตรึกแบบ มีเจตสิกขี้เกียจ นะ

ถ้าตรึกแบบคนขี้เกียจ พอได้ยินคำว่า ไม่มีผู้บรรลุ ไม่มีอะไรให้บรรลุ
จะจับความหมายด้วย สมมติสัจจ ไม่สามารถตรึกแบบ ปรมัตถ์สัจจได้เลย

 

ถ้าสมมติว่า มีใครเข้าใจ เราเฝ้นแต่ ปรมัตถสัจจ เป็นหลักเป็นเกณฑ์

แล้วจะดูอย่างไรว่า ไม่ได้คิดเอา สุ่มสี่ สุ่มห้า กลายเป็นมี อุทเฉททิฏฐิ

ข้อสังเกตของพวกเล่น ฌาณ นำหน้า ให้สังเกต " ปิติ " หากมี " ปิติ "
ซึ่งพวกท่านคุ้นเคย ในการเป็น ช้างตกร่อง ก็ให้ มันใจไปเลยว่า อารมณ์
ภาวนาตอนนั้น กำหนดรู้ ปรมัตถ์ตรงทางอยู่ จะมี ธรรมวิจัยยะ ก็ต่อ
เมื่อไม่เอา อามิสจาก "ปิติ" ซึ่งก็คือ สุข และ อุเบกขา ก็เป็นอันใช้ได้

ข้อสังเกตุของพวกทำฌาณไม่ได้ เอาแต่ ฌาณกระจุ่มกระจิ๋ม(ภาษาธรรม หลวงพ่อ
ฤาษีฯ ซึ่งหมายถึง ปฐมฌาณ) อาการยิ๊บๆแย๊บๆ(ภาษาธรรม หลวงตามหาบัว หมาย
เอาเรื่อง ปัญญาอบรมสมาธิ) ก็ให้สังเกต ความสิ้นไป จางคลาย ลงของ กิเลส ตัณหา
อุปทาน เป็น เครื่องระลึก .....ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะผิดทาง


แต่ถ้าเอา ตาม ซี่รี่ พระพุทธเจ้า ตอนที่ 55 พิเศษ

ผู้อำนวยการสร้าง มาพูดใหม่ แปลใหม่ .... สำนวนกระชับขึ้น ท่าน บอกว่า

พระพุทธองค์ทรงเลือก อารมณ์กรรมฐานให้อย่างฉลาด เป็น ต้นธาตุ ต้นธรรม
คือ ให้เฝ้นธรรมที่เป็น ปรมัตถ์สัจจ

พระพุทธองค์กล่าวว่า ถ้าสามารถกำหนดอารมณ์ ปรมัตถสัจจ ได้ เวลาไปเสวนา
กับ คนอื่น เราจะเห็น ความติดข้องสมมติสัจจ ของคนเหล่านั้น ..... และ ด้วย
การเห็น การติดข้องของผู้อื่น ...จะเกิด เมตตา เจตสิก กุมจิตทันที !!!
เมตตาพรหมวิหารประชุมที่จิต ทันที ไม่ต้องเจตนาสร้าง

และถ้า อดทนไว้ หาจังหวะ โอกาส ควรแก่การแสดงธรรม กรุณาเจตสิก จะทำงาน
ทันที พรหมวิหารเจตสิกอีกเสานึงก็เกิด อย่างถูกต้อง ปราศจาก เจตนาจะสร้าง
ห่างไกลทิฏฐิ สำคัญตนว่าเป็นผู้โปรดสัตว์ที่คิดเอาเอง



อย่างไรก็ดี พึงทราบว่า กรุณาเจตสิก ที่เกิดด้วยอำนาจของ ธรรม ไม่ใช่เกิดจาก
อยากจะสอน จะเกิดได้ไม่เกิน สามครั้ง .....ถ้าครบสามครั้งแล้ว มุทิตาเจตสิก
จะผุดขึ้นที่จิต ทำให้ การเสวนาธรรมของผู้ติดข้องหากไม่ก้าวข้ามฝั่ง ก็จะเกิด
สภาวะ แล้วแต่จะฟังธรรมแล้วได้ผลเท่าไหร่ก็เท่านั้น(มุทิตาจิต) และ อุเบกขาพรหม
วิหารก็จะเกิดตามมา แปลว่า ผู้ฟังธรรมหากถามคำถามเดิม ก็จะไม่มีวันได้อะไรเพิ่ม
เพราะ จิตไม่เดินแล้ว จิตเป็นอุเบกขาต่อ ผู้ติดข้องนั้นไปแล้ว สิ่งที่ออกจากจิต
จึงเป็น อุเบกขาอย่างเดียว ไม่ว่าคำสอนนั้นจะน่าฟังแค่ไหน



สรุป หากใช้ปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ที่พระพุทธองค์ทรงเลือกให้ใช้ จิต
ของนักภาวนาจะมี บารมีเต็มเร็ว เมตตาเกิด กรุณาเกิด ...อุเบกขาเกิด
การติดข้อง อยากสอนธรรม จะไม่เกิด ความฝุ้งธรรม สังโยชน์เบื้องสูงจะถูก
กระเทาะ

ธรรมะของพระพุทธองค์ จึงเป็น ของคนรู้เร็ว ไม่ใช่รู้ช้า เป็นของสำเร็จได้เร็ว
ไม่มีธรรมฝากเนิ่นช้าพลัดชาติประกันตอนสายๆ เป็นของคนมีปัญญาดี ไม่ใช่
ปัญญาทราม(เอาแต่ สมมติสัจจ มาปิดบัง อ้างเล่ห์ ว่า คว่ำ สัทธรรมได้หมด เพราะผิด
เหตุผล ตรรกนิยมของโลก ที่เขาพิสูจน์กันจนเป็น ปุถุชน ล้นโลก)

 

ยังเห็นเราต่างกับเขา ยังเห็นธรรมเป็นตัวเป็นตน

 

คุณ Yostro1310
งดไปต่อปากต่อคำ
กับดวงจิตที่เคยเกิดเป็นปลาพ่นน้ำ
แล้วมันตายเพราะโดนเบ็ดเกี่ยวปากมาก่อน
เด่วมันจะไปสร้างกระแสไปวกเวียน
อยู่กับกระแสแย่ๆอยู่อย่างนี้
เด่วเส้นเกี่ยวกับกระแสเมตตาก็จะไป
เกี่ยวเรื่องพลังงานให้มาใช้ในทางอกุศลอีก
ยิ่งเส้นตอนนี้มันไม่ต่อเนื่องอยู่
แล้วมันจะหายไหมหละครับชาตินี้....

ถ้าอยากหายในชาตินี้นะครับ...
ไปที่สถาบันพลังจิต ข้างโรงอาหาร
โรงพยาบาลพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลกนะครับ
จากอาคารจอดรถเดินทะลุโรงอาหารมาก็เจอ
เวลา ๙.๐๐ น. ถึง ๑๗.๐๐ น. ยกเว้นวันพระ วันหยุดนักขักกฤษ เด่วจะรู้เอง
ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ให้บอกอาการของตัวเอง
อย่างนี้หละครับ..
และคนที่คิดไปว่า มีพลังงานภายนอกอะไรมากระทำ
ว่างๆถ้ากลับมาก็แวะไปได้นะครับ...

ส่วนถ้าหายแล้วก็ให้ระวัง
กรรมเกี่ยวกับ กาย วจี มโน ให้ดีๆครับ..
เพราะคาดว่า กว่าคุณจะเข้าใจกิริยาและสัมผัส
เรื่องกระแสพลังงานและสร้างตัวเองได้จน
กว่าจะกลับเป็นปกติ..ท่าจะอีกยาวนาน
เพราะวิบากเรื่องปากในอดีตชาติกับบุคคลที่ไม่น่าจะไปเสี่ยง
ของจิตดวงนี้นี่หละครับ..
ปล.ทำรอบละประมาณ ๒ นาที
แต่ว่าทำประมาณหลายรอบหน่อย
ประมาณนี้นะครับ.(^_^)..

 

คุณเอกวีร์(นิวรณ์) เขาก็ดูพูดจาดีนี่ครับ นับตั้งแต่รู้ว่าตัวเองก็โดนสาปด้วยรู้สึกว่าพูดรู้เรื่องขึ้นเยอะเลย ไม่มีการพูดเล่นหรือใช้ศัพท์เพี้ยนๆเหมือนเมื่อหลายวันก่อน
ไม่ทราบว่า เป็นเพราะรู้ว่าตัวเองก็โดนสาป หรือเป็นเพราะกระทู้ของคุณ Shinozuke กันแน่

 

สับเพ่ ทำมา อนัตตา ติ

งุงิ งุงิ อิอิ แงวแงว ก๊าบก๊าบ


คุงคร้าฟ เมื่อไหร่ จะมี สติอยู่ กายใจ ตัวเอง ฮับ

การที่ คุณ นมสิการธรรมใด จาก ธรรมชาติ โลกที่สับสน วนเวียนได้

นั่น เพราะจิตคุณเอง เปิดรับธรรม หงายรับธรรม เองฮับ
สื่อกลาง(คน หรือ ไม่ใช่คน)ไม่เกี่ยว เบย


มั่นใจ ตัวเองไปเลยฮับ ว่า สามารถ วิจัยธรรม แยกแยะ หนทางที่
เป็นไปเพื่อความรำงับ สิ้นโลภะ โทษะ โมหะ ได้ด้วยตนเอง
ไม่ต้อง คลุกคลี วิ่งไปให้ ใครเ...... !!!

 

รางจืดเนี่ย เห็นแต่จอมยุทธสุรา
อมไว้ใต้ลิ้น
เพื่อว่าจะได้ร่ำสุรากับสหายมิรู้สึกเมามาย...
เด่วก็จะโดน จอมยุทธสุรา ติอีกว่า แล้วจะกินไปเพื่ออะไรถ้าไม่เมา ??
ทั่วไปจะเข้าใจว่า ไปล้างพิษตับ แต่ทางทฤษฏี
คือลดการทำร้ายเซลที่ตับ


อีกอย่างก็คือ รางจืดบด แล้วใส่แคปซูล
ก็กินเพื่อบำรุงตับ..แก้เมาค้าง

ควรพกไว้เมื่อรู้ตัวเองว่า ตับไม่ดี
โดยเฉพาะตับอ่อนใต้ลิ้นปี่นะครับ...
อาการเช่น เนื้อตาสีขาวเหลืองๆ
ทานข้าวไม่ค่อยได้ ขับถ่ายไม่เป็นปกติ ฯลฯ
พกไว้มีประโยชน์ครับ

ที่สำคัญในตัวมัน มีสารแก้โรคซึมเศร้า

แต่ไอ้ โรค วิตกกังวล กินรางจืด
ทั้งป่าก็แก้ไม่ได้นะครับ..
ต้องมาฝึกเจริญสติ เดินปัญญานะครับ
หวังว่าจะพอเข้าใจที่พูด
ปล.ถาม Google ดูได้ถ้าสนใจนะครับ
พิมพ์ประโยคของรางจืดดู
ที่เขียนแบบหยาบๆ รู้แค่งูๆปลาๆครับ..

 

สมัยเด็กเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า รากรางจืด อมไว้ในปากทำให้ดื่มเหล้าไม่เมา
กันยาพิษที่ผสมมาในอาหาร แก้พิษต่างๆได้ชะงัด แต่ก็ฟังหูไว้ เพราะไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน ที่ทำคัญคือตอนนั้นไม่รู้ว่าต้นรางจืดหน้าตาเป็นยางอย่างไร
ต่อมามีโอกาสเห็นต้นรางจืดเป็นๆ เห็นเขาบอกว่านี่คือต้นรางจืด แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่า
จะใช่ชนิดเดียวกับต้นรางจืดในตำนานที่ว่าอมไว้ในปากแล้วกินเหล้าไม่เมาไหม
สรูปแลว บางเรื่อง เป็นเรื่องรู้ไว้ใช่ว่า....แต่ไม่มีโอกาสพิสูจน์

 

ขอรับกระผม. (^^__^^)) คุณลุง เห้ย!! คุณป้า !!
เห้ย !! เจ้นี
เห้ย !! คุณนี เห้ย !! คุณนี เห้ย !! ถูกแล้ว


ชอบสดเป็นหัวก็ดีครับ ถ้าบอกว่าไก่เนี่ย
จะนึกว่าเป็นปอบเลยนะนั้น
ดีว่าแค่รางจืด..((ล้อเล่นเน้อ))


กินรางจืดให้มีปัญญา กินยังไงหรือครับ..ถ้ากินให้มีปัญญาได้
คงไม่ต้องมา เจริญสติเดินปัญญาแล้วมั่งครับ..ไปรับประทาน
รางจืดซัก ๓ ไร่คงบรรลุโสดา. บรรลุสกิทา อาตาคามี. เลยมั้ง...


สรรพคุณรางจืด มีประมาณ ๒๐ ข้อ ใครจะกินเพื่อผล..
ทางด้านไหนก็เรื่องของเค้า
อย่าไปยุ่ง แต่ที่แน่ๆคือ มันไม่ได้มีผลในเรื่องของการแก้ปัญหา
พลังงานกลับด้าน เข้าใจ บ่..
หรือกินแล้วจะเกิดปัญญาทางธรรมอะไรหรอก คุณนี..


ปัญญาทางธรรมมันจะเกิดได้ จากการที่จิตได้รู้เห็นตามความเป็นจริง
จากการพิจารณา. ด้วยสภาวะที่จิตเป็นกลาง. ณ เวลาปัจจุบันครับ
ตัวยาเข้าไปช่วย ให้ส่วนของร่างกายมันดีขึ้น...
มันจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมได้อย่างไรหละครับ
ถ้ามันนอนพะงาบๆหรือเจ็บปวดอยู่ว่าไปอย่าง
...


ปล.กรุณาถอดอาจารย์ปู่ภายนอก
ออกจากท้ายทอยก่อนตอบก็ดีนะครับ
ขี้เกียจแปลภาษาไทย เป็นภาษาไทยครับ..
อ่านที่เขียนมาทั้งหมดให้ดีๆ
และหวังว่าจะเข้าที่พูดนะครับ คุณ นี. (^ _^)

 

เรื่องรางจืดนี้ผมสนใจ คิดว่าน่าจะลองไปหาซื้อมากินบ้าง
แต่คงทำได้แค่ไปร้านขายยาสมุนไพรเท่านั้นเอง เรื่องที่จะไปหาขุดเอาหัวสดๆ
หรือรากสดๆมากินนั้นคงจะหมดสิทธิ์ เพราะไม่สะดวก

กรณีพลังกลับขั้ว คิดว่าคงเป็นการลงโทษของครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าอย่างอื่น
ก็คงต้องรอต่อไปจนกว่าท่านวางใจอนุญาติให้กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม ซึ่งก็หมายถึงเราดีขึ้นนั่นเอง

แต่ถ้าเป็นเพราะโดนให้กินของอาถรรพณ์ตามที่สงสัย ถึงแก้หายก็คงกลับมาโดนอีก
เพราะเลี่ยงยาก ถ้าพวกอยากจะทำ เพียงแต่เอาไปใส่ถังน้ำประปาของตึกก็เรียบร้อยแล้ว
เราใช้อาบใช้ล้างหน้าทุกวัน แถมยังเอามาต้มดื่มด้วย หลบยังไงก็ต้องโดนอยู่ดี
นอกเสียจากหนีไปเลย หรือฝึกพลังจนถึงขั้นสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว