การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กลับหน้าแรก


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เกิดขึ้นแล้ว หลักฐานคือการละลายของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งในบริเวณขั้วโลก การฟอกขาวของปะการัง ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงไป และความแห้งแล้งที่ยาวนานและทวีความรุนแรงขึ้น รายงานขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ประชากร 150,000 คน เสียชีวิตทุกปีจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยเหตุนี้เอง เราจำเป็นต้องเร่งลงมือกระทำการบางอย่างก่อนที่โลกของเราจะถูกทำลายจนเสียหายและมิอาจเยียวยาได้

ภัยแล้งในประเทศไทยที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 และ เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 700,000 คน โดยเฉพาะเกษตรกร กรีนพีซเชื่อว่าอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นจุดเริ่มต้นของความแห้งแล้งที่รุนแรงที่สุดที่ส่งผลกระทบฟิลิปปินส์ ไทย และ กัมพูชา เมื่อไม่นานมานี้


โลกของเราทุกวันนี้ร้อนขึ้นกว่าเมื่อ2,000 ปีที่แล้ว ในทศวรรษที่ 1990 เป็นทศวรรษที่ร้อนที่สุดของโลกและในศตวรรษที่ 1900 เป็นศตวรรษที่ร้อนที่สุดในรอบ 1,000 พันปี ปีที่ร้อนที่สุดทั้ง 7 ปี ล้วนเกิดขึ้นในทศวรรษนี้โดยที่ปี พ.ศ. 2541 เป็นปีที่ร้อนที่สุด หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงช่วงสิ้นศตวรรษ อุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าช่วงใดๆ ในรอบ 2 ล้านปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change,IPCC) ระบุว่า มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับ 2 องศาเซลเซียสเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดตามมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

IPCC ระบุว่า มีหลักฐานใหม่และแน่นหนาที่ได้จากการสังเกตการณ์ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาพบว่าสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีสาเหตุสำคัญจากกิจกรรมของมนุษย์ กว่าหนึ่งศตวรรษที่มนุษย์พึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานโดยที่ถ่านหินนั้นสกปรกที่สุด การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน จะปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนหลายชนิด เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ยิ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากเท่าไร ก็เท่ากับเราเพิ่มผลกระทบจากภาวะเรือนกระจกให้กับโลกของเรามากขึ้นด้วยการกักเก็บความร้อนและเพิ่มอุณหภูมิในโลกให้สูงขึ้น สิ่งนี้เองทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงตามมากับระบบนิเวศของโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนามากที่สุด


มีหลักฐานชัดเจนที่ชี้ว่าปรากฎการณ์ธรรมชาติ เช่น พายุเฮอร์ริเคน อุทกภัย ภัยแล้งและคลื่นความร้อน ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น (และจะรุนแรงมากขึ้นและเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ) เพราะสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากข้อมูลของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติพบว่า มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสภาพอากาศที่รุนแรงมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2503 จำนวนภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 7 เท่า คิดเป็นมูลค่าของความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1950 จาก 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี มาเป็น 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี ในทศวรรษที่ 1990 ตัวเลขของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเพิ่มจาก 740 ล้านคนในทศวรรษที่ 1970 มาเป็น 2,000 ล้านคนในทศวรรษที่ 1990 และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศยากจน ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การละลายของธารน้ำแข็ง อุทกภัยครั้งใหญ่ ผลผลิตการเกษตรที่ลดต่ำลงและการเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด และ ความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เหล่านี้จะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในอนาคต หากเราไม่หยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเสียแต่เนิ่นๆ


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคืออะไร ?

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือการที่โลกของเราร้อนขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ มันเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ และรัฐบาลทั่วโลกต่างเห็นพ้องว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำลาย และทำให้ระบบนิเวศทางธรรมชาติหลายแห่ง รวมทั้งชุมชนได้รับความเสียหาย

เมื่อเราเอ่ยถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก เรากำลังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทั้งหมดทั่วโลก อัตราและความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกในระยะยาวจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติ


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นได้อย่างไร?

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดจากปริมาณความเข้มข้นของก๊าซบางชนิดในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มมากขึ้น ก๊าซที่เก็บความร้อนเหล่านี้จะทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในชั้นบรรยากาศโลกเพราะมันจะดักจับความร้อนที่เพิ่มขึ้นในกระบวนการต่างๆ ก๊าซในกลุ่มนี้ที่มีอยู่ทั่วไปคือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปล่อยออกมาจากระบวนการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จากโรงไฟฟ้า ยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรมและอื่นๆ รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมหาศาล


อะไรคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ?

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นมากกว่าเรื่องของความร้อน จากรายงานการประเมินครั้งที่ 3 ของ IPCC พบว่าอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในรูปแบบต่างๆ เช่น รูปแบบของลม จำนวน และ ชนิดของไอน้ำในอากาศ (ฝน ลม หิมะ น้ำแข็ง) รวมทั้งความถี่ของอากาศที่รุนแรงขึ้นซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังกล่าวอาจจะยังไม่เกิดขึ้น และ/หรืออาจจะทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจตามมา ตัวอย่างผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้แก่


1. ปริมาณน้ำจืดที่ลดลง - ภายในเวลา 50 ปี จำนวนของประชากรที่ขาดแคลนน้ำดื่มจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5,000 ล้านคนจากทั้งหมด 8,000 ล้านคน


2. ผลผลิตการเกษตรตกต่ำลง - เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกมีผลต่อผลิตผลทางการเกษตรในระดับท้องถิ่นและมีผลต่อปริมาณอาหารสำรองในโลก


3. ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงและหน้าดินได้รับความเสียหาย - การย้ายพื้นที่เพาะปลูก ภัยแล้ง และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณไอน้ำในอากาศจะเพิ่มปริมาณการย้ายถิ่นฐานของประชากร สิ่งนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบทางอ้อมในการใช้สารเคมีเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและมลภาวะจากอุตสาหกรรม


4. ยาฆ่าแมลงและโรคระบาด - ภาวะโลกร้อนจะเอื้อต่อการแพร่กระจายของแมลงศัตรูพืช เช่น ยุงที่เป็นพาหะของไข้มาลาเรีย เป็นต้น


5. ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น - เมื่อโลกร้อนขึ้น ระดับน้ำทะเลก็จะขยายขนาดของมันตามไปด้วย สิ่งนี้เกี่ยวเนื่องกับการละลายของธารน้ำแข็ง เช่น แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และภูเขาน้ำแข็งในทะเล ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นจาก 0.1 เป็น 0.5 เมตร ในกลางศตวรรษหน้า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจะทำให้ชุมชนริมฝั่งทะเล พื้นที่การเกษตร แหล่งน้ำจืดริมฝั่ง รวมถึงประเทศที่เป็นเกาะกลางมหาสมุทรหรือทะเลตกอยู่ในอันตราย


6. สภาพภูมิอากาศรุนแรงที่เกิดมากขึ้น เช่น ความแห้งแล้ง อุทกภัย พายุ และ อื่นๆอีกมากมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อสังคมและเศรษฐกิจ


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบและเป็นอันตรายต่อภูมิภาคเอเชียอย่างไร?

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเอเชียมีตั้งแต่ ระดับน้ำทะเลที่เข้าท่วมพื้นที่ราบต่ำ อุทกภัยที่เพิ่มมากขึ้นจากฝนที่ตกหนักขึ้น ความแห้งแล้งที่รุนแรงมากขึ้น พายุไซโคลนที่พัดแรงขึ้น ภัยคุกคามต่อพื้นที่การเกษตรและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ปริมาณน้ำจืดที่ลดลงและการเกิดโรคระบาดที่ร้ายแรง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทุกๆปี จะมีประชาชนกว่า 400 ล้านคนในเอเชีย ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยระหว่างปี 2530-2540 ร้อยละ 44 ของอุทกภัยทั่วโลกล้วนมีผลกระทบต่อเอเชีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 228,000 คน (คิดเป็นร้อยละ 93 ของการเสียชีวิตจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลก) ความสูญเสียทางเศรษฐกิจในช่วง 10 ปี นั้นสูงถึง 136 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ


ในประเทศจีน อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2541 และ 2546 ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ มีประชาชนกว่า 4,000 คนเสียชีวิต และ ทำให้อีก 3,500,000 คน ต้องไร้ที่อยู่อาศัย รวมทั้งพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายจำนวนมาก ในพื้นที่อื่นความแห้งแล้งส่งผลกระทบต่อประชาชน 90 ล้านคน และ ปศุสัตว์อีก 6,800,000 ตัวล้มตาย รวมทั้งพื้นที่ฟาร์ม 7,700,000 เฮคเตอร์ได้รับความเสียหาย ผลการวิจัยชี้ว่าผลผลิตของสินค้าหลักของจีน เช่น ข้าว ข้าวสาลี และ ข้าวโพด ลดต่ำลงมากกว่าร้อยละ 37


ในอินเดีย มีการบันทึกสถิติอุณหภูมิในเดือนพฤษภาคม 2545 ไว้ที่ 45.6 องศาเซลเซียส ทำให้มีคนเสียชีวิตเฉพาะในรัฐอันตรประเทศกว่า 1,000 คน อุทกภัยในรัฐโอริสสา ทางตะวันออกของประเทศเมื่อปี 2542 ทำให้ประชาชนเสียชีวิตหลายพันคนรวมทั้งหมู่บ้านที่ถูกกระแสน้ำพัดพาไปจนหมดสิ้นหลายแห่ง ส่วนทางตอนเหนือของอินเดีย อุณหภูมิในกรุงอิสลามาบัด ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศปากีสถานสูงถึง 47 องศาเซลเซียส ในเดือนมิถุนายนปีนั้น


ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2547 มีบันทึกไว้ว่ามีพายุไต้ฝุ่นพัดถล่มญี่ปุ่นถึง 10 ลูกและมี 2 ลูกที่ถล่มภายในเวลาเพียง 10 วัน หลังจาก Meari ก็ตามมาด้วย Ma-on และ Tokage ซึ่งเป็นไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดที่พัดถล่มประเทศญี่ปุ่นในรอบ 16 ปี และ ทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมากและได้รับบาดเจ็บไม่น้อยไปกว่ากันนับตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา


ในฟิลิปปินส์ จนถึงปลายปี 2547 มีไต้ฝุ่นเข้าถล่ม 4 ลูก และ พายุโซนร้อนทำให้เกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง มีประชาชนเสียชีวิตกว่า 1,000 คน และ ได้รับบาดเจ็บกว่า 1,000 คน ครอบครัว 53,000 ครอบครัวไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีน้ำสะอาดใช้และยังทำลายพื้นที่การเกษตรกว่า 10,000 เฮกเตอร์


ในปี 2548 ไทยประสบภัยแล้งอย่างรุนแรงซึ่งส่งผลกระทบถึงประชาชน 9.2 ล้านคนใน 63 จังหวัดทั่วประเทศ พื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายกว่า 5 ล้านไร่ รัฐบาลไทยประเมินว่า มูลค่าความเสียหายมากถึง 193.2 ล้านเหรียญสหรัฐ น้ำในเขื่อนลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมาแห้งเหือดเนื่องจากความแห้งแล้งที่กินระยะเวลานาน ทำให้ชาวบ้านต้องออกมาตั้งที่พักชั่วคราวในเขื่อนเพื่อจับปลาที่เหลืออยู่ การขาดแคลนน้ำและการเกษตรที่เสียหาย ทำให้ประชาชนหลายล้านคนได้รับความเดือดร้อน ส่วนในภาคตะวันออกของไทย โดยเฉพาะจังหวัดระยอง ปริมาณฝนที่ลดลงและขาดช่วงส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดในพื้นที่โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและนำไปสู่วิกฤตน้ำและการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม


ในพื้นที่อินโด-แปซิฟิค แนวปะการังมีสีซีดจางลงและตาย ก่อให้เกิดภัยคุกคามระบบปะการังทั้งหมดเนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น


มวลมนุษยชาติไม่เคยต้องประสบกับหายนะภัยทางธรรมชาติที่ใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องน่าขันที่ว่าประเทศที่เป็นต้นเหตุของเรื่องเหล่านี้น้อยที่สุดอย่างประเทศกำลังพัฒนาต้องกลายมาเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ยังมีอีกหลายประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนน้อยนิด และ เศรษฐกิจที่อ่อนแอ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งท้าทายอย่างมากที่จะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เรามีส่วนในการร่วมรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นและควรลงมือกระทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ หากเรายังคงไม่ดำเนินมาตรการที่เร่งด่วนและฉับพลันเพื่อหยุดยั้งภาวะโลกร้อน ไม่นานความเสียหายจะเกิดขึ้นและยากที่แก้ไขได้


หนทางแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

เมื่อการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นสาเหตุสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เราจำเป็นต้องจำกัดการใช้น้ำมันเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ทางแก้ไขปัญหามีอยู่แล้ว ด้วยการพัฒนาพลังงานสะอาดและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ธรรมชาติได้มอบทางเลือกมากมายให้กับเราในการผลิตพลังงาน เมื่อผนวกกับปริมาณพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่มีอยู่มากมาย พลังงานสะอาดมีอยู่ในลม คลื่น แสงอาทิตย์และความร้อนใต้พิภพ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างพอเพียงให้กับเราเท่าที่ต้องการ พลังงานลมมีอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุด คิดเป็นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 15.89 พลังงานลมนี้สามารถผลิตพลังงานได้มากเป็น 2 เท่าของพลังงานที่เราต้องการในปี 2563 ในอีกแง่หนึ่งพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบผิวโลกมีปริมาณมากพอในการผลิตพลังงานมากกว่าปริมาณที่โลกกำลังบริโภคอยู่ทุกปีถึง 1 หมื่นเท่า >>

ทางออกดังกล่าวนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความเสียสละของมนุษย์มากมายนักหรือก่อให้เกิดความยุ่งยากในชีวิตแต่อย่างใด ตรงกันข้ามพลังงานสะอาดจะนำมนุษย์ไปสู่ยุคใหม่ของการใช้พลังงาน ที่จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และ การปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม


เพื่อปกป้องโลกจากหายนะภัยของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราต้องยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเร็ว และปฏิวัติพลังงานพลังงานสะอาด เมื่อผนวกกับประสิทธิภาพด้านพลังงานแล้ว พลังงานสะอาดเป็นทางเลือกที่ดีและยั่งยืนอย่างแท้จริง


http://www.greenpeace.org/seasia/th/217865/228352


ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในเอเชีย

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งกำลังเกิดขึ้น หลักฐานก็คือ การละลายของก้อนน้ำแข็ง การเน่าเสียของปะการัง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ระบบนิเวศที่เปลี่ยนไป และความแห้งแล้งที่กินเวลานาน และรุนแรงขึ้น ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า ประชากร 150,000 คน เสียชีวิตทุกปีจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้โลกต้องเร่งลงมือกระทำการบางอย่างก่อนที่โลกของเราจะถูกทำลายจนเสียหาย และ ไม่สามารถเยียวยาได้ อ่านต่อที่นี่


หายนะภัยต่อมวลมนุษยชาติ

Dr.Rajenda Pachauri ประธานของ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) กล่าวว่า โลกของเรากำลังเผชิญกับระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงจนน่ากลัวในชั้นบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นจริงๆ เรามีโอกาสเพียงน้อยนิด และ มันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราจะต้องไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าอีกต่อไป



กลับหน้าแรก